[Update] อาณาจักรมอเนอรา (Kingdom Monera) | eubacteria คือ – NATAVIGUIDES

อาณาจักรมอเนอรา 2

ความสำคัญของแบคทีเรีย

1. ทำให้เกิดโรค มีแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกับคน สัตว์ และพืช ตัวอย่างที่เกิดกับคน ได้แก่

                – ปอดบวม (bacterial pneumonia) เกิดจากเชื้อ Diplococcus pneumoniae

                – วัณโรค (tuberculosis) เกิดจากเชื้อ Mycobacterium tuberculosis

                – โรคเรื้อน (leprosy) เกิดจากเชื้อ Mycobaccium leprae

                – บาดทะยัก (tetanus) เกิดจากเชื้อ Clostridium tetani

                – อหิวาตกโรค (cholera) เกิดจากเชื้อ Vibrio cholerae

                – คอตีบ (diphtheria) เกิดจากเชื้อ Corynebacterium diphtheriae

                – ไอกรน (whooping cough) เกิดจากเชื้อ Bordetella pertussis

                – ไทฟอยด์ (typhoid fever) เกิดจากเชื้อ Salmonella typhi

                – บิด (bacillary dysentery) เกิดจากเชื้อ Shigella dysenteriae

                – ซิฟิลิส (Syphilis) เกิดจากเชื้อ Treponema pallidum

                – อาหารเป็นพิษ (bacterial food poisoning) เกิดจากเชื้อ Clostridium botulinum

2. ผลิตยาปฏิชีวนะ

                ยาปฏิชีวนะ หมายถึง สารเคมีที่ใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ โดยได้มาจากจุลินทรีย์ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อยับยั้งหรือทำลายการเจริญของจุลินทรีย์อีกชนิดหนึ่ง ปัจจุบันเราสามารถใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ เช่น คอเจ็บ ปอดบวม วัณโรค หรือโรคอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น

                     – สเตรปโตมัยซิน (streptomycin) ได้จากเชื้อแบคทีเรีย Streptomyces griseus ใช้รักษาวัณโรคโดยใช้ร่วมกับยาอื่น

                     – คลอแรมเฟนิคอล (chloramphenicol) ได้จากเชื้อ Streptomyces venezuelae ใช้ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียและริคเกตเซีย

                     – คานามัยซิน (kanamycin) ได้จากเชื้อ Streptomyces kanamyceticus ใช้ยับยั้งการเจริญของเชื้อวัณโรคโรคติดเชื้อในทางเดินของเชื้อวัณโรคโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะไทฟอยด์และโรคบิด

3. ผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม

                ก. การทำน้ำส้มสายชู (vinegar) เป็นการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี 2 ขั้นตอน คือ การเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นเอทิลแอลกอฮอล์โดยยีสต์ และการเปลี่ยนเอทิลแอลกอฮอล์ให้เป็นน้ำส้มสายชู โดยแบคทีเรีย Acetobacter sp.

                ข. การผลิตวิตามิน เช่น วิตามินบี 12 ถ้าขาดจะทำให้เป็นโรคโลหิตจาง ในสมัยก่อนต้องใช้สารสกัดจากตับเป็นยาช่วยชีวิต ตัวอย่างแบคทีเรียที่สังเคราะห์วิตามิน B12 เช่น Bacillus megaterium, B. subtilis

                ค. การผลิตกรดอะมิโน จุลินทรีย์หลายชนิดสังเคราะห์กรดอะมิโนที่ได้จากสารอาหารต่าง ๆ มากเกินความต้องการ ตัวอย่างกรดอะมิโน ได้แก่ ไลซีน (L-lysine) ซึ่งอาศัยเชื้อ Enterobacter aerogenes และกรดกลูตามิก (L-glutamic acid) ซึ่งอาศัยเชื้อ Micrococcus sp., Arthrobacter sp. ในการผลิต

                ง. การผลิตกรดอินทรีย์ เช่น กรดแลกติก (lactic acid) ใช้คาร์โบไฮเดรตเป็นสารตั้งต้นแล้วนำมาย่อยให้โมเลกุลเล็กลง อาจใช้สารตั้งต้นพวกแป้งข้าวโพด มันฝรั่ง กากน้ำตาลหรือเวย์ (whey) จะต้องใช้แบคทีเรีย Lactobacillus bulgaricus ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นกรดแลกติกได้

4. ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนม (milk product)

                ก. นมหมัก (fermented milk) โดยเดิมเชื้อแบคทีเรียลงในนมเป็นหัวเชื้อหมัก starter จะสร้างกรดแลกติกทำให้นมมีรสเปรี้ยว เช่น โยเกิร์ต (yogurt) ได้แก่ Streptococcus lactis, S. thermophilus,  Lactobacillus bulgaricus

                ข. เนยเหลว (butter) ทำจากไขมันในนม โดยนำนมมาปั้นไขมันจะรวมตัวเป็นเม็ด กรองเอาส่วนที่เป็นน้ำออก นำไขมันมาเติม starter ได้แก่ Streptococcus lactis ร่วมกับ Leuconostoc citrovorum

                ค. เนยแข็ง (cheese) ด้วยการทำให้นมเป็นก้อนโดยเดิมหัวเชื้อ ได้แก่ S. lactis หรือ S. cremoris เติมเอนไซม์เรนนิน ทำให้นมจับเป็นก้อนดีขึ้นและแยกส่วนออก นำไปไล่ความชื้น และใส่เกลือและนำไปบ่มด้วยแบคทีเรียหรือรา

5. ช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์ จุลินทรีย์ช่วยย่อยซากอินทรีย์ให้อยู่ในรูปสารอนินทรีย์ที่พืชนำไปใช้ได้ แบคทีเรียจึงมีความเกี่ยวข้องกับวัฏจักรของสารต่าง ๆ ในธรรมชาติ เช่น วัฏจักรไนโตรเจน วัฏจักรคาร์บอน วัฏจักรซัลเฟอร์

6. มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ จุลินทรีย์บางชนิดช่วยตรึงในโตรเจนในอากาศให้เป็นเกลือไนเตรต ที่พืชนำไปใช้ได้เพื่อการเจริญเติบโต เช่น ไรโซเบียม (Rhizobium) ที่อยู่ที่ปมรากพืชตระกูลถั่ว

7. มีประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าในสาขาวิชาต่าง ๆ เช่น พันธุศาสตร์ ชีวเคมี สรีรวิทยาของเซลล์ เนื่องจากมีช่วงชีวิตสั้นสืบพันธุ์ได้เร็วโดยเฉพาะปัจจุบันศึกษาทางพันธุวิศวกรรมในแบคทีเรียพวก Escherichia coli กันมากเนื่องจากมีพลาสมิดซึ่งเป็น DNA รูปวงแหวนเป็นเกลียวคู่อยู่นอกโครโมโซม ซึ่งสามารถถ่ายทอดไปยังแบคทีเรียตัวอื่นได้

สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (blue green algae) หรือไซยาโนแบคทีเรีย (Cyanobacteria) มีลักษณะสำคัญดังนี้

1. ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียสแบบเดียวกับแบคทีเรียจึงจัดเป็นพวกโพรคาริโอต

2. สังเคราะห์ด้วยแสงได้ เพราะมีคลอโรฟิลล์เอแต่ไม่รวมกันเป็นเม็ดคลอโรพลาสต์ นอกจากนี้ยังมีรงควัตถุอื่น ๆ คือ บีตาคาโรทีน (b-carotene) ไฟโคไซยานิน (phycocyanin) และไฟโคอิริทริน (phycoerythrin) จึงทำให้สาหร่ายมีสีต่าง ๆ เช่น สีเทา เขียว ม่วง น้ำตาล แดง เป็นต้น

3. พบทั้งที่เป็นเซลล์เดี่ยวหรืออยู่เป็นโคโลนี (colony) หรืออยู่ในลักษณะเป็นสาย (filament) จึงมักเรียกรวม ๆ กันว่า ตะไคร่น้ำ ซึ่งจะทำให้บริเวณนั้นลื่นเพราะสายของสาหร่ายมักมีเมือกหุ้ม

4. การสืบพันธุ์ยังเป็นแบบไม่อาศัยเพศ (asexual reproduction) ซึ่งในพวกเซลล์เดียว ๆ จะแบ่งตัวจาก 1 เป็น 2 ไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นโคโลนี เพราะแต่ละเซลล์มีเมือกหุ้มพวกที่เป็นสายสืบพันธุ์โดยการหักออกเป็นท่อน ๆ (fragmentation) บางชนิดสืบพันธุ์โดยการสร้างเซลล์พิเศษ เช่น อะไคนีท (akinete) ซึ่งเป็นสปอร์ที่มีความทนทาน บางชนิดสร้างเซลล์คล้ายซีสต์ ที่เรียกว่า เฮเทอโรซีสต์ (heterocyst) ซึ่งเข้าใจว่ามีหน้าที่ในการตรึงไนโตรเจน

ภาพที่ 1 โครงสร้าง Heterocyst ที่พบในสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน
ที่มา: Reece & et al (2017)

5. อาหารสะสมเป็นพวกแป้งของสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินโดยเฉพาะ (cyanophycean starch) เพราะมีลักษณะคล้ายไกลโคเจน

6. ส่วนใหญ่พบอยู่ในน้ำจืด พบบ้างในน้ำกร่อยหรือน้ำทะเล

ภาพที่ 2 ตัวอย่างสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน
Chroococcales: (a) Chroococcus subnudus, (b) C. limneticus, (c) Cyanothece aeruginosa, 
(d) Snowella litoralis, (e) Microcystis aeruginosa. II. Pleurocapsales: (f) Pleurocapsa minor. 
III. Oscillatoriales: (g) Planktothrix agardhii, (h) Limnothrix redekei, (i) Arthrospira jenneri, 
(j) Johanseninema constricum, (k) Phormidium sp., (l, m) Oscillatoria sp., (n) Schizothrix sp., 
(o) Tolypothrix sp., (p) Katagnymene accurata., IV. Nostocales: (q) Dolichospermum planctonicum, (r) Dolichospermum sp., (s) Nostoc sp., (t) Nodularia moravica. 
V. Stigonematales: (u, v) Stigonema sp. 
Scale bar a–u = 10 lm, v = 20 lm. (Color figure online)
ที่มา: https://www.researchgate.net

           สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินบางชนิด สามารถตรึงแก๊สไนโตรเจนจากอากาศแล้วเปลี่ยนให้เป็นสารประกอบไนโตรเจนได้ ได้แก่ แอนาบีนา (Anabuena) นอสตอก (Nostoc) ปัจจุบันมีการนำสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินบางชนิดมาเพาะเลี้ยงเพื่อผลิตปุ๋ยชีวภาพ บางชนิดมีโปรตีนสูงสามารถสกัดนำมาเป็นอาหารโปรตีน ได้แก่ สไปรูไลนาหรือสาหร่ายเกลียวทอง (Spirulina) มีโปรตีนสูงถึง 55-65% (น้ำหนักแห้ง) ปัจจุบันมีอุตสาหกรรมสกัดโปรตีนจากสาหร่ายชนิดนี้และอัดแห้งทำเป็นเม็ดคล้ายยา หรือใส่เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์อาหารเสริม

           ประโยชน์ของสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินยังเป็นผู้ผลิต (producer) ที่มีความสำคัญมากในห่วงโซ่อาหารของระบบนิเวศ โดยจะเป็นอาหารของสัตว์จำนวนมากอีกด้วย แต่ถ้ามีมากเกินไป (bloom) อาจจะส่งผลทำให้เกิดน้ำเน่าเสียส่งผลกระทบทำให้สิ่งมีชีวิตในน้ำตายได้

แหล่งที่มา

ปรีชา สุวรรณพินิจ และนงลักษณ์ สุวรรณพินิจ. (2556). High School Biology ชีววิทยา ม.4-6 เล่ม 5(รายวิชาเพิ่มเติม). กรุงเทพฯ: ไฮเอ็ดพับลิชชิ่ง.

Reece, Jane B. Urry, Lisa A. Cain, Michael L. Wasserman,Steven A. & Minorsky, Peter V. (2017). Campbell Biology. 11th ed.  New York: Pearson Education.

Species concepts and speciation factors in cyanobacteria, with connection to the problemsof diversity and classification – Scientific Figure on ResearchGate. Available from:

https://www.researchgate.net/figure/llustration-of-morphological-diversity-in-cyanobacteria-Groups-orders-follow-Rippka-et_fig1_273009665 [accessed 16 Nov, 2019]

 

Return to contents

ความแตกต่างหลัก – Archaebacteria กับ Eubacteria

Archaebacteria และ eubacteria เป็นสองอาณาจักรของอาณาจักร: Monera ซึ่งมีจุลินทรีย์โปรคาริโอตที่มีการจัดเรียงตัวน้อยที่สุดบนโลก ทั้ง archaebacteria และ eubacteria เป็นจุลินทรีย์เซลล์เดียวซึ่งมักเรียกว่าโปรคาริโอต ความ แตกต่างที่สำคัญ ระหว่าง archaebacteria และ eubacteria ก็คือ archaebacteria มักจะพบในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง ในขณะที่ eubacteria พบได้ทุกที่บนโลก

บทความนี้ตรวจสอบ

1. Archaebacteria คืออะไร
– ลักษณะการจำแนกประเภทประเภทตัวอย่าง
2. ยูเรียแบคทีเรียคืออะไร
– ลักษณะการจำแนกประเภทประเภทตัวอย่าง
3. ความแตกต่างระหว่าง Archaebacteria และ Eubacteria คืออะไร

Archaebacteria คืออะไร

Archaebacteria เป็นจุลินทรีย์เซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง พวกเขากลายเป็นอาณาจักรแห่งอาณาจักร Monera Archebacteria ได้รับการพิจารณาว่ามีวิวัฒนาการหลังจากชีวิตแรกบนโลก ดังนั้นจึงเรียกว่า แบคทีเรียโบราณ Archaebacteria พบได้ในน้ำพุร้อนทะเลสาบเกลือมหาสมุทรหนองน้ำและดิน พวกเขายังพบในผิวหนังมนุษย์ช่องปากและลำไส้ใหญ่เช่นกัน Archaebacteria มีบทบาทสำคัญในวัฏจักรคาร์บอนและวัฏจักรไนโตรเจน ยังไม่ได้สังเกตเห็นผลกระทบที่ทำให้เกิดโรคหรือปรสิต Archaebacteria มีความหลากหลายทางเมแทบอลิซึมโดยใช้สารตั้งต้นที่หลากหลายเป็นแหล่งพลังงานและคาร์บอน การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของ archaebacteria มีการระบุที่เกิดขึ้นโดยฟิชชันไบนารี, รุ่นและการกระจายตัว

Archaebacterium แต่ละอันมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.1-15 ไมครอน รูปร่างที่แตกต่างกันจะถูกประมวลผลโดย archaebacteria เช่นทรงกลมแท่งจานและเกลียว บางเซลล์มีลักษณะแบนหรือเป็นรูปสี่เหลี่ยม ผนังเซลล์ของ archaebacteria ประกอบด้วย peptudo peptidoglycans ไขมันเมมเบรนของ archaebacteria เป็นอีเทอร์ที่เชื่อมโยงกัน, แยกอะลิฟาติกโซ่, ประกอบด้วย D-glycerol phosphates. ตามโครงสร้างของผนังเซลล์ archaebacteria คล้ายกับแบคทีเรียแกรมบวกมากขึ้น โครโมโซมของ Archaebacterial ประกอบด้วยโครโมโซมแบบวงกลมเดียวซึ่งแสดงการถอดรหัสและการแปลที่คล้ายกับยูคาริโอต

พบสามชนิดของแบคทีเรียที่สำคัญ: methanogens, halophiles และ thermophiles เมทาโนเจน จะพบได้ในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากออกซิเจนเช่นหนองบึงตะกอนทะเลสาบและทางเดินอาหารของสัตว์ทำให้เกิดก๊าซมีเทน Halophiles อาศัยอยู่ในน้ำที่มีความเข้มข้นของเกลือสูง Thermophiles อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมของน้ำร้อนในน้ำพุกรดกำมะถัน Archaebacteria แสดงใน รูปที่ 1

รูปที่ 1: Archaebacteria

Eubacteria คืออะไร

ยูบอลิเซียเป็นอาณาจักรที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นของอาณาจักร Monera พบได้ในที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่บนโลกเช่นดินน้ำและภายในหรือภายนอกสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ เนื่องจากยูบอลิเซียไม่ได้ประกอบด้วยออร์แกเนลล์ที่จับกับเยื่อหุ้มเซลล์ปฏิกิริยาการเผาผลาญอาหารเกือบทั้งหมดจึงเกิดขึ้นในไซโตพลาสซึม ยูคาแบคทีเรียบางชนิดมีส่วนร่วมในวัฏจักรไนโตรเจนเช่นกัน พวกเขายังแสดงให้เห็นทั้งปรสิตและผลกระทบที่ทำให้เกิดโรคที่มีต่อโฮสต์ของพวกเขา นอกเหนือจากวิธีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศปกติ eubacteria แสดงวิธีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเช่นการผันคำกริยา

ยูโบลีเซียมแต่ละอันมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5-5 ไมครอน Eubacteria มีรูปร่างและการจัดเรียงที่หลากหลาย Cocci และ bacilli เป็นรูปร่างที่สำคัญ Vibrio, rods, filaments และ spirochetes เป็นรูปแบบอื่นของยูเรีย เมมเบรนลิปิดของยูโบลิเชียเป็นเอสเทอร์เชื่อมโยงโซ่กรดไขมันตรงประกอบด้วยฟอสเฟต L-glycerol Eubacteria ประกอบด้วยโครโมโซมวงกลมเดียวในพลาสซึมของพลาสซึม

ขึ้นอยู่กับความหนาของผนังเซลล์ eubacteria สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภท: แบคทีเรียแกรมบวกและกรัมลบ ชั้น peptidoglycan ของแบคทีเรียแกรมบวกจับกับคราบกรัมให้ผลลัพธ์ที่เป็นบวก โครงสร้างผนังเซลล์ของแบคทีเรียลบแกรมมีความซับซ้อนมากกว่าผนังเซลล์แบคทีเรียบวกกรัมและไม่สามารถจับกับคราบกรัม Eubacteria แสดงใน รูปที่ 2

รูปที่ 2: Eubacteria

ความแตกต่างระหว่าง Archaebacteria และ Eubacteria

ทางเลือกชื่อ

Archaebacteria: Archaebacteria เรียกว่าแบคทีเรียโบราณ

Eubacteria: Eubacteria เรียกว่าแบคทีเรียจริง

ขนาด

Archaebacteria: แต่ละ archaebacterium มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.1-15 μm

Eubacteria: eubacterium ส่วนบุคคลมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5-5 μm

รูปร่าง

Archaebacteria: Archaebacteria เป็นทรงกลม, แท่ง, จาน, เกลียว, แบนหรือรูปสี่เหลี่ยม

Eubacteria: Eubacteria เป็น cocci, bacilli, vibrio, แท่ง, ไส้หรือ spirochetes ในรูปร่าง

ความซับซ้อน

Archaebacteria: Archaebacteria นั้นเรียบง่ายในองค์กรของพวกเขา

Eubacteria: Eubacteria นั้นซับซ้อนกว่า archaebacteria

ที่อยู่อาศัย

Archaebacteria: Archaebacteria พบได้ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง

Eubacteria: พบ Eubacteria อยู่ทุกที่บนโลก

ผนังเซลล์

Archaebacteria: ผนังเซลล์ประกอบด้วย peptudo peptidoglycans

Eubacteria: ผนังเซลล์ประกอบด้วย peptidoglycans กับกรด muramic

เมมเบรนไขมัน

Archaebacteria: ไขมันเมมเบรนของ archaebacteria นั้นเชื่อมโยงกับอีเธอร์, กิ่งก้าน, อะลิฟาติก, ประกอบด้วย D-glycerol phosphate

Eubacteria: เมมเบรน ลิปิดของยูโบลิเชีย เป็นเอสเทอร์เชื่อมโยงโซ่กรดไขมันตรงประกอบด้วยฟอสเฟต L-glycerol

RNA Polymerase

Archaebacteria: RNA polymerase ของ archaebacteria ประกอบด้วยรูปแบบ subunit ที่ซับซ้อนซึ่งคล้ายกับ eukaryotic RNA polymerase

Eubacteria: RNA polymerase ของ eubacteria ประกอบด้วยรูปแบบ subunit อย่างง่าย

โอน RNA

Archaebacteria: ไม่มีไทมีนอยู่ในแขนTψCของ tRNA ที่มีเมไทโอนีน

Eubacteria: ไทมีนมีอยู่ใน tRNA เกือบทั้งหมดซึ่งมี N-formyl methionine

introns

Archaebacteria: มี introns ใน archaebacteria

Eubacteria: ไม่มีการขาดวิตามินอีในแบคทีเรีย

การเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์

Archaebacteria: วิธีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศเช่นฟิชชันไบนารี, การแตกและการแยกส่วนจะถูกใช้โดย Archaebacteria ในระหว่างการสืบพันธุ์

Eubacteria: นอกเหนือจากฟิชชันแบบทวิภาคการแยกและการแตกตัวของเชื้อยูคาแบคทีเรียมีความสามารถในการสร้างสปอร์เพื่อให้คงอยู่ในสภาพที่ไม่เอื้ออำนวย

Glycolysis / Kreb’s cycle

Archaebacteria: Archaebacteria ไม่แสดง glycolysis หรือวัฏจักรของ Kreb

Eubacteria: Eubacteria มีทั้งวงจร glycolysis และ Kreb

ประเภท

Archaebacteria: Archaebacteria มีสามประเภท: methanogens, halophiles และ thermophiles

Eubacteria: Eubacteria มีสองประเภท: แกรมบวกและแกรมลบ

ตัวอย่าง

Archaebacteria: Halobacterium, Lokiarchaeum, Thermoproteus, Pyrobaculum, Thermoplasma และ Ferroplasma เป็นตัวอย่างของ Archaebacteria

Eubacteria: Mycobacteria, Bacillus, Sporohalobacter, Clostridium และ Anaerobacter เป็นตัวอย่างของ Eubacteria

ข้อสรุป

Archaebacteria, eubacteria และ cyanobacteria นั้นเป็นอาณาจักรสามอาณาจักร Archaebacteria เรียกว่าแบคทีเรียโบราณในขณะที่ Eubacteria เรียกว่าแบคทีเรียจริง Eubacteria มักพบในดินน้ำสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่และสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ Eubacteria แบ่งออกเป็นสองกลุ่มเรียกว่าแบคทีเรียแกรมบวกและกรัมลบ Archaebacteria พบได้ในเกลือน้ำเกลือความลึกมหาสมุทรและน้ำพุร้อน พวกเขามีวิวัฒนาการหลังจากวิวัฒนาการของชีวิตแรกบนโลก พบสามชนิดของเชื้อแบคทีเรีย: เมทาโนเจน, ฮาโลไฟลและเทอร์โมไซโดฟิล ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง archaebacteria และ eubacteria คือที่อยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อม

อ้างอิง:
Esko, Jeffrey D. “ Eubacteria และ Archaea” สิ่งจำเป็นของ Glycobiology ฉบับที่ 2 US Library of Medicine, 1 Jan. 1970. เว็บ. 18 เม.ย. 2560
“ Kingdom Archaebacteria – หกก๊ก” Google Sites Np, nd Web 18 เม.ย. 2560
Eubacteria Np, nd Web 18 เม.ย. 2560 .

เอื้อเฟื้อภาพ:
1. “ Archaea” โดย Kaden11a – งานของตัวเอง (CC BY-SA 4.0) ผ่าน Commons Wikimedia
2. “ EscherichiaColi NIAID” โดย Rocky Mountain Laboratories, NIAID, NIH – NIAID (โดเมนสาธารณะ) ผ่าน Commons Wikimedia