Skip to content
Home » [Update] 10 คำถามปราบเซียน สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ (PART II) | คุณจะทําอะไรให้บริษัท – NATAVIGUIDES

[Update] 10 คำถามปราบเซียน สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ (PART II) | คุณจะทําอะไรให้บริษัท – NATAVIGUIDES

คุณจะทําอะไรให้บริษัท: คุณกำลังดูกระทู้

Table of Contents

10 คำถามปราบเซียน สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ (PART II)

 

– Why do you want this job? –

– ทำไมถึงอยากได้งานนี้ –

 

คำแนะนำ : คุณควรรู้จักบริษัทที่คุณสมัคร และรู้ถึงข่าวสารล่าสุดที่บอกถึงทิศทางที่บริษัทกำลังจะไป และที่สำคัญคุณต้องรู้ว่าตำแหน่งคุณต้องเข้ามาแก้ปัญหาในด้านไหน

 

สำหรับการตอบคำถามให้ตอบว่า “ทำไมคุณถึงเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้” คุณจะเข้ามาช่วยสร้างอะไรให้กับบริษัท และคุณจะได้อะไรตอบแทนที่นอกเหนือจากตัวเงิน เช่น ความต้องการพิสูจน์ตัวเอง เป็นต้น

 

“I want this job because it emphasizes sales and marketing, two of my greatest skill sets. I know I could bring my ten years of sales and marketing experience to this company, and help you continue your years of growth.”

 

ดิฉันต้องการงานตำแหน่งนี้เพราะมันจะช่วยต่อยอดทักษะด้ายการขายและการตลาดซึ่งเป็นสองทักษะที่ดีที่สุดของดิฉัน ดิฉันเชื่อว่าดิฉันสามารถนำเอาประสบการณ์การขายและการตลาดกว่า 10 ปีที่ดิฉันมีมาใช้กับที่นี่ได้ และช่วยให้บริษัทของคุณมียอดขายเติบโตในทุกๆปีค่ะ

 

“I understand that this is a company on the rise. As I’ve read on your website and in various press releases, you are planning to launch several new products in the coming months. I want ​to be a part of this business as it grows, and I know my experience in product development would help your company as you roll out these products.”

 

ดิฉันเชื่อว่าบริษัทอยู่ในช่วงขาขึ้นนะคะ จากที่ดิฉันได้อ่านข้อมูลจากเว็บไซต์และข่าวต่างๆ ทางบริษัทของคุณมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่หลากหลายรายการในเดือนที่จะมาถึงนี้ ดิฉันอยากเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของบริษัทค่ะ และดิฉันรู้ว่าประสบการณ์ทางด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดิฉันมี จะช่วยบริษัทของคุณในเรื่องของการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ว่านี้ได้ค่ะ

 

“This job is a good fit for what I’ve been doing and enjoying throughout my career. It offers a mix of short-term projects and long-term goals. My organizational skills allow me to successfully multitask and complete both kinds of projects.”

 

งานนี้เหมาะเจาะกับสิ่งที่ดิฉันทำและดิฉันสนุกกับมันในอาชีพของดิฉันค่ะ มันสร้างโอกาสให้ดิฉันได้ทำโปรเจ็คระยะสั้นและระยะยาวผสมผสานกัน ทักษะการจัดการที่ดิฉันมีนั้นจะช่วยให้ดิฉันสามารถทำทั้งสองอย่างได้สำเร็จลุล่วงค่ะ

 

ข้อควรระวัง : ถึงแม้การตอบว่าเงินเดือนดี สวัสดิการดี หรือบ้านใกล้จะเป็นคำตอบที่แท้จริงในใจคุณ แต่มันไม่ได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ตัวคุณ อย่าลืมว่าผู้สัมภาษณ์ต้องการวัดทัศนคติในการเรียนรู้ และความมุ่งมั่นในการทำงานของคุณด้วย ฉะนั้นอย่าลืมตอบให้ดู “มีไฟ” ด้วยนะครับ

 

– Why are you leaving or have left your job? –

– ทำไมคุณถึงลาออกหรือกำลังจะลาออกจากงานเก่า –

 

คำแนะนำ : หลายๆบริษัทมักจะถามคุณอยู่แล้วว่าทำไมคุณกำลังจะออกจากงาน หรือคุณออกจากที่เก่าเพราะอะไร ทั้งนี้เพื่อที่จะได้รู้ว่าคุณลาออกมาเองหรือถูกให้ออกจากงานเนื่องจากความผิดพลาดในการทำงานบางอย่างหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม คำตอบของคุณควรจะทำให้คุณดูดีอยู่ดี ไม่ว่าจะมาจากเหตุผลอะไรก็ตามนะครับ

 

“จงโฟกัสที่ปัจจุบันและอนาคต มากกว่าประสบการณ์ในอดีต”

 

สิ่งที่คุณสามารถใช้เป็นตัวช่วยในการหลีกเลี่ยงคำตอบตรงๆ ในเรื่องประสบการณ์การทำงานที่เก่าก็คือการพูดถึง “แพสชั่น” หรือความคาดหวังส่วนตัวของคุณที่มีต่อชีวิตการทำงาน โดยโฟกัสว่างานใหม่นี้จะมอบโอกาสทางการทำงานให้คุณอย่างไรได้บ้างนั่นเอง

 

มาดูตัวอย่างคำตอบกันนะครับ

 

คุณกำลังมองหาความท้าทาย — “I found myself bored with the work and looking for more challenges. I am an excellent employee, and I didn’t want my unhappiness to have any impact on the job I was doing for my employer.” ผมพบว่าผมเบื่องานเดิมและต้องการมองหาความท้าทายใหม่ๆ ผมเป็นลูกจ้างที่ดีนะครับ และผมไม่ต้องการให้ “ความรู้สึกไม่มีความสุข” ของผมนั้นมากระทบกับงานที่ทำที่บริษัทเดิมครับ

 

คุณกำลังมองหาความก้าวหน้า — “There isn’t room for growth with my current employer, and I’m ready to move on to a new challenge.” ผมไม่มีโอกาสได้ก้าวหน้าในที่ทำงานเดิมเลยครับ และผมเองพร้อมแล้วที่จะเจอความท้าทายใหม่ๆ

 

คุณโดนเลย์ออฟมา — “I was laid off from my last position when our department was eliminated due to corporate restructuring.” ผมถูกให้ออกเพราะแผนกที่ผมทำงานอยู่ถูกยุบ เนื่องจากบริษัทนั้นได้ทำการปรับโครงสร้างองค์กรครับ

 

คุณมีเหตุผลส่วนตัว — “I’m relocating to this area due to family circumstances and left my previous position in order to make the move.” ผมย้ายมายังที่นี่เนื่องจากสถานการณ์ทางด้านครอบครัวของผมครับ ผมจึงต้องลาออกจากงานเดิมมา

 

คุณคิดว่างานเก่าไม่ใช่งานในฝัน — “I’ve decided that my current work role is not the direction I want to go in my career and my current employer has no opportunities in the direction I’d like to head.” ผมคิดว่างานเก่านั้นไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ผมต้องการจะเติบโต และนายจ้างก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้กับทิศทางที่ผมต้องการจะไปครับ

 

คุณเพิ่งเรียนจบ — “I recently received my degree, and I want to utilize my educational background in my next position.” ผมเพิ่งได้รับปริญญามา และผมต้องการใช้ความสามารถจากพื้นฐานการศึกษาที่ผมมีกับงานใหม่นี้ครับ

 

คุณเบื่อการเดินทาง — “I was commuting to the city and spending a significant amount of time each day on travel. I would prefer to be closer to home.” ผมเคยต้องเดินทางเข้าเมืองและใช้เวลาอย่างมากมายในการเดินทาง ผมจึงอยากที่จะได้ทำงานใกล้บ้านมากขึ้นน่ะครับ

 

คุณโดนให้ออก — “The company was cutting back and, unfortunately, my job was one of those eliminated.” บริษัทเก่าลดต้นทุน และโชคร้ายที่งานของผมก็เป็นหนึ่งตำแหน่งที่โดนโละครับ

 

ข้อควรระวัง : อย่าด่าเจ้านายเก่า! เพราะโลกธุรกิจนั้นเชื่อมโยงกันไปหมด เผลอๆบริษัทเก่าที่คุณลาออกมา กลับกลายเป็นลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์เจ้าสำคัญของบริษัทใหม่ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนก็เป็นได้ ซึ่งผู้สัมภาษณ์คงไม่อยากจ้างคนที่ด่า “ลูกค้าคนสำคัญ” ของเขาอย่างเสียๆหายๆใช่ไหมล่ะครับ

 

– How do you handle stress and pressure? –

– คุณรับมือกับความเครียดและความกดดันอย่างไรบ้าง –

 

คำแนะนำ : คำถามข้อนี้ สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์อยากรู้มากที่สุดคือ “ความเครียดปริมาณมากแค่ไหน ที่จะส่งผลต่อการทำงานของคุณ” และคุณจะจัดการมันได้อย่างไรโดยไม่กระทบกับการทำงานในแต่ละวัน คุณสามารถตอบโดยเล่าถึงสถานการณ์ในอดีตว่าคุณเคยจัดการกับปัญหาที่สร้างความเครียดให้คุณอย่างไรบ้าง คุณอาจบอกว่าเคสที่คุณเล่านั้นได้ทำให้คุณเครียด แต่ความเครียดปริมาณดังกล่าวทำให้คุณรู้สึกตั้งใจทำงานมากขึ้น และทำให้คุณรู้สึกท้าทาย เป็นต้น

 

ถ้าความเครียดที่เคยเกิดขึ้นกับคุณเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นโดยปกติตามเนื้องาน (ซึ่งมักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้) คุณไม่ควรกล่าวถึงมันนะครับ เช่น ถ้าคุณสมัครงานตำแหน่งพนักงานขาย แต่คุณบอกผู้สัมภาษณ์ว่าคุณเครียดเวลาต้องคุยกับคนเยอะๆ (อ้าว…) หรือคุณสมัครเป็นโปรเจ็คแมเนเจอร์ แต่ดันไปบอกว่าเครียดเวลาทำงานหลายๆอย่างพร้อมกัน (เอ๊ะ!) แบบนี้คงหมดโอกาสได้งานกันพอดีจริงไหมครับ

 

ตัวอย่างการตอบที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ก็คือ…

 

“I actually work better under pressure, and I’ve found that I enjoy working in a challenging environment.” จริงๆแล้วดิฉันสามารถทำงานได้ดีขึ้นภายใต้ความกดดันนะคะ ดิฉันพบว่าดิฉันนั้นชอบทำงานในสภาวะที่ท้าทายความสามารถค่ะ”

 

“I find that when I’m under the pressure of a deadline, I can do some of my most creative work.” ดิฉันพบว่าเมื่อดิฉันอยู่ในสภาวะที่ถูกกดดันด้วยวันเด้ดไลน์ ดิฉันจะสามารถทำงานได้อย่างมีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด

 

หรือจะบอกว่า “I react to situations, rather than to stress. That way, the situation is handled and doesn’t become stressful.” ดิฉันเลือกที่จะจัดการกับสถานการณ์นั้นมากกว่าจะมานั่งเครียดกับมันนะคะ ด้วยวิธีนี้ทำให้ดิฉันควบคุมสถานการณ์นั้นไว้ได้และไม่เกิดเป็นความเครียดค่ะ

 

โดยคุณอาจยกตัวอย่างให้ผู้สัมภาษณ์ฟัง โดยใช้คำว่า “For example”

 

“For example, when I deal with an unsatisfied customer, rather than feeling stressed, I focus on the task at hand. I believe my ability to communicate effectively with customers during these moments helps reduce my own stress in these situations and also reduces any stress the customer may feel.”

 

เมื่อดิฉันต้องดูแลลูกค้าที่รู้สึกไม่พึงพอใจกับสินค้า แทนที่ดิฉันจะเครียด ดิฉันกลับมาโฟกัสที่งานที่ดิฉันต้องแก้ไขมากกว่า ซึ่งดิฉันเชื่อมั่นว่าความสามารถในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพกับลูกค้าของดิฉันนั้น จะช่วยลดความเครียดในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ และยังทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกเครียดไปด้วย

 

แชร์

[NEW] 7 สิ่งที่ผมจะทำเพื่อพัฒนาตัวเองในปีหน้า (ในเรื่องงาน) | คุณจะทําอะไรให้บริษัท – NATAVIGUIDES

เนื่องจากขนาดที่เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ของบริษัท ช่วง 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา บริษัทของผมได้เริ่มทำ Performace Evaluation กันอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ซึ่งการประเมินจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือ 1. การประเมินตัวเอง 2. การประเมินเพื่อนร่วมงาน 3. การประเมินหัวหน้างาน และ 4. การประเมินทีมงาน (ลูกน้อง)

นอกจากการประเมินเพื่อนร่วมงานและประเมินทีมงานที่ช่วยให้ผมสามารถบอกสิ่งที่ผมคิดว่าเขาทำได้ดี (และควรทำต่อไป) และสิ่งที่ควรปรับปรุงแล้ว การที่ผมได้มีโอกาสประเมินตัวเองก็ได้ทำให้ผมได้ Reflect สิ่งที่ตัวเองทำในปีที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน

ในบทความนี้ผมจะพยายามไม่พูดถึงสิ่งที่ผมคิดว่าตัวเองทำได้ดี (ผมว่าผมเป็นโรคจิตนิดๆ เพราะไม่ชอบชมตัวเองหรือโดนชมว่าดีหรือเก่ง ฮา) แต่ผมจะมาเขียนถึงสิ่งที่ตัวเองควรจะต้องพัฒนาหรือปรับปรุงในปีที่ผ่านมา (ผมชอบโดนติหรือโดนด่ามากกว่า มีข้อแม้นิดหน่อยคือต้องเป็น Constructive Feedback – พูดถึงสิ่งที่ผมทำ สาเหตุที่ควรต้องปรับปรุง และแนวทางในการแก้ไขปรับปรุง)

ความเข้มงวด มีให้คนอื่นเท่าไหร่ ยิ่งต้องมีให้กับตัวเองมากขึ้นเป็นทวีคูณ

ข้อที่ผมควรพัฒนา/ปรับปรุงหลายๆ ข้อ ก็อาจจะเป็นสิ่งที่คุณควรต้องพัฒนา/ปรับปรุงเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นลองอ่านสิ่งที่ผม Reflect เกี่ยวกับตัวเองในบทความนี้ดู บางทีคุณอาจจะได้รับไอเดียที่ใช้สำหรับพัฒนาตัวเองในปีหน้าก็ได้ 🙂

7 สิ่งที่ผมอยากจะพัฒนา/ปรับปรุงในปีหน้า

1. การบริหารจัดการเวลาของตัวเอง

ในปีที่ผ่านมา ผมยังรู้สึกว่าผมยัง Optimize เวลาตัวเองได้ไม่ดีในระหว่างวัน สิ่งแรกที่ผมทำคือการลบแอป Facebook ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งกิจกรรมอันไร้ประโยชน์ที่ผมใช้เวลากับมันมากเกินไป (ไถ Feed ดูนู่นี่นั่น)

นอกจากนั้นแล้วช่วงบ่ายๆ หลังมื้อเที่ยง ผมสังเกตตัวเองได้ว่าผมมักจะง่วงเหงาหาวนอนอยู่บ่อยๆ สาเหตุน่าจะเป็นเพราะการที่ผมกินข้าวเที่ยงเยอะ – จานเดียวไม่เคยพอ ต้องต่อด้วยของกินเล่นหรือของหวาน วิธีการแก้ไขปัญหาในข้อนี้คือการจำกัดตัวเองให้กินข้าวแค่จานเดียว (ผมถึงขนาดบอกพี่โบที่เป็น Partner ของผมที่ Magnetolabs ว่าถ้าวันไหนพี่เขาเห็นผมซื้อของหวานมาด้วย ให้เก็บเงินผมครั้งละ 5 บาทเลย ฮา)

นอกจาก 2 เรื่องนี้แล้ว จริงๆ ผมยังคิดวิธีการบริหารจัดการเวลาของตัวเองเพิ่มเติมไว้อีกหลายอย่าง คุณสามารถเข้าไปอ่านเอาเป็นไอเดียได้ที่นี่

2. การสื่อสารภายในบริษัท

ในปีที่ผ่านมาบริษัทของผมโต 2-3 เท่า แต่ผมรู้สึกว่าผมเองยังไม่โตตามสักเท่าไหร่เพราะผมยังคงโฟกัสกับงานของตัวเองมากเกินไป แต่ดันให้เวลากับงานของทีมงานน้อยเกินไป โดยเฉพาะในเรื่องของการคอมเมนต์งานที่หลายๆ ครั้งผมมักจะละเลยหรือมักจะปล่อยผ่านไปง่ายๆ (ทั้งๆ ที่หลายๆ งานยังสามารถปรับปรุงได้อีกมาก)

ในปีหน้า ผมจะพยายามทำให้การนัดคุยงานและการคอมเมนต์งานของผมเป็นงาน Routine อาจจะกำหนดวันและเวลาในสัปดาห์ไว้เลย เพื่อที่ว่าน้องๆ ในทีมจะได้รับคอมเมนต์ที่ทำให้พวกเขาพัฒนาได้มากกว่านี้

3. การบริหารทรัพยากรของทีมงาน

ผมคิดว่าการบริหารทรัพยากรของทีมงานก็เป็นอีกหน่ึงอย่างที่ผมยังทำได้ไม่ดีพอ บางครั้งงานก็จะแน่นกว่าปกติ บางครั้งก็หลวมกว่าปกติ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะถ้าผมปล่อยไว้ ปัญหานี้อาจจะมีมากขึ้นเมื่อทีมขยายใหญ่ขึ้น

ผมลองกลับไปนึกๆ ดู ผมคิดว่าหนึ่งในปัญหาหลักของเรื่องนี้คือ Project Management Software ที่ชื่อว่า Clickup ที่ทางบริษัทของผมใช้งานอยู่ซึ่งผมและทีมของผมยังใช้งานมันอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพสักเท่าไหร่ ในปีหน้าผมจะพยายาม Set Standard และกระตุ้นให้ทีมงานโดยเฉพาะคนที่เป็นคนบริหารจัดการโปรเจคต์ต่างๆ ใช้ Clickup ให้มากขึ้น และตัวผมเองก็จะต้องดู Workload ของคนแต่ละคนก่อนที่จะ Assign งานเพิ่มเติมให้

เพราะการบริหารทรัพยากรที่ดีต้องเร่ิมจากการทำความเข้าใจว่าใครถืองานไว้มากน้อยแค่ไหน

4. การวางแผนงาน

ในปีที่ผ่านมา หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้เช่นเรื่องของยอดขายของ Magnetolabs ที่ถึงแม้จะเยอะกว่าปีที่แล้วมากแต่ก็ยังน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้อยู่ดี หรือเรื่องของ Content Shifu ที่แทบจะทุกอย่างไม่เป็นไปตาม Timeline ทั้งเรื่องของการพัฒนา Product หรือเรื่องยอดขาย

ในปีหน้าสิ่งที่ผมจะทำคือ ในขั้นตอนการวางแผน ผมจะพยายามคิดให้มากขึ้นถึง Scenario ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น มองโลกในแง่ร้ายไว้บ้าง และเตรียมแผนสองแผนสามไว้ด้วย

อีกเรื่องคือการส่งต่องาน ที่ผมยังพยายามถืองาน (ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ผม) ไว้กับตัวเยอะเกินไปอยู่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการ Setup ซอฟต์แวร์ต่างๆ หรือการวางแผน Pitch งาน และอีกหลายๆ ครั้งที่ผมส่งต่องานแล้วไม่ค่อยได้ติดตามผลสักเท่าไหร่ ซึ่งพอผมไม่ติดตามผล คนที่ได้รับการส่งต่องานก็อาจจะคิดว่าผมไม่จริงจังในงานนั้นๆ ก็เลยอาจจะทำให้พวกเขาไม่จริงจังตาม รวมไปถึงการที่ผมควร

การที่ผมยังส่งต่องานได้ไม่ดี ทำให้ผมมีเวลาให้กับเรื่องที่ผมควรจะต้องทำน้อยลง ซึ่งส่งผลให้งานบางอย่างอาจจะไม่ออกมาตามที่คาดหวังไว้

ปีหน้าผมจะลอง List งานออกมาให้ย่อยที่สุดแล้วดูว่างานไหนผมควรต้องทำเองและงานไหนควรที่จะต้องส่งงานต่อให้คนในทีมดูแล

5. การให้ Feedback

การให้ Feedback เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าให้อ้อมไป… ไม่ดี

หลายๆ ครั้งผมพยายามที่จะให้ Feedback แบบอ้อมๆ (บางครั้งชักแม่น้ำทั้ง 5 หรืออ้างอิงถึงคนอื่น) เพราะไม่อยากทำให้คนได้รับ Feedback รู้สึกแย่กับตัวเองหรือรู้สึกแย่กับผม รวมไปถึงการมองข้ามหรือพยายามปล่อยผ่านพฤติกรรมที่ไม่ดีและส่งผลเสียกับบริษัทในภาพรวม

สำหรับเรื่อง Feedback ในปีที่ผ่านมาผมได้เรียนรู้มา 2 อย่างคือ

1. สิ่งที่ผู้นำควรทำไม่ใช่การการทำให้ทุกคน Happy โดยการให้ Feedback ที่ไม่ทำให้ก่อให้เกิดการพัฒนา แต่ผู้นำควรจะให้ Feedback ที่ทำให้คนคนนั้นเกิดการพัฒนารวมไปถึงทำให้ส่งผลดีต่อบริษัทในภาพรวม (ถึงแม้ว่าคนได้รับ Feedback จะรู้สึกไม่ดีไปชั่วขณะหนึ่งก็ตาม)

ตัวอย่างของ Feedback ที่ก่อให้เกิดการพัฒนาคือคนที่ทำดีอยู่แล้ว ผมก็ต้องหา Feedback ให้พวกเขาทำได้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ส่วนใครที่ยังทำไม่ได้ไม่ดี ควรจะได้รับ Constructive Feedback ที่นอกจากจะบอกถึงสิ่งที่ปรับปรุงได้แล้ว ยังต้องให้ตัวอย่างของสิ่งที่ต้องปรับปรุงและแนวทางในการปรับปรุงด้วย

2. การให้ Feedback อย่างตรงไปตรงมา จริงใจ และมีเหตุผลรองรับที่ดี จะให้ผลลัพธ์ที่ดี

โดยเนื้อแท้แล้ว ผมเชื่อว่าคนทุกคนในทีมที่ผมคัดเลือกมามีความเข้าใจสิทธิและหน้าที่ และมีความอยากที่จะพัฒนาตัวเองอยู่แล้ว (คุณเองก็ควรที่จะเชื่อคนในทีมของคุณเช่นเดียวกัน) เพียงแต่ว่าพวกเขาอาจจะต้องได้รับ Feedback หรือการ Coach เพิ่มเติม

ในปีที่ผ่านมา บริษัทของผมจะมีการนัดคุยเพื่อให้ Feedback กับพนักงานใหม่อยู่แล้วทุกๆ 1 เดือนและ 3 เดือน (ก่อนผ่านโปร) แต่สำหรับพนักงานปัจจุบัน ผมไม่ได้มีการจัดตารางให้ Feedback อย่างจริงจังเลย (จนมีน้องในทีม บอกว่ามีอยู่ช่วงนึงที่ห่างๆ และไม่ค่อยได้คุยกับผม)

เพราะฉะนั้นในปีหน้า สิ่งที่ผมจะทำคือจะจัดตารางทำ One on One Feedback กับคนที่ผมทำงานอย่างใกล้ชิดทุกเดือน และถ้าผมมี Feedback อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อคนที่ได้รับ ต่อตัวผมเอง และต่อบริษัท ผมจะพูดอย่างตรงๆ ไม่อ้อมโลกอีก

เพราะการสื่อสารทำให้คนเข้าใจกันมากขึ้น และการให้ Feedback คือการทำให้คนเติบโต

6. การบริหารจัดการธุรกิจ

ในปีที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในปีที่ผมมีการเติบโตมากที่สุดในแง่ของ Management skill ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการบริหารจัดการ แต่ทั้งนี้ ด้วยความที่ว่าบริษัทของผมยังไม่ใหญ่มาก ผมเลยต้องทำอะไรหลายๆ อย่างตั้งแต่การบริหารโปรเจคต์ บัญชี การเงิน ภาษี กฏหมาย ไปจนกระทั่งการบริหารทรัพยากรบุคคล จนมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็น “เป็ด” คือทำอะไรได้หลายอย่างแต่ยังไม่ดีสักอย่าง

ในปีหน้าบริษัทของผมจะโตขึ้นอีกอย่างน้อยเป็นเท่าตัว เพราะฉะนั้นผมคงไม่สามารถทำอะไรพวกนี้พร้อมๆ กันได้อีกต่อไป ผมจะพยายามโฟกัสแค่เรื่องบางเรื่อง แบ่งบางอย่างไปให้พาร์ทเนอร์ช่วย หรือไม่ก็ผลักดันทีมงานในทีมมีความสามารถในด้านนั้นๆ (ไม่ก็หาทีมงานเพิ่ม) เพื่อมาช่วย

ตอนบริษัทยังเล็ก การเป็นเป็ดทำได้ทุกอย่างอาจจะดูเข้าที แต่ถ้าบริษัทเติบโตขึ้น การโฟกัสเฉพาะสิ่งที่ควรทำและต้องทำเป็นสิ่งสำคัญ

7. การพูด

ในปีที่ผ่านมาได้มีโอกาสทำ Public Speaking มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ถึงแม้ว่ายังทำได้ไม่ได้เท่าที่คาดหวัง แต่คิดว่าตัวเองก็พัฒนาขึ้นมากในส่วนนี้เช่นเดียวกัน

ในปีหน้าสิ่งที่อยากจะพัฒนาให้มากขึ้นสำหรับด้านนี้คือความเป็นธรรมชาติเวลาพูด และทักษะในการโน้มน้าวให้ผู้ฟังสามารถฟังเราได้จนจบ เช่นอาจจะเพิ่มทักษะทางด้าน Story Telling หรือเพิ่มมุกขำขันเข้าไป (ผมมักจะโดนแฟนของผมบอกเป็นประจำว่าผมดูซีเรียสเกินไปเวลาผมพูดบนเวที ฮา)

สิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญมากๆ ในการพัฒนาทักษะการพูดคือ “ชั่วโมงบิน” เพราะฉะนั้นในปีหน้า ผมจะพยายามตอบรับโอกาสการทำ Public Speaking ที่เข้ามามากยิ่งขึ้น

สรุป

หวังว่าคุณจะได้ไอเดียจากที่ผม Feedback ตัวเองไม่มากก็น้อยนะครับ

ถ้าคุณเป็นคนที่รู้จักผมอยู่แล้ว เคยร่วมงานกับผม หรือเคยเจอผมในงานต่างๆ และคิดว่าผมต้องปรับปรุงอะไรเพิ่มเติมนอกจากนี้ ผมยินดีรับฟังนะครับ คุณสามารถให้ Feedback กับผม (แบบไม่ระบุตัวตน) ได้ที่นี่เลยครับ 🙂


ร้านข้าวแกงไทย สัญชาติญี่ปุ่น : ดูให้รู้ Dohiru (9 ก.ย. 61)


คนญี่ปุ่นที่หลงรักอาหารไทย ตระเวนชมและชิมร้านข้าวแกงไทยจนตัดสินใจเปิดร้านอาหารไทยที่ญี่ปุ่น ด้วยความคิดว่าตั้งใจทำทุกอย่างให้เหมือนร้านข้าวแกงแบบบ้าน ๆ ที่เมืองไทย เพราะอยากให้คนญี่ปุ่นได้สัมผัสบรรยากาศแบบไทยที่ง่าย ๆ สบาย ๆ เหมือนที่คนไทยเป็น และดูเหมือนว่ากลยุทธ์นี้จะได้ผลลูกค้าแน่นร้านทุกวัน และเปิดขายเฉพาะอาหารกลางวัน แต่ต้องมาเริ่มทำอาหารตั้งแต่ 06.00 น. ขายเสร็จแล้วก็ต้องเตรียมวัตถุดิบไว้สำหรับวันรุ่งขึ้น จนถึง 19.00 น. เพราะทำกันแค่ 2 คนกับภรรยา
อุปกรณ์ทุกอย่างในร้านทั้ง จานชามแก้วน้ำ หม้อแกง โต๊ะเก้าอี้ รถเข็นขายอาหาร เหมือนร้านข้าวแกงในไทย แม้แต่ป้ายหน้าร้านยังเป็นภาษาไทยเรียกว่าจำลองร้านข้าวแกงในเมืองไทย หากคนไทยมาเห็น คงหายคิดถึงบ้านแน่ ๆ และที่สำคัญรสชาติอาหารไทยแท้ แบบที่ต้องตามไปพิสูจน์กันเลยทีเดียว
ติดตามได้ในดูให้รู้ ตอน ร้านข้าวแกงไทย สัญชาติญี่ปุ่น วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน 2561 เวลา 17.30 18.00 น. ทางไทยพีบีเอส และติดตามความเคลื่อนไหวของรายการได้ที่ http://www.facebook.com/Dohiru
ข้าวแกงไทย อาหารไทย อาหารไทยที่ญี่ปุ่น ญี่ปุ่น dohiru

กด Subscribe
ติดตามรายการดีๆของช่อง ได้ที่ : http://goo.gl/hdy2ye
และ ติดตามไทยพีบีเอสออนไลน์ ได้ที่
Website : http://www.thaipbs.or.th
Facebook : http://www.fb.com/ThaiPBSFan
Twitter : http://www.twitter.com/ThaiPBS
Instagram : http://www.instagram.com/ThaiPBS
Google Plus : http://www.thaipbs.or.th/GooglePlus
LINE : http://bit.ly/2GtS44i
Youtube : http://www.youtube.com/user/ThaiPBS

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

ร้านข้าวแกงไทย สัญชาติญี่ปุ่น : ดูให้รู้ Dohiru (9 ก.ย. 61)

สวย..แต่ไร้สมอง !! ใช้มารยา..มากกว่าฝีมือ (ละครสั้น) – พลุแตก แชนแนล


ถ้าตั้งใจ ไม่มีอะไรที่ยากเกินจะทำได้
ติดตามพวกเราในเพจ เฟสบุ๊ค ได้ที่นี่ครับ :
https://www.facebook.com/Pruteakchannel

สวย..แต่ไร้สมอง !! ใช้มารยา..มากกว่าฝีมือ (ละครสั้น) - พลุแตก แชนแนล

อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ผู้สร้างอาณาจักรแสนล้านของ Jay Mart Group | Perspective [14 พ.ย. 64]


เปอร์สเปกทิฟสัปดาห์นี้ พบกับ \”อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา\” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) บริษัทที่เติบโตจากเงินทุนเพียงแค่ 2 ล้านบาท ปัจจุบันเติบโตในระดับแสนล้านบาท !
เปอร์สเปกทิฟสัปดาห์นี้เราจะพาคุณผู้ชมมารับฟังเส้นทางชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง จากอดีตเขาเริ่มต้นจากขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องแถวเล็ก ๆ ปัจจุบันขยายธุรกิจสู่การเป็นบริษัทจำหน่ายทั้งค้าปลีกและค้าส่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ในนาม บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) ที่เราเห็นกันจนชินตาในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ มาติดตามเรื่องราวชีวิตความสำเร็จของผู้ชายคนนี้กันว่าเขาทำอย่างไรให้เจ มาร์ท เติบโตอย่างก้าวกระโดด วิสัยทัศน์การบริหารจนสามารถกลายเป็นผู้นำทางการตลาดที่ครอบคลุมทุกธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ของคนเขาทำได้อย่างไร ติดตามแนวคิดและเรื่องราวชีวิตของเขาให้ดี รับชมได้เลยตอนนี้ !
ติดตามรายการเปอร์สเปกทิฟ ได้ทุกคืนวันอาทิตย์ เวลา 22.00 น. ทางช่อง 9 MCOT HD และ Facebook Premiere PerspectiveTV
This week on PERSPECTIVE, meet Adisak Sukumvitaya, the Chief Executive Officer of Jay Mart Public Company Limited. A company he invested 2 million baht in and is now worth a hundred billion baht.
Hear stories about his life path on how he started his business by selling electrical appliances in a small store. He has expanded it into a mobile phone and electrical appliances retail and wholesale distribution company under Jay Mart Public Company Limited, which we have all seen in department stores across the country. Follow the success story of how he rapidly grew Jay Mart. Hear out the business vision that led him to become a marketing leader in lifestyle businesses.
Tune in to PERSPECTIVE on Sundays at 10 p.m. on 9 MCOT HD and PERSPECTIVETV Facebook Premiere.

ชมรายการทีวีย้อนหลัง รวมถึงคลิปล่าสุดของเรา พร้อมทั้งติดตามข่าวสาร แนะนำ ติชมรายการ และแสดงความคิดเห็น ผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้
Youtube : http://www.youtube.com/JSLGlobalMedia (Official channel)
Entertainment Web : http://www.jslglobalmedia.com
เจาะใจออนไลน์ : http://www.johjaionline.com
Official Web : http://www.jslsquare.com
Facebook : https://www.facebook.com/JSLGlobalMedia
Twitter : https://www.twitter.com/jslglobalmedia
Line : @JSLGlobalMedia
Copyright©2021 JSL Global Media Company Limited
บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด
154 ลาดพร้าว ซอย 107 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240
154 Ladprao Road (Soi 107) Klongjan, Bangkapi, Bangkok 10240 Thailand
Tel: 66 2731 0630
FAX: 66 2377 0691, 66 2375 9033
EMail: [email protected] / [email protected]

อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ผู้สร้างอาณาจักรแสนล้านของ Jay Mart Group | Perspective [14 พ.ย. 64]

พ่อของฉันเป็นมหาเศรษฐี… จนกระทั่งฉันทำลายอาชีพของเขา


เนื่องจากความผิดพลาดบางอย่าง \”ลีอาน่า\” ต้องแชร์บังกะโลของเธอกับคนแปลกหน้าในช่วงวันหยุดที่บาหลี โดยไม่คาดคิด ผู้ชายคนนี้ \”ชาร์ลส์\” เป็นสายลับ ดังนั้นลีอาน่าจึงถูกตามทันในกรณีที่เขากำลังสืบสวนอยู่ แต่ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือ พ่อของลีอาน่าก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ทั้งสองจะต้องเผชิญกับอันตรายอะไร? มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆเหรอ?
สายลับ การวางแผน เรื่องจริง
ช่องนี้สร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำวิดีโอที่น่าสนใจซึ่งจัดทำโดยทีมงานของเราเข้าใกล้ชุมชนที่พูดภาษาไทยมากขึ้น
เนื้อหาทั้งหมดใน \”เรื่องเล่าของเรา\” ดัดแปลงมาจากช่องภาษาอังกฤษของเรา \”Short Stories\”
ช่องภาษาอังกฤษ: https://www.youtube.com/channel/UC3OyO1Ry7puJ7UIUjEvKj7Q

พ่อของฉันเป็นมหาเศรษฐี… จนกระทั่งฉันทำลายอาชีพของเขา

พนักงานเงินล้าน ขยันทำงานหรือขยันทำเงิน หนังสั้น


พนักงานเงินล้าน ขยันทำงานหรือขยันทำเงิน
ทำยังไงให้ได้เงินเดือนละล้านขนาดนี้
เงินเดือนล้าน โกงบริษัท ponyhouse
กดติดตามคลิปใหม่ของพวกเรา มาใหม่ทุกเสาร์ อาทิตย์ ค่ะ\r
https://bit.ly/2Jyzhcl\r
\r
ติดต่องานสปอนเซอร์ ผลิตวีดีโอโฆษณา\r
[email protected]\r
\r
MyponyFilm Ponykids พี่โพนี่

พนักงานเงินล้าน ขยันทำงานหรือขยันทำเงิน หนังสั้น

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ คุณจะทําอะไรให้บริษัท

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *