Skip to content
Home » [Update] ประสบการณ์ และคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตในประเทศเบลเยียม | เบลเยียม ใช้ภาษาอะไร – NATAVIGUIDES

[Update] ประสบการณ์ และคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตในประเทศเบลเยียม | เบลเยียม ใช้ภาษาอะไร – NATAVIGUIDES

เบลเยียม ใช้ภาษาอะไร: คุณกำลังดูกระทู้

บทสัมภาษณ์ผู้หญิงไทยที่ย้ายไปอยู่ยังต่างประเทศ ครั้งนี้ผมอยากจะแนะนำให้คุณได้รู้จักกับผู้หญิงไทยที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ยังประเทศสเบลเยียม เธอคือคุณ Rattanakorn Gróf และนี่คือ มุมมอง ประสบการณ์ และคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตในประเทศเบลเยียม

ผมอยากจะแนะนำคุณรู้จักกับคุณ Rattanakorn Gróf  (ชื่อเล่น) สา หรือ เอี้ยง

ย้ายมาอยู่ประเทศเบลเยียม (Belgium)

เมือง: Jabbeke, Brugge

รูปถ่ายทั้งหมดนี้คือผลงานตัวอย่างส่วนหนึ่งของคุณ Rattanakorn Gróf

YouTube: Happy Life by Usa

เริ่มตั้งแต่แรกเลยคุณมาอยู่ประเทศเบลเยี่ยมเพราะอะไร

ติดตามสามีมาทำงานที่นี่คะ จริงๆแล้ว สาไม่ได้เป็นสะใภ้เบลเยี่ยมนะคะ แต่เป็นสะใภ้ฮังการีคะ เนื่องจากสามีมาทำงานที่เบลเยียมร่วม 10 ปีแล้ว เราเลยได้มาด้วยกัน

และคุณอาศัยอยู่ที่เมืองอะไรในประเทศเบลเยี่ยมครับ

Jabbeke, Brugge คะ

คุณเกิดและเติบโตที่ไหนที่ประเทศไทยครับ ช่วยบอกเราได้ไหมครับว่าชีวิตวัยเด็กนั้นเป็นอย่างไรครับ

เกิดและเติบโตที่จังหวัดสุรินทร์คะ
ชีวิตในวัยเด็กเป็นค่อนข้างซน และชอบปีนป่ายเหมือนเด็กผู้ชาย แต่ในความซนก็ยังมีกฎระเบียบเคร่งครัดมากจากคุณตา เพราะคุณตาเคยเป็นทหารมาก่อน และคุณตาอาศัยอยู่กับเราตลอดเวลากระทั่งท่านเสียชีวิต แต่ระเบียบนั้นเกิดกับสาแค่คนเดียว น้องๆไม่เคยโดน เพราะมาในยุคของน้อง จะถูกเลี้ยงแบบอิสระมากกว่าคะ และสาต้องช่วยแม่เลี้ยงน้อง เพราะเป็นลูกคนโต และมีน้องสาวอีก 2 คนคะ เนื่องจากพ่อประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตตอนที่ดิฉันอายุ 7 ขวบและน้องคนเล็กเพิ่งเกิดไม่กี่เดือน แม่จึงต้องเป็นหลักให้ครอบครัว พวกเรารักและภูมิใจตัวแม่มากๆ ท่านเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมาจนถึงปัจจุบัน แต่ท่านสามารถส่งพวกเราทั้ง 3 คนได้เรียน และสำเร็จการศึกษาทุกคน ทำให้เรามีหน้าที่การงานที่ดีได้ เพราะคนไทยส่วนมากคิดว่างานราชการเป็นงานที่มั่นคง แต่สาเป็นคนเดียวในบ้านที่คิดว่า งานราชการและงานธนาคารเป็นงานสุดท้ายที่จะเลือกทำ เพราะคิดว่าระบบช้า เงินช้า นายเยอะ เนื่องจากเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะคนที่รายล้อมเรา เช่น ลุง น้า ลูกพี่ลูกน้อง ฯลฯ ล้วนเป็นคนใน 2 อาชีพนี้ แต่สุดท้ายสาก็เป็นเหมือนทุกคน เพื่อแม่จะได้ภูมิใจ

คุณทำอาชีพอะไรครับ และคุณเคยทำอาชีพอะไรมาบ้างครับตั้งแต่มาอยู่ที่ประเทศเบลเยียมครับ / คุณพูดภาษาดัตช์ได้ไหม คุณคิดว่าภาษาดัตช์ยากสำหรับคุณไหมและคุณใช้เวลาเรียนรู้ฝึกฝนนานแค่ไหนกว่าคุณจะพูดภาษาดัตช์เข้าใจและสื่อสารได้ และคุณพูดภาษาอื่นได้อีกไหม

ตอนนี้เป็นแม่บ้านเต็มตัวคะ เพราะสามีบอกว่าให้พักก่อน แต่จริงๆแล้วยังมีลูกเล็กที่ต้องดูแล เพราะไม่มีคนช่วยเหมือนตอนอยู่ไทย ซึ่งจะมีแม่คอยช่วยเลี้ยงหลาน และเราสามารถทำงานได้คะ แต่ที่นี่เรามีแค่ครอบครัวเรา รวมทั้งสามีต้องทำงาน และไปต่างประเทศบ่อยๆ เลยต้องรอให้ลูกเข้าโรงเรียนก่อนคะ
แรกๆที่มาแทบบ้าเลยคะ เพราะทำงานมาตลอดไม่เคยหยุด แต่ต้องมาอยู่บ้านเฉยๆ รู้สึกเบื่อ นานมากๆ กว่าจะเริ่มชิน เพราะมีความรู้สึกว่าอยากช่วยสามี อยากมีรายได้เป็นของตัวเองเหมือนเคย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสามีดูแลเป็นอย่างดี อยากได้อะไรเขาก็ซื้อให้ แต่ความรู้สึกเราคือเกรงใจมาก

โห…เยอะมาก เคยเป็นโอเปอเรเตอร์, หัวหน้าฝ่ายกิจกรรมการตลาด, รีเซฟชั่นโรงแรม, เลขานุการฝ่ายประกันคุณภาพ และงานสุดท้ายก่อนที่จะมาอยู่ต่างประเทศ คือรับราชการการในมหาวิทยาลัย โดยอยู่ในฝ่ายนโยบายและวางแผน ทำในส่วนหัวหน้าฝ่ายควบคุมงบประมาณคะ

อย่างที่บอกไปข้างต้นคะ ยังพูดไม่ได้เลย เพราะเมื่อตอนมาถึงประมาณ 4 เดือน เกิดตั้งครรภ์และสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เลยต้องอยู่บ้าน ประกอบกับลูกสาวคนโตไปโรงเรียนและกลับมาทานข้าวกลางวันที่บ้านทุกวัน เลยต้องอยู่เตรียมอาหารให้ลูก สอนการบ้านลูกก็ใช้ทรานสเลทเอาคะ รวมทั้งสามีไม่ค่อยอยู่ ทำให้ยังไม่มีโอกาสได้ไปโรงเรียน แต่ตั้งใจแน่วแน่ตั้งแต่ก่อนจะมาแล้ว ว่าอยากไปเรียนภาษา เพื่อจะได้เข้าใจภาษาดัตช์ อยากคุย อยากหัวเราะกับเพื่อนสามีเหมือนคนอื่นๆ ตอนนี้ยังไม่ได้ไปเรียน แต่เมื่อมีเวลาว่าง จะพยายามเรียนออนไลน์จากยูทูป และโหลดโปรแกรมมาเรียนคะ ส่วนใหญ่สื่อสารในบ้านภาษาอังกฤษ และกับทุกคนก็ใช้ภาษาอังกฤษคะ

ในมุมมองของตัวเองนะคะ คิดว่าทุกภาษาไม่ได้ยาก และก็ไม่ได้ง่าย แต่ต้องมีความพยายามที่จะเรียนรู้ แต่ธรรมชาติของคน จะชอบคิดหรือจินตนาการไปล่วงหน้าก่อน ว่ายาก ว่าทำไม่ได้ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลอง เมื่อก่อนสาเองก็ไม่ค่อยกล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษ ทั้งๆที่เรียนคือ A มาตลอด แต่ในทางกลับกัน การเรียนในห้องเรียนจะแตกต่างจากชีวิตจริงมากๆ ชีวิตจริงรู้คำศัพท์ไม่พอ แต่ต้องมีความมั่นใจด้วยว่า ทำได้
เคยมีสามีของลูกพี่ลูกน้องที่เป็นต่างชาติ เขาบอกว่า พูดออกมาเลย ไม่ต้องอาย ไม่ต้องทั้งประโยค ถ้าเขาเข้าใจเขาจะตอบกลับ แต่ถ้าไม่เข้าใจเขาก็จะถามเพื่อให้เราพูดใหม่ เพราะมันไม่ใช่ภาษาพ่อแม่เรา ตั้งแต่วันนั้นก็มีความมั่นใจมากขึ้น และยังช่วยแนะนำคนอื่นได้ด้วยคะ

ในส่วนของภาษาดัตช์ตอนนี้พยายามใช้ ทักทาย ขอบคุณ ขอโทษ แนะนำตัว อะไรประมาณนี้ไปก่อนคะ

ภาษาอื่นที่ต้องรู้ ก็คือภาษาฮังกาเรียน เพราะต้องคุยกับแม่สามีคะ ก็คล้ายๆ กันกับภาษาดัตช์ รู้ในระดับพื้นฐานไปก่อน แต่แม่ย่ามีความน่ารักมากๆ คะ เพราะท่านพยายามสื่อสารกับเราเป็นภาษาอังกฤษ รวมไปถึงน้องชายสามีและภรรยาของเขาคะ

ในมุมมองของคุณ คุณคิดว่ามันยากไหมสำหรับการที่คนไทยต้องปรับตัวไปใช้ชีวิตแบบคนเบลเยียม แล้วถ้ามันยาก มันยากยังไง และอะไรเป็นเรื่องที่ปรับตัวยากที่สุด

ส่วนตัวคิดว่าไม่ยาก เพราะเป็นคนที่ปรับตัวง่ายมากๆ เพราะเวลาไปต่างประเทศตอนที่ยังอยู่ไทย จะชอบลองอาหารในประเทศนั้นๆ แต่ก็คงไม่ต่างจากหลายๆคน ที่เวลาเดินทางจะพกมาม่าหรือซอสติดตัวไปด้วย เราก็พกเหมือนกัน แต่ส่วนมากแบ่งให้คนอื่น และส่วนตัวไม่ได้ติดข้าวเป็นหลักบางทีเดือนละครั้ง เจ้าของร้านไทยสงสัย เนื่องจากเวลาซื้อข้าวสาร มากสุด 2 กิโลกรัม แต่คนไทยอื่นๆ ซื้อคนละ 1-2 กระสอบ เพราะทานอาหารเหมือนสามีและเพื่อนต่างชาติคนอื่นๆคะ เนื่องจากมันง่ายต่อการทำ และไม่ต้องหลายอย่าง เป็นคนไม่ค่อยเน้นอาหารไทยมากเท่าไร เลยค่อนข้างสบายๆ ส่วนตัวชอบทั้งอาหารฮังกาเรียน, อาหารไทย และอาหารที่นี่ แต่สำหรับคนที่งดข้าวไม่ได้ ขาดปลาร้า ฯลฯ ไม่ได้ก็คงลำบากหน่อยในเรื่องอาหาร

ส่วนเรื่องวัฒนธรรมก็ไม่ใช่ปัญหา ประมาณว่าทำการบ้านมาดีมั้งคะ เพราะส่วนมากชอบเข้าเว็บไซต์หาความรู้ก่อนที่จะเดินทางต่างถิ่น แม้ในประเทศไทยคะ และเคยชินเวลาลูกพี่ลูกน้องและสามีกลับไทย ก็จะมีกอด และแก้มชนแก้มซ้ายขวาอยู่แล้ว เลยไม่รู้สึกเขินอายเวลาที่ต้องทำคะ แต่เรามีข้อตกลงกับสามีว่าถ้าต่อหน้าคนอื่นที่ไทยเราจะไม่กอดหรือจุ๊บ เพราะวัฒนธรรมธรรมไทย ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ต้องกระทำในที่ส่วนตัว คนละครึ่งทาง สามีก็เข้าใจและยอมรับคะ แต่บางคนที่ไม่ทำก็ไม่คิดจะทำเลยคะ เพราะรู้จักคนหนึ่ง อยู่มาเกือบ 11 ปี เขาบอกว่าไม่ชอบ และไม่อยากทำประมาณนี้คะ เลยแนะนำเขาว่าควรจะทำ เพราะถ้าทำบ่อยๆมันจะชินไปเอง
ส่วนกับลูกก็จะบอกว่า ข้างนอกเขายังไง มีกฎระเบียบอะไรก็ต้องทำตามให้เหมือนคนอื่นๆ ส่วนในบ้านจะไม่ทำก็ได้ มาแรกๆ ไปโรงเรียนไม่ค่อยมีเพื่อน เลยบอกลูกไปว่า ทักทายเขาก่อน ยิ้มให้ก่อน แล้วเพื่อนจะอยากเข้าหาและรู้จักเอง และตอนนี้ลูกสาวมีเพื่อนเยอะมาก และทุกคนรัก อยากมาหาที่บ้าน อยากชวนไปบ้าน

ในเรื่องอากาศสบายมากๆ เลยคะ เพราะเป็นคนชอบอากาศเย็นอยู่แล้ว แต่ก็มีบางคนที่กลับไปอยู่ไทยช่วงฤดูหนาว (ก่อนโควิด)

เรื่องภาษาคะ ที่เคยได้ยินคนบ่นว่ายากมากที่สุด ส่วนตัวที่ยังไม่เรียนก็คิดว่ายากคะ แต่คงไม่เกินความสามารถ เรียนรู้เพื่อเอาตัวรอด สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานมาเลยจะง่ายกว่า เพราะเรารู้ภาษาอังกฤษหรืออื่นๆ มา มันจะค้านในสมองของเรา
ตอนที่มาแรกๆ ต้องไปอาศัยอยู่กับแม่ย่าที่ฮังการีก่อน เพื่อทำเรื่องและรอบัตรประจำตัว และรอสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมาตรวจ และเราได้แจ้งเจ้าหน้าไปว่า หลังจากได้บัตร พวกเราจะไปอยู่ที่เบลเยี่ยม เจ้าหน้าที่ก็เข้าใจและหมายเหตุให้เรา ขณะที่เรารอเวลาลูกจำเป็นต้องเข้าเรียนที่นั่นประมาณ 2 เดือน เวลาจะส่งลูกไปโรงเรียน ก็รอรถบัสที่หน้าบ้าน ถ้าเรา 2 คนรอในที่รอรถ คนมาทีหลังจะยืนข้างนอก ไม่กล้าเข้ามานั่ง เพราะกลัวเราจะคุยด้วย คงยากสำหรับพวกเขาเหมือนกัน เพราะใช้ฮังกาเรียนมาตั้งแต่เกิด ส่วนน้อยมากที่จะพูดภาษาอังกฤษ และเวลาไปซุปเปอร์มาเก็ต เราเดินล็อกไหน ถ้ามีพนักงานกำลังจัดของอยู่ หันมาอีกทีหายไปแล้ว แต่ก็พยายามทักเขาก่อนและยิ้มให้ พักหลังๆ ทุกคนพร้อมใจทักเราก่อน และเข้ามาคุยทั้งภาษามือต่างๆ บางคนขึ้นรถก่อนก็จะจองที่นั่งไว้ใหั มาถึงก็จะลุกให้นั่งทุกวัน เพราะกำลังตั้งครรภ์ ทุกคนรักพวกเรามาก ช่วยเหลือ แบ่งปันตลอด ปัจจุบันเขาเจอแม่ย่า เขาก็ยังถามถึงพวกเรา มาอยู่เบลเยี่ยมทุกคนก็รัก และคอยช่วยเหลือตลอดเหมือนกัน และสามีมีเพื่อนที่เขาอายุเท่าๆ แม่ของพวกเรา พวกเรานับถือเป็นพ่อแม่บุญธรรม เลยรู้สึกเหมือนอยู่บ้านตัวเองคะ ทำให้ไม่กลัวที่จะปรับตัว ไม่กลัวที่จะคุย ทักทาย และยิ้มให้คนอื่นก่อนอย่างเป็นมิตร เพราะการที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับทุกคน เป็นเหมือนใบเบิกทางให้ก้าวผ่านความกลัวทุกๆอย่างไปได้คะ

ลักษณะนิสัยคืออะไรของคนเบลเยียมโดยทั่วไปแล้วคนในเบลเยียมชอบทำอะไร และคุณบอกผมได้ไหมว่าผู้ชายเบลเยียมเป็นอย่างไร(บุคลิกลักษณะ) ผู้หญิงเบลเยียมเป็นอย่างไรและครอบครัวของคนเบลเยียมเป็นอย่างไร

โดยรวมและความคิดเห็นส่วนตัว มองว่านิสัยของคนทั่วไป ไม่เจาะจงเฉพาะคนเบลเยี่ยม จะมีปะปนกันไปทั้งคนนิสัยดีและไม่ดี อยู่ที่การกระทำและการแสดงออกมากกว่าคะ แต่ตัวเราเองส่วนมากเลยนะคะ เจอแต่คนดีๆ ในทุกที่ที่ไป เพราะเป็นคนที่คิดบวกมากพอสมควร และเชื่อว่า คิดแบบไหน ชอบแบบ ก็จะเจอคนที่มีความคิดคล้ายๆ เรา เมื่อคิดดี ทำดี ก็จะพบเจอแต่คนดีๆคะ

ชอบคนเบลเยี่ยมที่เวลาเราเจอ คือ เพื่อนของสามี, สามีของเพื่อนเรา, เพื่อนบ้าน และคนอื่นๆ พวกเขาดูเป็นมิตร บางคนเดินมาแนะนำตัวกับเราก่อน ว่าเขาเป็นเพื่อนบ้าน มีอะไรให้เขาช่วยสามารถบอกได้ตลอดเวลา และเพื่อนสามีบางคนทำอาหารเก่ง ขยันมาก คล้ายๆกับสามีเรา และชอบมากๆ ที่เวลาเลิกงาน ทุกคนกลับบ้านมาอยู่กับครอบครัว บางทีเห็นบางครอบครัวปั่นจักรยานไปด้วยกันในวันที่อากาศดีๆ แต่พวกเราจะมีเพื่อนไม่ค่อยมาก เพราะเรากับสามีชอบธรรมชาติ และสงบ ไม่ค่อยชอบคนพลุกพล่าน เราถึงไม่อาศัยอยู่ในตัวเมือง เพราะรู้สึกแออัด เปิดประตูมาเจอถนนเลย ไม่ไหวคะแบบนั้น

ความน่ารักของคุณตาคุณยายข้างๆบ้านก็เช่นกันคะ บางทีเวลาเดินไปส่งลูกไปโรงเรียน ท่านจะมานั่งเล่นหน้าบ้านและทักทาย บางครั้งเราก็ทำอาหารไทยไปให้ ทุกคนชอบมาก เราปลูกผักก็นำไปแบ่งเพื่อนบ้าน เพื่อนสามี บางครั้งก็ทำขนมให้สามีเอาไปให้เพื่อนที่ทำงาน และทุกน่ารักมากคะ ทำให้รู้สึกว่าการมาอยู่ที่นี่ไม่ยากสำหรับเรา และรู้สึกเหมือนอยู่บ้านตัวเองที่ไทยเลยคะ

ในภาพรวมคือทุกคนที่รู้จัก และพบเห็นมีนิสัยดีมาก เป็นกัลยาณมิตรที่ดีมากๆ มีความอ่อนโยนในบางเวลา รักและให้เวลากับคนในครอบครัวมากคะ

ค่าครองชีพที่เบลเยียม เป็นอย่างไร อะไรที่คุณคิดว่ามันแพงเกินไป (3 things) และอะไรที่คุณคิดว่ามันมีคุณค่าเหมาะสมกับราคา (3 things)

ค่าครองชีพที่เบลเยี่ยมถ้าเทียบกับบ้านที่เราจากมา คือไทย หรือบ้านที่สามีจากมาคือ ฮังการี ถือว่าสูงมากคะ แม้กระทั่งกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง เช่น เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส หรือ เยอรมันนี ก็ยังถือว่าสูงคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเราเปรียบเทียบราคากับไทย เราจะไม่กล้าซื้ออะไรเลย เพราะเห็นหลายๆคนคิดกันแบบนั้น เคยลองเทียบเบลเยี่ยมกับเยอรมัน เพราะสามีไปทำงานที่นั่นบ่อยๆ คือ ซื้อของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เบลเยี่ยม 100€ ได้ของมาประมาณ 1 ถุง แต่ซื้อจากที่เยอรมันนี 100€ ได้มา 3 ถุง มันต่างกันมากเลยคะ ดังนั้นคนไทยที่อาศัยอยู่เมืองใกล้ๆ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมันนี พวกเขาจะไปซื้อจากที่นั่น มาเพื่ออุปโภคบริโภคคะ

ส่วนตัวจะคิดว่าไม่ควรเอาเทียบกัน เพราะอยู่ที่ไหนให้เทียบกับที่ที่อาศัยอยู่ ซึ่งถือว่าราคาจับต้องได้คะ เคยยกตัวอย่างให้คนอื่นที่ยังอยู่ในไทยฟัง ว่ามันเทียบกันไม่ได้หรอก ถ้าจะเปรียบเทียบ ให้คิดว่าคนต่างจังหวัดไปทำงานที่กรุงเทพ จะมองภาพง่ายกว่ามาก เช่น อยู่ต่างจังหวัดผัก 3 กำ 10 บาท แต่เมื่อนำไปขายในกรุงเทพฯ ผักจะเปลี่ยนเป็น ผักกำละ 20 บาท เพราะคนขายต้องคิดค่าอื่นๆ จิปาถะ เพราะถ้าขายราคาเดียวกับต่างจังหวัด เขาก็ไม่สามารถอยู่ได้

ในเบลเยี่ยมช่วงนี้เป็นฤดูผลไม้จากไทย เช่น ทุเรียน มังคุด ลำไย ฯลฯ บางคนบ่นว่าราคาสูง และบางครั้งเราก็แอบคิดว่าราคาสูง แต่ในทางกลับกัน เราไม่ได้ทานทุกวัน แค่ปีละครั้ง ราคาก็สามารถซื้อได้ โดยไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม แต่คนไทยในต่างแดนยังมีทางเลือกอื่นด้วยนะคะ เพราะสินค้าไทยบางอย่าง มีที่ร้านอิสลาม ร้านจีน และร้านเวียดนามคะ

ส่วนตัวไม่มีนะคะที่แพงเกินไปและทุกอย่างเหมาะสมในตัวของมันเองคะ เพราะเวลาซื้อของเมื่อก่อนเคยแอบคำนวณราคาไปในตัว แต่สามีบอกว่าถ้าอยากได้ อยากทาน และมันจำเป็น ก็แค่หยิบใส่ตะกร้า แล้วไปจ่ายเงิน แค่นั้นเอง เพราะเขารู้จักนิสัยเรา และมันกำลังจะซึมซับไปที่ลูกด้วย และถ้าอยากทานอาหารไทยก็จะดัดแปลงจากสิ่งที่มีอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ซึ่งหาง่ายและราคาไม่สูงด้วยคะ

ข้อดีข้อเสนอ 3 ข้อในการใช้ชีวิตอยู่ในเบลเยียมตามความคิดเห็นของคุณ – บอกข้อเสีย 3 ข้อเสนอของการใช้ชีวิตอยู่ในเบลเยียมครับ

เมื่อได้มีโอกาสมาอาศัยอยู่ในต่างแดน จะด้วยเหตุผลใดๆก็แล้วแต่ เช่น แต่งงาน มาเรียน มาทำงาน หรืออื่นๆ สิ่งที่ควรจะต้องทราบอันดับต้นๆ ก็คือ ต้องทราบเกี่ยวกับระเบียบ กฎหมายต่างๆ ไม่จำเป็นต้องทราบทั้งหมด แค่สิ่งที่จำเป็น ว่าอะไรทำได้ อะไรไม่สามารถทำได้ เพราะเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นจริงๆ เพราะถ้าผิดพลาด อาจจะมีโอกาสถูกยกเลิกวีซ่าการอยู่อาศัยได้คะ

และเมื่อถึงเวลาที่ต้องไปเรียน ควรจะต้องไป เพื่อช่วยในการสื่อสาร และเข้าใจมากขึ้น เพราะเวลาทำงานหรือทำสิ่งต่างๆ จะสามารถเข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน และอ่านได้ ถามว่าคนไม่เรียนมีสิทธิ์อยู่ในเบลเยี่ยมหรือไม่ สามารถอยู่ได้คะ แต่การหางานจะค่อนข้างยาก บางคนสามารถทำได้ แต่งานจะค่อนข้างหนักคะ และโอกาสเลือกงานแทบไม่มีเลยคะ แต่คนไทยที่มาอาศัยในต่างแดนส่วนมากขยัน และมีความอดทนสูงมาก เพราะคำชมนี้จากปากของสามีลูกพี่ลูกน้อง และเพื่อนๆ ของสามีเขาคะ เขาบอกผู้หญิงไทยส่วนมากที่เขาเจอ มีอัธยาศัยดี ขยัน ทำงานเก่ง อดทน และทำงานได้ เร็ว สะอาดเรียบร้อยมาก เราแค่คนได้ยิน ยังปลื้มใจแทนคนไทยเลยคะ

สำคัญไปกว่านั้น ต้องมีความมั่นใจในตัวเอง และกล้าที่จะแสดงออก และทำในสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนตัวยังยกมือไหว้สวัสดี และไหว้ขอบคุณเวลาผู้ใหญ่หรือคนให้ของอยู่คะ ทำเพราะอยากทำคะ ไม่น่าอายด้วย หลังๆ คนที่เราเคยไหว้ เวลาเขาเจอเรา เขายกมือไหว้เราก่อน และพูดว่า สวัสดีคะ สบายดีไหม (สำเนียงฝรั่ง) รู้สึกดีใจ และตื้นตันใจมากๆคะ

สิ่งควรทราบมากกว่าข้อเสียคะ คือคนที่แต่งงาน แล้วมาอยู่ที่นี่ และครอบครัวอาศัยอยู่นอกเมืองมากๆ การเดินทางไม่ค่อยสะดวก เนื่องจากเคยเห็นเวลาเดินทางไปฮังการี ชอบมองข้างๆทางที่เราขับรถผ่าน จะเห็นบ้านขางหลังอยู่บนเขา และไม่มีเพื่อนบ้าน อาจจะมีแต่คงไกลมาก เพราะเป็นบริเวณกว้างเหมือนฟาร์ม หรือไร่ปลูกข้าวโพด ประมาณนั้น คิดว่าคงจะลำบากหากมาทำงานในเมือง เพราะบางคนอาศัยรถบัส และมีไม่มากนัก ทำให้บางคนจึงเลือกที่จะปลูกผัก ทำสวน และหากคนที่ประสบความสำเร็จมาก สามารถปลูกได้มาก ก็เป็นสวนผักไทยที่ขายในเบลเยี่ยมได้คะ

และอีกอย่างคือไม่สามารถทำอะไรได้ตามที่ตัวเองต้องการเหมือนอยู่ไทย เช่น มีทุนทรัพย์พอที่จะเปิดร้านขายของชำได้ หรือร้านอาหารได้ ไม่สามารถทำได้เลยเหมือนเมืองไทย ซึ่งต้องมีเอกสารหลายอย่างมาก เคยถามพี่บางคนที่เปิดร้านอาหารไทยที่นี่ พี่เขาใช้เวลาประมาณ 5 ปีกว่า ต้องผ่านการเรียน ผ่านการอบรม ผ่านการตรวจสอบ ฯลฯ หรือกระทั่งการขายสินค้าออนไลน์ จะต้องมีเอกสารการเสียภาษี และเอกสารที่ทางการกำหนด จึงจะสามารถดำเนินการได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นก่อนคะ

ในความคิดของคุณ อะไรคือปัญหาที่มีขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักชาวไทยกับชาวเบลเยียม

การมาใช้ชีวิตร่วมกันในต่างประเทศ ไม่เหมือนการมาเที่ยวแค่ระยะเวลาหนึ่ง แล้วกลับไป แต่มันหมายถึงการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมง ที่บอกแบบนี้เพราะ การที่เรามาเที่ยวต่างประเทศในระยะเวลาสั้นๆ เช่น 15 วัน, 1 เดือน หรือมากสุด 3 เดือน สามีก็จะพาเที่ยว พาทานอาหารที่คิดว่าขึ้นชื่อของประเทศของเขา เพราะเนื่องจากมาอยู่ไม่นาน จึงจำเป็นเป็นต้องมอบสิ่งที่ดีๆให้แก่กัน เนื่องจากเวลากลับไปแล้วจะคิดถึงกันมากขึ้น และไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร นอกจากจะเจอกันในวีดีโอคอลล์ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ถนัดของแต่ละคน

ส่วนการย้ายถิ่นฐานมาอยู่ต่างประเทศถาวรนั้น เป็นอีกมุมหนึ่งของชีวิต เพราะจะได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา เพราะการแต่งงานไม่ใช่ประสบผลสำเร็จในชีวิต แต่หมายถึงการเริ่มต้นชีวิตคู่และครอบครัว ถ้าบางคนทำตามแบบอย่างของคนอื่นเพื่อให้ชีวิตสมบูรณ์แบบในตอนช่วงแรก เพื่อให้คนตกหลุมรัก เมื่อเวลาผ่านไปจะไม่สามารถบังคับให้เป็นใครที่ไม่ใช่ตัวเองได้ ประมาณว่าฝืนตัวเองไม่ได้แล้ว ก็จะเผยตัวตนจริงๆ ออกมา แต่หากเกิดปัญหาตามมาแล้วยอมรับแล้วปรับปรุงก็จะดี แต่ถ้ามองว่าต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างเดียว ชีวิตครอบครัวอาจจะพังลงได้ เพราะไม่มีใครที่จะดีได้ 100% และเลวได้ 100% เช่นกัน ทุกคนต่างมีข้อบกพร่องในตัวเอง อยู่ที่จะยอมรับหรือไม่เท่านั้นเอง

เคยเห็นคนโพสต์ข้อความว่าเพิ่งแต่งงานและย้ายมาอยู่กับสามีที่เบลเยี่ยม และอยากรู้จักเพื่อนใหม่ที่ใกล้เคียง เพราะจากบ้านมาเหมือนกัน หลังจากนั้นประมาณ 3-4 เดือน เขาโพสต์อีกครั้งขอข้อมูลเรื่องทนายเพื่อปรึกษาเรื่องหย่า แบบว่าเร็วมาก

และเคยมีคนมาปรึกษาเวลาเขาทะเลาะกัน จริงๆ เป็นเรื่องส่วนตัวมาก แนะนำได้แค่ใจเย็นๆ ไม่คิดจะสนับสนุนใครหรือแนะนำใคร เพราะเราคนนอก คนที่รู้ดีที่สุดคือคนสองคนที่กำลังทะเลาะ บอกแค่ว่าให้คิดถึงตอนที่รักกันให้มากๆ

เราคิดว่าปัญหาของหลายๆคนคือการสื่อสาร บางอย่างรู้ แต่ไม่สามารถอธิบายได้ดีเหมือนภาษาของตัวเอง, การปรับตัวให้เข้ากับครอบครัวสามี และบางคนมีลูกเลี้ยงที่ไม่ยอมรับ ทำให้ปัญหาอื่นๆตามมาคะ ทำให้บางคนรู้สึกท้อ เพราะเหมือนตัวคนเดียวที่นี่ และในสภาวะปัจจุบัน ทั้งโรคระบาด เศรษฐกิจ ฯลฯ ทำให้คนใจร้อนมากขึ้น บางคนที่อีโก้สูง ก็ไม่ค่อยรับฟังคนอื่น เพราะกลัวเสียฟอร์มมากกว่าคะ

ส่วนตัวกับสามีเป็นคนที่ค่อนข้างใจเย็น จากที่เมื่อก่อนเราใจร้อนมาก แต่ไม่ขอเล่าตรงนั้นนะคะ เพราะยาวมาก เอาเป็นว่าตอนนี้ใจเย็นมากๆแล้ว เราคุยกันทุกเรื่อง เพราะบอกกันว่าเราจะไม่มีความลับต่อกัน และในบ้านก็เช่นกัน มีอะไรเราบอกกันตรงๆ เราเป็นสามีภรรยาก็จริง แต่เราก็ยังมีพื้นที่ส่วนตัวให้เขาเหมือนที่ยังไม่มีครอบครัว แต่อาจจะไม่มากเท่าเดิม แต่ก็ยังเคารพสิทธิส่วนบุคคลอยู่ เราเชื่อใจ ไว้ใจ และให้เกียรติกันเสมอ เราไม่ได้เป็นคนดีที่สุด แต่เราพยายามทำให้ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ และไม่เดือดร้อนใคร พยายามมองข้ามสิ่งที่คนใดคนนึงทำผิดพลาด หากเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะถ้าเรามองแค่ความผิดที่เกิดขึ้น เราจะลืมคิดถึงความดีที่เขาเคยทำ ในทางกลับกัน ถ้าเราพยายามมองแต่สิ่งดีๆ ที่อีกฝ่ายทำให้เรา เราก็จะลืมเรื่องอื่นๆไปได้ บางคนอาจจะมองว่าพูดง่าย แต่ทำยาก เมื่อเรารู้ว่ามันยากจึงต้องพยายามทำให้ได้ เพื่อความสุขของครอบครัวเราเอง ส่วนตัวก็เหมือนกับคนทั่วไป มีรัก โกรธ หลง ตามสัญชาตญาณของมนุษย์ เราแค่รับสิ่งเหล่านั้นด้วยความพอดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป มีความสุขในแบบของเราเอง ไม่ต้องแข่งกับ นี่คือความสุขที่สุดคะ

ที่สุดแล้ว ปัญหาไม่ได้เกิดเฉพาะคนที่มีสามีคนชาวเบลเยี่ยม เพราะมันเกิดขึ้นได้ในทุกชนชาติ อยู่ที่เราจะรับมือยังไง หากเรารู้จักให้อภัย ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ต้องช่วยกันประคับประคอง เพราะไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง

ตั้งแต่ที่คุณย้ายจากประเทศไทยมาอยู่ที่ประเทศเบลเยียม ครั้งแรกมีวัฒนธรรมหรือการปฏิบัติอย่างใดของชาวเบลเยียมบ้างครับที่คุณรู้สึกประหลาดใจ ( cultural shock ) ช่วยบอกผมมาอย่างน้อยสัก3 ข้อ

อย่างหนึ่งที่รู้สึกประหลาดใจแต่ไม่ถึงขั้นช็อกนะคะ คือ เดินซุปเปอร์มาร์เก็ต มีผู้ชายคนหนึ่งผายลม จนเราต้องหยุด แต่เขาก็เฉยๆ ถ้าเป็นบ้านเราคนผายลมคนนั้นคงอายมากๆ

การสั่งน้ำมูก เขาก็ทำได้เลย แต่ถ้าเป็นเราคงต้องไปห้องน้ำ หรือที่ลับตา แต่ไม่เป็นไร รับได้คะ เพราะตัวเองตอนนี้ ถ้าสุดๆจริงๆก็ทำคะ แต่พยายามเก็บเสียงมากๆ

การทานอาหารจากหม้อหรือกระทะ เป็นปกติมาสำหรับบางคนที่นี่ แต่ไทยจะถือและคิดว่าไม่ดี ต้องใส่จานเท่านั้น

การจอดรถเพื่อไปทำธุระ หรือไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ ส่วนใหญ่จะไม่ล็อครถ เคยถามสามี เขาบอกว่าไม่จำเป็น และไม่มีอะไรสำคัญในรถ แต่จะล็อกบางที่ที่มีคนจำนวนมาก เช่นไปสวนสนุก หรืออื่นๆคะ

ความชอบมากๆที่เกิดขึ้นที่นี่และฮังการีคะ รถทุกคันจะจอดรอให้คนเดินข้ามถนนไปก่อน ทั้งที่เรายังเดินไม่ถึงทางข้าม แต่เขาก็รอคะ รถขับตามคนเดิน ขับตามจักรยาน รอจนกว่าจะสามารถ ไปได้ แต่ถ้าบ้านเรา เสียงแตรรถคงดังสนั่น

ทุกเหตุการณ์ที่พบเจอตั้งแต่ครั้งแรก ไม่ถึงกับช็อกคะ เพราะสามารถรับและปรับตัวได้คะ รวมทั้งสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ได้กับสิ่งที่เจอ เราก็จะอยู่ได้อย่างมีความสุขคะ เพราะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันคะ หากไม่ชอบก็แค่เดินออกไป ไม่ต้องไปว่าใครให้หมางใจกันคะ

ผู้หญิงไทยบางคนคิดว่าการย้ายมาอยู่ในต่างประเทศ /ประเทศเบลเยียมจะทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น คุณมีคำแนะนำที่จะบอกผู้หญิงไทยที่คิดแบบนี้อย่างไร และคุณมีคำแนะนำอะไรที่จะแนะนำให้พวกเขาต้องระมัดระวังบ้างไหม

ไม่ใช่แค่ตอนนี้นะคะ ที่มีความคิดกันแบบนี้ ก่อนหน้าหนักกว่าเดิม เพราะเคยได้ยินคนพูดว่าแต่งงานกับฝรั่งรวยทุกคน อยากเจอคนที่พูดคนแรกจริงๆ ใครเป็นคนเผยแพร่เรื่องนี้ หยอกๆๆ

พูดถึงว่าฝรั่งรวยมีไหม ฝรั่งจนมีไหม ไม่ใช่แค่ที่เบลเยี่ยมนะคะ ทุกที่ทั่วโลกมีปะปนกันไป คนที่โชคดีและได้แต่งงานกับผู้ที่มีฐานะร่ำรวยก็มี แค่ 1 ในพันคน หรืออาจจะมากกว่าคะ

ต้องดูก่อนว่า ผู้หญิงคนนั้น ทำอาชีพอะไร และมีโอกาสได้พบปะชาวต่างชาติได้ยังไงด้วยคะ แต่ทุกวันนี้จะพบได้ง่ายมากๆเลยในโลกโซเชียลคะ มีเยอะมากเลยทีเดียว แต่ส่วนมากจะเป็นสแกมเมอร์ ที่หวังหลอกลวง เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่มีจิตใจดี มีเมตตา โอบอ้อม อารี และช่วยเหลือตามกำลังที่เขามี และด้วยที่เราเป็นชาวพุทธ เราจึงถูกสอนมาแบบนั้น จึงมีคนเสียทรัพย์มาเยอะมากๆ เพราะหลงเชื่อในคำพูดของคนที่กำลังคุยด้วยในโลกออนไลน์ ส่วนตัวเคยมีคนส่งคำขอเป็นเพื่อนมาในเฟสบุ๊ค ส่วนมากโปรไฟล์ค่อนข้างดี และมีอาชีพที่มีชื่อเสียง ชวนให้มองว่ามีฐานะ เช่น ตำแหน่งสูงๆในอาชีพข้าราชการ นักบิน ดารา หมอ ฯลฯ โดยการที่พวกเขาไปก็อปปี้รูปจากเจ้าของตัวจริงมา

ตัวเองเคยลองคุยเพราะอยากรู้คะ คนเหล่านั้นใช้คำพูดคำจา ไพเราะ น่าฟังมากๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกับเราเลยนะคะ ส่วนมากจะมุกคล้ายๆกัน คือ เป็นหม้ายภรรยาเสียชีวิต และมีลูกที่ต้องเลี้ยงดู และเขาจะเรียกเราว่าที่รัก และคำหวานอื่นๆ สามารถทำให้เคลิ้มไปได้ คุยไปสักพัก คนเหล่านี้ จะต้องประสบอุบัติเหตุ หรือต้องเดินทางไปดูธุรกิจที่มุมไบ หรือ ภูมิภาคเอเชีย บางคนลูกเกิดป่วยกำลังเดินทาง ประมาณนี้คะ แล้วเขาจะบอกว่าหลังจากที่เสร็จธุระ เขาจะมาหาเรา แล้วเขาก็จะส่งตั๋วเครื่องบินมาให้ดู เพื่อยืนยันว่าเขาจะมาจริงๆ แต่ถ้าดูดีๆ จะไม่ใช่ตั๋วเครื่องบินจริงๆคะ ด้วยความอยากรู้เลยลองโทรไปสอบถามที่สายการบินดังกล่าว และเจ้าหน้าที่บอกว่า มีคนโทรศัพท์มาถามเยอะมาก ถ้าจะให้ดีให้เขาบอกหรัส 6 ตัวมาเลย และเจ้าหน้าที่แนะนำว่าอย่าหลงเชื่อ คนพวกนี้หลอกลวง แต่เราคิดว่าคนอื่นๆ ที่เจอและเสียทรัพย์ไป คงไม่ได้ฉุกคิดเหมือนที่เรากำลังทำแน่นอน ส่วนตัวเจอกรณีลูกป่วย และเขาบอกว่ามีแต่บัตรเครดิต และโรงพยาบาลที่นั่นต้องการเงินสดเท่านั้น รบกวนให้คุณโอนให้ก่อน เมื่อมาถึงไทยจะคืนให้ โดยให้โอนเข้าบัญชีเพื่อนที่ไทย แล้วเพื่อนจะจัดการต่ออะไรแบบนี้คะ จากนั้นเลยลองส่งคำพูดเป็นภาษาไทยไป แต่ไม่เป็นคำ คือจิ้มคีย์บอร์ดแบบมั่วๆ คะ เขาก็ส่งคำพูดในขั้นตอนต่อไปมาให้ คือเหมือนมีบทให้ต้องพูด และเป็นขั้นต่อไป มาถึงตรงนั้นเลยเข้าใจว่าทำไมสาวไทยหลายๆคน ยังคงถูกสแกมเมอร์หลอก และเสียเงินจำนวนมาก บางคนไม่มี ก็ไปกู้เงินมา เพราะหวังว่า เมื่อเขามาถึงอาจจะได้คืนหรือมากกว่านั้นคะ

บางคนจะเข้าใจว่าฝรั่งทุกคนรวย เนื่องจากเวลาเขามาเที่ยวพักร้อน เขาจะใช้เงินซื้อความสุขให้ตัวเอง โดยการไปพักผ่อนในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในไทย เพียงเพื่อต้องการพักผ่อนจริงๆ และเมื่อเขากลับมาต่างประเทศ เขาก็ต้องมาทำงานหาเงินใหม่ ไม่ได้กลับมาอยู่บ้านเฉยๆ เพราะส่วนมากที่เขาสามารถพักผ่อนในสถานที่ดีๆได้ เพราะค่าเงินของไทยถูกกว่าด้วย และนี่น่าจะคือที่มาของคำว่าฝรั่งทุกคนที่ไปไทยรวย

เคยอ่านข่าวเจอที่ไหนสักแห่ง เกี่ยวกับผู้หญิงไทยกับแฟนต่างชาติ เพราะรู้จักกันตอนที่ฝ่ายชายไปเที่ยวที่ไทยหรืออะไรประมาณนี้คะ และเมื่อผู้หญิงมีโอกาสมาต่างประเทศ จึงได้ทราบว่าผู้ชายไม่มีบ้าน แต่อาศัยอยู่ในแคมป์คนงาน และทำงานเก็บผัก แต่ผู้หญิงก็ยังรักและอยู่ด้วยกัน ช่วยกันทำงานคะ

กับอีกคนที่ทำงานดีที่ไทย และมาหาเขาที่ต่างประเทศ ผู้หญิงกู้เงินมา แต่เมื่อมาถึง ผู้ชายไม่ได้เป็นอย่างที่เคยรู้จัก เธอต้องจ่ายค่าอาหาร ค่าเช่าระหว่างที่อาศัยอยู่ที่นี่ 3 เดือน เมื่อเธอกลับไป เขาก็เลิกติดต่อกับเธอ นี่เรื่องเรื่องจริงที่ผู้หญิงไทยบางคนเจอ และมีเรื่องราวอีกเยอะมากที่ทราบมา แต่ไม่สามารถบอกได้ทั้งหมด เพราะมันคงจะยาวมากๆคะ

อีกมุมหนึ่งก็คือบางคนอาจจะมองจากผู้หญิงไทยนี่แหละคะ คือ เวลาคนไทยในต่างประเทศกลับบ้าน เขาจะซื้อทุกอย่างที่อยากได้และอยากทาน เนื่องด้วยตอนอยู่ต่างประเทศต้องทำงานเพื่อจะได้ส่งกลับบ้าน หรือเอาไว้ใช้จ่ายต่างๆคะ ส่วนของที่อยากได้ ส่วนมากก็จะหนักไปทางอาหารคะ เพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่ต้องทำอาหารเอง และดัดแปลงจากสิ่งที่มีอยู่เป็นอาหารไทย ในส่วนของร้านอาหารไทยก็มี แต่ราคาค่อนข้างสูง หากบางคนขาดอาหารไทยไม่ได้ ก็จะมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น จากที่บางคนทำอาหารไม่ค่อยเป็น ตอนนี้เป็นมืออาชีพไปแล้ว ตัวเองนะคะ ทำได้ทุกอย่างทั้งคาว และหวาน เพราะพวกเราไม่มีปากซอยขายอาหารตามสั่งเหมือนที่ไทยคะ ดังนั้นเมื่อหลายๆคนได้กลับไทยก็จะซื้อและซื้อ คนอื่นเห็นเขาจึงคิดว่าอยู่เมืองนอกสุขสบาย มีเงินเยอะ เพราะส่วนใหญ่คิดคล้ายๆกัน โดยมองคนแค่ภายนอกคะ

ส่วนตัวมองว่า คนที่รักเรา พร้อมจะช่วยเหลือ แบ่งปัน ดูแลเรา ยอมรับในสิ่งที่เราเป็นได้ ขยัน และสามารถทำให้เราและครอบครัวมีความสุขได้ นั่นคือความโชคดีที่สุดแล้วคะ และความโชคดีที่มาอยู่ต่างประเทศก็คือ ได้มีประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ ยกระดับมาเป็น”มาดาม” แต่มาดามที่บ้านเราจะเป็นการพูดจา กระทบมากกว่า ส่วนมาดามในต่างแดนคือให้เกียรติผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจริงๆ และลูกมีโอกาสเรื่องการเรียนซึ่งมีภาษาที่หลากหลาย รวมทั้งการเรียนที่นี่ไม่ต้องจ่ายค่าเทอมเหมือนบ้านเราคะ เพราะที่บ้านเราถ้าต้องการเรียนที่ดีๆ ค่าเทอมค่อนข้างสูงมาก แต่ต่างประเทศเหมือนกันหมด ตลอดทั้งมีเงินเดือนให้เด็กด้วยคะ บ้านเราจะถึงแค่ 6 ขวบคะ จึงอยากแนะนำให้รู้จักเขาให้นานๆ ก่อนที่จะตกลงปลงใจ และถ้ามีโอกาส ให้ลองมาอาศัยอยู่ก่อนสักพัก เพื่อจะได้แน่ใจว่าจะสามารถอยู่ได้หรือไม่ อย่าด่วนตัดสินใจ เพราะต

ผู้หญิงบางคนที่มาอยู่ในต่างประเทศบางคนไม่ได้ทำงาน ไม่ได้เรียน เพราะสามีไม่ให้ทำ และเก็บเอกสารของผู้หญิงไว้ทั้งหมด

บางคนทำงาน แต่ต้องโอนเข้าบัญชีสามีทัังหมด และต้องช่วยออกค่าใช้จ้ายคนละครึ่งในทุกๆอย่าง

บางคนก็มีเอกสารสัญญาให้เซ็นมากกว่า 10 แผ่น โดยที่บาวคนไม่เข้าใจภาษา แต่ต้องรีบเซ็นเพื่อให้ทันเวลา ในอนาคตเมื่อจบชีวิตครอบครัวอาจจะไม่มีอะไรติดตัวเลยคะ แลบางคนเป็นทั้ง 3 ข้อรวมกันเลยทีเดียว

เคยมีข่าวที่หญิงไทยบมาอยู่กับสามีช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเขาเบื่อแล้ว เขาส่งเอกสารต่อให้คนอื่น หรือเพื่อน และผู้หญิงคนนั้นต้องไปอยู่กับผู้ชายคนอื่นต่อๆไปคะ

จึงอยากให้รู้จักและดูใจกันให้นานๆ เพราะมีทั้งคนโชคดีและโชคร้ายในต่างแดน เพียงแค่ไม่มีใครมาเล่าให้ฟังคะ

โปรโมท

คนสุรินทร์ in เบลเยี่ยม Start again “Make Your Life Different

YouTube: Happy Life by Usa

 

ของพ่อแม่บุญธรรม ที่ทำธุรกิจอพาร์ตเมนต์เมนท์ให้เช่า (Vacation Home Rental)

บ้านพักที่มีเสน่ห์ใน Ommeland . ของ Bruges

บ้านพักตากอากาศสำหรับ 2 ถึง 6 คนในอาคารฟาร์มสมัยศตวรรษที่ 18 และ 19 ที่ได้รับการบูรณะ ล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้าและที่ดินทำกิน องค์ประกอบภูมิทัศน์เล็กๆ มากมาย เช่น พุ่มไม้ พุ่มไม้ สระน้ำสำหรับดื่มปศุสัตว์ และต้นหลิวของ Pollard เชิญคุณมาชมธรรมชาติ ภูมิทัศน์ของป่าไม้เล็มหญ้าในสวนผลไม้มาตรฐาน

Hoeve De Hagepoorter

 

เพิ่มเติม

ชีวิตความเป็นอยู่ในประเทศเบลเยี่ยม บทสัมภาษณ์น่าอ่านจากคนไทย

ชีวิตหญิงไทยในต่างแดน เฟสบุ๊คเพจ 

โปรดลงทะเบียนเพื่อรับThai Women Living Abroad ข่าวสารใหม่อย่างต่อเนื่อง

Like this:

Like

Loading…

[Update] ทำไม เบลเยียม จึงเป็นประเทศแห่ง ช็อกโกแลต? | เบลเยียม ใช้ภาษาอะไร – NATAVIGUIDES

16 ม.ค. 2021

ทำไม เบลเยียม จึงเป็นประเทศแห่ง ช็อกโกแลต? /โดย ลงทุนแมน

หากพูดถึงประเทศเบลเยียม สินค้าขึ้นชื่อที่หลายคนจะนึกถึงก็คือ ช็อกโกแลต
และหากเอ่ยถึงช็อกโกแลตที่ดีที่สุด ช็อกโกแลตจากเบลเยียมจะเป็นหนึ่งในนั้น

ความขม และความหวานผสมผสานอยู่ในวิถีชีวิตของชาวเบลเยียม
ในประเทศที่มีพื้นที่เพียง 30,280 ตารางกิโลเมตร ขนาดเล็กกว่าไทย 17 เท่า
เมืองทุกเมืองไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่จะมีร้านช็อกโกแลตที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่อย่างน้อยหนึ่งร้าน
โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างกรุงบรัสเซลส์ ที่มีร้านช็อกโกแลตตั้งอยู่แทบทุกหัวมุมถนน
จนได้รับฉายาว่า “เมืองหลวงแห่งช็อกโกแลต”

เบลเยียมส่งออกช็อกโกแลตมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากเยอรมนี
ด้วยมูลค่าปีละเกือบ 100,000 ล้านบาท
ทั้งที่ประเทศนี้มีพื้นที่เล็กกว่าเยอรมนี 10 เท่า

แน่นอนว่า ประเทศเขตหนาวอย่างเบลเยียมย่อมไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการปลูกโกโก้
ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นของช็อกโกแลต
แล้วอะไรที่ทำให้ประเทศเล็กๆ ที่แทบไม่มีพื้นที่สำหรับปลูกวัตถุดิบตั้งต้น
ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกช็อกโกแลตระดับโลก?

ตอน ทำไม เบลเยียม จึงเป็นประเทศแห่ง ช็อกโกแลต?
———————-
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada :
Shopee :
———————-
ช็อกโกแลตเป็นผลผลิตจากเมล็ดของต้นโกโก้ ซึ่งเป็นพืชเขตร้อน ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในเม็กซิโก

ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศตอน ทำไม เบลเยียม จึงเป็นประเทศแห่ง ช็อกโกแลต?———————-ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161 ———————-ช็อกโกแลตเป็นผลผลิตจากเมล็ดของต้นโกโก้ ซึ่งเป็นพืชเขตร้อน ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในเม็กซิโก

ชนพื้นเมืองของจักรวรรดิแอซเท็ก อารยธรรมดั้งเดิมแถบเม็กซิโก มีการใช้เมล็ดโกโก้แทนเงินตราเนื่องจากเป็นสิ่งหายาก ในขณะที่ชนชั้นสูงจะนำเมล็ดมาต้มเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ที่เรียกว่า ช็อกโกแลต (Chocolatl)

แล้วพืชเขตร้อนจากเม็กซิโก เดินทางมาถึงประเทศเขตหนาวอย่างเบลเยียมได้อย่างไร?
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นในยุคแห่งการสำรวจ..

ศตวรรษที่ 15 เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจผู้ทำงานให้กับราชสำนักสเปน เดินทางจากยุโรปมาค้นพบทวีปอเมริกา

หลังจากนั้น ชาวสเปนที่มีทั้งอาวุธและโรคร้ายก็ค่อยๆ เข้ามาครอบครองดินแดนแห่งใหม่ ในที่สุดก็สามารถยึดดินแดนของชาวแอซเท็กเป็นอาณานิคมได้ในที่สุด

สินค้าจากทวีปใหม่ถูกขนกลับเข้าสู่ยุโรป ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ ทองแดง
ไปจนถึงพืชเขตร้อนอย่างมันฝรั่ง ยาสูบ และโกโก้

แต่ในเวลานั้น เมืองท่าที่สำคัญที่สุดของสเปน ไม่ได้ตั้งอยู่บนแผ่นดินสเปน แต่กลับอยู่ในดินแดนอารักขาของสเปนที่เรียกว่า “แฟลนเดอร์” ดินแดนที่ราบทางตอนเหนือของยุโรป

โดยเมืองท่าที่สำคัญที่สุดของแถบแฟลนเดอร์
คือเมืองแอนต์เวิร์ป ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศเบลเยียม

โดยชาวสเปนนำเครื่องดื่มช็อกโกแลตมาเผยแพร่ และมีการใส่น้ำตาลผสมลงไป ทำให้กลายเป็นเครื่องดื่มรสหวาน ชาวเบลเยียมจึงผูกพันกับโกโก้และช็อกโกแลตมาตั้งแต่ยุคแห่งการสำรวจ

แต่ความนิยมในการดื่มช็อกโกแลตร้อนยังคงจำกัดอยู่ในแวดวงขุนนางและชนชั้นสูงชาวสเปน เนื่องจากการปลูกโกโก้ยังมีจำกัดอยู่ในอเมริกา และมีราคาสูงมาก

จนถึงยุคจักรวรรดินิยมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
เมื่อชาวยุโรปแข่งกันล่าอาณานิคมเขตร้อนในทวีปแอฟริกาและเอเชีย

มหาอำนาจหลายประเทศจากยุโรปเริ่มได้ครอบครองดินแดนชายฝั่งของแอฟริกา
มีการนำโกโก้มาปลูกในดินแดนอาณานิคมและขนส่งกลับยุโรป
และเมื่อมีวัตถุดิบมากขึ้น เครื่องดื่มช็อกโกแลตก็ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่กับชนชั้นสูงอีกต่อไป

ส่วน เบลเยียม เพิ่งก่อตั้งประเทศในปี ค.ศ. 1830 และเป็นเพียงอาณาจักรเล็กๆ แต่ก็ยังอยากครอบครองดินแดนในทวีปแอฟริกา

ท้ายที่สุด ในสมัยพระเจ้าลีโอโปลด์ที่ 2 เบลเยียมก็ได้ครอบครองป่าดงดิบขนาดใหญ่ใจกลางทวีป และเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า “คองโกของเบลเยียม”

ความพิเศษของดินแดนคองโก คือตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรพาดผ่านพอดี จึงมีฝนตกชุกตลอดปี เป็นภูมิอากาศที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของโกโก้ เบลเยียมจึงเริ่มมีแหล่งผลิตโกโก้เป็นของตัวเอง

แต่อย่างไรก็ตาม ปริมาณโกโก้ที่เบลเยียมผลิตได้ก็ยังเป็นจำนวนน้อยมาก และเมื่อช็อกโกแลตเริ่มแพร่หลายในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เบลเยียมก็กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่นำเข้าช็อกโกแลตมากที่สุดในยุโรป

แล้วเบลเยียมเปลี่ยนจากประเทศผู้นำเข้า ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกได้อย่างไร?

สิ่งสำคัญที่สุด อยู่ที่ทำเลที่ตั้ง..

เบลเยียมตั้งอยู่ปากแม่น้ำ ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก ด้วยทำเลที่ดี เบลเยียมจึงเป็นดินแดนแห่งการขนส่งและการค้าขายมาตั้งแต่ยุคกลาง

ดินแดนแห่งนี้ดึงดูดทั้งพ่อค้า นายธนาคาร และนักประดิษฐ์ให้เข้ามาตั้งรกราก ชาวเบลเยียมจึงมีลักษณะของความเป็นพ่อค้า คือค้าขายเก่ง และพูดได้หลายภาษาทั้งดัตช์ ฝรั่งเศส และเยอรมัน

และด้วยทำเลที่อยู่ระหว่างมหาอำนาจ ตอนเหนือติดกับเนเธอร์แลนด์ ตอนใต้ติดกับฝรั่งเศส ด้านตะวันออกติดกับเยอรมนี อีกคุณลักษณะที่สำคัญที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเบลเยียม คือปรับตัวเก่ง และมีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ

ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เองก็ทำให้ชาวเบลเยียมสามารถนำความรู้และวิทยาการของมหาอำนาจรอบตัว มาคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวงการช็อกโกแลต
และเปลี่ยนจากประเทศผู้นำเข้ากลายเป็นผู้ส่งออกช็อกโกแลตได้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20

สิ่งประดิษฐ์แรก คือ “Praline” หรือ ช็อกโกแลตสอดไส้

ในปี ค.ศ. 1857 เภสัชกร Jean Neuhaus
ได้ย้ายมาเปิดร้านขายยาใกล้ๆ กับจัตุรัสใจกลางกรุงบรัสเซลส์

ด้วยความตั้งใจที่อยากจะแก้ปัญหาให้กับผู้ป่วยที่ไม่กินยา
เขาจึงได้นำช็อกโกแลตมาเคลือบยา เพื่อกลบรสขม และทำให้ผู้ป่วยกินยาได้ง่ายขึ้น
จนร้านยาของเขามีชื่อเสียงโด่งดัง

ต่อมาในปี ค.ศ. 1912 หลานชาย Jean Neuhaus Junior ได้นำไอเดียของคุณปู่มาต่อยอด

โดยเขาได้คิดค้นช็อกโกแลตที่มีไส้สอดตรงกลางเรียกว่า “Praline” (พราลีน) และให้กำเนิดร้านขายช็อกโกแลตภายใต้แบรนด์ “Neuhaus”

ในอีก 3 ปีต่อมา Louise Agostini ภรรยาของเขา ยังเป็นผู้คิดค้นกล่องสี่เหลี่ยมสำหรับบรรจุช็อกโกแลต Praline โดยเฉพาะ ที่เรียกว่า “Ballotin”

สิ่งประดิษฐ์ชิ้นที่ 2 คือ “Batton” หรือ ช็อกโกแลตแท่งขนาดเล็ก

ชาวดัตช์เป็นผู้ริเริ่ม ที่ทำให้เครื่องดื่มช็อกโกแลต
กลายเป็น “ช็อกโกแลตแท่ง” อย่างที่พวกเราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน

แต่ชาวเบลเยียมชื่อว่า Kwatta เป็นผู้ทำให้ขนาดของช็อกโกแลตแท่งกลายเป็นแท่งเล็กๆ ขนาดเพียง 30-45 กรัม สะดวกต่อการพกพาและสามารถเป็นขนมขบเคี้ยวได้

สิ่งประดิษฐ์ชิ้นที่ 3 คือ “Couverture chocolate” หรือ ช็อกโกแลตแท้สำหรับแปรรูป’

ในกระบวนการผลิตช็อกโกแลต จากต้นกำเนิดคือเมล็ดโกโก้ จะต้องมีการนำมาคั่ว ผ่านหลายขั้นตอนจนกว่าจะมาเป็นช็อกโกแลต

แต่การคิดค้น Couverture Chocolate โดย Octaaf Callebaut ในปี ค.ศ. 1925 ช่วยย่นระยะเวลาของขั้นตอนเหล่านี้ลง

Couverture Chocolate หรือหลายคนอาจเรียกว่า กระดุมหรือเหรียญช็อกโกแลต
กลายเป็นสารตั้งต้นช็อกโกแลตที่ทำให้การทำช็อกโกแลตง่ายขึ้นมาก สามารถนำมาแปรรูปเป็นขนมหวานได้หลายชนิด และทำให้แบรนด์ “Callebaut” กลายเป็นผู้นำในการส่งออกช็อกโกแลตแท้สำหรับแปรรูปรายสำคัญของโลก

สิ่งประดิษฐ์ทั้ง 3 ช่วยเปลี่ยนช็อกโกแลตของเบลเยียมให้ก้าวขึ้นมามีบทบาทในวงการช็อกโกแลตโลก และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่แบรนด์ช็อกโกแลตเบลเยียมเริ่มมีชื่อเสียง

ทั้งแบรนด์ Leonidas ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 เป็นแบรนด์ช็อกโกแลตแบรนด์แรกที่มีการตกแต่งร้าน ให้ลูกค้าที่มาซื้อช็อกโกแลตสามารถมองเห็นกระบวนการผลิตช็อกโกแลตได้ทั้งหมด

แบรนด์ Godiva ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1929 เป็นแบรนด์ช็อกโกแลต Praline ที่สร้างสตอรีของแบรนด์ด้วยการใช้เรื่องราวของเลดี้โกไดวา วีรสตรีในตำนานของอังกฤษ ที่ใช้ความกล้าต่อสู้กับความอยุติธรรม จนเมื่อช็อกโกแลตได้รับความนิยม Godiva จึงเริ่มขยายไปตั้งสาขาที่ต่างประเทศ โดยเริ่มที่กรุงปารีสในปี ค.ศ. 1958

ไม่นาน จากประเทศผู้นำเข้าช็อกโกแลต เบลเยียมก็ก้าวขึ้นมากลายเป็นผู้ส่งออกช็อกโกแลตรายใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อมีการจัดงาน World Expo ที่กรุงบรัสเซลส์ในปี ค.ศ. 1958
รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมของเบลเยียมได้ร่วมกันโปรโมตช็อกโกแลตเบลเยียมสู่สายตาชาวโลก

แบรนด์ช็อกโกแลตเบลเยียมก็เริ่มขยายร้านไปตั้งสาขาอยู่นอกประเทศ
และบุกตลาดโลก ด้วยการตั้งสาขาในทวีปอเมริกา และทวีปเอเชีย

ไม่ใช่แค่ปริมาณเท่านั้น แต่การกำหนดและควบคุมคุณภาพก็เป็นอีกประเด็นที่สำคัญมากๆ
ผู้ผลิตช็อกโกแลตกว่า 170 บริษัท ได้รวมตัวกันเพื่อจัดตั้ง The Royal Belgian Association of the Chocolate, Pralines, Biscuit and Confectionary หรือ Choprabisco
เพื่อที่จะควบคุมการผลิตช็อกโกแลตเบลเยียมให้คงมาตรฐาน

ตัวอย่างเช่น ช็อกโกแลตเบลเยียมจำเป็นต้องใช้โกโก้บริสุทธิ์เป็นส่วนผสมขั้นต่ำ 35%
และทุกกระบวนการการผลิตช็อกโกแลตจะต้องทำขึ้นในประเทศเบลเยียม

ถ้าบริษัทไหนในเบลเยียมทำได้ตามมาตรฐานนี้
ก็ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นช็อกโกแลตจากประเทศเบลเยียม
และสามารถใช้คำว่า “Belgian Chocolate” อยู่บนผลิตภัณฑ์ได้

นอกจากคุณภาพแล้ว เบลเยียมยังไม่หยุดที่จะพัฒนา..

มีการวิจัยและพัฒนาช็อกโกแลตเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยมีสถาบัน เช่น University of Ghent ในเมือง Ghent ได้จัดตั้งหน่วยวิจัย Cacao Lab เพื่อพัฒนาวัตถุดิบ คัดสรรโกโก้ที่ดีที่สุด ตลอดจนพัฒนาผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตใหม่ๆ ออกสู่ตลาด

โดยเฉพาะโกโก้ที่ใช้ทำช็อกโกแลต มีงานวิจัยว่าจะต้องถูกบดละเอียดจนมีขนาดเล็กกว่า 20 ไมครอน ซึ่งเล็กกว่าระยะห่างของตุ่มรับรสในลิ้น เพื่อให้ได้ช็อกโกแลตที่มีสัมผัสนุ่มละมุน

จากจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้นำเข้าช็อกโกแลต ชาวเบลเยียมได้ต่อยอด คิดค้น และหาช่องว่างในการพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งวงการช็อกโกแลตที่คนทั้งโลกยอมรับ

ช็อกโกแลตของเบลเยียมไม่ได้เป็นที่สุดในด้านคุณภาพเท่านั้น
แต่แสดงถึงการมีอยู่ของความคิดสร้างสรรค์ตลอดเวลานับ 100 ปี ของคนในประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีเพียงพอแม้แต่พื้นที่ปลูกโกโก้ และต้องนำเข้าโกโก้เป็นมูลค่าถึงปีละเกือบ 20,000 ล้านบาท แต่กลับสามารถรังสรรค์ช็อกโกแลตคุณภาพสูงที่เข้มข้น นุ่มละมุน และจะละลายทันทีเมื่อนำเข้าปาก

หากถามว่าอะไรที่จะแปรรูปจากเมล็ดโกโก้ธรรมดาให้กลายเป็นช็อกโกแลตเลิศรส?
“ความคิดสร้างสรรค์” ก็คงเป็นคำตอบสำคัญที่สุด สำหรับชาวเบลเยียม..

ในตอนก่อนหน้าทั้งหมดได้ที่แอป Blockdit
———————-
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada :
Shopee :
———————-
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website –
Blockdit –
Facebook –
Twitter –
Instagram –
Line –
YouTube –
Spotify –
Apple Podcasts –
Soundcloud –

อ่านซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศในตอนก่อนหน้าทั้งหมดได้ที่แอป Blockdit blockdit.com/download ———————-ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161 ———————-ติดตามลงทุนแมนได้ที่Website – longtunman.com Blockdit – blockdit.com/longtunman Facebook – facebook.com/longtunman Twitter – twitter.com/longtunman Instagram – instagram.com/longtunman Line – page.line.me/longtunman YouTube – youtube.com/longtunman Spotify – open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH Apple Podcasts – podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829 Soundcloud – soundcloud.com/longtunman


EP.192 เด็กๆตุรกีเปิดเทอมวันแรก เมนู\”แกงจืดมะระยัดไส้\” และ\”ทอดมันปลา\”ทำให้หนุ่มๆถึงกับว้าว


สำหรับการทำทอดมันปลานั้นจะให้อร่อยต้องขึ้นอยู่กับความเหนียวของเนื้อปลาและเคล็ดลับการทำให้เนื้อทอดมันเด้ง
สูตรส่วนผสม
เนื้อปลาที่ปั่นโดยที่มีความเย็นจัด
500 กรัม
เครื่องแกงแล้วแต่ความเข้มข้นที่ชอบ
เฟิร์นใส่ 3ชต.พูนๆ
ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ(น้ำตาลทรายแดง)เกลือ
ใส่ถั่วฝักยามหั่นฝอย
ใบมะกรูดหั่นฝอย
ตามชอบ

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

EP.192 เด็กๆตุรกีเปิดเทอมวันแรก เมนู\

สะใภ้เบลเยี่ยม-วิธีเริ่มต้นฝึกก่อนพูดภาษาดัชซ์(ไทย+ดัชซ์)


เทคนิคง่ายๆในการฝึกภาษาต่างประเทศของโฟร์คือ\” เน้นentertain ตัวเอง ไม่เครียดแต่เน้นความสม่ำเสมอคือใช้หลักการ the law of use
คือ\”หลักการใช้งานเพราะไม่ใช้สิ่งนั้นจะสูญหาย\”
1.ฝึกทุกทักษะอย่างน้อย30นาที/วันใหครบคือ
ฟัง
อ่าน
เขียน
พูด
2.ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เอาทุกภาษาที่เรียนมาเกี่ยวข้องในประจำวัน
ทำทุกอย่างรอบตัวให้เป็นภาษาฝรั่งเศสฝึกทุกวัน
ทำให้ชิน เหมือนเรา อาบน้ำ กินข้าว แปรงฟัน
3.ฝึกคิดและพูดกับตัวเองในภาษาที่เราเรียน
ยังมีรายละเอียดและเทคนิคอีกมากมายที่โฟร์ทำแล้วได้ผลในการเรียนมากกว่า2ภาษาในเวลาเดียวกันแต่ทำยังไงนั่นเดี๋ยวใาเล่ามนคลิปต่อไปสำหรับคลิปนี้มาฟังเทคนิคการฝึกและเตรียมการพูดเมื่อเริ่มต้นกันค่ะ
transcription
Hallo allemaal het is lang geleden dat ik een vidio in het Nerderlands heb gemaakt
vandaag wil ik graag met jullie vertellen
wat vind ik over Belgie ?
คำแปลไทย
สวัสดีค่ะทุกๆท่านนานแล้วนะคะที่โฟร์(Ik)ไม่ได้ทำคลิปวิดีโอพูดภาษาดัชซ์ วันนี้โฟร์อยากจะมาแชร์ประสบการณ์กับทุกคนเกี่ยวกับความรู้สึกว่า
\”โฟร์(Ik) รุ้สึกอย่างไรกับประเทศเบลเยี่ยม?
Ik ben in oktober 2014 in Belgie aangekomen .Naar belgie gekomen het is een ernorme stap ,want het is helemaal een anders werld voor mij .De verschillen in cultuur,eten,taal en het weer .Het groeten ban de belgen maakte mij een beetje onwenning
โฟร์ย้ายมาเบลเยี่ยมเมื่อปี2014เดือนตุลาคมและการย้ายมาอยุ่เบลเยี่ยมนั่นเปรียบเสมือนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตเพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างแตกต่างเหลือเกินสำหรับโฟร์เพราะว่าทั้งเรื่องวัฒนธรรม,อาหาร,และอากาศซึ่งเป็นสิ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยที่ทำให้เราไม่คุ้นเคยกับความเป็นอยุ่
want in Thailand het altijg warm
3040 graden maar in Belgie het altijd koud
maar in Belgie wonen vind ik touch fantastishce uitdaging.
เพราะเมืองไทยอากาศอุ่นตลอดเวลาแต่ที่เบลเยี่ยมนั้นหนาวตลอดปีแต่ถึงยังไงก็ตามโฟร์ก็ยังคิดว่านี่คือโอกาสที่ดีและมันเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายในการใช้ชีวิต
In Thailand werkte ik in een Chirugische kliniek, maar in Belgie vind ik geen werk ,Omdat mijn diploma nog niet vergelijkbaar is .Maar ben nog bezig met mijn diploma en ik zal graag terug naar school gaan om mijn Nerderland te leren .Hoewel het niet gemakkelijk is .Probeer ik toch positief te denken en moedig om te blijven
ที่เมืองไทยโฟร์ทำงานเกี่ยวกับคลินิคศัลกรรม
แต่ที่นี่(เบลเยี่ยม) โฟร์ยังไม่สามารถหางานได้เพราะใบประกอบวิชาชีพของเราไม่เทียบเท่ากับของเบลเยี่ยมแต่โฟร์ก็ยังคงพยายามที่จะศึกษาและต้องการกลับไปเรียนภาษาดัชซ์ต่อเพื่อเรียนรุ่และพัฒนาตัวเองต่อไป
ถึงแม้ว่าชีวิตและความเป็นอยุ่ที่นี่จะไม่ง่ายเสมอไปแต่โฟร์ก็พยายามเรียนรุ้ที่จะใช้ชีวิตและสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองเสมอ
.Zoals mijn favoriet gezegde \” Het geluk van je leven hang af van de aard van je geducht \”
ดั่งปรัชญาที่ว่า
ความสุขในชีวิตคนเรานั้นขึ้นอยุ่ความพลังความคิดของเราเอง

สะใภ้เบลเยี่ยม-วิธีเริ่มต้นฝึกก่อนพูดภาษาดัชซ์(ไทย+ดัชซ์)

เตือนคนไทยในเบลเยี่ยมระวังการเดินทาง


สถานทูตฯไทยประกาศเตือนคนไทยในเบลเยี่ยม ระวังการเดินทางสัญจรในที่สาธารณะ
วันนี้ (21พ.ย.58) สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ออกประกาศถึงคนไทยในประเทศเบลเยี่ยม ว่า จากกรณีเหตุการณ์ก่อการร้ายที่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 13 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยเหตุการณ์ดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับบุคคลที่มีถิ่นพำนักอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ ส่งผลให้รัฐบาลเบลเยียมประกาศยกระดับภาวะภัยคุกคามทั่วประเทศจากเดิมระดับ 2 เป็นระดับ 3 เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งหมายถึงภาวะภัยคุกคามต่อบุคคล กลุ่มบุคคล และกิจกรรมต่าง ๆ ที่อาจเป็นเป้าหมาย ที่มีระดับความเป็นไปได้สูง
ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงบรัสเซลส์ จึงขอให้คนไทยที่เดินทางมาที่กรุงบรัสเซลส์ หรือจังหวัดอื่นๆในประเทศเบลเยียม ใช้ความระมัดระวังในการเดินทางสัญจรเข้าในพื้นที่สาธารณะ โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นข่าวตามสื่อต่าง ๆ ในช่วงเวลานี้ และขอให้ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานทางการของเบลเยียมอย่างใกล้ชิด หากประสงค์แจ้งข้อมูลข่าวสาร ขอความกรุณาแจ้งได้ที่อีเมล์ [email protected] หรือเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน+(32) 4 70 85 96 67
ชมสดๆได้ที่ http://www.tnnthailand.com/player.php
เกาะติดข่าวเด่นประจำวันได้ที่
http://www.tnnthailand.com
http://www.facebook.com/TNN24
http://twitter.com/tnnthailand
สถานีข่าวโทรทัศน์ TNN24 เป็นสถานีข่าวที่ถือหลักการของก­ารนำเสนอข่าวตรงประเด็น ทันทุกความจริง รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ และเป็นกลาง โดยทีมข่าวมืออาชีพ

เตือนคนไทยในเบลเยี่ยมระวังการเดินทาง

เดินป่าตั้งแคมป์ในป่าไผ่เจอฝนตกหนักมากๆ!!กลางคืนหนาวจัด นอนป่า Ep.1


ขอบคุณทุกการติดตามครับ

WichaiNiyom TheChefVowit

เดินป่าตั้งแคมป์ในป่าไผ่เจอฝนตกหนักมากๆ!!กลางคืนหนาวจัด นอนป่า Ep.1

ร.10กลับเยอรมัน ในวันUNกำลังเฉ่ง112 / รู้เขารู้เรา ตอนที่ 4


รู้เขารู้เรา 8 พฤศจิกายน 2564
เจ้าจิตโหดโกรธอันตราย เผด็จการคุณธรรมทำเลวได้สุดใจ
โดย สส.สุนัย จุลพงศธร
เปิดสมาชิก VIP VVIP SUPER VIP // YouTube Sunai TV \\\\
ดูสิทธิพิเศษสำหรับการเป็นสมาชิก
https://www.youtube.com/channel/UCCR9I_jjAODM5IcfEveYl7Q/join

ร.10กลับเยอรมัน  ในวันUNกำลังเฉ่ง112 / รู้เขารู้เรา ตอนที่ 4

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆMAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ เบลเยียม ใช้ภาษาอะไร

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *