Skip to content
Home » [Update] 10 อันดับวัดที่ใหญ่ที่สุดในโลก (วัดในพระพุทธศาสนา) | เมืองที่มีคลองมากที่สุดในโลก – NATAVIGUIDES

[Update] 10 อันดับวัดที่ใหญ่ที่สุดในโลก (วัดในพระพุทธศาสนา) | เมืองที่มีคลองมากที่สุดในโลก – NATAVIGUIDES

เมืองที่มีคลองมากที่สุดในโลก: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

Share this…

Share on LinkedIn

Linkedin

https://youtu.be/yHQQ3SJkJRY

10 อันดับวัดที่ใหญ่ที่สุดในโลก (วัดในพระพุทธศาสนา)

10 อันดับวัดที่ใหญ่ที่สุดในโลก  วันนี้ผมได้ค้นหาข้อมูลถึงความใหญ่โตของวัดในศาสนาพุทธ ที่ติดอันดับโลกเพราะอยากจะรู้ว่าในประเทศไทยจะติดอันดับกับเขาด้วยหรือเปล่า และก็ได้รู้ว่าวัดในประเทศไทยติดท็อป 10 กับเขาด้วย

พุทธศาสนาเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม หรือศาสนาที่ไม่มีพระผู้เป็นเจ้า แต่หลักคำสอนได้สอนให้แสวงหาการหลุดพ้น ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ศาสนาพุทธเป็นศาสนาหนึ่งที่ได้รับกับนับถือจากผู้คนเป็นจำนวนมาก รองจากศาสนาคริสต์, อิสลาม และฮินดู และปัจจุบันก็ได้เจริญมากในประเทศแถบภูมิภาคเอเชีย เราจึงมักได้พบกับสถาปัตยกรรมอันสวยงามและยิ่งใหญ่ของวัดวาอารามมากมายในภูมิภาคเอเชียนี้ จากข้อมูลทั่วโลกจะมีวัดในศาสนาพุทธโดยประมาณ 500 ล้านวัดขึ้นไป

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดในศาสนาพุทธที่มีความยิ่งใหญ่และขนาดใหญ่ที่สุดในโลก 10 อันดับในปัจจุบัน ซึ่งถูกบันทึกในกินเนสบุ๊ค เวิลด์ เรคคอร์ด มาดูกันว่าวัดในประเทศไทยจะติดอันดับความใหญ่โตระดับโลกกันบ้างมั้ย ดังนี้เลยครับ

อันดับที่ 10 วัดแฮอินซา (Haeinsa Temple) ประเทศเกาหลีใต้

วัดแฮอินซาเป็นวัดในศาสนาพุทธ นิกายมหายาน ตั้งอยู่ในประเทศเกาหลีใต้ เป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในเกาหลีใต้ อยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติคายาซาน วัดแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยชิลลาเมื่อ พ.ศ. 1346 ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าแอจังโดยพระภิกษุ 2 รูปที่เดินทางกลับมาจากจีน วัดแห่งนี้ได้ถูกไฟไหม้ในปี พ.ศ. 2360 และได้รับการบูรณะใหม่ ในปี พ.ศ. 2361 ความสำคัญของวัดนี้คือ มีพระไตรปิฎก ฉบับเกาหลีที่ถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ พระไตรปิฎกฉบับนี้ถูกแกะสลักไว้บนแม่พิมพ์ไม้ 81,350 ชิ้น ซึ่งแผ่นไม้ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1794 เพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้าให้คุ้มครองประชาชนในช่วงสงครามกับมองโกเลียที่ได้เข้ามารุกราน

ในปี พ.ศ. 2538 องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้วัดแฮอินซา ซึ่งเป็นสถานที่เก็บพระไตรปิฎกฉบับเก็บสลักไม้ ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 19 ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี

   อันดับที่ 9 วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ประเทศไทย

คำเรียกสั้นๆ เราจะเรียกกันว่า วัดอรุณ หรือในภาษาพูดจะเรียกว่า วัดแจ้ง วัดจะตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา จุดเด่นของวัดอรุณนั้นจะเห็นยอดพระปรางค์ ที่สูงเด่นเป็นสง่า และถือได้ว่าวัดอรุณเป็นวัดที่มีพระปรางค์สูงที่สุดในประเทศไทย
วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมเรียกว่า “วัดมะกอก” ตามชื่อตำบลบางมะกอกซึ่งเป็นตำบลที่ตั้งขอวัด ซึ่งในภายหลังเปลี่ยนเป็น “วัดมะกอกนอก” เพราะมีวัดสร้างขึ้นใหม่ในตำบลเดียวกันแต่ อยู่ลึกเข้าไปในคลองบางกอกใหญ่ชื่อ “วัดมะกอกใน”
ที่มาของชื่อวัดแจ้ง หรือวัดอรุณ นั้นเนื่องมาจาก ใน พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีพระราชประสงค์จะย้ายราชธานีมาตั้ง ณ กรุงธนบุรีจึงเสด็จกรีฑาทัพล่องลงมาทางชลมารคถึงหน้าวัดมะกอกนอกนี้เมื่อเวลารุ่งอรุณพอดี จึงทรงเปลี่ยนชื่อวัดมะกอกนอกเป็น “วัดแจ้ง” เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งนิมิตที่ได้เสด็จมาถึงวัด นี้เมื่อเวลาอรุณรุ่ง

   อันดับที่ 8 พระธาตุหลวง (Pha That Luang) ประเทศลาว

พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของลาว เป็นพระธาตุที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนหัวเหน่า 27 องค์ ตั้งอยู่กลางกรุงเวียงจันทน์ รูปแบบสถาปัตยกรรมเหมือนกับพระธาตุพนม และสร้างขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน

พระธาตุหลวง นับเป็นปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งแห่งเวียงจันทน์ และเป็นศูนย์รวมใจของประชาชนชาวลาวทั่วประเทศและผู้ที่นับถือศาสนาพุทธโดยทั่วไป ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่าพระธาตุหลวงมีประวัติการก่อสร้างนับพันปีเช่นเดียวกันพระธาตุพนมในประเทศไทย และปรากฏความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของดินแดนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง สถานที่นี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างของประเทศลาว ดังปรากฏว่าตราแผ่นดินของลาวที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีรูปพระธาตุหลวงเป็น ภาพประธานในดวงตรา

นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปลาวจึงไม่พลาดที่จะไปนมัสการและชมความสวยงามของพระธาตุหลวงแห่งนี้ครับ

   อันดับที่ 7 วัดโจคัง (Jokhang Temple) เขตปกครองตนเองทิเบต

วัดโจคัง ตั้งอยู่ใจกลางของนครลาซา วัดโจคังเป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของทิเบต สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1190 โดย Songtsen Gampo ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 1,300 ปี ผู้เข้าชมจะได้พบกับประติมากรรมอันสวยงามแปลกตา และในทุกๆปีจะมีเทศกาลสวดมนต์ครั้งใหญ่จัดขึ้นที่นี่ วัดแห่งนี้ถูกเรียกว่าอีกชื่อหนึ่งว่า ‘House of Wisdom’ หรือบ้านของภูมิปัญญา และเป็นที่รู้จักอีกในชื่อ ‘House of the Lord’ ซึ่งหมายความว่าบ้านของจักรพรรค
วัดโจคังยังเป็นศูนย์กลางสำหรับการแสวงบุญที่สำคัญของชาวพุทธมานานหลายศตวรรษ ซึ่งถูกขับไล่หลายครั้งโดยชาวมองโกเลีย แต่สถานที่แห่งนี้ยังคงอยู่รอดมาได้ในหลายศตวรรษที่ผ่านมา วัดนี้บริเวณกว้างและครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 25,000 ตารางเมตร และมีเสาจารึกซึ่งสร้างขึ้นโดยจีนในปี พ.ศ. 2336 ในช่วงที่ไข้ทรพิษระบาดหนักว่า “จีนและทิเบตได้ให้สัญญาและเคารพซึ่งกันและกัน รวมทั้งให้คำแนะนำเกี่ยวกับมาตรการสุขอนามัยเพื่อป้องกันไข้ทรพิษ”

ชาวทิเบตส่วนใหญ่ยกให้วัดโจคังแห่งนี้เป็นวัดที่มีความศักดิ์สิทธิ์และ ความสำคัญที่สุดในทิเบต และยูเนสโก้ยังยกย่องวัดแห่งนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘กลุ่มโบราณสถานพระราชวังโปตาลา’ มรดกโลก

จุดเด่นสำคัญของวัดนี้คือบนหลังคาวัด มีรูปปั้นสัญลักษณ์ของพระธรรมจักรกัปวัตนสูตร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปฐมเทศนาของพระพุทธองค์ เป็นรูปธรรมจักรและกวาง 2 ตัวนอนหมอบหันหน้าเข้าหาธรรมจักร ทั้งธรรมจักรและกวาง หุ้มด้วยทองคำแท้ ส่วนหลังคาวัดโจคังก็ประดับด้วยทองคำ

   อันดับที่ 6 วัดโทไดจิ (Todaiji temple) ประเทศญี่ปุ่น

วัดโทไดจิ หรือที่เรียกกันติดปากว่า วัดพระพุทธรูปไดบุตสึเมืองนะระ เป็นวัดในศาสนาพุทธที่เมืองนะระ ประเทศญี่ปุ่น จุดเด่นสำคัญคือหอไดบุตสึ (Daibutsuden/ Big Buddha Hall) หรือ “วิหารหลวงพ่อโต” วิหารไม้ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุตสึหล่อสำริดขนาดใหญ่สูง 14.98 เมตร น้ำหนักราว 500 ตัน หล่อโดยช่างสมัยเท็มเปียว (729-764) และเป็นต้นแบบของพระไดบุตสึวัดโคโตกุในเมืองคามาคุระ นอกจากนี้ วัดนี้ยังเป็นศูนย์กลางของโรงเรียนศาสนาในสายเคงอนอีกด้วย วัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในทะเบียนเดียวกับวัด ศาลเจ้า และสถานที่สำคัญอื่นๆอีก 7 แห่งในเมืองนะระ

วัดโทไดจิ สร้างเสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ. 1294 ต่อมาใน พ.ศ. 1295 ได้มีการจัดพิธีเบิกพระเนตรเพื่อฉลองพระพุทธรูปองค์ใหม่ โดยมีพระภิกษุชาวอินเดียชื่อว่าพระโพธิเสนะ เป็นผู้ประกอบพิธี ตามบันทึกมีผู้มาร่วมพิธีราว 10,000 คน หลังจากนั้นจักรพรรดิโชมุได้ทรงประกาศให้วัดโทไดเป็นวัดประจำจังหวัดยะมะโตะ และเป็นศูนย์กลางของวัดทั่วอาณาจักร
การสร้างวัดโทไดจิ มีวัตถุประสงค์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงบุญญาธิการขององค์จักรพรรดิญี่ปุ่นและเพื่อคุ้มครองชาวเมือง ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติเนื่องจากจักรพรรดิทรงมีความเชื่อว่าพระพุทธรูปจะช่วย ปกป้องคุ้มครองชาวเมืองให้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งภัยธรรมชาติและโรคระบาดได้

   อันดับที่ 5 มหาเจดีย์โพธินาถ หรือ พุทธนาถ (Boudhanath) ประเทศเนปาล

เป็นสถูปที่ตั้งอยู่ห่างจากกรุง กาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันออกประมาณ 8 กิโลเมตร โดยมีเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล บนเจดีย์มีดวงตาเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า (Wisdom Eyes) ทั้งสี่ทิศ บริเวณวัดเป็นแหล่งชุมชนของชาวพุทธมหายานจากทิเบตที่อพยพเข้ามาในปี พ.ศ. 2502 จึงจะเห็นพระทิเบตและคนทั่วไปยืนแกว่งล้อมนต์พร้อมกับสวดมนต์อยู่ทั่วไป องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนสถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2522
มหาเจดีย์โพธินาถ : หมายถึง “พระพทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่ง” โดยเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล (สูง 38 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 32 เมตร) ชาวทิเบตเรียกกันในชื่อ “จารุง กาโซว์ โชร์เตน (Jarung Kashor Chorten)”

องค์เจดีย์ มีฐานทรงดอกบัวตูม มีเค้าศิลปะค่อนไปในทางทิเบต เห็นได้ชัดจากรูปแบบการก่อสร้างฐานสถูป ที่อิงคติปริศนาธรรมมัณฑลา (Mandala) อันเป็นรูปธรรมนิมิตตามคติพุทธศาสนาแบบทิเบต ในความหมาย เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสุตว์ต่างๆในขณะรู้แจ้ง

   อันดับที่ 4 วัดมหาโพธิ ในพุทธคยา (Mahabodhi Temple) ประเทศอินเดีย

วัดมหาโพธิในพุทธคยาเป็นพุทธสถานที่มีความสำคัญที่สุด 1 ใน 4 แห่ง ของชาวพุทธ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของสถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธสังเวชนียสถานที่มีความสำคัญที่สุดของชาวพุทธทั่วโลก

วัดมหาโพธิ ปัจจุบันตั้งอยู่ด้านตะวันตกของแม่น้ำเนรัญชรา ไกลจากฝั่งแม่น้ำประมาณ 350 เมตร (นับจากพระแท่นวัชรอาสน์) พุทธคยามีสัญลักษณ์ที่สำคัญคือองค์เจดีย์สี่เหลี่ยมที่สูงใหญ่ โดยสูงถึง 51 เมตร ฐานวัดโดยรอบได้ 121.29 เมตร ล้อมรอบด้วยโบราณวัตถุ โบราณสถานสำคัญ เช่น ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระแท่นวัชรอาสน์ ที่ประทับตรัสรู้ และอนิมิสสเจดีย์ เป็นต้น ซึ่งนอกจากพุทธสถานโบราณแล้ว บริเวณโดยรอบพุทธคยายังเป็นที่ตั้งของวัดพุทธนานาชาติ รวมทั้งวัดไทยคือ วัดไทยพุทธคยา

สำหรับชาวพุทธ พุทธคยา นับเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญที่สุดของนักแสวงบุญชาวพุทธทั่วโลกที่ ต้องการมาสักการะสังเวชนียสถานสำคัญ 1 ใน 4 แห่งของพระพุทธศาสนา(สถานที่ 4 แห่ง สำคัญ เป็นสถานที่เกิดแห่งการณ์สำคัญของพระพุทธองค์ได้แก่ ประสูติ, ตรัสรู้, ปฐมเทศนา, ปรินิพพาน) โดยในปี พ.ศ. 2545 วัดมหาโพธิ (พุทธคยา) สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม ขององค์การยูเนสโก

   อันดับที่ 3 พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda) ประเทศเมียนมาร์

เจดีย์ชเวดากองพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น

พระเจดีย์มีความสูง 326 ฟุต เส้นรอบวง 1,420 ฟุต สูงกว่าระดับน้ำทะเล 190 ฟุต ประดับด้วยแผ่นทองคำ 4 หมื่นแผ่น รวมน้ำหนักทอง 8 ตัน สำหรับฉัตรซึ่งครอบยอดเจดีย์ ก็มีการซ่อมแซมหรือสร้างขึ้นใหม่มาเป็นระยะๆ ฉัตรเก่าสร้างในสมัยพระเจ้ามิน ดงในปี ค.ศ. 1871 สูง 33 ฟุต เส้นผ่าศูนย์กลาง 18 ฟุต ขณะนี้ก็ยังตั้งไว้ให้ประชาชนได้ชมอยู่ ครั้งล่าสุดได้มีการสร้างฉัตรขึ้นใหม่เมื่อ 8 ปีที่ผ่านมานี้เอง โดยประดับเพชรพลอยรวมถึง 4,351 เม็ดรวม น้ำหนัก 2,000 กะรัต เพชรเม็ดใหญ่ที่สุดบนยอดฉัตรมีฐานกว้าง 2 ฟุต ยาว 1 ฟุต 10 นิ้ว และหนัก 76 กะรัต นอกจากนี้ พระเจดีย์ชเวดากองก็ยังมีวัตถุที่มีคุณค่าทางศาสนา ศิลปะ ประวัติศาสตร์และอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ระฆังที่พระเจ้าสิงคุทรงสร้างไว้ (Singhu)

พระเจ้าสิงคุทรงสร้างไว้เมื่อปีค.ศ. 1778 หล่อด้วยปัญจโลหะ คือทอง เงิน ทองแดง ตะกั่วและสังกะสี สูง 8 ฟุต หนัก 23 ตัน ในปี ค.ศ. 1824 พม่าได้ทำสงครามกับอังกฤษเป็นครั้งแรกและอังกฤษได้ยึดเจดีย์ชเวดากองได้และได้ทำการขนทรัพย์สินกลับไปอังกฤษไปหลายอย่าง และได้ทำการขนย้ายระฆังนี้กลับไปด้วย แต่ระหว่างการเดินทางเรือที่ขนระฆังจมลงที่แม่น้ำย่างกุ้ง ต่อมาพม่าจึงทำการกู้ระฆังใบนี้ด้วยตนเองและนำมาติดตั้งไว้ที่เจดีย์ชเวดา กองได้เช่นเดิม ซึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจของประชาชนพม่าโดยทั่วไปมาจนทุกวันนี้ นอกจากนั้นก็ยังมีพระพุทธรูปสลักจากหยกทั้งก้อน ซึ่งได้มาจากรัฐคะฉิ่นในปีค.ศ. 1999 ในโอกาสที่ได้สร้างฉัตรใหม่ และยังมีต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งได้นำเมล็ดมาปลูกจากพุทธคยาเมื่อ 79 ปีก่อน และของมีค่าอื่น ๆ อีกมากมาย

   อันดับที่ 2 พุกาม (Bagan) ประเทศเมียนมาร์

พุกาม เคยเป็นที่ตั้งอาณาจักรโบราณพุกาม (พ.ศ. 1587 – พ.ศ. 1830) เป็นอาณาจักรแห่งแรกในประวัติศาสตร์พม่า

พุกาม ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ อยู่ห่างประมาณ 90 ไมล์ หรือ 145 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมัณฑะเลย์ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ เขตเมืองเก่า (เขตที่ตั้งอาณาจักรพุกาม) เขตเมืองใหม่ (เขตที่อยู่อาศัยปัจจุบัน) และยองอู (เขตพาณิชยกรรมและเศรษฐกิจ) มีสนามบินชื่อ สนามบินยองอู เป็นสนามบินประจำเมือง รายได้หลักของเมืองคือ การท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ มีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมาเยือนที่นี่เสมอทุกช่วงปี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากแถบเอเชียด้วยกัน

พุกามได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลเจดีย์ หรือ ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์ เพราะในสมัยรุ่งเรืองเคยมีเจดีย์มากมายถึง 4,446 องค์ ปัจจุบันเหลือแค่เพียง 2,217 องค์ เจดีย์แห่งแรกของพุกามคือ เจดีย์ชเวซีโกน สร้างโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพุกาม โดยธรรมเนียมการสร้างเจดีย์ เจดีย์องค์ใหญ่สุดจะเป็นเจดีย์ที่กษัตริย์ทรงสร้าง และองค์ที่มีขนาดเล็กถัดมา เป็นการสร้างโดยเหล่าขุนนาง อำมาตย์ ลดหลั่นลงมาตามบรรดาศักดิ์ นอกจากเจดีย์ชเวซีโกนแล้ว ยังมีเจดีย์สำคัญ ๆ อีกหลายองค์และวัดสำคัญ ๆ อีกเช่น เจดีย์ชเวซันดอ, อานันทวิหาร, เจดีย์ตะเบียงนิว, วัดพะยาตองซู เป็นต้น

   อันดับที่ 1 บุโรพุทโธ (Borobudur) ประเทศอินโดนีเซีย

มหาสถูปบุโรพุทโธ ในภาษาอินโดนีเซียจะออกเสียงว่า บาราบูดูร์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในภาคกลางของเกาะชวา ห่างจากยอกยาการ์ตาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 40 กิโลเมตร สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 1293 – 1393 โดยบุโรพุทโธเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ถ้าไม่นับนครวัดของกัมพูชาซึ่งเป็นทั้งศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาพุทธ บุโรพุทโธจะเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ในปีพ.ศ. 2534 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้บุโรพุทโธเป็นมรดกโลก

บุโรพุทโธสร้างขึ้นโดยกษัตริย์แห่งราชวงศ์ไศเลนทร์ เป็นสถูปแบบมหายาน สันนิษฐานว่าสร้างราวคริสต์ศตวรรษที่ 7-9 หรือ ปี พ.ศ. 1393 ตั้งอยู่ทางภาคกลางของเกาะชวา บนที่ราบเกฑุ ทางฝั่งขวาใกล้กับแม่น้ำโปรโก ห่างจากยอกยาการ์ตา ทางตะวันตกเฉียงเหนือ 40 กิโลเมตร บุโรพุทโธสร้างด้วยหินภูเขาไฟประมาณ 2 ล้านตารางฟุตบนฐานสี่เหลี่ยม กว้างด้านละ 121 เมตร สูง 403 ฟุต เป็นรูปทรงแบบปิรามิด มีลานเป็นชั้นลดหลั่นกัน 8 ชั้น และใน 8 ชั้นนั้น 5 ชั้นล่างเป็นลาน 4 เหลี่ยม 3 ชั้นบนเป็นลานวงกลม และบนลานกลมชั้งสูงสุดมีพระสถูปตั้งสูงขึ้นไปอีก 31.5 เมตร เป็นมหาสถูปที่ระเบียงซ้อนกันเป็นชั้นๆลดหลั่นกันไป การสร้างบุโรพุทโธคาดการณ์ว่าใช้จำนวนก้อนหินกว่า 2 ล้านก้อน บุโรพุทโธได้ถูกทอดทิ้งในศตวรรษที่ 14 ด้วยเหตุผลที่ยังคงยังเป็นปริศนาและซ่อนมานานหลายศตวรรษในป่าที่อยู่ภายใต้ชั้นของเถ้าภูเขาไฟ ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอินโดนีเซีย และได้ถูกจัดอันดับให้เป็นวัดในศาสนาพุทธที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกโดย กินเนสบุ็ค เวิร์ด เรคคอร์ด

   จากอันดับทั้ง 10 ในเรื่องความยิ่งใหญ่ของโลก จะเห็นว่าพลังแห่งความศรัทธานั้นมีมากจริงๆ จึงสามารถที่จะสร้างศาสนสถานได้ใหญ่โตขนาดนี้ ตัวผมเองก็อยากจะมีโอกาสสักครั้งที่จะได้เดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ยิ่งได้ศึกษาข้อมูลมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าสถานที่ต่างๆมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าเรียนรู้อย่างมาก แต่ก็คงจะได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวที่วัดอรุณก่อน เพราะอยู่ในประเทศไทย ถ้าได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศก็อย่าลืมเดินทางไปท่องเที่ยวและนมัสการวัดในพระพุทธศาสนาที่ติดอันดับความยิ่งใหญ่กันด้วยนะครับ จะได้ไม่นึกเสียดายในวันหลัง

จากอันดับทั้ง 10 ในเรื่องความยิ่งใหญ่ของโลก จะเห็นว่าพลังแห่งความศรัทธานั้นมีมากจริงๆ จึงสามารถที่จะสร้างศาสนสถานได้ใหญ่โตขนาดนี้ ตัวผมเองก็อยากจะมีโอกาสสักครั้งที่จะได้เดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ยิ่งได้ศึกษาข้อมูลมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าสถานที่ต่างๆมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าเรียนรู้อย่างมาก แต่ก็คงจะได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวที่วัดอรุณก่อน เพราะอยู่ในประเทศไทย ถ้าได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศก็อย่าลืมเดินทางไปท่องเที่ยวและนมัสการวัดในพระพุทธศาสนาที่ติดอันดับความยิ่งใหญ่กันด้วยนะครับ จะได้ไม่นึกเสียดายในวันหลัง

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ต่างๆดังนี้

http://www.dhammathai.org  http://www.oceansmile.com http://www.vnizetravel.com http://www.about108.com http://www.oknation.net/ http://www.kammatan.com http://www.guinnessworldrecords.com http://www.timetravelturtle.com http://www.top1us.com http://wikipedia.org

ช่องทางการติดตามเรื่องราว ภารกิจเที่ยววัด

ติดตามเรื่องราวผ่าน Facebook เพจได้ที่ www.facebook.com/faith108

หรือติดตามช่อง YouTube Channel ได้ที่ www.youtube.com/FaithThaiStory

ร่วมแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยววัดด้วยกัน ได้ที่ กลุ่มรวมพลคนชอบเที่ยววัด

Share this…

Share on LinkedIn

Linkedin

[Update] กรุงเทพฯ คือเมืองที่คนทำงานหนักที่สุดอันดับ 3 ของโลก | เมืองที่มีคลองมากที่สุดในโลก – NATAVIGUIDES

เคยลองคิดดูเล่น ๆ กันบ้างไหมว่าใน 1 วัน เราหมดเวลาไปกับใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการทำงานวันละกี่ชั่วโมง ทั้งเวลาที่นั่งทำงานจริง ๆ และเวลาที่ใช้ในการเดินทางไปทำงาน รวมถึงเคยลองคิดบ้างไหมว่าเรามีเวลาที่เหลือว่างจากการทำงานวันละกี่ชั่วโมงเพื่อมาใช้ชีวิตของตนเอง

ถ้าหากคุณกำลังรู้สึกเหนื่อยอยู่ตลอดเวลาในการทำงาน (โดยที่ไม่ได้มีปัญหากับเนื้องาน) มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมีข้อมูลสำรวจเรื่องความสมดุลในการทำงานของคนในเมืองใหญ่ทั่วโลก “Cities with the Best Work-Life Balance 2021”

เป็นผลสำรวจของ Kisi บริษัทเทคโนโลยีผู้ให้คำปรึกษาด้านการทำงาน ระบุว่าเมืองที่ผู้คนมีชีวิตการทำงานที่สมดุลที่สุดในโลกคือ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ส่วนกรุงเทพฯ ประเทศไทย อยู่รั้งท้ายตารางในอันดับที่ 49 จากทั้งหมด 50 ประเทศ! ดีกว่าแค่เพียงคนทำงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียเท่านั้นเอง

ผลสำรวจนี้ ได้นำเอาปัจจัยหลายอย่างมาเป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์ เช่น ชั่วโมงการทำงานในแต่ละวัน, จำนวนวันลาขั้นต่ำ, สิทธิในการลาคลอด/เลี้ยงดูลูก, การเข้าถึงระบบสาธารณสุขในเมือง, ผลกระทบและการเยียวยาในช่วงโควิด-19, ความปลอดภัยในเมือง, คุณภาพของอากาศในเมือง

ซึ่งรวมถึงมลพิษ PM 2.5 และ PM 10 ด้วย ฯลฯ แต่จะเน้นดูที่ชั่วโมงการทำงานในแต่ละวัน ผลที่ได้ก็คือ กรุงเทพมหานคร ถือเป็นเมืองที่ประชากรมีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานและชีวิตก็ขาดความสมดุลด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ เมืองแห่ง “Work-Life Balance ยอดแย่” นั่นเอง

 

ส่วนเมืองที่มีการทำงานสมดุลที่สุดในโลกของปี 2021 อยู่ที่ไหนบ้าง

  1. เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ (ได้ 100 คะแนนเต็ม)
  2. ออสโล ประเทศนอร์เวย์ (ได้ 98.6 คะแนน)
  3. ซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (ได้ 91.5 คะแนน)
  4. สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน (ได้ 91.4 คะแนน)
  5. โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก (ได้ 90.4 คะแนน)

 

ในขณะที่หากดูเฉพาะปัจจัยเรื่องชั่วโมงในการทำงาน เมืองที่คนทำงานหนักสุดในโลกของปี 2021 ได้แก่

  • ฮ่องกง เขตปกครองพิเศษของจีน
  • สิงคโปร์ ประเทศสิงคโปร์
  • กรุงเทพฯ ประเทศไทย
  • บัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
  • โซล ประเทศเกาหลีใต้

 

คุณภาพชีวิตของคนทำงานที่ไม่ค่อยดีนัก

ผลสำรวจตามตารางใหญ่ ที่แสดงผลเมืองที่มีสมดุลการทำงานมากที่สุด กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับรั้งท้ายตาราง คือ อันดับที่ 49 จาก 50 เมืองทั่วโลก มีคะแนนรวมชนะเฉือนชนะเพียงเมืองเดียวคือกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (ชนะมาได้เพียง 1.3 คะแนน) และทิ้งห่างจากเมืองอันดับ 1 ของโลกอย่างเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ถึง 48.7 คะแนนเลยทีเดียว และเมื่อมองเรื่องชั่วโมงการทำงาน ก็พบว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีคนทำงานหนักมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของผลสำรวจนี้ (50 ประเทศ) ดังข้อมูลข้างต้น

การที่คนทำงานในกรุงเทพฯ มีชั่วโมงในการทำงานสูงเช่นนี้ ก็แปรผกผันกับประสิทธิภาพในการทำงาน ที่พบว่าหลายคนมีประสิทธิภาพในการทำงานอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ซึ่งอันที่จริงมันก็มีผลถึงกัน หลักง่าย ๆ ก็คือถ้าวันหนึ่ง ๆ คนเราทำงานหนักมากขนาดนั้น ทั้งสภาพร่างกาย สมอง จิตใจ คงไม่สามารถที่จะรับรู้อะไรได้อีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม เกณฑ์ในพิจารณาการทำงานหนักมากเกินไปหรือไม่นั้น พิจารณาจาก ช่วงระยะเวลาในการทำงาน งานวิจัยนี้ใช้มาตรฐาน จากองค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ International Labour Organization (ILO) ที่ระบุว่า ผู้ที่ทำงานตั้งแต่ 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ขึ้นไป (นับวันทำงานอยู่ที่ 6 วัน วันละ 8 ชั่วโมง)

จะถือว่าเป็นคนที่ทำงานหนัก (Overworked) ง่าย ๆ คือทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ เฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งคนทำงานในกรุงเทพฯ หลายคนทำงานมากกว่า 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ บางคนทำงานโดยไม่มีวันหยุดเลยด้วยซ้ำไป!

ซึ่งองค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ International Labour Organization (ILO) ระบุว่า การทำงานที่สมดุลคือการทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง หรือคิดเป็นทำงานวันละ 8 ชั่วโมง และทำงานเพียง 5 วันต่อสัปดาห์เท่านั้น ซึ่งถ้าหากทำงานด้วยชั่วโมงการทำงานที่น้อยกว่านี้ ก็จะส่งผลถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้นั่นเอง

 

ทำงานหนักโดยไม่หาพัก แย่ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต

จากผลการศึกษาที่พบว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีคนทำงานหนักมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยมีค่าเฉลี่ยจำนวนชั่วโมงการทำงานเกินกว่า 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

นั่นก็เท่ากับว่าผู้คนที่ทำงานในกรุงเทพฯ แห่งนี้ ล้วนทำงานหนักเกินกว่าที่คนเราควรจะทำเพื่อรักษาสมดุล เนื่องจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่เป็นตัวกำหนดให้คนกรุงเทพฯ ต้องทำงานให้มากและหนักขึ้น เพื่อแลกกับรายได้ที่มากขึ้น 

เงื่อนไขที่จำเป็นต้องหาเงินให้มาก เพื่อให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตในกรุงเทพฯ ที่มีค่าครองชีพสูง คนจึงต้องทำงานอย่างหนักและไม่ได้รับการพักผ่อนหรือการดูแลสุขภาพที่ดีพอ สำหรับแรงงานหลาย ๆ คน พบว่าการพักก็จะเท่ากับการขาดรายได้

การทำงานที่หนักมากเกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ทำให้หลายคนพักผ่อนน้อยและละเลยเรื่องการดูแลสุขภาพไป ส่วนสุขภาพจิตก็มีความเครียดในระดับสูง ทั้งที่ชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสมของคนเราควรอยู่ที่ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และทำงานสัปดาห์ละไม่เกิน 5 วันเท่านั้น

 

จัดสมดุลของชีวิต ก่อนที่จะสายเกินไป

“งานหนักไม่เคยฆ่าคน” มักเป็นคำพูดที่สื่อถึงการทุ่มเทให้กับการทำงาน แล้วจะได้รับผลตอบแทนที่ดี อย่างไรก็ตามถ้าใครคิดว่างานหนักไม่เคยฆ่าใคร ก็คงต้องคิดใหม่เสียแล้ว เพราะองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เปิดเผยผลการศึกษาว่าในแต่ละปี มีคนที่เสียชีวิตจากการทำงานหนักจำนวนมาก

ดังนั้น ต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่า “งานหนักฆ่าคนได้นั้นมีอยู่จริง” ข้อมูลจากองค์กรอนามัยโลกระบุว่า มีคนที่ตายอันเนื่องมาจากการทำงานหนักปีละเกือบ 8 แสนคน! โดยในปี 2016 มีผู้เสียชีวิตจากการทำงานหนักมากถึง 745,000 คน เพิ่มขึ้นถึง 29 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2000 โดยจำนวนผู้ที่เสียชีวิตจากการทำงานหนักนี้ แบ่งออกเป็นเสียชีวิตจากเส้นเลือดในสมองแตก 398,000 คน และเสียชีวิตจากโรคหัวใจ 347,000 คน

นอกจากนี้ ผลการศึกษานี้ยังได้บอกว่า การทำงาน 55 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์ มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ และความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือดสูงขึ้น 17 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการทำงานจำนวน 35-40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

ถึงอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่าคนที่ทำงานหนักจะมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตทันทีหรือจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้ เพราะผลการศึกษาพบว่าคนที่เสียชีวิตจากการทำงานหนักในช่วงอายุ 60-79 ปีนั้น เป็นคนที่เคยทำงานหนักมากกว่า 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ตั้งแต่ช่วงอายุ 45-74 ปีมาก่อน

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากตายไวหรือตายก่อนที่จะได้ใช้เงินที่พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อหามา อย่าลืมหันมาใส่ใจกับสมดุลของชีวิด รักษาช่วงเวลาการทำงานไม่ให้มากเกินไปจนตัวเองรับไม่ไหว หมั่นดูแลสุขภาพของตนเองทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจเป็นอย่างดี เพื่อที่จะได้มีโอกาสได้มีชีวิตอยู่ต่อเพื่อค้นพบความสุข


สารคดี การเดินเรือข้ามคลองปานามา พากย์ไทย


ฉันสร้างวิดีโอนี้ด้วยโปรแกรมตัดต่อวิดีโอ YouTube (http://www.youtube.com/editor)

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

สารคดี การเดินเรือข้ามคลองปานามา พากย์ไทย

20ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก(ย้ายประเทศกัน!!)


เราทราบดีว่าแผนการเดินทางได้รับผลกระทบในขณะนี้ แต่เพื่อเติมเต็มความเร่าร้อนของคุณเราจะแบ่งปันเรื่องราวที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการผจญภัยครั้งต่อไปของคุณต่อไปประเทศใดในโลกที่ดึงดูดผู้เข้าชมได้มากที่สุด จากการจัดอันดับล่าสุดขององค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติยุโรปมี 12 ประเทศที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุด 20 ประเทศ แต่เอเชียและแปซิฟิกซึ่งมีห้าประเทศในรายชื่อเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุด (คาดว่าจะเห็นประเทศเหล่านี้ไต่อันดับในอนาคต) ดูว่าชาติใดบ้างที่คุณชื่นชอบอยู่ในรายชื่อประเทศนี้หรือไม่?

20ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก(ย้ายประเทศกัน!!)

5 โคตรเรือ ที่ใหญ่ที่สุดในปฐพี !! # Top 5 Biggest Ships Ever Built in History


สนใจลงโฆษณา https://www.facebook.com/SinghahaChannel/
วันนี้ เราจะขอพาทุกคน ไปดู 5 อันดับ เรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก เท่าที่เคยมี ในประวัติศาสตร์ ถ้าพร้อมแล้ว ไปชมกันเลยครับ
5. CMA CGM Alexander von Humboldt
4. Emma Maersk
3. Maersk McKinney Moller
2. Seawise Giant
1. Prelude FLNG

5 โคตรเรือ ที่ใหญ่ที่สุดในปฐพี  !! # Top 5 Biggest Ships Ever Built in History

Inside India Big slum ลุยสลัมที่ใหญ่ที่สุด ในอินเดีย


มุมไบ เมืองที่เป็นสลัม ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง สร้างเมืองที่ยิ่งใหญ่อย่างมุมไบ กลุ่มคนที่ขับเคลื่อน เศรษฐกิจของประเทศอินเดีย

Inside India Big slum ลุยสลัมที่ใหญ่ที่สุด ในอินเดีย

10 อันดับ เมืองที่เจริญมากที่สุดในไทย 2020


10 อันดับ เมืองที่เจริญมากที่สุดในไทย 2020

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ เมืองที่มีคลองมากที่สุดในโลก

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *