Skip to content
Home » [Update] สัมภาษณ์ : วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล “เพื่อไม่ให้ตัวเองเกลียดโลกไปมากกว่านี้ ผมเลยคิดว่าไปทำอะไรให้โลกดีขึ้นแล้วกัน” | สัมภาษณ์ afs – NATAVIGUIDES

[Update] สัมภาษณ์ : วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล “เพื่อไม่ให้ตัวเองเกลียดโลกไปมากกว่านี้ ผมเลยคิดว่าไปทำอะไรให้โลกดีขึ้นแล้วกัน” | สัมภาษณ์ afs – NATAVIGUIDES

สัมภาษณ์ afs: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

: สัมภาษณ์

วิจิตต์ แซ่เฮ้ง

: ถ่ายภาพ

interview03“ตอนนั้นผมอายุ ๑๗ ปี นั่งกินบะหมี่อยู่ ก็มีแมวมองเดินมาถามว่าสนใจไป cast พิธีกรไหม จนได้เป็นพิธีกรรายการเคเบิลทีวี นายแบบโฆษณา และวีเจรายการเพลง”

“ผมค่อนข้างซีเรียสกับการเรียนมาก ตั้งแต่ทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย ผมก็ตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ให้เสียการเรียนเด็ดขาด เทอมแรกสอบได้เกรดเฉลี่ย ๔.๐๐“

“ผมทำกิจกรรม จนบางคนก็อาจจะมองว่าผมต้องการสร้างภาพหรือเปล่า คือเป็นดาราแล้วก็ยังเป็นนักกิจกรรมด้วย”

วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ ๓ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ทุน AFS ไปอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ๑ ปี วัยรุ่นจำนวนมากรู้จักเขาในฐานะนายแบบ พิธีกร วีเจชื่อดัง และนักเขียนหนุ่มที่มีมุมมองน่าสนใจ

แต่หลายคนทราบดีว่า วรรณสิงห์ หรือ สิงห์ เป็นลูกคนเล็กของบุคคลที่เป็นตำนานของประวัติศาสตร์การเมืองไทยไปแล้ว คือ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล และ จิระนันท์ พิตรปรีชา เขายอมรับว่าเมื่อก่อนเคยรู้สึกถูกสังคมกดดันจากการเป็นลูกของบุคคลที่มีชื่อเสียง

“หลังจากผ่านการหล่อหลอมด้วยกาลเวลามาระยะหนึ่ง ผมก็เรียนรู้ที่จะเพิกเฉยกับสิ่งที่โลกคิดกับผม และหันมาเติมเต็มตัวตนภายในที่เรารู้จักดีกว่า”
สิงห์ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองมาสองสามปีแล้ว เขาตั้งใจจะเก็บเงินไปเรียนต่อต่างประเทศด้วยตนเอง ตอนนี้เขามีรายได้มากกว่ารายจ่ายแต่ละเดือนถึง ๗ เท่า

วันที่ สารคดี นัดสัมภาษณ์ สิงห์กำลังจะเดินทางไปภาคใต้ เพื่อสำรวจพื้นที่เตรียมออกค่ายสึนามิ ค่ายที่เขากับเพื่อน ๆ ตั้งใจไปช่วยเหลือชาวบ้านในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนที่ผ่านมา

สิงห์เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่มีหลายมิติในตัวเอง เขาเป็นคนจริงจังกับชีวิต ความคิดและการใช้ชีวิตหลายอย่างของเขาแตกต่างจากคนรุ่นเดียวกัน จนหลายครั้งสิงห์ยอมรับว่า เขาค่อนข้างโดดเดี่ยว

ลองมาฟังทัศนะของสิงห์ แล้วมาทายดูว่า ลูกไม้จะหล่นไม่ไกลต้นหรือไม่…

ทำไมสิงห์ถึงชอบสวมหมวก

เหตุผลมันก็ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร จริงๆ แล้วคือผมทำงานหนัก นอนดึก ตื่นเช้ามาหัวก็ฟู แล้วก็ต้องออกไปเรียน ไปทำงานเลย ไม่มีเวลาเซ็ตผม ไม่อยากออกไปแบบอุบาทว์ๆ ก็เลยใส่หมวก ใส่มาจนติด กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว วันไหนไม่สวมหมวกออกจากบ้านก็เหมือนมีอะไรขาดไป พ่อผมเขาก็ใส่ทุกวัน

ตอนเด็กได้ข่าวว่าเกเรพอควร

เกเรประสาเด็กๆ ครับ คือเป็นพวกชอบลองโน่นลองนี่ เที่ยวไปเรื่อย โดดเรียน ไปอยู่บ้านเพื่อน หรือว่าดูดบุหรี่ แต่ไม่ได้เกเรแบบยกพวกตีกัน คือแค่ต่อต้านสิ่งที่โดนวางกรอบไว้ โดยไม่ได้คำนึงว่ากรอบใหม่ที่เราควรจะมีมันคืออะไร แค่อยากออกนอกกรอบแต่ไม่มีกรอบของตัวเอง เวลาคนเราพูดถึงเสรีภาพ อิสรภาพ ความเป็นตัวของตัวเอง ถ้าเป็นเด็กที่ไม่รู้อะไรก็จะเข้าใจว่าความแตกต่างอยู่ที่ภายนอก เช่นการแต่งตัว ในช่วงนั้นผมยังเป็นเด็กอยู่ ก็เลยพยายามแต่งตัวประหลาดๆ บ้าง มาโรงเรียนก็แต่งตัวผิดระเบียบบ้าง ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองแตกต่างจากคนอื่น เพื่อให้ unique เป็นตัวของตัวเอง มีอิสระจากกรอบสังคมมากที่สุด แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่ามันไม่ใช่

จะเรียกสิงห์ว่า “เด็กแนว” ได้หรือเปล่า

ไม่ใช่ฮะ ผมค่อนข้างจะเกลียดคำนี้ด้วยซ้ำ ผมมองว่าคนแรกที่เป็นเด็กแนวเขาก็คงต้องการจะแตกต่างจากสังคม โดยใช้วิธีเหมือนกับผมสมัยก่อน คือแตกต่างแค่รูปแบบภายนอกเท่านั้น ก็เลยหาอะไรที่มันประหลาดๆ มาใส่ จนตอนนี้มันกลายเป็นกระแสหนึ่งไปแล้วว่า เด็กแนวต้องเป็นอย่างนี้ ต้องแต่งตัวอย่างนี้ นิยมใช้เสื้อผ้ามือสอง และค่อนข้างจะรกรุงรังหน่อย ตอนนี้ก็อาจจะนิยมขาเดฟ เสื้อตัวเล็กๆ หน่อย หวีผมปาดไปข้างเดียว แต่ภายในไม่มีอะไรแตกต่างเท่าไหร่ เพราะมันเป็นแค่การแต่งตัวเท่านั้น ผมคิดว่าอีกหน่อยเด็กแนวก็จะหายไป แล้วก็จะมีเด็กอื่นขึ้นมา กลายเป็นกระแสใหม่ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ วัยรุ่นก็เป็นอย่างนี้แหละครับ เป็นเศษซากของยุคสมัย พอยุคสมัยเปลี่ยนไป วัยรุ่นก็เปลี่ยน

interview02 สิงห์เคยบอกว่าเด็กสมัยนี้ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง

เด็กบางส่วนเป็นแบบนี้ ผมเองก็เป็นหนึ่งในเด็กพวกนั้นเหมือนกัน บางครั้งผมก็รู้สึกไม่พอใจกับยุคสมัยของตัวเอง ตรงที่ว่ามันมีอะไรปรนเปรอมากเกินไป มีสิ่งซึ่งกระตุ้นความอยากอยู่ตลอดเวลา จนคนบางกลุ่มในยุคสมัยของผมไม่สามารถตื่นจากฝัน ตื่นจากโลกที่ทำให้เราอยากจะมีเงินจับจ่ายอย่างนี้ไปตลอด เพื่อที่จะหันมามองว่ามันยังมีอะไรมากกว่านั้นในชีวิต นั่นคือสิ่งที่ผมไม่พอใจกับยุคสมัยของตัวเอง บางครั้งผมเคยคิดเปรียบเทียบยุคของตัวเองกับยุค ๑๔ ตุลา แต่พอมาคิดอีกทีก็รู้ว่าไม่ควร เพราะยุคสมัยเปลี่ยน อะไรก็เปลี่ยน

ผมอาจจะมีความเป็นตัวของตัวเองเพราะผมเป็นคนอีโก้จัด ผมก็เลยไม่ยินดีจะตามใคร มันทำให้ผมไม่ยึดติดกับคนอื่นด้วย ทั้งในแง่ความคิดและความรู้สึก ผมไม่ค่อยรับผิดชอบกับความรู้สึกของคนอื่นเท่าไหร่ ถ้าผมใส่ใจกับความคิดความรู้สึกของคนอื่นมากไป ผมก็จะรู้สึกแย่กับตัวเอง เพราะพอผมฟังที่เขาพูด ความคิดผมมันก็อาจเอนเอียงไปจากเดิม แต่การที่เป็นอย่างนี้ ท้ายสุดมันก็อาจทำให้เรากลายเป็นคนเย็นชาไปเลย เพราะใครพูดอะไรก็ไม่ค่อยสนใจ เรียกว่าถ้าใครพูดอะไรมาประโยคแรกแล้วผมคิดว่ามันไม่ฉลาดเท่าไหร่ ผมก็ไม่ฟังแล้ว เว้นแต่ว่าพอพูดมาแล้วมันสะกิดใจผม โอเค ฟังเลย แต่นั่นคือเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้บางครั้งก็อยากเบรกตัวเองเหมือนกันว่าให้ฟังเขาก่อน เพียงแต่ด้านหนึ่งผมก็เป็นคนใจร้อนมากๆ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้น

ไม่คิดจะเถียงแทนวัยรุ่นบ้างเหรอที่มักถูกกล่าวหาว่าทำตัวไร้สาระ

ผมไม่อยากพูดแทนใคร เพราะเขาก็มีวิถีชีวิตของเขาอย่างนั้น แต่อยากบอกคนเหล่านี้ว่า โดนด่าอยู่ทุกวันว่าวัยรุ่นทำตัวไร้สาระ ไม่โกรธบ้างเหรอ มาทำตัวให้เขาไม่ด่ากันเถอะ ส่วนคนที่ชอบด่าวัยรุ่น ผมก็อยากบอกเขาว่าอย่าเหมารวมว่าทุกคนไร้สาระ อย่าฟันธงว่ามีด้านเดียว และที่จริงการที่เด็กเป็นอย่างนี้ ส่วนมากมันก็มาจากผู้ใหญ่ทั้งนั้น มันอาจเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมก็ได้ ที่เด็กก็ต้องเป็นอย่างนั้นไป และผู้ใหญ่ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เพื่อให้มันมีพลังสองด้านแล้วก็หาจุดสมดุล เด็กควรโดนด่าบ้างเพื่อให้มันไม่เกินไป ขณะเดียวกันเด็กก็ควรไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่บ้าง เพื่อไม่ให้ผู้ใหญ่ควบคุมความคิดเด็กมากเกินไป

สิงห์ต่อต้านที่เด็กสมัยนี้เห่อดารา-นักร้องญี่ปุ่น เกาหลี หรือไม่

ถามว่าเห่อเพราะอะไร เพราะผู้ใหญ่เอามาให้ดู ผมเคยเห็นเด็กวัยรุ่นมายืนรอ ๘ ชั่วโมงเพื่อจะพบดาราที่มาเยือนเมืองไทย จากนั้นก็ร้องไห้เมื่อเขามาถึง ผู้ใหญ่ทำอะไรกับสมองของเด็กพวกนี้ ตัวผมเองก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันเพราะผมก็ทำรายการเพลง มีส่วนชักจูงอยู่หน่อยๆ ผมไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่เป็นอยู่ รู้สึกผิดอยู่ทุกวัน อยากเลิกทำเหมือนกัน แต่ก็ยังเลิกไม่ได้จริงๆ ถ้ามีคนด่าผมเรื่องนี้ผมก็คงยอมรับว่า เออใช่ ขอโทษว่ะ เพราะผมไม่สามารถแก้ตัวได้เลย

ผู้ใหญ่ทุกวันนี้ทำอย่างเดียว คือสร้างผลกำไรสูงสุด ผมไปเดินแถวสยาม เคยเจอกับวัยรุ่นหญิงประมาณ ม. ต้นกลุ่มหนึ่งที่เซ็นเตอร์พอยต์ เขายืนดักรออยู่แล้วก็ถามผม…พี่…ใช้วันทูคอลมั้ย…ผมก็ เออใช้ ทำไมเหรอครับ เด็กพวกนี้ก็ลากผมไปเพื่อเอาโทรศัพท์วันทูคอลโชว์ให้ที่ร้านดูเพื่อเล่นเกมแลกตั๋วคอนเสิร์ตของดาราญี่ปุ่นสักคน ซึ่งหมายเลขเดียวก็เล่นได้ครั้งเดียว ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้เลย เด็กพวกนี้เลยนั่งดักรอคนทั้งวันเพื่อให้มาเล่นเกมพวกนี้ วันทูคอลใช้สโลแกนว่า ฟรีดอม–อิสรภาพ ผมอยากถามว่าเนี่ยเหรอครับอิสรภาพ คุณทำให้เด็กกลุ่มหนึ่งต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ ล่ามคอพวกเขาไว้ ทุกวันนี้รอบตัวเรามีแต่โฆษณา มันมากเกินไป แล้วคนที่อยู่กับสื่อมากที่สุดคือเด็ก คนที่กุมกำลังซื้อมากที่สุดคือเด็ก เพราะงั้นสื่อก็เลยพุ่งเป้าไปที่เด็กเหล่านี้

ทำไมชอบเรียนเศรษฐศาสตร์

ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าจะชอบหรือเปล่านะ แต่พอได้ลองแล้วมันก็เป็นอะไรที่เป็นเหตุเป็นผลดี เหมาะกับคนที่มีพลังทางตรรกะสูง คนรอบข้างมักจะบ่นว่าทำไมเศรษฐศาสตร์ถึงยากอย่างนี้ แต่สำหรับผมมันเป็นวิชาที่ง่ายที่สุดในบรรดาที่เรียนอยู่ทั้งหมด ผมรู้สึกว่ามันน่าสนใจที่สุดแล้ว ผมรักที่จะเรียนมันมากที่สุด มันก็เลยกลายเป็นว่าง่ายที่สุดไป เพราะผมตั้งใจเรียนโดยไม่ต้องให้ใครมาบังคับ

คณะเศรษฐศาสตร์ที่เรียนเป็นโครงการพิเศษที่ไม่ต้องสอบเอนทรานซ์ใช่ไหม

ใช่ครับ เพราะว่าที่บ้านค่อนข้างต่อต้านระบบเอนทรานซ์ ถือว่าการเรียนในโรงเรียนมาถึง ๑๒ ปี เพื่อการสอบเพียงครั้งเดียวมันฟังดูงี่เง่าชอบกล ตอนนั้นผมจึงไม่กะเอนฯ อยู่แล้วครับ และถึงผมไปเอนฯ มันก็ไม่ติดชัวร์ๆ อยู่แล้ว เพราะผมไม่เคยไปกวดวิชา ไม่เคยตั้งหน้าตั้งตาติว จำข้อสอบว่าปีนี้ออกอย่างนั้น ปีนั้นออกอย่างนี้ ผมถือว่าไร้สาระแล้วก็เสียเวลา ผมมองว่าวัยเด็กเป็นวัยที่เหมาะกับการแสวงหาอย่างอื่นมากกว่า ทั้งความสนุกและตัวตนของตัวเอง ผมพยายามหาทุนไปเรียนต่อเมืองนอก แต่ไม่ได้ เลยตัดสินใจเข้าเศรษฐศาสตร์อินเตอร์ เรียนที่นี่แล้วไปเรียนต่อเมืองนอกได้ง่าย เพราะที่นี่มีชื่อเสียงพอใช้ได้ในระดับนานาชาติ

อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ตอนแรกอยากจะเปลี่ยนบ้านเปลี่ยนเมือง เลยคิดว่าไม่เศรษฐศาสตร์ก็รัฐศาสตร์ แต่ในเมื่อพ่อเรียนรัฐศาสตร์แล้ว ผมก็คิดง่ายๆ ว่าเศรษฐศาสตร์แล้วกัน ที่จริงเดินตามรอยเท้าพ่อก็โอเค ด้านหนึ่งมันก็ดี แต่ว่าถ้าตามเป๊ะ ๆ ผมอาจจะไม่เป็นตัวของตัวเองก็ได้

interview01 สิงห์ไม่เคยหนีเรียนเลย

น้อยมากๆ เลย ผมค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องนี้ ตั้งแต่ทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย ผมก็ตั้งปณิธานไว้แล้วว่าจะไม่ให้เสียการเรียนเด็ดขาด เท่าที่ผมเห็น คนที่เป็นนักกิจกรรมก็จะทุ่มไปด้านนั้นเลย ส่วนคนที่เรียนก็จะไม่ทำอะไรเลย ผมทำทั้งสองอย่าง แต่ยังไงการเรียนก็เต็มร้อยตลอด เทอมแรกเข้ามาสอบได้ ๔.๐๐ ก็ดีใจสุดๆ หลังจากนั้นก็ตกนิดหน่อย จนเทอมล่าสุดก็ดีขึ้นมา เป็น ๓.๙๒ เคยมีคนถามว่าจะเอาเกรดไปทำไมเยอะ บ้าหรือเปล่า ผมก็…อ้าว มึงเรียนทั้งที ทำไมไม่ทำให้ดีที่สุด ผมก็แค่อยากทำให้ดีที่สุดและจะขอทุนต่อโทได้ง่ายด้วยถ้าเกรดดีๆ ซีเรียสมากครับเรื่องเรียน แต่ว่าสุขภาพเนี่ยแย่ เหมือนคนแก่เลยฮะตอนนี้ นอนก็น้อย กินอะไรบ้างก็ไม่รู้ ปรกติก็นอนตีสอง แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าเรียนกี่โมงก็ตื่นก่อน ๒ ชั่วโมง กลับบ้านก็ทำการบ้าน อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ บางครั้งผมก็ไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เพราะผมทำรายการข่าว ก็ต้องหาข้อมูลตลอดเวลาว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เดี๋ยวพูดไปผิดๆ จะแย่ แต่ผมเองไม่ค่อยสื่อสารกับผู้คนในเน็ต เพราะว่าอีเมลแอดเดรสผมหลุดไปอยู่ในสื่ออะไรสักอย่าง ทำให้มีคนที่ไม่รู้จักส่งอีเมลมาถึงผมมาก แล้วผมก็ไม่อยากคุยกับพวกเขาเท่าไหร่ เพราะคุยไม่รู้เรื่อง พอไม่คุยด้วยก็แบบ…ทำไม ดังแล้วหยิ่งเหรอ แล้วยิ่งอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อที่ตีหัวพ่อ ด่าล้ออะไรแล้ววิ่งหนีไปก็ได้ มันเป็นเรื่องความอ่อนแอทางตัวตนของคนซึ่งไม่อยากจะรับผิดชอบในสิ่งใดๆ ที่ตัวเองทำลงไป อย่างพ่อผมก็เคยโดนด่าว่าเป็นพวกกุ๊ยจบปริญญาเอก มาด่าแล้วก็วิ่งหนีไป

เรียนมา ๒ ปี เศรษฐศาสตร์ให้อะไรกับเราบ้าง

ให้ระบบความคิดซึ่งค่อนข้างเป็นเหตุเป็นผลนะครับ เขาสอนว่าถ้ามีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นในสังคม จะมีอะไรเกิดขึ้นตามมาเป็นลูกโซ่ จริง ๆ แล้วเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของเงินอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความพึงพอใจของบุคคลทั้งโดยรวมและปัจเจกบุคคล ผมเองตั้งแต่เรียนมาก็สามารถจัดระเบียบความคิด อ่านข่าวแล้วเข้าใจโน่นเข้าใจนี่ได้มากขึ้น เศรษฐศาสตร์เป็นเครื่องมือที่ผมสามารถนำไปใช้ในสิ่งที่อยากทำในอนาคต คือ ด้านการพัฒนาสังคม และอย่างที่บอก สนุกด้วยที่ได้เรียน

สิงห์อยากจะใช้ความรู้มาช่วยสังคม

ผมหวังไว้อย่างนั้นนะครับ แต่ว่าก็มีคนพูดยัดใส่หูผมตลอดเวลาว่า โตไปอุดมการณ์ก็หายไปเอง ซึ่งโอเค ผมก็พยายามเข้าสู่ความเป็นจริงมากที่สุดแล้ว ทุกวันนี้ทำงานเป็นพิธีกรซึ่งได้เงินพอสมควร ถึงจะไม่ได้ชอบแต่ก็รู้ว่าต้องทำงานหาเงินไปด้วย ขณะเดียวกันผมก็ไม่ทิ้งสิ่งที่ตัวเองรักที่จะทำ ตอนนี้ผมสามารถพาเพื่อนมาร่วมทำหลายๆ อย่างให้สังคมได้โดยไม่มีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง แต่ว่าพอโตขึ้น ใครจะมาร่วมกับผมบ้างมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผู้ใหญ่มักจะบอกว่า ต่อไปก็ต้องมีครอบครัว ต้องคิดว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัวยังไง เพื่อน ๆ เขาก็อาจต้องไปเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงตัวเองก่อน อย่างตอนนี้ผมกับพรรคพวกกำลังทำค่ายสึนามิช่วยชาวบ้านอยู่ แต่ผมก็รู้ดีว่า พอโตขึ้นคนเหล่านี้อาจไม่ได้มาช่วยผมแล้ว เพราะเขาก็คงมีแผนการอื่นในชีวิตเขา โตขึ้นไปเขาอาจจะเป็นอีกอย่าง ผมเคยมีเพื่อนสนิทเรียนมัธยมมาด้วยกันคนหนึ่ง คุยกันรู้เรื่องมาก แล้วก็สัญญาว่าโตขึ้นไปจะทำงานเพื่อสังคมเพื่อประชาชนด้วยกัน แต่พอขึ้นมาปีหนึ่ง เรียนคณะเดียวกันด้วย เขาก็บอกว่า ไม่เอาล่ะ ยาก จากเดิมที่ดีใจมากที่มีคนเข้าใจสักคน คิดว่าจะเดินไปด้วยกัน ปรากฏว่าผมก็ช็อกอยู่ตรงนั้น ผมไม่ได้ว่าอะไรเขา ได้แต่เออๆ ไม่เป็นไรๆ แต่จริงๆ แล้วก็รู้สึกเสียใจอยู่เหมือนกัน

สิงห์อยากช่วยเหลือสังคมขณะที่คนรุ่นเดียวกันส่วนใหญ่อาจจะสนใจแต่เรื่องตัวเอง มันทำให้รู้สึกแปลกแยกไหม

ผมรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าสื่อกับคนอื่นแล้วไม่เข้าใจ บางครั้งเขาอาจจะมองว่าเราฉลาดหรืออาจจะไม่เข้าใจเราแล้วมองว่าเราบ้าก็ได้ เพราะคำว่า “อัจฉริยะ” กับคำว่า “บ้า” มันก็อยู่ห่างกันนิดเดียว ผมคิดว่าส่วนใหญ่เขาคงคิดว่าผมบ้า เห็นผมมานั่งพูดแต่เรื่องอุดมการณ์ ขณะที่ผมก็วิจารณ์พวกเขาว่าอะไรกันเนี่ย วันๆ ไม่ทำอะไร แต่งตัวไปสยามอยู่ได้ บางครั้งผมเลยเลือกจะปิดบังตัวตนที่แท้จริงโดยการทำตัวเป็นเด็กธรรมดาต่อหน้าคนบางกลุ่ม แต่กับคนบางกลุ่มผมก็ซีเรียส พูดจริงๆ ว่าผมค่อนข้างโดดเดี่ยว และบางครั้งก็อาจจะรู้สึกเจ็บปวดบ้าง แต่ถ้ามีคนเข้าใจสักคนก็โอเคแล้ว ผมเองก็รู้ว่าสิ่งที่ผมคิดว่าถูก คนอื่นอาจจะมองอีกอย่างก็ได้ ไม่มีอะไรถูกเสมอไปอยู่แล้ว

ความคิดหรือการกระทำอะไรของสิงห์ที่ทำให้เพื่อนๆ รู้สึกว่าเราบ้า

คือบางครั้งผมก็ยังคิดว่าผมบ้าไปเองเลย ประมาณว่า เพื่อนเขาทำรายงานโดยไปก๊อปมาจากเน็ต แล้วส่งอาจารย์ อาจารย์ไม่รู้หรอก ผมก็ทำของผมเอง แล้วผลก็ปรากฏว่าผมได้คะแนนน้อยกว่ามัน มันก็มาบอกว่าเป็นไงล่ะ ทำไมไม่ก๊อป แต่สำหรับผมแล้วเรื่องนี้มันไม่ได้อยู่ที่คะแนนเลย มันอยู่ที่ว่าผมได้ทำเอง วันก่อนอาจารย์ถามนักศึกษาในห้องเรียนว่าต้องการอะไรในชีวิต คนอื่นก็ตอบไปธรรมดาว่า มีข้าวกิน พอเขาถามผม ผมไม่รู้จะตอบอะไรก็เลยตอบว่าปริญญาเอก อาจารย์เขาก็บอกว่า…อ๋อ จะได้มีความรู้ช่วยเหลือสังคมได้ในอนาคต แล้วอาจารย์ก็ปรามาสว่า ก็ดีนะที่จะ unrealistic at your age คืออายุขนาดนี้อยู่ในโลกที่ไม่จริงก็ดี แต่พอโตขึ้นก็จะอยู่ในโลกของความจริงเอง

แต่ยังมีเพื่อนๆ ที่ทำกิจกรรมด้วยกันอยู่บ้างใช่ไหม

ผมทำอยู่ อมธ. ( องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) แต่ก็ไม่ใช่ตัวตั้งตัวตีในนั้น เพราะว่าผมทำงานหลายอย่างและก็ไม่มีเวลาทุ่มเทตัวเองเต็มที่ จนบางครั้งคนอื่นก็อาจจะมองว่าผมเข้าไปสร้างภาพหรือเปล่า คือเป็นดาราแล้วก็ยังเป็นนักกิจกรรมด้วย ผมไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงนะ แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถทุ่มเทกับตรงนี้ได้เต็มที่ เพราะผมมีหน้าที่อย่างอื่นมากเกินไป เรียนหนังสือด้วย ทำงานหาเลี้ยงชีพด้วย และก็ทำกิจกรรมด้วย แต่ผมก็ดีใจที่ได้เข้าร่วมตรงนี้ หลาย ๆ คนใน อมธ. ก็เอาจริงเอาจังเรื่องงานสังคมมาก ตัวผมเองก็พยายามรักษาสมดุลเรื่องพวกนั้นอยู่ แต่ว่าสิ่งที่ขาดหายไปคือเวลาพักผ่อน ตอนนี้ก็เหนื่อยมากๆ ครับ คิดว่าสุขภาพน่าจะอยู่ต่ำกว่าระดับมาตรฐานของเด็กวัยนี้

แต่ละวันทำอะไรบ้างถึงมีเวลาพักผ่อนน้อย

ส่วนใหญ่ตื่นขึ้นมาก็ต้องออกจากบ้านเลย ถ้าไม่มีประชุม ก็มีถ่ายรายการ มีเรียน ถ้าถ่ายรายการก็ประมาณอาทิตย์ละวันสองวัน งานเขียนก็จะทำที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ ส่วนกิจกรรมในมหาวิทยาลัยก็มีเป็นช่วงๆ บางช่วงที่ไม่อยากทำอะไร ผมก็นอนอยู่บ้านเฉยๆ แต่ผมเป็นโรคจิตอย่างหนึ่ง คือผมจะรู้สึกแย่กับตัวเองมากถ้าวันนี้ว่างไม่มีอะไรทำ ผมทนปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้ แล้วในที่สุดก็จะไปหาอะไรมาทำจนได้ซึ่งไม่ใช่เรื่องเที่ยวเล่นผ่อนคลาย หรือบางทีถ้ามีเวลาว่างแล้วผมนั่งเล่นเกมเหมือนเด็กทั่วไป ขณะที่บันเทิงอยู่นั้นผมก็จะรู้สึกแย่กับตัวเองไปด้วย เป็นอาการทางจิตมั้ง ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะอย่างนั้นมันก็เลยมีอะไรให้ทำเรื่อย ๆ โดยผมหาเรื่องใส่ตัวเอง ก่อนหน้านี้ผมยังเล่นดนตรีด้วย เล่นเป็นวงครับ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เล่นเพราะยุ่งเกินไปแล้ว ผมรักการเล่นดนตรีมาก แต่ก็อย่างที่บอกไป ผมเองก็จับฉ่าย ไม่รู้อะไรลึก เลยเล่นเป็นอยู่หลายอย่าง เบส กลอง กีตาร์ คีย์บอร์ด แต่ว่าที่ถนัดที่สุดก็เบส แล้วยังอุตส่าห์สนใจจะไปเรียนแซ็กโซโฟนกับเชลโลด้วย การที่ผมทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา แล้วก็อยากจะทำสิ่งใหม่ไปเรื่อยๆ จนทำได้หลายอย่างแต่ไม่ลงลึกด้านไหนสักด้าน บางครั้งมันก็ทำให้ผมเครียดเหมือนกันว่าทำไมตัวเองเป็นคนแบบนี้ ไม่ยอมจับอะไรให้มันจริงจังสักที แต่อีกทางหนึ่งก็ภูมิใจกับตัวเองเหมือนกันที่ทำอย่างนี้ได้ มันก็เป็นอะไรที่โต้แย้งกันอยู่ในหัวของผม

พรุ่งนี้จะลงใต้ไปทำค่ายสึนามิใช่ไหม

ตอนนี้อยู่ในขั้นจัดการครับ คือมีคนเพิ่งไปมา เขาเล่าให้ฟังว่า ผ่านไป ๔-๕ เดือนแล้ว ชาวบ้านยังร้องไห้กันอยู่เล ย บางคนก็ยังต้องนอนเต็นท์ ผมในฐานะลูกแม่ซึ่งเป็นคนตรัง ก็รู้สึกสะเทือนใจและคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะช่วยบ้าง เพราะตอนที่เกิดสึนามิจริงๆ ผมไปออกค่ายที่นครสวรรค์ซึ่งเป็นค่ายพัฒนาชนบทเหมือนกัน กลับมาปรากฏว่าที่ธรรมศาสตร์เขาตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยกัน ผมเองก็ไม่รู้เรื่อง พอรู้เข้าก็รู้สึกผิดมากว่าทำไมตอนนั้นไม่ไปช่วยเขา ผมอยากจะด่าตัวเองเหลือเกิน แล้วก่อนหน้านี้ทางมหาวิทยาลัยเขาก็มีการออกค่ายไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิ แต่ตอนนั้นคณะของผมปิดเทอมไม่ตรงกับพวกเขา ก็เลยอดไป ผมกับพรรคพวก ๔-๕ คนก็เลยคิดว่าทำกันเองเลยแล้วกัน ถึงตอนนี้คิดว่าคงลงไปจังหวัดพังงาครับ กำลังตรวจสอบรายชื่อหมู่บ้านอยู่ว่าตรงไหนโดนหนักสุด ตรงไหนไม่มีใครเข้าไปบ้าง จากนั้นก็จะหาสปอนเซอร์มาช่วยเหลือในเรื่องงบประมาณ ก็ชวนเพื่อน ๆ มาทำกัน แต่ถ้าเพื่อนคนไหนไม่อยากทำผมก็ไม่บังคับอะไร เพราะว่าการทำอย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่า…เฮ้ย…มึงต้องทำเพื่อสังคมนะ ถือเป็นทางเลือกของบางคน เมื่อเช้าผมอ่านข่าวคนยิงกันเพราะแย่งคิวเติมน้ำมัน ผมก็รู้สึกว่าทำไมคนเดี๋ยวนี้มันใกล้เคียงสัตว์มากขึ้นเหลือเกิน เพื่อไม่ให้ตัวเองเกลียดโลกนี้ไปมากกว่านี้ ผมก็เลยคิดว่าควรไปทำอะไรให้โลกดีขึ้นแล้วกัน

ในฐานะนักศึกษาเศรษฐศาสตร์ มองเศรษฐกิจสังคมไทยเป็นอย่างไรบ้าง

ผมว่ามันลวงตามาก ไม่รู้ผมกล่าวหาเกินจริงหรือเปล่า แต่สื่อเกือบทุกแขนงไม่กล้าพูดอะไรแล้ว เพราะว่ารัฐบาลมีอำนาจมากเหลือเกิน ถ้าพูดในแง่เศรษฐศาสตร์ เขาเอา GDP มาพูด เอาอะไรที่มันเป็นภาพรวมมาพูด แต่เขาไม่บอกว่าจริงๆ แล้วสัดส่วน การกระจายตัว มันเป็นยังไง วันก่อนผมอ่านสถิติหนึ่ง เขาบอกว่าบัญชีเงินฝากที่มีเงินน้อยกว่า ๑ แสนบาทในประเทศไทยมีอยู่ ๔๖ ล้านบัญชี คิดเป็น ๖ เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าบัญชีเงินฝากทั้งหมด ขณะที่บัญชีเงินฝากมูลค่าเกิน ๑๐ ล้านบาทมีอยู่ ๕ แสนบัญชี ซึ่งน้อยกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง ๙๒ เท่า แต่คิดเป็นมูลค่า ๗๖ เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าเงินฝากทั้งหมด เท่านี้ผมก็ตระหนักได้แล้วว่าประเทศนี้อยู่ในมือของคนหยิบมือเดียว ยิ่งผมศึกษาเรื่องการเมืองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกผิดหวังกับการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่คิดอีกแล้วว่าชาตินี้จะไปเล่นการเมือง เพราะว่าถ้าไม่มีเงินเป็นล้านก็เล่นไม่ได้ และถึงมีเงิน ก็ต้องใช้วิธีตุกติกเพื่อจะเข้าไปมีตำแหน่งซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองได้ ถึงแม้ผมจะขึ้นไปจุดสูงสุดได้ แต่ถ้าทางเดินของผมมีจุดด่างพร้อย ผมก็ไม่ยินดี ผมไม่เลือกทางเดินนั้น

มีครั้งหนึ่ง พี่ปกป้อง จันวิทย์ อาจารย์ที่คณะ เขาพูดว่าคนคนเดียวเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก โอเค ถ้าเป็นเรื่องทางการเมืองเนี่ยไม่ได้ แต่ว่าถ้าเป็นในวงการอื่น ผมอาจจะทำได้ก็ได้ โดยการเรียนให้สูงๆ เข้าไว้ พยายามหาองค์ความรู้ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือสังคมได้ในอนาคต

interview04 การเป็นนักเขียนของสิงห์ก็ถือว่าได้ทำหน้าที่นี้ด้วย

ทุกวันนี้ผมก็ยังเขียนอยู่ และก็ดีใจที่บางครั้งมีคนอ่านเขาติดต่อมาบ้างว่า ชอบที่พี่พูดอย่างนี้จังเลย แต่บางทีก็จะมีพวกแฟนดารา พอมาอ่านเจอเขาก็จะถามว่าพี่เขียนถึงอะไรเหรอคะ ก็เซ็งเหมือนกัน แล้วก็จะมีอีกพวกหนึ่งที่มองว่านักเขียนเป็นดารา โอเค เขาอ่านแล้วเขาเข้าใจความคิดเห็นของผม อ่านแล้วชอบ แต่พอชอบแล้วก็เที่ยวโทรมาบอกว่า เดี๋ยวหนูส่งของไปให้พี่ได้มั้ย วันหลังหนูไปเยี่ยมพี่ได้มั้ย ผมไม่ใช่คนของประชาชนสักหน่อย ผมก็แค่ถ่ายทอดความคิดให้คุณ ถ้าคุณเข้าใจก็โอเค คุณรับไว้ในหัวคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องมาทำอย่างนี้ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบงานเขียนอยู่มากๆ ตรงที่เรามีเวลากลั่นกรองสิ่งที่ได้รับรู้มาแล้วก็ถ่ายทอดไปเรื่อยๆ ด้านนี้ผมก็ยังไม่ถึงจุดสูงสุดอะไร ผมมองว่า เราจะปล่อยวางอะไร ต้องได้มันมาก่อนแล้วค่อยปล่อยมันไป อย่างวันก่อนผมอ่านสัมภาษณ์พี่ปราบดา หยุ่น เขาก็บอกว่าแต่ก่อนเขาได้ซีไรต์ มาตอนนี้เขาหายไปเปิดสำนักพิมพ์ของตัวเอง บางวันก็ไปขายหนังสือแบกะดินอยู่ริมถนน ผมว่าอย่างนั้นก็โอเค ถ้าผมขึ้นถึงจุดสูงสุดได้เมื่อไหร่ผมก็พอเองแหละ

รู้สึกว่าตัวเองเป็นดาราหรือเปล่า

ผมไม่เคยมีความคิดว่าตัวเองเป็นดาราเลย แต่คนเขามองว่าเป็นดาราก็ช่วยไม่ได้เพราะทำอาชีพตรงนั้นอยู่ ตอนนี้จะไปทำอย่างอื่นก็ไม่ได้ เพราะไม่มีเวลาแล้ว ผมต้องการงานที่ใช้เวลาน้อยสุด แล้วก็ได้เงินเยอะสุด เพื่อเอาไปจ่ายค่าเทอมด้วย อย่างปีหน้าผมจะไปแคนาดา ผมต้องส่งตัวเอง ก็ต้องการเงินพอสมควร แต่ทำอาชีพนี้ บางครั้งก็ต้องเจอเรื่องที่เราไม่ชอบใจ เคยมีคนโทรมาบอกให้ไปงานวันเกิดน้อง…มาหน่อยได้ไหมคะ น้องชอบมาก คือผมทำงานด้านนี้ แต่ผมไม่ใช่คนของประชาชน ชีวิตผมไม่ได้เป็นของเขา ชีวิตผมเป็นของผมเอง และผมก็ไม่ยินดีจะยกชีวิตนี้ให้ใครด้วย เพราะในใบสมัครงานก็ไม่ได้ระบุว่าผมต้องทำอย่างนั้น ความจริงถ้าจะมุ่งมั่นไปทางเส้นทางบันเทิง ผมว่าผมก็ค่อนข้างจะมีโอกาส ผมดูแล้ววงการนี้ไม่เกี่ยวกับความสามารถเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับโอกาสอย่างเดียว ผมเองก็ค่อนข้างจะมีโอกาส แต่ผมไม่อยากไปทางนั้น จะพูดว่ามันไร้สาระเกินไปก็ได้ ผมยอมรับว่าในอนาคตผมคงไม่ทำงานบันเทิงไปตลอดอยู่แล้ว ต้องไปทำงานอื่นแม้จะได้ค่าตอบแทนไม่สูงแบบงานบันเทิงก็ตาม

ทำไมต้องส่งเสียตัวเองขนาดนั้น ไม่ยอมขอเงินทางบ้านเลยหรือ

เท่าที่จำได้ ผมไม่ได้ขอเงินที่บ้านมา ๓ ปีแล้ว ตั้งแต่อายุ ๑๗-๑๘ ผมส่งตัวเองมาตั้งแต่ยังไม่จบชั้น ม. ๖ ตอนนั้นพ่อแม่ก็จ่ายแค่ค่าเทอม แต่อย่างอื่นผมจ่ายเองหมด ก็ไม่ได้บอกพ่อแม่จริงจังเรื่องนี้ แต่ว่าเขาให้ทีไรผมก็ไม่เอา ไม่เอา ไม่เป็นไร ตอนนี้ยังมีอยู่ ผมเป็นคนอีโก้จัดด้วย และก็มีทิฐิว่าไม่อยากจะขอใคร เพราะ หนึ่ง เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระอย่างแท้จริง สอง ไม่อยากจะรบกวนพ่อแม่ด้วย ผมอยากไปเรียนนอกผมก็ไม่อยากให้พ่อแม่มาจ่ายหนักๆ แทนให้

ถ้าเกิดมีคนมาชวนไปเล่นหนังจะเอาไหม

ก็มีติดต่อมาครับ แต่ผมปฏิเสธตลอดเลย รวมถึงงานโชว์ตัว งานกาชาด ออกเกมโชว์ ไปออกบูทอะไรผมก็ไม่เอา นอกจากนั้นก็มีโฆษณาซึ่งถือว่าเป็นงานที่ได้เงินง่ายที่สุดแล้วในวงการนี้ แต่ผมก็ไม่เอาอยู่ดี เพราะว่ามันได้เงินง่ายเกินไป การได้เงินง่ายเกินไปในทางเศรษฐศาสตร์ถือว่าเป็นการดึงเอาทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดมาใช้ในส่วนของตัวเองโดยไม่ได้ลงแรงงานเท่ากับคนอื่นเขา

แล้วถ้าเกิดเขาให้ทำรายการเองล่ะ

อยากครับ ไม่ใช่ว่าผมจะแอนตี้งานในวงการทุกอย่าง ผมอยากทำสารคดี ผมรู้สึกว่ามันเป็นสื่อหนึ่งที่สามารถนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในสังคมหรือนำไปสู่งานศิลปะได้ แต่ว่าใครจะยอมให้เด็กอย่างผมไปคุมรายการ ผมอยากทำรายการสารคดีที่สื่อถึงวัยรุ่น เพราะว่าสารคดีทุกวันนี้มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าวัยรุ่นจะไม่ดูกัน ผมเองในฐานะที่เป็นวัยรุ่นคนหนึ่งก็อยากจะเพิ่มพูนสิ่งเหล่านี้ให้คนรอบข้างหน่อย ตอนนี้ผมก็ทำรายการหนึ่งอยู่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโปรดักชันทีมด้วย เป็นรายการข่าว ประมาณว่าเอาข่าวทั้งที่เกี่ยวข้องกับวัยรุ่นและไม่เกี่ยว มาพูดในภาษาเด็กๆ ให้เด็กที่เขาดูกันเนี่ยเข้าใจและสื่อสารกันได้ แต่ส่วนตัวก็อยากจะลุยๆ หน่อย อยากบุกเข้าไปหาอะไรที่น่าสนใจกว่านั้น ผมคิดว่าพิธีกรแบบผมก็พอจะขายได้ในหมู่เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง เป็นแม่เหล็กดึงดูดที่ต่างจากคนทำสารคดีคนอื่นๆ เช่น “คนค้นฅน” ก็เป็นสารคดีมีคุณภาพ แต่บุคลากรเขาอาจจะไม่สื่อถึงวัยรุ่น ผมแค่อยากทำอะไรที่ต่างจากเดิม

เห็นว่าสนใจเรื่องศาสนาด้วย

ถ้าพูดถึงเรื่องหนทางของพุทธศาสนา มันก็มีเรื่องของการปล่อยวางใช่มั้ยครับ เท่าที่ผมประสบมาในชีวิต ผมคิดว่าคนเราเวลาจะปล่อยวางอะไรได้ต้องเจอกับสิ่งนั้นก่อน และก็ต้องสูญเสียมันไปถึงจะปล่อยได้ ผมเองก็เจอกับความดังแล้ว แล้วผมก็ไม่ชอบมัน ผมคิดว่าผมปล่อยวางเรื่องนั้นได้อยู่แล้ว ผมได้เจอกับเงินทองซึ่งมากกว่าเด็กอายุเท่ากันตั้งเยอะแล้ว เคยผ่านภาวะที่ว่า ยิ่งมีเยอะก็ยิ่งมานั่งดูบัญชีว่ามีอีกก็ดีนะ มีอีกก็ดีนะ แต่มาตอนนี้ผมก็คิดว่ามันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เพราะอย่างนั้นผมเลยคิดว่าผมปล่อยวางได้ในอนาคต มีแค่พอกินพอใช้ก็พอ อย่างที่พระเจ้าอยู่หัวตรัสไว้ เศรษฐกิจพอเพียง คือมีพอให้ตัวเองแล้วค่อยจุนเจือสังคม ก็เป็นทางสายกลางไป ไม่ใช่ว่าบำเพ็ญทุกรกิริยาอะไร หรือต้องมาทรมานตัวเองให้ไส้แห้ง เคยมีบางครั้งเหมือนกันที่ได้เงินมามากๆ แล้วคิดจะไปซื้ออะไรแพงๆ แต่สุดท้ายก็เตือนสติตัวเองได้และก็ดีใจที่ไม่ได้หลวมตัวไป เพราะไม่งั้นก็คงหมด แน่นอนมนุษย์ก็โดนยั่วด้วยกิเลสตลอดเวลา แล้วยิ่งมีโฆษณาอยู่ทุกๆ ย่างก้าว เดินไปไหนก็มีกิเลสพุ่งใส่ตลอดเวลา ผมก็พลาดบ้าง แต่ยังดีที่ไม่พลาดเกินไป จะมีก็เรื่องคอมพิวเตอร์ ผมติดคอมฯ อยู่เหมือนกันเพราะว่าทำงานอยู่กับมันเยอะ ตัดต่อหนัง มิกซ์เสียง เล่นเกม ชอบแต่งคอมฯ ด้วย แต่นั่นก็เป็นอย่างเดียวมั้งฮะที่ผมเสียเงินไปเยอะมากๆ เรียกว่าประกอบกิจกรรมที่ทำอยู่ก็ได้ครับผม เพราะแต่ก่อนก็ชอบทำหนังสั้น มิวสิกวิดีโอ ซึ่งต้องใช้คอมฯ อย่างตอนทำหนังสือต้องทำอาร์ตเวิร์ก ผมก็ใช้คอมฯ นี่แหละจัดอาร์ตเวิร์ก ว่างๆ เล่นเกมก็ใช้คอมฯ เหมือนกัน เขียนหนังสือก็ใช้คอมฯ แต่ถ้าเป็นเสื้อผ้า อย่างตัวที่ใส่อยู่ก็ตัวละ ๑๕๐ เอง

การที่สิงห์เป็นอย่างนี้เพราะอิทธิพลจากการอ่านหนังสือหรือว่าอิทธิพลจากทางบ้าน

หนังสือก็อ่านค่อนข้างเยอะ และอาจจะเป็นเพราะนิสัยที่เหมือนพ่อก็ได้ ไม่ว่าพ่อเขาจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม คือเป็นคนตรงไปตรงมา หัวดื้อ และค่อนข้างอีโก้จัดไปหน่อย เป็นคนเอาจริงเอาจังมากและยึดถือในอุดมคติที่สุด แต่ว่าพ่อเขาเป็นมากกว่าผมอีก ไม่งั้นเขาก็ไม่อยู่ในจุดนี้ได้หรอก เขาคงจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปนานแล้ว เขาต้องเป็นคนที่แข็งแรงทางจิตใจมากๆ ผมเองก็พยายามไต่ระดับขึ้นมาให้ถึงเขาอยู่ เพราะพูดจริงๆ เขาก็เป็นเหมือน “โรลโมเดล” ของผม ไม่อยากเรียกว่าฮีโร่ เพราะเขาเองก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง แต่ว่าเป็นคนที่ซึ่ง… คือทั่วๆ ไป เวลาเรามองอะไรไกล ๆ อย่างมองพระจันทร์ เรามักจะรู้สึกว่ามันสวยงาม พออยู่ใกล้ๆ จริงๆ ก็เห็นหลุมตะปุ่มตะป่ำต็มไปหมด แต่พ่อผม ตัวผมเองซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นฮีโร่ตลอดเวลา…ไม่ใช่ฮีโร่ แต่เขาเป็นตัวอย่างสำหรับผมได้ตลอดเวลา มีภาพของพ่อภาพหนึ่งซึ่งเป็นภาพบนเสื้อยืดสมัยก่อน ไม่รู้ว่าพี่จำได้หรือเปล่า ภาพที่เป็นเงาดำๆ รูปหน้าพ่อ แล้วมีตัวหนังสือเขียนข้างล่างว่า so what—“แล้วทำไม” มันก็อยู่ในใจผมตลอดเวลาว่าสักวันผมก็คงเป็นอย่างนั้นน่ะ เออ แล้วทำไม ก็กูจะเป็นอย่างนี้ so what ของเขาคือ so what กับโลกทั้งโลก ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังเป็นไม่ได้ ยังต้องแคร์โลกอยู่ และจิตใจผมก็ไม่ได้สงบและแข็งแรงขนาดเขา

สิงห์เคยพูดว่าจุดยืนของตัวเองคือยอมหักไม่ยอมงอ ตอนนี้ยังเชื่อแบบนั้นอยู่หรือเปล่า

ยอมหักไม่ยอมงอผมเคยพูดไว้ แต่ตอนนี้ก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าตกลงหักแล้วจะตายเลยหรือเปล่า หรือหักแล้วยังอยู่ได้ ณ วันนี้ ถึงผมจะยังยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองงอ แต่ก็ยอมรับว่าตัวเองต่างจากเมื่อ ๒ ปีก่อน ตรงที่เริ่มคิดถึงคนอื่นมากขึ้น แต่ก่อนพูดอะไรก็ไม่ค่อยแคร์ความรู้สึกใคร พูดไปเลย และค่อนข้างจะวิพากษ์วิจารณ์คนรอบข้างว่าทำไมเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างนั้น แต่มาทุกวันนี้ก็รู้สึกว่าเราพูดอย่างนั้นไม่ได้เพราะว่าคนเราแต่ละคนก็โตมาไม่เหมือนกัน เขาอาจจะถูกในแบบของเขาก็ได้ เขารู้สึกว่าเขาถูกก็ถือว่าเขาดีแล้ว เพราะเขาทำในสิ่งที่เขาคิดว่าถูกต้องอยู่ ตอนนี้ผมไม่ได้ตัดสินโลกจากมุมมองของตัวเองมากเหมือนก่อนแล้ว แต่ว่าโดยส่วนตัว ในโลกของผมเอง ผมก็ยังเป็นอย่างที่ผมเป็นอยู่ แต่ว่าในโลกที่ผมแชร์ร่วมกับคนอื่น ผมก็พยายามจะไม่แข็งกร้าวและเย็นชาขนาดนั้นแล้ว เพราะแน่นอนมนุษย์เราก็ต้องการความรักจากคนรอบข้างบ้าง ผมก็อยากให้มีใครมาแคร์มาเข้าใจบ้าง ตอนนี้ผมก็เลยพยายามประนีประนอมกับคนรอบข้างมากขึ้น แต่ก่อนผมจะพูดว่าไม่มีเพื่อนก็ไม่แคร์ แต่เอาเข้าจริงๆ เหงาฉิบหาย คนเราอยู่ไม่ได้หรอกครับตัวคนเดียว ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าผมจะคบทุกคน คนไหนที่ผมคิดว่ามันงี่เง่า ผมก็ไม่คบ คนไหนที่คิดว่าผมบ้า ผมก็ไม่คบด้วยอยู่แล้ว

มีคนบอกว่าจุดเปลี่ยนในชีวิตของสิงห์อีกประการก็คือเรื่องความตาย

เมื่อก่อนผมกินเหล้าเยอะ แต่พอปีกลายเนี่ยรถคว่ำ ผมก็เลิกเลย จากนั้นก็ตอกย้ำด้วยการที่เพื่อนผมรถคว่ำแล้วก็ตายไป เป็นเพื่อนสนิทด้วย ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าจากเดิมที่คนหนุ่มโดยทั่วไปชอบคิดว่ากูคอแข็ง เออ มึงกินเหล้าแข่งกับกูไหม แล้วก็เห็นว่าเรื่องกินเหล้าเป็นเรื่องที่ควรจะอวด ผมตื่นจากตรงนั้นเลยว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องโง่เขลามาก เพราะตายไปแล้วเป็นไงล่ะ ร้องไห้กันทั้งเมือง ทุกวันนี้ถามว่ายังกินอยู่ไหม ก็กินอยู่บ้าง แต่ผมไม่ได้เมาอีกเลย บางครั้งกินแก้วเดียว ไม่ได้อยากเมาอีก และไม่คิดว่าการเมาเป็นเรื่องสนุกอีกแล้ว

ตอนนั้นที่รถคว่ำเป็นไง

ปีที่แล้วครับ คือไปเที่ยวกันแล้วกินเบียร์ไปเยอะ ตอนขับกลับมาก็หลับ ปรากฏว่ารถพุ่งไปชนขอบถนนตรงอนุสาวรีย์ชัยฯ ตีลังกา ๑ รอบแล้วก็คว่ำลงไป ยังดีที่รอดมาได้ จากเดิมผมเป็นคนที่ค่อนข้างไม่เชื่อในศาสนา ก็เปลี่ยนไป คือมีช่วงหนึ่งผมโง่ ผมคิดว่าผมเป็นคนไม่มีศาสนา เพราะผมไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมไม่เคยไหว้พระขออะไร ผมนึกว่านั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่าศาสนา แต่ตั้งแต่รถคว่ำเนี่ยผมก็ได้ลองมองมันจริงๆ ก็ได้รู้ว่าศาสนาไม่ใช่เรื่องเหล่านั้น เลยกลายเป็นว่าวิถีแห่งพุทธน่าจะเป็นอะไรที่เหมาะกับชีวิตผมแล้ว ตั้งแต่รถคว่ำมาถึงเรื่องเพื่อนตาย ผมก็ปลงมาตลอดว่าทุกวินาทีอาจจะเป็นวินาทีที่คุณจะจากโลกนี้ไปก็ได้ คุณไม่มีทางรู้ได้ว่ามันจะเป็นตอนไหน มันนำไปสู่แนวคิดทางพุทธศาสนาว่าปล่อยวางดีกว่า แล้วก็เรื่องทางสายกลางด้วย ไม่เอาอะไรไว้มากเกินไป เพราะว่าตายไปก็เอาไปไม่ได้ หลังจากเพื่อนผมตาย ผมไปห้องมัน ปลงได้ว่าไม่มีอะไรที่เพื่อนเอาไปได้เลย ผมก็หยิบเสื้อมันเก็บไว้ใช้ต่อเป็นที่ระลึก คนตายเอาไปไม่ได้ คนอยู่ก็เอามาใช้ดีกว่า แล้วผมก็ได้แนวคิดว่า ในเมื่อตายไปแล้วเอาไปไม่ได้ ก็ควรสร้างสิ่งที่เมื่อตายไปแล้วมันเหลืออยู่ดีกว่า

สร้างอะไร

ผมยังตอบไม่ได้จริงๆ อาจจะเป็นความคิด องค์ความรู้ ผมไม่เปรียบตัวเองกับอาจารย์ป๋วย อาจารย์ปรีดี เพราะผมเปรียบไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่านั่นแหละครับคือสิ่งที่ผมพูดถึง ทุกวันนี้พวกท่านก็จากไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าพวกท่านไม่ได้อยู่กับธรรมศาสตร์ เมื่อไม่นานมานี้ ผมเคยคิดอยากจะสร้างทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ขึ้นมาใหม่ อาจจะเป็นทฤษฎีที่ขัดกับ อดัม สมิท เขาบอกว่าคนเราทำเพื่อตัวเองมากที่สุดแล้วเดี๋ยวมันจะดีขึ้นเองทั้งสังคม ซึ่งผมคิดว่า อดัม สมิท คงคิดขึ้นตอนที่การแข่งขันทั่วโลกยังไม่เกิด และคนยังไม่หน้าเลือดขนาดนี้มั้ง ผมก็เลยคิดว่ามีทางไหมที่คนเราจะทำเพื่อคนอื่นโดยเอาผลิตผลของทุกคนมารวมกันเป็นก้อนๆ แล้วแต่ละคนแบ่งปันไปเท่า ๆ กัน ผมอยากจะคิดว่าเป็นไปได้มั้ยในทางปฏิบัติ เพราะมันต้องมีแรงจูงใจ ซึ่งตอนเด็กๆ ผมแอบตั้งชื่อว่าประชานิยมก่อนที่ผมจะได้ยินคุณทักษิณพูด

สิงห์อายุ ๒๐ ปีแล้ว ยังรู้สึกถูกกดดันจากการที่พ่อแม่เป็นบุคคลมีชื่อเสียงอยู่หรือเปล่า

รู้สึกบ้างครับ ตั้งแต่เด็กแล้วบางครั้งผมก็โดนเปรียบเทียบกับพ่อแม่เหมือนกัน ผมเป็นลูกจิระนันท์ ลูกเสกสรรค์ แล้วไงเหรอ ผมพยายามจะไม่สนใจมัน แต่ไม่สนใจก็ไม่ได้ บางครั้งก็โกรธ โต้เถียงกลับไป ซึ่งที่จริงไม่น่าจะทำอย่างนั้น เพราะยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าเรามีปมด้อย พอโตขึ้นมาคิดอีกที เรื่องพวกนี้มันก็เป็นปมเด่นเหมือนกัน ผมถือว่ามันเป็นแรงผลักดันให้มุ่งหน้าทำอะไรให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ

interview05 ตั้งแต่เด็กพ่อแม่เลี้ยงสิงห์มาแบบไหน

ค่อนข้างให้อิสระมากครับ แต่ไม่ใช่อิสระในแนวที่ว่าไปเที่ยวไหนก็ได้ ติดยาอะไรเงี้ย แต่เป็นอิสระทางความคิดมากกว่า เขาไม่เคยชี้นำทางความคิด ผมค่อนข้างจะเรียนรู้จากพวกเขาโดยการดูมากกว่า พ่อแม่ไม่เคยชี้นิ้วสั่ง แม่ผมนะ ถ้าผมอยากได้อะไรแล้วมันเป็นเรื่องที่มีสาระ เขาก็จะหามาให้ ให้ผมเรียนดนตรี แม่อาจจะตามใจหน่อย แต่พ่อจะคอยเบรกไว้ พ่อเนี่ยเขาโตมาอย่างค่อนข้างสมบุกสมบันและก็เคยเป็นเด็กวัด สามารถไต่เต้าจนเป็นดอกเตอร์ชั้นนำอย่างนี้ได้ ก็เรียกว่าโตมาแบบที่ต้องต่อสู้มาด้วยตัวเอง ส่วนแม่ก็มีชีวิตอีกอย่างหนึ่ง เพราะว่าเขาเป็นลูกสาวเจ้าของร้านซึ่งค่อนข้างจะมีเงินในเมืองตรัง สองคนก็จะมีแนวคิดในการเลี้ยงลูกไม่เหมือนกัน แต่ว่าก็มีจุดสมดุลกัน บางครั้งพ่อก็จะบอกว่าปล่อยให้ทำเอง เรียนรู้ด้วยตัวเอง บางเรื่องผมก็จะทำด้วยตัวเอง บางเรื่องผมก็ให้แม่ช่วย ก็ไม่ได้ถือว่าโตมาด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าพ่อแม่อุ้มโอ๋มาตลอด

ชีวิตที่ผ่านมามีอะไรที่พิสูจน์ว่าตัวเองทำพอแล้ว

ยังไม่มีครับ ผมคิดอยู่เสมอว่าถ้าจะมีอะไรที่ทำให้ผมภูมิใจ นั่นก็คือวันที่พ่อมาบอกว่าพ่อภูมิใจในตัวผม ซึ่งถ้าพรุ่งนี้อยู่ดีๆ เขาจะมาพูด ผมก็ว่ามันคงไม่ใช่ แต่คิดว่ามันคงจะมีสักวันหนึ่งในอนาคต ซึ่งถ้าวันนั้นมาถึง ผมก็คงจะภูมิใจตัวเองที่สุด ส่วนแม่ผมก็รัก ลูกทุกคนรักแม่นะครับ แต่คนที่เป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตให้ผมก็คือพ่อ แม่เองก็เห็นต่างกับผมอยู่หลายเรื่อง และแม่ก็คิดถึงความเป็นจริงมากไป คิดถึงกระแสหลักมากไปจนผมไม่เห็นด้วย คือแม่ยึดติดกับความจริงค่อนข้างมาก ในขณะที่พ่อยึดติดกับอุดมการณ์ค่อนข้างมาก ผมจึงโน้มน้าวไปทางพ่อมากกว่า ก็อย่างที่บอก พ่อเขาจะให้ลูกแกร่งด้วยตัวเองมากกว่า ในขณะที่แม่ก็จะช่วยเหลือทุกอย่าง ผมรู้สึกขอบคุณทุกอย่างที่แม่ช่วย แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องแนวทางในการดำเนินชีวิต ผมชอบที่พ่อเป็นอยู่มากกว่า

สิงห์ชอบอ่านหนังสือหรือฟังเพลงอะไรบ้าง

หลายอย่างครับ พวกนิยายเรื่องยาวๆ ก็ชอบอ่าน อย่าง แฮรี่ พอตเตอร์ หนังสือของ แดน บราวน์ ผมก็อ่านทุกเล่ม แล้วก็มีหนังสือพวกวิเคราะห์การเมืองเศรษฐกิจอย่างของอาจารย์สุวินัย (ภรณวลัย) หรือของพี่ปกป้อง (จันวิทย์) ก็ชอบ หนังสือของพี่คุ่นผมก็ชอบ หนังสือหุ้นผมยังอ่านเลย ให้รู้ว่ามันเป็นยังไง บู๊ลิ้มก็อ่าน เรื่องซามูไรก็อ่าน อ่านหมดแหละครับ ส่วนเพลงผมชอบแบบ Nu-Metal ครับ แบบกีตาร์หนักๆ เบสหนักๆ แต่ว่าเสียงร้องเพราะๆ เน้นเมโลดีสวยๆ อย่าง Sevendust, Modern Dog ก็ชอบเหมือนกัน Linkin Park ก็โอเค ผมเป็นพวกบ้าเครื่องเสียงด้วยครับ ไม่ได้ลงทุนถึงขนาดชุดละแสน ไม่ได้เน้นยี่ห้อ แต่เน้นที่เบสหนักๆ ก็เดินไปที่บิ๊กซีแถวบ้าน แล้วก็ฟังมันให้หมด อันไหนดีแล้วถูกผมก็ซื้อ

วัยรุ่นสมัยนี้ให้ความสำคัญกับเซ็กซ์มากเกินไปหรือเปล่า

เซ็กซ์มันก็เป็นเรื่องธรรมดานะฮะ เพราะว่ามันก็มีมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย ผมรู้สึกว่าช่วง ๒-๓ ปีก่อนหน้านี้ สื่อหลายสื่อพยายามจะขาย ทำให้ผู้คนหมกมุ่นเรื่องเซ็กซ์เป็นหลัก มีโฆษณาทางวิทยุอันหนึ่งพูดว่า ทำผมเถอะ ทำผมเถอะ สุดท้ายแล้วก็ออกมาเป็นโฆษณาแชมพู คือมันพยายามให้คนจินตนาการไปก่อน ผมเองตอนที่เป็นวัยรุ่นก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่แอบดูซีดีโป๊กัน ตอนนี้มองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่ามันอะไรกันนักหนาวะ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลยในชีวิต ผมเห็นเด็กใส่ชุดลูกเสือไปเดินซื้อแผ่นโป๊อยู่แถวพันธุ์ทิพย์ ผมก็เดินเข้าไปตบบ่าว่าน้องๆ อายเขาบ้างเถอะ ชื่อโรงเรียนก็ติดอยู่หราเลย แล้วพอมีข่าวพระโดนจับเพราะไปนอนกับสีกาบ้าง ไปซื้อแผ่นโป๊ที่พันธุ์ทิพย์บ้าง ก็ยิ่งเสื่อมศรัทธาเข้าไปใหญ่

สิงห์มีประสบการณ์กับความรักอย่างไร

เคยมีแฟนแล้วก็เลิกกันไปครับ ตอนนั้นผมเข้าใจผิดอะไรไปสักอย่างว่า คนเราเนี่ย ขอให้มุ่งไปที่จุดหมายของเราก็พอแล้ว โดยไม่ต้องมีใครมาสนับสนุนก็ได้ ตอนนั้นผมเจอคนคนหนึ่งที่เข้าใจผม แล้วผมก็รักฉิบหายเลย แต่ว่าพอถึงจุดหนึ่ง ผมก็คิดว่าขอมุ่งหน้าไปในทางของผมเองดีกว่า เพราะถ้าอยู่ก็อาจจะไม่โฟกัสก็ได้ แต่พอเขาหายไปจริงๆ ก็ทำให้ผมรู้ว่า จริงๆ คนเราก็ต้องการมีคนอยู่ข้างๆ ด้วย ไม่ใช่ว่าเรานำหน้าอยู่ตลอดเวลา มีคนมาอยู่ข้างๆ ก็ดี แต่เสียไปแล้วก็ต้องเลยตามเลย ตอนนี้ก็คบบางคนอยู่ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าเขาเข้าใจเรามากมายเท่าไหร่ คิดว่ามันเป็นเรื่องของวิถีชีวิตแล้วครับ สำหรับผม กับใครบางคนจะเจอก็เจอ ตอนนี้ไม่เจอเดี๋ยวก็เจอเอง คงไม่อยู่คนเดียวไปทั้งชีวิตหรอก

[Update] สัมภาษณ์ วิโอเลต วอเทียร์ ชีวิต ความรัก ดนตรีกับบทเพลงที่ไม่ได้ทำเพื่อเอาใจใคร | สัมภาษณ์ afs – NATAVIGUIDES

       ครั้งหนึ่งสาวน้อยลูกครึ่งไทย–เบลเยียมอายุ 20 ปี สามารถทำให้กรรมการ The Voice Thailand Season 2 หันมาครบทั้ง 4 คนในเวลาเพียงไม่กี่วินาที หลังเธอร้องเพลง ‘Leaving on a Jet Plane’ ในรอบ blind audition จากนั้นชื่อของ วี–วิโอเลต วอเทียร์ ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น และหลังลงจากเวทีประกวดในรอบ knock out ไม่นาน เธอก็ฝากผลงานการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง ฝากเอาไว้ในกายเธอ เมื่อปี 2557 ที่วิโอเลตร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันจนมียอดฟังหลายล้านวิว

จากการปรากฏตัวบนเวทีครั้งนั้น ผ่านมาถึงวันนี้เกือบ 7 ปีแล้วที่วิโอเลตยังคงแสดงภาพยนตร์พร้อมออกผลงานเพลงมาเรื่อย ๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใด เนื้อเพลงของเธอยังคงกลั่นกรองออกมาจากห้วงความคิด ผ่านความเชื่อ และอัดแน่นด้วยความรู้สึกอย่างซื่อสัตย์ ทั้งเพลงไทยและสากล ซึ่ง ‘Brassac’ ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานเพลงสากลที่เธอบอกว่า “Based on my opinion…” ในแบบของวี–วิโอเลต

The People: ชีวิตวัยเด็กเป็นอย่างไรบ้าง

วิโอเลต: วีว่าวีเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่นมาก วีเกิดที่ญี่ปุ่น อยู่ที่นั่นจนเกือบ 2 ขวบแล้วก็ย้ายกลับมาไทย คืออยู่ในความ multicultural ประมาณหนึ่ง หลายภาษามาประมาณหนึ่ง แล้วก็โตมากับภาษาพวกนี้มาเรื่อย ๆ

The People: ภาษาแรกที่พูดคือภาษาอะไร

วิโอเลต: ถ้าพูดตอนนี้จะพูดว่าภาษาไทยเป็นภาษาแรก แต่จริง ๆ แล้วตอนอยู่ญี่ปุ่น วีเพิ่งฝึกพูดแล้วแม่คุยด้วยเป็นภาษาไทย ส่วนพ่อคุยด้วยเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่เราตอบเขาเป็นภาษาญี่ปุ่น เพราะว่าเหมือนตอนนั้นแม่ยังเรียนปริญญาเอกอยู่ แล้วพ่อก็ทำงาน บางครั้งก็จะดูแลได้ไม่เต็มที่ เลยไปฝากวีไว้ที่เนอสเซอรี ก็ซึมซับภาษาญี่ปุ่นไปเอง

The People: ดนตรีเริ่มเดินทางเข้ามาในชีวิตได้อย่างไร

วิโอเลต: เท่าที่จำได้คิดว่าเป็นดิสนีย์ เพราะดิสนีย์เป็นการ์ตูนที่มีเพลงด้วย แล้วเหมือนตอนเด็ก ๆ พ่อจะซื้อวิดีโอแยกที่เป็นเฉพาะเพลง เป็น sing-along เป็นคาราโอเกะ เราก็จะชอบเปิดอะไรแบบนั้น จำได้ว่าท้ายหมู่บ้านจะมีเครื่องเล่นเด็ก ซึ่งตอนเด็ก ๆ วีชอบปีนไปบนยอดของเครื่องเล่นให้ลมพัดผมปลิว รู้สึกตัวเองเป็นโพคาฮอนทัส

วีว่าดนตรีเข้ามาตลอดอยู่แล้ว แค่เรายังไม่ได้ทำดนตรี ยังไม่ได้เขียนเพลง แต่ว่าเราร้องมาตลอดตั้งแต่จำความได้ เข้าไปดูโฮมวิดีโอตัวเองตอนเด็ก ๆ ก็จะมีภาพที่วีถือไมค์ร้องเพลงอยู่ แล้วมีน้องชาย (กานต์ วอเทียร์) คาบขวดนมมาเต้นอยู่ข้างๆแบบเราทำอะไรน้องทำด้วยแต่เราก็จะชอบร้องเพลงแล้วก็รำอะไรของเราไป

ตั้งแต่ตอนอนุบาล เวลาเขาให้วาดรูปโตไปอยากเป็นอะไร วีก็จะวาดว่าวีอยากเป็นนักร้อง พอช่วง ม.ต้น มีวิชาแนะแนว ครูก็ถามว่าโตไปอยากทำอะไรให้ยกมือตอบ แต่ละคนก็บอกอยากทำนู่นทำนี่ วีก็บอกหนูอยากเป็นนักร้อง ครูก็ช็อกไปแป๊บหนึ่ง เขาคงไม่รู้ว่าจะแนะแนวยังไงเหมือนกัน เลยอ๋อ…โอเค อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) ซึ่งโอเคมันเป็นความฝันแล้วอยู่ในชีวิตวีมาตลอดวีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

พอขึ้น ม.ปลายวีก็เริ่มเขียนเพลงแต่ตอนนั้นอยากไปเรียนหนังเรารู้ว่าเราอยากเรียนนิเทศจุฬาฯเพราะรู้สึกว่าเราไม่มีความรู้พื้นฐานเรื่องดนตรีเราเรียนเปียโนมาตั้งนานแล้วไม่เห็นเก่งขึ้นสักทีเราเล่นไม่ได้ดั่งใจเหมือนกับไม่ได้เข้าใจทฤษฎีดนตรีขนาดนั้นเลยไม่มีความดันทุรังที่จะไปเรียนดนตรีด้วยมั้งคะแต่ว่าดนตรีก็อยู่ในชีวิตเรามาตลอดแล้วเราก็มีความฝันกับสิ่งนี้มาตลอด

The People: เริ่มมาจริงจังกับการฟังเพลงตอนไหน

วิโอเลต: เพิ่งมาจริงจังตอนทำเพลงนี่แหละ ก่อนหน้านี้วีฟังเพลงเพราะชอบเฉย ๆ ขึ้น ม.ต้น วีฟังเพลงไทยน้อยลงแล้วก็ฟังเพลงภาษาอังกฤษเยอะขึ้นมาก ชอบฟังเพลง soundtrack ของหนังต่าง ๆ นานา บางครั้งเพื่อนก็ไม่ได้ get ว่าเธอฟังอะไรของเธอ ซึ่งตอนนั้นโทรศัพท์จะเป็นรุ่นที่เพิ่งถ่ายรูปได้ ฟังเพลงได้ เมมฯ ไม่เยอะ แล้วในมือถือเราจะมีแต่เพลงอะไรไม่รู้ ซึ่งเพื่อนก็จะไม่ชอบใช้มือถือเราเปิดเพลง

The People: รู้มาว่าช่วงหนึ่งชอบฟังเพลง RS มาก ตอนนั้นชอบศิลปินคนไหน

วิโอเลต: คนที่ชอบมาก ๆ ตอนที่ฟังเพลงไทยคือพี่ลีเดีย (ศรัณย์รัชต์ ดีน) เคยไปประกวดร้องเพลงในโรงเรียน แล้วเหมือนเขาให้ลองเพื่อเข้าชมรมอะไรสักอย่าง เราก็ใช้เพลงของพี่ลีเดียที่ร้องว่า… “ไม่ว่างจริง ๆ หรือว่ามีคนอื่น” (เพลง ‘ว่างแล้วช่วยโทรกลับ’) แล้วก็มี Kamikaze นิดๆหน่อยๆ

The People: เคยได้ยินว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตคือช่วงที่ไป AFS?

วิโอเลต: ค่ะแล้วตอนนี้ก็จะตอบว่ามหาวิทยาลัยด้วย

The People: เพราะอะไรความทรงจำเหล่านั้นถึงยังหอมหวานสำหรับเรา

วิโอเลต: ความทรงจำยังอยู่ คือวีรู้สึกว่าพอมานึกย้อนดี ๆ มันมีหลายตอนมาก แล้วก็เลือกไม่ถูกว่าอันไหนมันดีสุด เพราะดีหมดเลย  อย่าง AFS ทุกอย่างมัน fresh ได้ออกไปผจญภัยตัวคนเดียว against the world ประมาณหนึ่ง เลยรู้สึกว่าสนุกและน่าตื่นตาตื่นใจ แบบ…โอ้โหมาก ๆ เลย  ส่วนชีวิตมหาวิทยาลัยตอนที่เราเรียนอยู่ เราไม่ได้รู้ตัวหรอกว่าสนุกมากขนาดไหน ก็โอเค เรา enjoy ณ ตอนนั้น ๆ แต่ตอนเรียนจบออกมาแล้ว มองกลับไปเรายังคุยกับเพื่อนอยู่เลยว่า เฮ้ย อยากกลับไปเรียนใหม่ อยากกลับไปมีความรู้สึกแบบเดิมใหม่ที่มีความรับผิดชอบแบบไม่ต้องเต็มตัวขนาดนั้น ยังเที่ยวเล่นสนุกสนานได้อยู่

The People: ตอนนั้นที่เลือกเรียนหนังเพราะชอบหนังมานานแล้วเหมือนกัน?

วิโอเลต: ถ้ามองย้อนกลับไปจริง ๆ จะรู้สึกว่าเป็นสิ่งเดียวกันทั้งหมดเลย มันมาด้วยกันตลอด ช่วงประถมปลาย ๆ จนถึง ม.ต้น วีเป็นคนอ่านหนังสือเยอะมาก วีอ่านหนังสือวันละเล่มซึ่งก็คือนิยายแจ่มใส (หัวเราะ) ไม่ได้มีสาระอะไร แต่ว่าอ่านเอาสนุกอย่างเดียว อ่าน ๆๆ อ่านเยอะมาก จนประมาณ ม.1 มั้งรู้สึกว่าฉันจะเขียนนิยายก็เขียนของตัวเองไปมั่วซั่วเรื่องราวห่วยแตกมากแต่ก็เขียนพอวีมาเรียนหนังก็เขียนเพลงไปด้วยซึ่งก็เห็นชัดเจนว่าอ๋อจริงๆแล้ววีคือคนเล่าเรื่องเราแค่เล่าด้วยวิธีต่างๆเฉยๆ

The People: งานภาพยนต์ก็อาจจะไม่ใช่เบอร์หนึ่ง?

วิโอเลต: วีให้ความสำคัญกับการแสดงภาพยนตร์มากเลยนะ แต่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่าภาพยนตร์เรารอโอกาส แต่งานเพลงเราสร้างโอกาส เหมือนในภาพยนตร์เราเป็นผู้สร้างแต่เราเป็นส่วนหนึ่งของผู้สร้าง แต่ในดนตรีเราคือผู้สร้างทั้งหมด เราเป็น God ของเพลงเรา เพราะฉะนั้นสามารถสร้างได้เลย ช่วงที่ไม่มีภาพยนตร์ ก็สร้างเพลงไปไม่ต้องรอโอกาส แต่ช่วงเวลาที่ภาพยนตร์เข้ามานั่นคือโอกาส จะรับไม่รับก็เรื่องของเรา แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะว่าง เพราะยังมีดนตรีที่เป็นของเราที่สามารถสร้างเมื่อไหร่ก็ได้

The People: ชอบขั้นตอนไหนของการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านหนังมากที่สุด

วิโอเลต: วีชอบความเป็นมนุษย์ วีชอบที่มนุษย์คนหนึ่งมีความรู้สึกที่ complex มาก ซับซ้อนมาก ๆ ไม่ได้มีแค่อารมณ์เดียว แฮปปี้ก็ไม่ใช่แฮปปี้ทั้งหมด อาจจะเป็นแฮปปี้อย่างเจ็บปวดก็เป็นได้ ดู contrast กันมาก ๆ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้หมดเลย วีรู้สึกว่ามันสวยงามด้วยอารมณ์พวกนี้ ถ้ามนุษย์เราไม่มีอารมณ์จะไม่สวยงามเลย บอกไม่ถูก บางทีวีเห็นบางคนร้องไห้แล้วรู้สึกว่าเป็นภาพที่สวยมาก เห็นแล้วจะขาดใจตามไปด้วย ไม่รู้สิ…หรือว่าวีเป็นคนโรแมนติกเวอร์อะไรไปเอง เป็นคนแบบว่าทำให้ทุกอย่างเหมือนอยู่ในหนังตลอดเวลาหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน

The People: อะไรผลักดันให้ตัดสินใจก้าวไปเวที The Voice Thailand Season 2

วิโอเลต: จริง ๆ การที่วีเข้าไปประกวด วีเห็นสัมภาษณ์ของหลาย ๆ คน วีดู The Voice ต่างประเทศ แล้วเห็นว่าเขามาทำแบบนี้เพื่อลูก เพื่อแม่ เพื่อคนนู้นคนนี้ แบบคนนี้ของเขาเสียไป เขาเลยอยากมาร้องเพลงเพื่อพ่อหรือเพื่อใครสักคน วีก็หันไปพูดกับแม่และพ่อว่าที่หนูมาประกวด หนูมาเพื่อตัวเองล้วน ๆ เลยนะ ไม่ได้มาเพื่อใคร (หัวเราะ) เพราะสุดท้ายแล้วนี่คือสิ่งที่เราอยากทำคือสิ่งที่เราชอบแล้วเราก็คือเราเรามาประกวดเพื่อตัวเองเพื่อให้ความฝันเป็นจริง

เข้าไปตอนแรกวีแค่อยากรู้ว่าตัวเองร้องดีพอที่จะติดไหมเพราะมีความเชื่อมั่นว่าฉันก็ร้องดีนะแต่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไงก็เลยอยากไปลองดูพอไปลองก็เฮ้ยสนุกว่ะเป็นความฝันที่สนุกดีได้ลองทำแข่งๆๆเป็นเกมอ้าวแพ้เสียใจจบกลับบ้านนั่งกินข้าวกับที่บ้านเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไป

เราแฮปปี้กับประสบการณ์ที่เกิดขึ้น เราได้เพื่อนใหม่เยอะมากต่าง ๆ นานา โห เราเฉียดกับทีวีมากเลย ไม่เคยเห็นการถ่ายทำหรือ studio making ว่าใหญ่ขนาดไหน ก็มีความตื่นตาตื่นใจอยู่ จนพอเทปออกเท่านั้นแหละ ถึงแบบ… อ๋อ เออว่ะ มันดังว่ะ ลืมคิดตรงนี้ไปเลย แล้วพอมันดัง ก็ตกใจว่าทำไมอยู่ ๆ ไลน์เด้งมาเยอะขนาดนี้ อยู่ ๆ ก็มีแฟนเพจเกิดขึ้น วันต่อมาไปมหาวิทยาลัย ทุกคนก็อ้าว เฮ้ย วี The  Voice ว่ะ แต่ก็แค่ 5 วินาทีแรกจากนั้นทุกคนก็คุยกับวีปกติวีเลยรู้สึกว่าชีวิตยังปกติอยู่ไม่ได้เปลี่ยนจนรู้สึกช็อกจนคนใกล้ตัวเราเปลี่ยนเพื่อนเทียร์หนึ่งก็ยังเป็นเพื่อนเทียร์หนึ่งอยู่เทียร์สองก็ยังเป็นเทียร์สองอยู่เลยรู้สึกว่าใกล้เคียงกับชีวิตเดิมของเราเราก็ค่อยๆทำงานปรับตัวมาเรื่อยๆซึ่งคงไม่ต่างกับการที่เราเรียนจบแล้วมาทำงานในที่ต่างๆเพราะเราก็ต้องปรับตัวกับทุกอย่าง

ถ้ามองจริง ๆ วงการบันเทิงก็เหมือนบริษัทหนึ่งเหมือนกันที่เรามาทำงาน แล้วปรับตัวเข้าสู่อะไรต่าง ๆ นานา

The People: รับมือกับฟีดแบ็กจากผู้ชมอย่างไร

วิโอเลต: ก็สนใจนะ พูดได้ไม่เต็มปากหรอกว่าไม่สนใจ แต่เราเทคกับไม่เทคมากกว่า เราหันไปเห็นว่า โอเคมีแบบนี้ ๆ อยู่ที่ว่าเราจะทำให้มันรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า โมเมนต์แรก ๆ ยอมรับว่าแอบนอยด์เหมือนกัน แต่รู้สึกว่าสุดท้ายแล้วคงทำอะไรไม่ได้ ถ้าจะอยู่ตรงนี้ก็ต้อง learn to live with it ประมาณหนึ่ง ต้อง strong ประมาณหนึ่ง ที่จะมองข้ามว่าเธอจะว่าอะไรฉันก็ว่าไป ฉันแค่ต้องรู้ตัวฉันเองว่ามันไม่จริงแค่นั้นเอง แล้วคนที่ฉันรักรู้ว่ามันไม่จริงแค่นั้นเอง

The People: ก่อนประกวด The Voice เคยคิดเรื่องการเป็นศิลปินและออกเพลงไหม

วิโอเลต: ไม่ได้คิด คือจริง ๆ แต่งเพลงด้วยอารมณ์ล้วน ๆ เลย แล้วก็ให้แค่คนใกล้ตัวได้ฟัง ไม่ได้เอาไปให้โลกฟังขนาดนั้น ถ้าถามว่าคิดว่าจะได้เป็นนักร้องไหม ก็มีความฝันว่าอยากเป็น แต่พูดไม่ได้เต็มปากว่าคิดว่าจะมีแบบนี้

The People: เรื่องที่ชอบเล่ามักจะเป็นเรื่องของตัวเองก่อนไหม

วิโอเลต: วีรู้สึกว่าเราจะเล่าเรื่องตัวเองแล้วสนุกที่สุด เพราะว่าเราจะรู้ทุกแง่ทุกมุม เราตอบคำถามได้ว่าอะไร ทำไม เพราะเรารู้ พอเป็นเรื่องแต่งก็ต้องอิงอะไรบางอย่างที่เรารู้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปรีเสิร์ช แต่เขียนเพลงมันไม่เหมือนกัน เพราะมันว่าด้วยความรู้สึก เล่นกับความรู้สึกคน เราต้องการสื่อสารกับคนหมู่กว้าง แล้วเราไม่ได้มีเวลาปูเป็นชั่วโมงเหมือนกับหนัง เพลงมีเวลาแค่ 3 นาทีในการเล่าเราก็เล่าโดยใช้ความรู้สึกและความเป็นตัวเองมากที่สุดนี่แหละเหมือนเราเล่าเรื่องของเราอยู่

The People: ความรู้สึกตอนที่ได้ทำเพลงของตัวเองจริง เป็นอย่างไร

วิโอเลต: เราทำตามใจตัวเองอยู่แล้วว่าอยากทำเพลงแบบนี้ อยากเล่าเรื่องแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกว่าเวลาร้องเพลงไลฟ์โชว์ต่าง ๆ นานา ที่ไม่ใช่เพลงของตัวเอง เราไม่ภูมิใจเท่ากับเป็นเพลงที่เขียนเอง เพราะเป็นเรื่องที่คนฟังกำลังรู้สึกกับเรื่องของเราอยู่ เราได้เล่าเรื่องตัวเองผ่านเพลงของเรา แล้วถึงจุดหนึ่งมันจะเป็นของคนอื่นด้วย เพราะว่าเราได้แชร์ออกไปแล้ว

The People: เข้าวงการแล้วความเป็นส่วนตัวหายไปด้วยไหม

วิโอเลต: ไม่ขนาดนั้น มันค่อย ๆ มาเป็นกราฟของเรา ซึ่งเรื่อง privacy ก็ยัง private อยู่ ถ้าเราเลือกที่จะ private บางเรื่อง เราแค่คัดคอนเทนต์ เลิกโพสต์อะไรตามใจตัวเองด้วยอารมณ์ ถ้าจะโพสต์ก็คือตามใจตัวเอง อย่าใช้อารมณ์ ให้โพสต์อย่างมีสติแค่นั้นเอง มันดีด้วยซ้ำ วีแนะนำทุกคนเลยว่าโพสต์อย่างมีสติ เพราะสุดท้ายแล้ว 1 ปีผ่านไป พอย้อนกลับมาดู จะรู้สึกว่าฉันทำอะไรลงไป หรือบางเรื่องที่ sensitive และส่วนตัวมาก การที่คุณเอามาแชร์จะทำร้ายคุณเองด้วยซ้ำ

The People: สำหรับคนที่เคยโดน body shaming มองเรื่องการตัดสินคนบนโซเชียลมีเดียอย่างไรบ้าง

วิโอเลต: ทุกวันนี้ก็ยังโดนอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็โอเค คือวีรู้สึกว่าการ judge คนไม่ใช่เรื่องผิด คุณ judge คนได้ แต่คุณไม่มีสิทธิ์ไป judge ในสิ่งที่เขาเลือกไม่ได้ เขาเกิดมาเป็นแบบนั้นมันแก้ไม่ได้ไง

วีเกิดมาเป็นฝรั่งสูง 158 เซนติเมตร ทุกคนมาพูดว่าฝรั่งอะไรตัวเล็กจัง แล้วฉันจะทำอะไรได้วะ ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ก็เกิดมาเป็นแบบนี้ จะให้มาต่อขาเหรอ ก็ไม่ใช่ เจ็บตัวเปลืองตังค์ เวิร์กหรือเปล่าก็ไม่รู้ เสี่ยงชีวิตมากเลย เราไม่จำเป็นจะต้องมาเทคกับมันด้วยซ้ำ แล้วคนที่พูดแบบนั้น เขาต้อง ashamed ในสิ่งที่เขาพูดในจุดที่แก้ไขอะไรไม่ได้ มันไม่ใช่ความผิด ไม่ได้เป็นเรื่องของการตัดสินใจเลย แต่ถ้า let’s say ว่าคนคนนี้ไปทำนิสัยแบบนี้ ไปเหวี่ยงไปวีน ไปทำตัวนิสัยไม่น่ารักกับคนอื่น อันนี้คุณ  judge เขาได้เพราะเป็นสิ่งที่เขาเลือกทำ แต่เรื่อง physical บางอย่างเป็นเรื่องที่เขาเลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนที่โพสต์ควรจะต้อง educate ใหม่ แล้วก็แยกแยะใหม่ว่าสิ่งที่เขากำลังว่าอยู่ เขามีสิทธิ์ว่าขนาดไหน

The People: แล้วเรื่องดนตรี คิดอย่างไรกับการทำเพลงสากลออกมาแล้วคนฟังยังเข้าไม่ถึงเท่ากับเพลงไทย

วิโอเลต: ทำใจไว้แล้วประมาณหนึ่งว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะ get แต่เอาจริง ๆ ถึงจะทำเพลงไทยก็เป็นแบบเดียวกันว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะ get เพลงบางเพลงเราเขียนไปคนบางคนก็ไม่ชอบ วีว่าชอบไม่ชอบมันอยู่แค่นั้นเอง ซึ่งเพลงภาษาอังกฤษก็ไม่ต่างกัน แล้วเราก็รู้สึกว่าใช้ไม้บรรทัดเดิมไม่ได้หรอกว่าจะ 10 ล้านวิวเหมือนเพลงไทย เราทำเพราะอยากทำ ทำเพราะสบายใจ ทำเพราะเป็นความสุข แล้วถ้ามีคนชอบ เราก็จะดีใจแบบโคตร ๆ 

โมเมนต์นี้เรารู้สึกว่าไม่ได้อยากประนีประนอมทำเพื่อ please ใคร เราไม่จำเป็นต้องประจบคนฟังว่าฉันจะทำเพียงเพื่อเอาใจเธอ เพราะวีรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วมันเป็นสิ่งที่เราพูด แล้วเราต้องมีความคิดเห็นในสิ่งที่พูด ถ้าเราเพียงแค่หยิบยืมคำพูดคนอื่นมาพูด มันก็ไม่ใช่คำพูดของเรา แล้วเผลอ ๆ เราอาจจะไม่ได้เชื่อสิ่งที่เราพูดอยู่ด้วยซ้ำ วีเลยรู้สึกว่ามันสำคัญว่าทำไมต้องทำในสิ่งที่วีรู้สึก ในสิ่งที่วีอยากทำและเชื่อมั่น

The People: มองว่าเพลงสากลที่ทำจะเข้าถึงคนฟังได้ขนาดไหน

วิโอเลต: วีหวังว่ามันจะกว้างขึ้น หวังว่าเขาจะชอบ ถ้าได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเรากลับมาสู่จุดเริ่มต้นว่าได้ทำในสิ่งที่ชอบ แค่นั้นก็คงจะพอแล้วแหละ

The People: หลักสำคัญในการทำเพลงคืออะไร

วิโอเลต: เอาที่เราสบายใจ แล้วเรา comfortable คือด้วยความที่เราทำงานแบบไม่มี reference ปุ๊บ ก็คงไม่ไปซ้ำใครหรอก โอเค อาจจะมีเมโลดี้ซ้ำ แต่โน้ตมันมีอยู่แค่นั้นเราก็คงไม่รู้ตัว อาจจะเป็นสิ่งที่เราเสพมา แต่วีเชื่อว่าด้วยเรื่องที่เล่า ด้วยดนตรีที่ทำ ด้วยความรู้สึกทั้งหมด ก็คงมีแค่เราแล้วแหละ ทั้งโลกนี้คงมีเพลงนี้เพลงเดียว วีเชื่อมั่นว่าอย่าง ‘Brassac’ ลองไปเปิดดู ไม่น่าจะมีใครเหมือนเพลงนี้ของวี เพราะมันเป็นของเรา

The People: มองอย่างไรกับเรื่องลิขสิทธิ์การเป็นเจ้าของเพลง

วิโอเลต: วีเสียดายมากที่ไม่เข้าใจสิ่งนี้เร็วกว่านี้ด้วยซ้ำพูดตรงๆว่ามีลูกของวีที่ไม่ได้เป็นของวีอยู่เหมือนกันก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้รู้ถึงสิ่งนี้เร็วแต่ตอนนี้เรารู้แล้วเราก็โอเคอย่างน้อยยังเซฟลูกคนอื่นๆของเราทัน

The People: ทำไมการเป็นเจ้าของเพลงตัวเองแบบ 100% ถึงสำคัญ

วิโอเลต: วีว่าทุกวันนี้หลาย ๆ คนคงไม่ยอมยกลิขสิทธิ์ให้แล้วแหละ เพราะว่าฉันเขียนมาด้วยมันสมองของฉัน ฉันเขียนมาด้วยประสบการณ์ของฉันที่ฉันเจออะไรต่าง ๆ นานามา มันเป็นสิ่งที่ส่วนตัวมาก ๆ ทำไมฉันต้องให้อะไรที่ส่วนตัวขนาดนี้กับคนอื่นด้วย เหมือนฉันแชร์ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าฉันจะให้ เป็นคนละความรู้สึกกันเลย

The People: พูดถึงเพลงใหม่ อะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เขียน ‘Brassac’

วิโอเลต: ตอนนั้นเพิ่งกลับจากทริปที่ไป Brassac ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส แล้วก็ขับรถเฉย ๆ เลย เปิดเพลงฟัง แล้วมีอินโทรเพลงหนึ่งดังขึ้นมา วีชอบอินโทรนี้จังเลย ก็วนกลับไปฟังแค่อินโทรนี้ ไม่ปล่อยให้นักร้องร้อง วีชอบทางคอร์ดนี้มาก ๆ เลยลองฮัมอะไรของวีบนคอร์ดนั้น แล้วก็ปิดเพลงลงมือเขียนเลย เพราะรู้สึกว่าเป็นโมเมนต์ที่ดี การไปเที่ยวครั้งนั้นเรารู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตแบบเต็มที่ มันมีความสวยงามและชีวิตเหมือนอยู่ในหนัง รู้สึกว่าดีมากถ้าเขียนได้ แล้วจะดูโรแมนติกมากเลย

The People: เป็นเพลงที่แต่งจากเรื่องจริง?

วิโอเลต: Based on my opinion. true story แต่ว่า not the whole เป็นความจริงในแบบของเรา ซึ่งไม่ใช่ความจริงทั้งหมด บางอันเป็นการแต่งเติม แต่คือความจริงในแบบนั้น เหมือนความรู้สึกที่จริง แต่เรื่องราวก็เป็นไปได้ว่าเป็นเรื่องที่สร้าง

The People: ‘Brassac’ จะเป็นจุดเริ่มต้นของแนวเพลงต่อไปในอนาคตไหม

วิโอเลต: ก็ด้วย เหมือนเมื่อก่อนวีจะมีความ…ฉันจะดาร์ก ฉันจะนู่นนี่นั่น แล้วรู้สึกว่าเครียดเหมือนกัน ดนตรีดาร์กมันแน่นมากเลย สมมติฟังไปทั้งอัลบั้มก็เหนื่อยแล้ว เลยคิดว่าอัลบั้มนี้ควรจะยก ๆ ผ่อน ๆ บ้าง เหยียบ ๆ ผ่อน ๆ เลยมีความหลายอารมณ์อยู่ ซึ่ง ‘Drive’ กับ ‘Smoke’ ก็จะอยู่ในอัลบั้มนี้ แล้ว ‘Brassac’ จะเป็นโทนตรงกลางๆที่สว่างขึ้นมาแต่ไม่ได้สว่างจ้าแบบจ๋าๆขนาดนั้นเป็นเพลงที่เป็นตัววีอยู่มากๆมันเห็นการพัฒนาของดนตรีว่าทำไมถึงมาทางนี้ได้วีเลยแฮปปี้กับเพลงนี้

The People: ภาพรวมอัลบั้มนี้เป็นโทนแบบไหน

วิโอเลต: มันไม่ใช่เทา ๆ เลือกมาแค่สีเดียวไม่ได้เลย สำหรับวีมันคือ… นึกถึงตอนกลางคืนที่มีกลิตเตอร์โรยลงมา มันหม่นแต่ก็ bright สดใสในเวลาเดียวกัน วีว่าเป็น everyday มาก ๆ เลย

The People: ถ้าให้แต่งเพลงผ่านสิ่งต่าง ที่เกิดขึ้นตอนนี้ เพลงนั้นจะเป็นแนวไหน

วิโอเลต: คงเป็นเพลงที่ให้ความหวังและกำลังใจ เพลงเรายังไม่ค่อยมีเพลงให้ความหวังและกำลังใจ มันเป็นเพลงที่ฟังดูส่วนตัวทุกเพลงเลยเพลงที่เราเขียน เพราะงั้นอันนั้นอาจจะเป็น challenge ของวีที่ต้องลองเขียนเพลงที่ภาพกว้างขึ้นบ้าง ไม่ใช่แค่เป็นตัวบุคคลบ้าง ลองมาเป็นหมู่มวลบ้าง แต่อัลบั้มนี้ไม่ทันแล้วแหละ

The People: วีกับความรักครั้งใหม่ในวันนี้ ส่วนตัวเรามองความรักเปลี่ยนไปไหม

วิโอเลต: วียังเป็นแบบเดิมอยู่มองว่าความรักเป็นสิ่งที่ดีมีแล้วดีก็มีแล้วเหมือนค่อนข้างให้กำลังใจอย่างในวันที่เราแย่เราหันไปหาครอบครัวเรามีเขาเราก็จะรู้สึกว่าไม่ได้ตัวคนเดียวเรามีเพื่อนเรามีใครๆรอบตัวนั่นก็คือความรักที่ดีทั้งนั้น

The People: บทเรียนจากรักครั้งเก่าทำให้เราแข็งแรงขึ้น?

วิโอเลต: ทุกคนคงเป็นเหมือนกันว่าเราคงเติบโตขึ้น แล้วก็เคยตัดสินใจอะไรผิดพลาดไป เพราะฉะนั้นทุกคน make mistake ได้แต่ก็ต้องหยุดโทษตัวเองให้เข้าใจว่าโอเคเราพลาดยอมรับเดินออกมาแล้วพยายามทำทุกวันให้ดีที่สุดฟังดูเห่ยมากเลยแต่มันคืออย่างนั้นจริงๆ

The People: อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต

วิโอเลต: พออยู่ไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นว่าความสำคัญของชีวิตเราคืออะไร ครอบครัว คนใกล้ตัว คนที่เรารัก แล้วก็สุขภาพ แค่นั้นเลย นั่นคือโคตรเบสิกเลย แต่นั่นคือสิ่งที่เราควรจะแคร์ที่สุดในชีวิต

The People: การได้ทำเพลงของตัวเองถือเป็นความสุขที่สุดในตอนนี้?

วิโอเลต: เหมือนพอเป็นจริงแล้ว ฝันเราก็จะขยับไปเรื่อย ๆ มีฝันใหม่ ๆ มาเรื่อย ๆ ฝันเป็นจริงไปทีละฝันแหละ ความต้องการมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่แล้ว ถ้าเกิดหยุดฝัน ชีวิตเราคงนิ่งแล้ว เราคงไม่พยายาม ไม่ไปต่อ เราคง… เฮ้อ that’s why มนุษย์ถึงควรมีฝันประมาณหนึ่ง ฝันของบางคนอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องอาชีพก็ได้ ฝันบางคนอาจจะเป็นเรื่องการ travel หรือการได้ปลูกผักฉันได้ใช้ชีวิตที่เชียงใหม่แล้วได้ทำฟาร์มหรือความฝันของฉันคือได้ดูพ่อแม่ไปจนแก่นั่นคือความฝันทั้งหมด

สำหรับวี ตอนนี้ความฝันวีเปลี่ยนไปตามนั้น ถามว่าฝันเป็นจริงไหม ก็ติ๊กช่องเก่า ๆ ไป แล้วก็มีฝันใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บางฝันอาจจะใหญ่ขึ้น และยังไม่ถูกติ๊กออกไปจาก list ของเรา

The People: โดยรวมคิดว่าวงการเพลงให้อะไรกับเราบ้าง

วิโอเลต: วีได้ใช้ชีวิตมาก ได้ใช้ชีวิตใกล้เคียงความฝันตัวเอง จะมีสักกี่คนที่ได้ทำงานอดิเรกของตัวเอง แล้วได้เงินไปด้วย เลย appreciate สิ่งนี้มาก วีได้เจออะไรใหม่ ๆ เยอะเหมือนกัน ได้เจอคนใหม่ ๆ ได้เจอความรู้สึกใหม่ ๆ ได้เจอประสบการณ์ใหม่ ๆ ทำให้รู้สึก enjoy กับสิ่งที่ทำอยู่ วี appreciate วงการมาก ๆ แม้ว่าเราจะมีเรื่องที่ critique เหมือนกันเหมือนฉันรักโรงเรียนฉันมากเลยแต่ฉันก็เบื่อสิ่งนี้ของโรงเรียนฉันมากเลยวงการเพลงก็เป็นอย่างนั้น

ถ้าถามวี วีรักและ appreciate สิ่งนี้มาก เพราะไม่งั้นคงไม่อยู่ตรงนี้ แต่ก็มีบ้างที่หงุดหงิดกับสิ่งนี้จังเลย

The People: มี message อะไรที่อยากฝากถึงแฟนเพลงไหม

วิโอเลต: วี appreciate แฟน ๆ มาก ๆ ที่อยู่ตรงนั้นตลอด ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่วีไม่ได้บ้า สิ่งที่วีฝันอยู่ไม่ได้เป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ต้องขอบคุณเขามาก ๆ ขอบคุณที่ฟังเพลงวี ขอบคุณที่ทำให้ความฝันวีไปต่อได้ leave on ต่อได้ หวังว่าเขาจะชอบเพลงอื่น ๆ ของวีและในอนาคตวีเหมือนกัน พอเราชอบก็อยากแชร์สิ่งดี ๆ ให้ เรารู้สึกว่าเพลงที่เขียนมันดีนะ เราก็แชร์ให้

The People: หลังจาก ‘Brassac’ ในอนาคตจะมีเพลงปล่อยออกมาอีกไหม

วิโอเลต: เดี๋ยวมีอีกแน่นอน ตอนนี้ฝากเพลง ‘Brassac’ ไปก่อน สามารถฟังได้ทุกช่องทาง เอ็มวีปล่อยแล้ว อนาคตจะมีอะไรก็ฝากติดตามไว้เลย เพราะว่าเราอยากจะแชร์สิ่งที่เรารักให้

The People: ตอนนี้อยากให้คนอื่นเรียกเราว่าอะไร

วิโอเลต: ศิลปิน

The People: ตัวตนจริงของวิโอเลต วอเทียร์เป็นแบบไหน

วิโอเลต: วีเป็นมนุษย์มาก ๆ เป็นคนที่มีทุกอารมณ์ เป็นคนที่มีโมเมนต์ที่เฟรนด์ลี โมเมนต์ที่รู้สึกว่าอยากปิดตัวเอง อยู่ในโลกของตัวเอง คือมีทุกอารมณ์อยู่แล้ว แต่โดยรวม ๆ วีเป็นคนที่นิสัยดีแหละมั้ง ไม่งั้นไม่มีเพื่อนหรอกเนอะ รู้สึกว่าเป็นที่รักของครอบครัว แล้วก็คิดว่า… คิดว่านะ เป็นที่รักของเพื่อน ๆ อื้ม… น่าจะถูกแหละ

 

เรียบเรียงโดย: ศุภจิต ภัทรจิรากุล


How to แนะนำตัวเป็น English | พร้อมตัวอย่างค่ะ


นี้เป็นเพียงตัวอย่างน่ะค่ะ หวังว่าจะเป็นแนวทางให้หลายๆนำเอาไปใช้ได้น่ะค่ะ

➽ Facebook: http://www.facebook.com/TalkAmerican
✔ Fan Page: http://www.facebook.com/MsLinglingOfficial
☀ SocialCam: http://www.socialcam.com/u/3zgXfHoX
❤ Email: [email protected]
✿ IG: http://instagram.com/ms_lingling
♫ YouTube: http://www.Youtube.com/user/MsLingLing
♕Twitter: http://www.twitter.com/MsLing2
●▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬๑۩۩๑▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬●
‪‎เรียนภาษาอังกฤษ‬ ‪‎เก่งภาษาอังกฤษ‬ ‪‎TalkAmerican‬ ‪‎MsLingLing‬

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

How to แนะนำตัวเป็น English | พร้อมตัวอย่างค่ะ

4 แนวคำถามสัมภาษณ์นักเรียนแลกเปลี่ยน \”ยอดฮิต\”


สวัสดีค่ะ ช่วงนี้เห็นน้องหลายคนถามแนวคำถามสัมภาษณ์นักเรียนแลกเปลี่ยนเยอะมาก หลิงๆเลยตัดสินใจ รวมรวมคำถาม4แนวที่เจอบ่อยมากๆมาให้น้องค่ะ
หวังว่าวีดีโอพอจะเป็นแนวทางให้น้องๆ ยังไงก็สู้ๆน่ะค่ะ
➽ Facebook: www.facebook.com/TalkAmerican
✔ Fan Page: http://www.facebook.com/MsLinglingOfficial
☀ SocialCam: http://www.socialcam.com/u/3zgXfHoX
❤ Email: [email protected]
✿ IG: Ms_LingLing (http://instagram.com/ms_lingling)
♫ YouTube: http://www.Youtube.com/user/MsLingLing
♕Twitter: http://www.twitter.com/MsLing2

4 แนวคำถามสัมภาษณ์นักเรียนแลกเปลี่ยน \

UNSEEN EXCHANGE นักเรียนแลกเปลี่ยนการสอบสัมภาษณ์


ถ้าพูดวนไปวนมาต้องขออภัย เราไม่ได้เขียนสคริป T T

UNSEEN EXCHANGE  นักเรียนแลกเปลี่ยนการสอบสัมภาษณ์

แชร์ประสบการณ์สอบสัมภาษณ์นักเรียนแลกเปลี่ยน(AFS)….การสอบเป็นอย่างไร?


สอบสัมภาษณ์ การสอบมีอะไรบ้าง AFS
มีคำถามอะไรสามารถสอบถามได้ทางนี้เลยครับผม
IG: tonoak_16
https://www.instagram.com/tonoak_16/?hl=th
ขอบคุณสำหรับการรับชมน่ะครับ ผมไปสอบรุ่น59สอบติดตัวจริงประเทศจีนครับแล้วก็สละสิทธิ์เนื่องจากเป็นทุนทั่วไปบางส่วนจำเป็นต้องออกเอง ผมเลยอยากให้ข้อมูลสำหรับคนที่อยากไปครับผมเลยอยากแบ่งปันความรู้ด้วยกันเน๊อะ😁 ผิดพลาดตรงไหนก็ขออภัยใว้ด้วยน่ะครับผม😊👌👌

แชร์ประสบการณ์สอบสัมภาษณ์นักเรียนแลกเปลี่ยน(AFS)....การสอบเป็นอย่างไร?

เทคนิคสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว : We Mahidol


ปัจจุบันภาษาอังกฤษเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตของเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสาร การเรียน การทำงาน การใช้อินเตอร์เน็ต ดูหนัง ฟังเพลง รวมถึงการสมัครเข้าเรียนหรือเข้าทำงานในเกือบทุกอาชีพก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสอบเข้า ดร.พยุงศักดิ์ แก่นจันทร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีเทคนิคการสอบสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษมาแนะนำให้ทุกคนได้เรียนรู้ รับรองไม่ยากและเข้าใจง่าย
เทคนิคสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษ WeMahidol
YouTube : We Mahidol
Facebook : http://www.facebook.com/wemahidol
Instagram : https://www.instagram.com/wemahidol/
Twitter : https://twitter.com/wemahidol
มหาวิทยาลัย มหิดล Mahidol University : https://www.mahidol.ac.th/th/
Website : https://channel.mahidol.ac.th/

เทคนิคสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว : We Mahidol

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN TO MAKE A WEBSITE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ สัมภาษณ์ afs

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *