Skip to content
Home » [Update] รวมวิธีพูดภาษาอังกฤษแบบมืออาชีพในสถานการณ์ต่าง ๆ สำหรับคนทำงาน ตอนที่ 2 | การใช้ just – NATAVIGUIDES

[Update] รวมวิธีพูดภาษาอังกฤษแบบมืออาชีพในสถานการณ์ต่าง ๆ สำหรับคนทำงาน ตอนที่ 2 | การใช้ just – NATAVIGUIDES

การใช้ just: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

เราเคยแนะนำวิธีการพูดภาษาอังกฤษแบบมืออาชีพในสถานการณ์ต่าง ๆ ไปบ้างแล้วในบทความตอนที่ 1 แต่อย่างที่เรารู้กันดีว่าในโลกของการทำงานนั้นยังมีสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เราต้องเผชิญอีกมากมาย วันนี้ JobThai เลยมีวิธีการพูดภาษาอังกฤษในอีกหลาย ๆ สถานการณ์ที่คนทำงานอย่างเราต้องเจอมาฝาก

 

ดาวน์โหลด JADOH Learning Application ได้ที่นี่

iOS

Android

 

เคยไหมที่เรากำลังรองานบางอย่างจากเจ้านาย แต่เขาก็ยังไม่ทำงานนั้นให้เราสักที? ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้ เราสามารถบอกเจ้านายให้เขาทำงานแบบสุภาพ ๆ ได้ด้วยการใช้ประโยคที่แสดงออกว่าเรารู้ว่าเจ้านายก็มีงานยุ่งมาก และคงจะไม่มีเวลามากนัก เช่น “Have you had a chance to review…?” หรือ “Have you had the opportunity to look at…?” ซึ่งแปลว่า “ได้มีโอกาสดู…รึยังคะ?”

 

หลายครั้งที่เราต้องพูดคุยกันเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อย่างเช่นเรื่องงบประมาณในการทำงานหรือโปรเจกต์ต่าง ๆ ซึ่งขั้นตอนที่จะทำให้รู้สึกลำบากใจที่สุดก็คงหนีไม่พ้นตอนที่เราต้องการถามว่าเขาจะจ่ายเงินให้เราเท่าไหร่ จะให้ถามโต้ง ๆ ออกไปว่า “How much do you want to pay?” “คุณอยากจะจ่ายเท่าไหร่” ก็ดูจะตรงเกินไป ซึ่งถ้าเราอยากจะถามให้ฟังดูสุภาพมากขึ้น ก็สามารถพูดได้ 2 แบบ คือ

1. “Do you have a ballpark budget?”

2. “What is your price point for something like this?”

 

โดยทั้งสองประโยคเราสามารถใช้ได้ในกรณีที่ต้องการถามลูกค้าถึงจำนวนเงินที่เขาต้องการจ่ายให้เราแบบสุภาพ ๆ ว่าเขามีงบประมาณเท่าไหร่สำหรับงานที่กำลังพูดคุยกันอยู่

 

หลาย ๆ ครั้งที่คนทำงานอย่างเราต้องทำงานที่มีกระบวนการต่าง ๆ มากมายและต้องมีคนหลายคนเข้ามามีส่วนร่วมในงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อร่วมงาน เจ้านาย หรือแม้แต่ลูกค้า แต่ปัญหาที่คนจำนวนไม่น้อยเจอกันก็คือ คนเหล่านั้นยังไม่ทำงานในส่วนที่พวกเขาต้องรับผิดชอบให้เสร็จสักที ซึ่งถ้าเราอยากจะตามงานขึ้นมา ก็มี 3 วิธีที่เราสามารถใช้ได้โดยไม่ฟังดูหยาบคายเกินไป

 

1. เตือนเขาอย่างสุภาพผ่านข้อความหรืออีเมล

ในกรณีนี้เราจะใช้วลีว่า “A gentle reminder…” “ขออนุญาตแจ้งเตือน…” ซึ่งจริง ๆ แล้วเราอาจจะกำลังสื่อให้เขารับรู้ว่า ‘อย่าลืมเรื่องนี้นะ’ เช่น “A gentle reminder on the 18 puppies we need for our shoot next week!” “ขออนุญาตเตือนค่ะ อย่าลืมเรื่องลูกสุนัข 18 ตัวที่เราจะใช้สำหรับการถ่ายทำสัปดาห์หน้านะคะ”

 

2. ถามถึงแผนการดำเนินงาน

ใช้ประโยคคำถามถามถึงแผนการดำเนินงานและระยะเวลาที่งานจะเสร็จ แบบไม่กดดันเขาเกินไป โดยถามว่า “What’s your timeline on…?” “แผนการดำเนินงานมีอะไรบ้าง?” เช่น “What’s your timeline on getting in touch with our pancake supplier?” “แผนการดำเนินงานเพื่อติดต่อผู้จัดหาแพนเค้กมีอะไรบ้าง?” การถามแบบนี้ เมื่อผู้ตอบตอบแผนงานของเขามา เราก็เห็นถึงระยะเวลาที่คาดว่างานจะเสร็จได้

 

3. ถามว่าเขาต้องการความช่วยเหลืออะไรไหม

แทนที่จะถามว่างานไปถึงไหนแล้ว เราอาจจะถามเขาว่ามีอะไรให้เราช่วยเกี่ยวกับงานนี้ไหมแทน โดยใช้ประโยคว่า “Would you like any help on…?” “คุณต้องการความช่วยเหลือตรงไหนไหม?” เช่น “Would you like any help on that travel article?” “มีอะไรให้ช่วยเกี่ยวกับบทความท่องเที่ยวไหม?”

 

 

หลายคนมักจะติดใช้คำว่า Um, Uh, Just หรือ Really เพียงแค่เพราะว่าอยากจะถ่วงเวลาให้มีเวลาคิดนานขึ้นก่อนจะพูดอะไรออกมา ซึ่งการใช้คำพวกนี้โดยไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษมันทำให้ดูเหมือนเราขาดความมั่นใจ ดังนั้นถ้าอยากมีเวลาคิดเพิ่มขึ้น ลองเปลี่ยนมาใช้ 3 วิธีนี้แทน

 

1. ชมว่าเป็นคำถามที่ดีมาก

หลังจากฟังคำถามจบ ให้พูดออกไปก่อนว่า “That’s a great question.” “คำถามนี้ดีมากเลยค่ะ” เพื่อให้เรามีเวลาคิดสักแป๊บนึง แล้วค่อยตอบคำถาม ซึ่งนี่อาจจะเป็นโอกาสให้เราชมคนที่ถามคำถามได้ด้วย

 

2. ทวนคำถามที่เขาถาม

ใช้วิธีการทวนคำถามที่เขาถามมาอีกครั้ง ด้วยการพูดว่า “So what you’re asking is…” “สิ่งที่คุณกำลังถามคือ…” นอกจากจะถ่วงเวลาได้แล้ว ยังเป็นการทวนให้มั่นใจอีกครั้งด้วยว่าเราฟังคำถามถูกและเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการถามจริง ๆ

 

3. ตั้งสติและหยุดคิด

ไม่ต้องพูดอะไร แต่ให้หายใจเข้าลึก ๆ พยักหน้า หยุดสักนิด เพื่อตั้งสติและคิดสิ่งที่เราอยากจะพูด แล้วค่อยพูดออกมา

 

การจะตอบคำถามให้ออกมาดีนั้นเราควรจะมีการวางโครงสร้างการตอบคำถามด้วย เพื่อเรียงลำดับเหตุการณ์หรือความสำคัญของสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ ซึ่งเราอาจจะใช้วิธีเรียบเรียงคำตอบแบ่งให้ใจความที่ต้องการจะสื่อสารออกมาเป็น 3 ส่วน โดยใช้คำเชื่อมที่ทำให้ฟังดู Professional มากขึ้น โดยเริ่มต้นด้วยคำว่า “Firstly” ที่แปลว่า “อย่างแรก” เพื่อเป็นการเริ่มต้นบทสนทนา จากนั้นเราค่อยอธิบายเพิ่มเติมโดยใช้คำว่า “Secondly” “อย่างที่สอง” มาเชื่อมเนื้อหาที่เราจะพูด และก่อนที่เราจะจบสิ่งที่ต้องการพูด ก็อาจใช้คำว่า “Above all” “เหนือสิ่งอื่นใด” เป็นขั้นสุดท้าย

เมื่อเราถูกถามคำถามที่ไม่ใช่แค่อธิบายคำตอบเท่านั้น แต่ต้องมีการยกตัวอย่างเหตุการณ์หรือสถานการณ์ประกอบด้วย แทนที่เราจะพูดตัวอย่างเหล่านั้นเลย เราควรจะเริ่มต้นด้วยประโยคว่า “A great example that comes to mind is…” “ตัวอย่างที่นึกออกคือ…” เพื่อไม่ให้คำตอบหรือตัวอย่างที่เรายกมานั้นฟังดูห้วนเกินไป เช่น ถ้าเรากำลังสัมภาษณ์งานอยู่ และถูกถามถึงประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาเราก็สามารถใช้ประโยคดังกล่าว ก่อนจะอธิบายงานที่เราเคยทำ ด้วยการพูดว่า “A great example that comes to mind is when I worked in jewellery company as a marketing officer.”

 

ในการขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เราสามารถพูดให้น่าฟังและสุภาพมากขึ้นได้ ด้วยการใช้คำว่า Would และ Could ซึ่งสามารถใช้ขึ้นต้นประโยคต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ตัวอย่างเช่น

1. “Would you be able to print out the last meeting report?” “รบกวนช่วยปริ้นต์รายงานการประชุมครั้งก่อนให้หน่อยได้ไหมคะ?”

2. “Could you possibly help me with the new program?” “รบกวนช่วยดูโปรแกรมใหม่หน่อยได้ไหมคะ?”

 

ถ้าเราเห็นว่าเพื่อนร่วมงานกำลังยุ่งกับการทำงาน หรือกำลังดูเหมือนมีปัญหาอะไรบางอย่างที่เราน่าจะเข้าไปช่วยได้ เราสามารถพูดเพื่อเสนอตัวให้ความช่วยเหลือเขาได้ง่าย ๆ ด้วย 3 ประโยค ดังนี้

1. “Is there anything I can help?” “มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ไหม?”

2. “Can I give you a hand?” “ให้ฉันช่วยอะไรไหม?”

3. ถ้าถามแล้วแต่เขาตอบว่ายังไม่มีอะไรให้ช่วย เราก็ยังสามารถพูดได้อีกว่า “Give me a shout if you need anything.” “ถ้าเธอต้องการอะไรก็บอกฉันได้เลยนะ” เพื่อให้เขารู้ว่าเรายังคงพร้อมจะช่วยเขาอยู่

 

หลายครั้งที่เกิดปัญหาในการทำงานเนื่องจากการสื่อสารที่ผิดพลาด และไม่มีการคอนเฟิร์มข้อมูลต่าง ๆ ให้ชัดเจน และให้แน่ใจว่าทุกฝ่ายเข้าใจและได้รับข้อมูลที่ตรงกัน ซึ่งการพูดเพื่อคอนเฟิร์มนั้น มี 2 ประโยคที่สามารถนำไปใช้ได้ คือ

1. “I just want to make sure that…”

2. “I just want to be absolutely clear that…”

 

โดยทั้ง 2 ประโยคนี้มีความหมายว่า “ฉันต้องการคอนเฟิร์มว่า…” ซึ่งหลังจากพูดแล้วเราสามารถพูดรายละเอียดเรื่องที่เราต้องการคอนเฟิร์มต่อได้เลย

 

คนทำงานแทบทุกคนต้องเคยผ่านการนำเสนอมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานหรือโปรเจกต์ต่าง ๆ และการเริ่มต้นการนำเสนอที่ดีจะช่วยดึงดูดความสนใจจากคนที่กำลังฟังเราได้ โดยเฉพาะการบอกให้คนฟังรู้ตั้งแต่เริ่มว่าในการนำเสนอครั้งนี้ เรากำลังจะพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งเราสามารถพูดตามสเต็ปได้ดังนี้

1. แนะนำตัวเองและพูดถึงหัวข้อที่เราจะนำเสนอด้วยประโยคที่ว่า “Today, I’m going to present…”

2. จากนั้นให้บอกผู้ฟังถึงประเด็นคร่าว ๆ ที่เราจะพูด ว่าเราจะเริ่มที่เรื่องอะไร ด้วยประโยค “I’ll start by…” และจะต่อด้วยเรื่องอะไร ด้วยประโยค “And then I’m going to move on to explain…”

3. อย่าลืมจบประเด็นสุดท้ายที่เราจะนำเสนอด้วยคำว่า “Finally”

 

ตัวอย่าง

Hello, my name is Lita from Cargo Express. I am very happy to be here. Today, I’m going to present our brand new tracking system. I’ll start by telling you a bit about Cargo Express and some services we provide at our company. And then I’m going to move on to explain how this new tracking system works. Finally, you will have a chance to try this system and ask questions.

 

เป็นยังไงบ้างกับการพูดภาษาอังกฤษในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เราเอามาฝากกัน แต่นอกจากทั้งหมดในบทความนี้แล้ว เรายังมีภาษาอังกฤษสำหรับคนทำงานอีกหลายบทความรอคุณอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการพูดตามสถานการณ์ต่าง ๆ หรือการใช้คำศัพท์ที่จะทำให้ดู Professional มากขึ้น คลิกที่บทความที่สนใจได้เลย

 

 

หางาน สมัครงานง่าย ๆ ด้วย JobThai Mobile Application

iOS

Android

Huawei AppGallery

 

 

JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน

Public group · 200,000 members

Join Group

 

[NEW] หลักการใช้ Conjunction ฉบับเข้าใจง่าย | การใช้ just – NATAVIGUIDES

เคยสงสัยไหมครับว่าเวลาเราใช้ภาษาในการสื่อสาร ไม่ว่าจะพูดหรือจะเขียน เราทำให้ประโยคแต่ละประโยคเหล่านั้นมีความสัมพันธ์สอดคล้องและเป็นใจความเดียวกันได้อย่างไร หากใครสงสัย ขอให้ยกมือขึ้นและตามผมมาเลยครับ (หรือหากไม่สงสัยก็ขอให้ตามมานะครับ แฮ่ๆ)

ไม่ว่าจะภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษเองก็ตาม ล้วนแล้วแต่ต้องนำเอาคำ วลี หรือประโยคตามๆมาเรียงร้อยให้มีความสัมพันธ์กัน โดยมีคำประเภทหนึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อม ซึ่งเราเรียกว่า คำสันธาน หรือ Conjunction นั่นเองครับ

conjunction

Conjunction สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ได้ 3 กลุ่มด้วยกัน

1. Coordinating Conjunction

คือคำสันธานที่ใช้เชื่อมคำหรือประโยคสองอันเข้าด้วยกัน โดยสองข้อความที่ถูกเชื่อมนั้นจะต้องมีน้ำหนักหรือความสำคัญเท่ากันครับ เช่น and, yet, but, for, so, nor, neither, or

  • and ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นไปในทางเดียวกัน (แปลว่า และ)

เช่น  I love you and you love me too. (ฉันรักเธอ และ เธอก็รักฉัน)

  • yet และ but ใช้เชื่อมประโยคที่ขัดแย้งกัน (แปลว่า แต่)

เช่น  My brother worked hard but he did not succeed. (พี่ชายของฉันทำงานหนัก แต่ เขาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ)

  • for ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นเหตุเป็นผลกัน (โดย for จะแสดงเหตุ ส่วนตัวผมจะแปลว่าเพราะ)

เช่น  He went in, for the door was open. เขาเข้าไป เพราะ ประตูเปิดอยู่ (สังเกต for จะนำหน้าประโยคที่เป็นเหตุ)

  • so ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นเหตุเป็นผลกัน (โดย so จะแสดงผล แปลว่า ดังนั้น)

เช่น  The door was open so he went in. ประตูเปิดอยู่ ดังนั้น เข้าจึงเข้าไป (สังเกต so จะนำหน้าประโยคที่เป็นผล)

  • nor และ neither ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นไปในเชิงปฏิเสธทั้งคู่ (อาจแปลได้ว่า ไม่ทั้งสองอย่าง)

เช่น  He nor I was there. เขาและฉัน ไม่ ได้อยู่ที่นี่ (มาจาก He wasn’t there and I weren’t there.)

  • or ใช้เชื่อมประโยคที่แสดงทางเลือก (แปลว่า หรือ)

เช่น  She wants to watch TV or (to) listen to some music. เธอไปดูทีวี หรือ ไปฟังเพลง ( to หน้า listen อาจละไว้ได้)

2. Subordinating Conjunction

คือคำสันธานที่ใช้เชื่อมประโยคใจความรองเข้ากับประโยคใจความหลัก เช่น after, because, if, although, before, since, that, unless, until, when, as soon as

  • after (หลังจาก)

เช่น  The girl cried after the boy left. เด็กหญิงร้องไห้ หลังจาก เด็กชายจากไป

  • because (เพราะว่า)

เช่น  The boy was absent because he was ill. เด็กชายขาดเรียน เพราะว่า เขาป่วย

  • if (ถ้าหาก)

เช่น  Stay indoors if it rains. อยู่ในร่ม ถ้าหาก ฝนตก

  • although (ถึงแม้ว่า)

เช่น  Although it was cold, I went swimming. ถึงแม้ว่า จะหนาวแต่ฉันก็จะไปว่ายน้ำ

  • before (ก่อน)

เช่น  Clean the room before I go. ทำความสะอาดห้อง ก่อน ที่ฉันจะไป

  • since (ตั้งแต่)

เช่น  He has been busy since he came. เขายุ่ง ตั้งแต่ เขามา

  • that (เพราะนั่น)

เช่น  Hold it up so that everyone can see it. ชูมันขึ้น เพราะนั่น จะทำให้ทุกคนมองเห็นมัน

  • unless (เว้นแต่)

เช่น  I’ll be there at nine, unless the train is late. ฉันจะอยู่ที่นั้นตอนเก้าโมง เว้นแต่ รถไฟจะมาสาย

  • until (จนกระทั่ง)

เช่น  They did not come until the meeting was half over. พวกเค้าไม่มา จนกระทั่ง การประชุมผ่านไปเกินกว่าครึ่ง

  • when (ในขณะที่)

เช่น  He is impatient when he is kept waiting. เขาจะหงุดหงิด ในขณะที่ เขาต้องรอ

  • as soon as (ทันทีที่)

เช่น  I’ll leave for the funeral as soon as the meeting ends. ฉันจะออกจากที่นี่เพื่อไปงานศพ ทันทีที่ ประชุมเสร็จ

3. Correlative Conjunction

คือคำสันธานที่ต้องใช้คู่กันเสมอ(มาคู่กันเหมือนแฝด) โดยจะทำหน้าที่คล้ายๆกับ Coordinating Conjunction คือเชื่อมประโยคที่มีความสำคัญเท่ากันครับ เช่น not only…..but also, either…..or,  as…..as,  so as to,  both…..and

  • not only…..but also (ไม่เท่านั้น…แต่อีกด้วย)

เช่น  Man needs not only food but also shelter. มนุษย์ไม่เพียงแต่ต้องการอาหารเท่านั้นยังต้องการที่พักอาศัยอีกด้วย

  • either…..or (ไม่….หรือ/ก็)

เช่น  You can either sleep or eat. คุณไม่ นอนหลับก็ กิน (ประมาณว่าเลือกได้ว่าจะนอนหรือจะกิน อะไรจะสบายขนาดนั้นว่าไหมครับ)

  • as…..as (เป็นการใช้เชื่อมประโยคที่แสดงอะไรที่เท่ากัน)

เช่น  She runs as fast as I do. เธอวิ่งเร็วเท่าฉัน (นำคำที่เราต้องการเปรียบเทียบใส่ไปในระหว่าง as กับ as จากตัวอย่างใส่คำว่า fast เป็นการเปรียบเทียบความเร็ว)

  • so as to (เพื่อที่จะ)

เช่น  I study hard so as to pass the exam. ฉันเรียนหนัก เพื่อที่จะ ได้สอบผ่าน (to ตามด้วยกริยาช่องที่ 1 ไม่เติม s)

  • both … and (ทั้ง…และ) 

เช่น  I enjoy both singing and dancing. ฉันมีความสุขกับการร้องเพลงและการเต้น

หากจะมานั่นไล่เรียงถึง Conjunction ทีละตัวละก็ ผมว่าเราคงต้องพูดกันจนอายุสามสิบแน่ๆครับ (แฮ่ๆ อาจจะเกินจริงไปนิด เพียงแค่ผมอยากจะบอกว่าความจริง Conjunction มีเยอะมากครับ)

เอาเป็นว่าถ้าเรารู้ว่า Conjunction คืออะไร มีกี่กลุ่ม แต่ละกลุ่มใช้อย่างไร ก็น่าจะเพียงพอแล้วนะครับ ส่วนคำอื่นที่ผมไม่ได้พูดถึงถ้าเรามีโอกาสไปพบเจอก็ค่อยๆทำความรู้จักและลองนำมาใช้งานดูนะครับ

อ่านเกี่ยวกับ Grammar เพิ่มเติมได้ที่นี่


ติว TOEIC : Present Perfect สอบบ่อยสุด! ทำยังไงให้รอด⁉


จำไม่เคยได้ ❌ โครงสร้าง Present Perfect 🔥
ออกสอบบ่อยสุด!! ทำยังไงให้รอด⁉ คลิปนี้มีคำตอบ
.
แจกกลอน ไปท่องจำ แต่งอย่างดี!‼
จำโคตรง่าย ท่องครั้งเดียวก็จำได้ ใช้ได้จริงในห้องสอบ
ไม่อยากตกม้าตาย รีบกดแชร์ ⚠ ครูดิวเตือนแล้วนะคะ
‍‍ ‍‍‍‍‍‍‍‍ ‍‍ ‍‍ ‍‍ ‍‍
อ่อนแกรมม่า!🚫 ถ้ายังไม่มั่นใจว่า TOEIC จะรอด
ต้องเริ่มติวได้แล้ว!!
‍‍‍‍‍‍‍‍ ‍‍ ‍‍ ‍‍ ‍‍
อยากได้คะแนนสูงๆ✨ให้ครูดิวติวให้ชัวร์ ตั้งแต่ตอนนี้!!
การันตีผล 750+ ไปสอบแล้วไม่ถึง ยินดีให้เรียนซ้ำฟรี!
‍‍ ‍‍‍‍‍‍‍‍ ‍‍ ‍‍ ‍‍ ‍‍
📍สนใจสมัครคอร์ส 💬
📍สอบถามรายละเอียดคอร์สกับแอดมิน ได้ทาง
📍Inbox : m.me/TOEICKruDew
📍ทดลองเรียนฟรี : www.opendurian.com/toeic_krudew
📍Add Line : https://lin.ee/nrn6h06
📍IG\u0026TikTok : @krudewtoeic
‍‍ ‍‍ ‍‍
toeic krudewtoeic ติวtoeic grammar english

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

ติว TOEIC : Present Perfect สอบบ่อยสุด! ทำยังไงให้รอด⁉

Off-Grid Living in a 5x 20ft Shipping Container Home


If you’re a fan of shipping container homes, then this is a video tour you won’t want to miss! In this weeks episode we meet Rosie, who has constructed an incredible offthegrid home out of five 20ft shipping containers.
Rosie’s home is situated in the middle of a spectacular conservation block and her beautiful modern shipping container home has been wonderfully designed to take full advantage of the beautiful surrounding landscape.
Best of all, this home is completely off the grid, with solar power, rainwater collection and even a vermicomposting toilet, meaning she will never need to see another power or water bill again.
We hope you enjoy the full tour of this brilliant shipping container home.
Find out more about this tiny house and others on our website: https://www.livingbiginatinyhouse.com/
Follow us on Instagram: https://www.instagram.com/livingbiginatinyhouse
Follow us on Facebook: http://www.facebook.com/livingbiginatinyhouse
Follow us on Twitter: https://twitter.com/tinyhousenz
Please subscribe for more videos on tiny houses, architecture, DIY, design, and sustainable, offgrid living.
Title music in this video by Bryce Langston: http://www.youtube.com/brycelangston
Presented and Produced by: Bryce Langston
Camera: Rasa Pescud \u0026 Bryce Langston
Editing: Rasa Pescud \u0026 Archmage Cappuccino
‘Living Big in a Tiny House’ © 2021 Zyia Pictures Ltd

Off-Grid Living in a 5x 20ft Shipping Container Home

เพียงสบตา Ost.บุพเพสันนิวาส | ลีเดีย ศรัณย์รัชต์ | Official MV


Digital Download 4933066
เพลง เพียงสบตา (เพลงประกอบละครบุพเพสันนิวาส)
ศิลปิน ลีเดีย ศรัณย์รัชต์
คำร้อง ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์
ทำนอง/เรียบเรียง Banana Boat
เพราะดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ “เพียงสบตา” ก็ทำให้รู้ว่าใครคนนั้นคิดอย่างไรกับเรา อีกหนึ่งเพลงรักแสนหวาน ประกอบละคร “บุพเพสันนิวาส” ขับร้องโดย “ลีเดีย ศรัณย์รัชต์” ที่ห่างหายจากการร้องเพลงประกอบละครช่อง 3 ไปนานถึง 3 ปี ตั้งแต่เพลงประกอบละคร เพื่อนรักเพื่อนริษยา ไม่ว่าจะเป็นเพลงเศษใจ และเพลงอยากได้เอาไป กลับมาในครั้งนี้ถือว่าแตกต่างจากเดิมเพราะลีเดียต้องดีไซน์การร้องผสมผสานความเป็นไทยเดิมลงไปในเพลงด้วย

iTunes, Apple Music: https://apple.co/2o9g1GJ
Qikplay: http://bit.ly/2C7MKVB
ฟังเพลงอัลบั้ม นี้ผ่าน JOOX Music, TrueID Music
JOOX Music: http://bit.ly/2CudKKF
TrueID Music: http://bit.ly/2o9sfza
FB : http://www.facebook.com/ChandelierMusicLabel และ http://www.facebook.com/ch3soundtrack
IG : @chandelier_music และ @ Ch3Thailand Music
Youtube : Ch3Thailand Music WWW.เพลงละครช่อง3.com
เคยได้ยินได้ฟัง บอกให้ฉันเข้าใจ ยามเมื่อจะรักใคร ให้จ้องตาคู่นั้น
จะรับรู้เรื่องราว ความจริงใจให้กัน จะรักจริงรักมั่น มองที่ตาข้างใน
ต่อให้เธอเป็นใครต่างกันเท่าไหร่ แค่เพียงมีใจรักกัน
ฉันสัมผัสรักของเธอได้จากสายตา
เพียงสบตาเท่านั้น หัวใจฉันก็อบอุ่นใจ
เพียงสบตาเธอนั้น ฉันก็รู้ทันใด ว่าเธอคือใครคนนั้นที่ฉันรอ
ให้ความรักของเรา ผูกพันใจสองใจ
ยามต้องไกลแสนไกล นึกถึงตาคู่นั้น
(ซ้ำ ///)

เพียงสบตา Ost.บุพเพสันนิวาส | ลีเดีย ศรัณย์รัชต์  | Official MV

แกรมม่าภาษาอังกฤษ ฉบับเข้าใจง่าย Ep.3 Just/Already/Yet (Present Perfect) | เรียนภาษาอังกฤษกับครูใหม่


Just/Already/Yet (Present Perfect Tense) นำไปใช้ต่างกันยังไงนะ?
แกรมม่าภาษาอังกฤษ ฉบับเข้าใจง่าย Ep.3
.
.
“Become New You who can Speak English | เป็นคุณคนใหม่ที่พูดภาษาอังกฤษได้(ซะที)”
อยากพูดเก่งจริงๆ..ก็ต้องฝึกฝนจริงจังค่ะ เรียนภาษาอังกฤษด้วยวิธีธรรมชาติกับครูใหม่
1. ฟื้นฟูภาษาอังกฤษทุกทักษะ เน้นฟังและพูดเยอะ
https://www.goodenoughenglish.com/onlinecourse
2. Ebook \u0026 iAudio ฝึกเขียนฝึกพูดภาษาอังกฤษ วันละหน้า 365 วัน
https://www.goodenoughenglish.com/ebookiaudio
พูดคุยกับครูใหม่ได้ที่ Line ID: @geemaismile (https://lin.ee/t69ufjJ)
เว็บไซต์/บล๊อกสอนภาษาฟรี : https://www.goodenoughenglish.com
วีดีโอทั้งหมดใน YouTube : https://www.youtube.com/krumaienglishyouniverse
Facebook Page: http://Facebook.com/krumaienglishyouniverse
Instagram : https://www.instagram.com/krumaienglishyouniverse

แกรมม่าภาษาอังกฤษ ฉบับเข้าใจง่าย Ep.3 Just/Already/Yet (Present Perfect) | เรียนภาษาอังกฤษกับครูใหม่

Introducing iPhone 13 Pro | Apple


The biggest upgrade to the Pro camera system with advanced lowlight performance, macro photography, Cinematic mode, and more. Super Retina XDR display with ProMotion. A15 Bionic, the world’s fastest smartphone chip. Exceptional durability of Ceramic Shield. A huge leap in battery life. This is iPhone 13 Pro.
“Trustfall” Repository, Juliette Jones http://apple.co/RepositoryJulietteJones
Learn more: https://apple.co/3C8kwVJ
iPhone13Pro iPhone13 AppleEvent
Welcome to the official Apple YouTube channel. Here you’ll find news about product launches, tutorials, and other great content. Our more than 160,000 employees are dedicated to making the best products on earth, and to leaving the world better than we found it.

Introducing iPhone 13 Pro | Apple

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆMAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ การใช้ just

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *