Skip to content
Home » [Update] บทความความรักภาษาอังกฤษ บทความเกี่ยวกับความรักสั้นๆ พร้อมแปล | เนื้อเรื่อง ภาษา อังกฤษ สั้น ๆ – NATAVIGUIDES

[Update] บทความความรักภาษาอังกฤษ บทความเกี่ยวกับความรักสั้นๆ พร้อมแปล | เนื้อเรื่อง ภาษา อังกฤษ สั้น ๆ – NATAVIGUIDES

เนื้อเรื่อง ภาษา อังกฤษ สั้น ๆ: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

บทความความรักภาษาอังกฤษ – ความรักเป็นสิ่งที่เกิดจากใจไม่อาจบังคับกันได้ ความรักที่แท้จริงคือความปรารถนาดีต่อคนที่ตนรักความยินดีที่คนที่ตนรักมีความสุข ซึ้งกันเลยทีเดียว วันนี้ได้นำบทความเกี่ยวกับความรักภาษาอังกฤษพร้อมแปลไทย มาฝากจ้า

– A man overtime falls in love with the woman he is attracted to, and a woman overtime becomes more attracted to the man she loves.

ผู้ชายมักจะตกหลุมรักคนที่เค้าหลงเสน่ห์ และผู้หญิงจะหลงเสน่ห์คนที่เธอตกหลุมรัก


– Friendship is love minus sex and plus reason. Love is friendship plus sex and minus reason.

มิตรภาพคือ ความรัก ลบด้วย เซ็กซ์ และบวกเอาเหตุผลเพิ่มเข้าไป ส่วนรักคือมิตรภาพบวกด้วยเซ็กซ์ และลบเอาเหตุผลออก


– To love is nothing. To be loved is something. To love and be loved is everything!!

การได้รักเป็นเรื่องขี้ผง การถูกรักเป็น “บางอย่าง” ทีเดียว ส่วนการได้รักและการถูกรักเป็นทุกอย่าง (ว้าว)


– You may only be one person to the world but you may also be the world to one person.

คุณอาจจะเป็นแค่ “คน ๆ หนึ่ง” ในโลกใบนี้ แต่คุณอาจจะเป็น “โลกทั้งใบ” ของคนคนหนึ่งก็ได้


– Friendship often ends in love, but love in friendship never.

มิตรภาพมักจะจบลงด้วยความรัก แต่ความรักไม่มีวันจบลงด้วยมิตรภาพ


– You know when you love someone when you want them to be happy even if their happiness means that you’re not part of it.

คุณรู้ว่า คุณรักเค้าก็ต่อเมื่อคุณต้องการให้เค้ามีความสุข แม้ว่าความสุขนั้นจะหมายความถึงการที่คุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน


– Love looks not with the eyes, but with the mind.

ความรักนั้น เห็นไม่ได้ด้วยตา แต่ด้วยใจ


– Love is like standing in the wet cement. The longer you stay, the harder it is to leave. And you can never go without leaving your shoes behind.

ความรักก็เหมือนซีเมนต์เปียกๆ ยิ่งคุณอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งติดหนึบ จากไปไม่ได้เท่านั้น และคุณจะไม่มีวันจากมาได้เลย โดยที่ไม่ได้ทิ้งรองเท้าไว้ข้างหลัง


– Don’t marry a person you can live with, marry somebody you can’t live without.

จงอย่าแต่งงานกับคนที่คุณ “อยู่ด้วยได้” จงแต่งงานกับคนที่คุณ “ขาดไม่ได้”


– Don’t rely on the past to create the future, rely on the future to erase the past.

อย่าวางใจใช้อดีตเป็นตัวสร้างอนาคต แต่จงใช้อนาคตเป็นตัวลบอดีตทิ้งไป


– Love will die if held too tightly; love will fly if held too lightly.

รักจะเฉาตายถ้ายึดไว้แน่นเกินไป และรักจะโบยบินไปถ้ายึดไว้หย่อนเกินไป


– If you love someone tell them, don’t wait or else you will lose the chance.

ถ้าคุณรักใคร บอกเค้าซะ อย่ารีรออยู่เลย ไม่งั้นคุณจะเสียโอกาสนะ


– It only takes a second to say “I love you”, but it will take a lifetime to show you how much.

ใช้เวลาแค่เพียงชั่ววินาทีในการบอกว่า “ฉันรักเธอ” แต่ใช้เวลาตลอดชีวิตในการแสดงให้เห็นว่า รักมากเพียงไร


– Love, is like water, we take it for granted. Thus, when it is gone, it becomes crucial.

ความรักก็เหมือนน้ำ เรามักจะเห็นมันเป็นของตาย ต่อเมื่อ มันหมดไปแล้ว นั่นละ … มันจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น


– True love is like ghosts, which everyone talks about but few have seen.

รักแท้ก็เหมือนกับปีศาจ ทุกคนพูดถึง แต่มีคนน้อยมากที่ได้เห็นว่าเป็นอย่างไร


– The essential sadness is to go through life without loving. But it would be almost equally sad to leave this world without ever telling those you loved that you love them.

ความเศร้าที่สำคัญคือการชีวิตโดยปราศจากความรัก แต่มันคงจะเศร้าเกือบจะพอๆ กันที่จะจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้บอกคนที่คุณรักว่า “คุณรักพวกเค้า”


– A man falls in love through his eyes, a woman through her ears.

ผู้ชายตกหลุมรักทางตา แต่ผู้หญิงน่ะ ตกหลุมรักทางหู


– The way to love anything is to realize that it might be lost.

หนทางที่จะรักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็คือ การตระหนักสิ่งนั้นๆ อาจจะสูญหายได้


– The perfect marriage begins when each partner believes they got better than they deserve.

การแต่งงานที่สมบูรณ์แบบเริ่มขึ้น เมื่อต่างฝ่ายต่างคิดว่า พวกเค้าได้รับสิ่งที่ดีเกินกว่าที่ตัวเองสมควรได้รับ


– When a young man complains that a young woman has no heart, it is pretty sure that she has his.

เวลาที่หนุ่มน้อยโอดครวญว่า สาวน้อยนางนั้นไม่มีหัวใจ ค่อนข้างแน่ใจได้เลยว่าสาวน้อยนั้นน่ะ … มีหัวใจของหนุ่มคนนั้นอยู่ในกำมือ


– Kindness in words creates confidence, kindness in thinking creates profoundness, kindness in giving creates love.

วาจาที่กรุณาจะสร้างความเชื่อมั่น จิตใจที่กรุณาจะสร้างความลึกซึ้งของจิตใจ และการให้ที่กรุณาจะก่อให้เกิดรัก


– To love is to risk not being loved in return. To hope is to risk pain. To try is to risk failure, but risk must be taken, because the greatest hazard in life is to risk nothing.

การที่ได้รักคือการเสี่ยงว่าจะไม่ได้รับความรักเป็นการตอบแทน การตั้งความหวังคือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด การพยายามคือการเสี่ยงกับความล้มเหลว แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตก็คือ การไม่เสี่ยงอะไรเลย


– When loving someone…never regret what you do…only regret what you didn’t do.

เวลารักใคร … อย่าเสียใจในสิ่งที่คุณได้กระทำ จงเสียใจในสิ่งที่คุณไม่ได้กระทำ


– Gravity cannot be held responsible for people falling in love.

เวลาคนตกหลุมรักน่ะ … โทษแรงโน้มถ่วงไม่ได้ จริงมั้ยล่ะ (ต้องโทษคนขุดหลุม)


– There is a story of a woman who always kept her feelings towards her friend until the day he got married, she decided to tell him the truth and he felt that it’s a good joke for his wedding

มีเรื่องเล่าของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอรักเพื่อนของเธอแต่ได้เพียงเก็บความรู้สึกเอาไว้ จนกระทั่งวันที่เขาแต่งงาน เธอก็ตัดสินใจบอกความจริงกับเขา…แต่เขากลับคิดว่าเป็นเพียงเรื่องตลก สำหรับวันแต่งงานของเขา…


– There is a story of a man Who has never told his wife how much he loves her Until the day she passed away Until now, he keeps sending flowers to her grave everyday With thousand kisses on the card saying “I love you” Would she be able to know?

และยังมีเรื่องเล่าของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ไม่เคยบอกภรรยาว่าเขารักเธอมากแค่ไหน จนกระทั่งเธอตายจากไป ถึงบัดนี้ เขายังคงวางดอกไม้ไว้ที่หลุมศพของเธอทุกวัน พร้อมกับรอยจูบนับพันบนการ์ดที่เขียนว่า “ผมรักคุณ” …เธอจะมีโอกาสได้รับรู้ไหม…


– Yet, there is a story of a girl who always needed a warm hug from her daddy But she was too shy to ask for until the day he can never hug her any more…

และยังมีเรื่องเล่าของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้ซึ่งต้องการอ้อมกอดอันอบอุ่นจากพ่อของเธอเสมอ แต่เธอเขินอายเกินกว่าจะเอ่ยปากออกไป…จนกระทั่งวันที่พ่อไม่สามารถกอดเธอ ได้อีกต่อไป…


– A lot of stories happen everyday you could know what had happened yesterday. How can you be sure what will happen tomorrow? Think of something you never say Are you waiting until the day? To say “I LOVE YOU”

ทุกๆ วันเกิดเรื่องต่างๆขึ้นมากมาย คุณอาจจะรู้ว่า เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น แต่คุณจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพรุ่งนี้ ลองคิดถึงบางสิ่งที่คุณไม่เคยพูด จะต้องรอให้ถึงวันไหน ที่จะบอกคำว่า “รัก”

แสดงความเห็น

comments

[NEW] | เนื้อเรื่อง ภาษา อังกฤษ สั้น ๆ – NATAVIGUIDES

ตัดมาจาก https://www.facebook.com/nkomgrit/posts/955776971160069
หลายคนมักชอบถามผมว่า…
– จบด้านภาษาอังกฤษมาเหรอ? (ป่าว)
– จบอินเตอร์มาเหรอ? (ป่าว)
– ทำไงถึงเก่งภาษาอังกฤษ? (ฝึก)
– มีเคล็ดลับ / ทางลัด / เทคนิคในการฝึกภาษาอังกฤษไหม? (ไม่ค่อยมี)
– ไปเรียนภาษาอังกฤษมาจากสถาบันไหน? (ตามระบบการศึกษาไทยขั้นพื้นฐาน)
– ไปอยู่เมืองนอกมานานเหรอ? (ป่าว แค่เที่ยวไม่กี่วัน)
– ฯลฯ

แท้จริงแล้ว ได้ดีมาจนถึงทุกวันนี้เพราะคำเดียวก็คือ “ชอบ” พอชอบแล้วก็ไม่รู้สึกเครียดกับมัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนจากโรงเรียน การศึกษา ค้นคว้า และฝึกเพิ่มด้วยตนเอง ประกอบกับการทำกิจกรรมทุกอย่างรอบตัวเป็นภาษาอังกฤษหมด (หนังสือ เพลง หนัง เกม ข่าว แชท ฯลฯ) ทำออกมาจากความชอบ ความต้องการ ความสนุก ความหลงใหลส่วนตัว บอกได้เลยว่าได้ทุกอย่างจากเมืองไทยหมด ไม่ใช่จากเมืองนอกแต่อย่างใด =D

ช่วงเรียนอนุบาล
ครอบครัวส่งผมเรียนโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง มีการเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นอนุบาล แนวเดียวกันกับที่บ้าน เพียงแต่ว่าศัพท์เยอะกว่า ท่องเยอะกว่า เปรียบเสมือนการต่อยอดความรู้จากบ้านให้ได้มากขึ้น

ช่วงเรียนประถมต้น
ผมย้ายจากกรุงเทพมาศรีราชา ครอบครัวส่งผมเรียนโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง เป็นโรงเรียนวัดใกล้บ้าน ในขณะนั้นยังไม่มีการเรียนภาษาอังกฤษ ผมเรียนรู้เองที่บ้านจากเพลงเป็นหลัก มีญาติผู้ใหญ่เห็นว่าชอบภาษาอังกฤษ ก็นำหนังสือบทสนทนามาให้ ภายในหนังสือประกอบไปด้วยประโยคภาษาอังกฤษ คำอ่านภาษาไทย คำแปลภาษาไทย ก็เลยเริ่มอ่านเอง พูดเอง มันคันปาก อยากออกเสียง และสำเนียง ฮิฮิ ผมเริ่มจับแนวการสะกดและอ่านออกเสียงได้ เช่น –at / ถ้า cat อ่านว่า แคท / bat ก็น่าจะอ่านว่า แบท จนสามารถอ่านและเขียนภาษาคาราโอเกะได้ และลองเขียนเล่นดู เริ่มรู้และเข้าใจความหมายหลายอย่าง ผมเริ่มพูดประโยคในหนังสือบทสนทนาภาษาอังกฤษกับคนในครอบครัว พูดจนคนรอบข้างรู้ไปด้วยว่าประโยคนั้นหมายถึงอะไร เช่น แม่จะได้ยินผมถามว่า “แว้ อิ่ส” บ่อย ๆ เวลาหาของไม่เจอ พูดเล่น ๆ แบบนี้มาตลอด จนติดปาก จนจำได้ 555+

ช่วงเรียนประถมปลาย
เริ่มได้เรียนภาษาอังกฤษ แต่ทั้งหมดเป็นความรู้เดิมที่ผ่านมาแล้วทั้งนั้น แบบเรียนน่าจะชื่อ English is Fun ในขณะเดียวกัน พี่ชายเรียนมัธยมต้น ผมเห็นมีหนังสือเรียนภาษาอังกฤษสีสันสวยงาม แบบเรียนน่าจะชื่อ Discovery และ Blueprint ผมเปิดดูแล้วชอบมาก เน้นดูภาพ และผมก็ได้รู้จักกับดิกส์ ที่นี้ อยากรู้ศัพท์คำไหน อ่านว่าอะไร แปลว่าอะไร ผมก็เปิดเลยครับ ผมยืมหนังสือเรียนภาษาอังกฤษของพี่ชายมาอ่านตลอด ชอบจดศัพท์ เขียนตามลงสมุด พร้อมคัดลายมือ และเริ่มเรียกสิ่งของรอบตัวทับศัพท์เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด

* ถึงจุดนี้ รู้ศัพท์ บทสนทนาซึ่งทำให้ปากได้พูด และเพลง ซึ่งทำให้หูได้ฟัง ปากได้ฝึกสำเนียงด้วย รู้แนวสะกดคำ เขียนภาษาคาราโอเกะได้ ช่วยเพื่อนเขียนชื่อ – นามสกุลได้ * 

ช่วงเรียนมัธยมต้น
ผมย้ายมาอยู่กับพ่อและเรียนโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งที่สัตหีบ การเรียนที่นี่เข้มข้นขึ้น ผมเริ่มรู้จักแกรมม่า อ่าน และแปล ไม่ค่อยมีบทสนทนาในตอนเรียน แบบเรียนก็คล้ายกับของพี่ชายผมครับ แต่เรียนไม่เคยจบเล่ม ผมเลยศึกษาต่อเอง ผมศึกษาเพิ่มเติมจากการเลือกซื้อหนังสือตามร้านหนังสือ ส่วนใหญ่ไปร้านซีเอ็ด ผมเริ่มอ่านหนังสือพิมพ์ Student Weekly และ Nation Junior รวมถึงลองกลับมาแต่งประโยคเองที่บ้านด้วย แต่งประมาณว่าแต่ละวันทำอะไรไปบ้าง ผมเริ่มสังเกตและจำภาษาอังกฤษรอบตัว เช่น ในห้าง ซุปเปอร์มาร์เก็ต (ตัวอย่างคำ detergent = ผงซักฟอก) หรือตามของกิน กล่องขนม (ตัวอย่างคำ no preservatives = ไม่ใช้วัตถุกันเสีย) ผมติดเพลงฝรั่งมาก บ้าดู MTV ตลอดเลย และชอบเอาดิกส์มาแปลเนื้อเพลง ผมเริ่มคิดในใจและเริ่มเขียนเป็นภาษาอังกฤษมากขึ้น

* ถึงจุดนี้ รู้แกรมม่า ผมจับแนวได้ เช่น I ต้องคู่กับ am, do, have ห้าม are ฯลฯ นะ มันจะคล้องกันตลอด เพราะผมรู้มาจากบทสนทนาและเพลงแล้ว เหมือนเอาภาษาพูดมาสรุปเป็นกฎ ได้ฝึกแต่งประโยคตามหลักแกรมม่า มันทำให้ได้อ่านและเขียน เริ่มจากสั้นและยาวไปจนถึงเรียงความ เขียนไปด้วย เช็กแกรมม่าไปด้วย ทำบ่อย ๆ จำได้เอง *

ช่วงเรียนมัธยมปลาย
การเรียนในโรงเรียนเน้นแกรมม่า อ่าน แปล ศัพท์ รากศัพท์ และการเดาความหมายศัพท์ ผมเริ่มเอาตัวเองไปคลุกคลีกับนักเรียนแลกเปลี่ยน ได้สื่อสารจริงกับฝรั่ง ผมเริ่มอ่านตำราภาษาอังกฤษมากกว่าตำราภาษาไทย ส่วนใหญ่เป็นพวกคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ผมเริ่มหัดอ่านหนังสือพิมพ์ Bangkok Post และ The Nation ผมเริ่มใช้ดิกส์อังกฤษเป็นอังกฤษของ Longman เล่มหนามาก พ่อซื้อให้ ประมาณ 700 กว่าบาทครับ ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ ใช้แล้วเหมือนต่อยอดความรู้ภาษาอังกฤษของเราที่มีอยู่ ให้มีเพิ่มขึ้นไปอีก ยุคนั้นเน็ต 56k แรงสุด ผมเริ่มท่องเน็ต อ่านบทความต่าง ๆ ตามที่ตัวเองชอบเป็นภาษาอังกฤษ แต่ที่ชอบที่สุดเลย คือ คอมพิวเตอร์ ศัพท์แสงเยอะมาก ผมเริ่มแชทกับฝรั่งในเรื่องที่ชอบเหมือน ๆ กัน ตรงนี้นอกจากภาษาแล้ว ยังได้รู้เรื่องอื่นอีกด้วย เช่น วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ฯลฯ ของเขาเทียบของเรา ไม่รู้คำไหน เปิดดิกส์แปล ไม่ยาก ฮิฮิ ผมเริ่มสนใจภาษาอื่นที่ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษในการเขียนเหมือนกัน เช่น สเปน อิตาลี โปรตุเกส อาจจะเป็นเพราะเพื่อนที่แชทด้วยมีหลายชาติ ผมว่าเขาก็คงใช้ภาษาอื่นในคำทั่วไปเหมือนกับบ้านเรานะ เช่น บ้านเราใช้ภาษาอังกฤษ เฮลโหล แต้งกิ้ว อเมริกาใช้ภาษาสเปน โอ้หล่า กราสเซียส เป็นต้น

พักการเรียนหนึ่งปี
ผมเริ่มเพลียการศึกษาไทย ผมเลยลาพักร้อน 1 ปี ไม่เอ็นทรานซ์ 555+ ในระหว่างนั้น ผมก็มีเวลาว่างมากขึ้นในการทำกิจกรรมที่ผมชอบเหมือนเดิมพร้อมกับฝึกภาษาอังกฤษไปในตัว ผมเริ่มรับจ้างงานด้านคอม เช่น ซ่อม ประกอบ ลงโปรแกรม พิมพ์ เขียนสูตร เขียนโปรแกรม เขียนเว็บ ฯลฯ สอนพิเศษเด็ก เช่น คณิต วิทย์ อังกฤษ แน่นอนตามการเรียนสไตล์ไทย สอนแกรมม่า สอนอ่านตีความ ข้อสอบกากบาท ตอนสอนก็ถือได้ว่าเป็นการทบทวนความรู้ไปในตัวครับ ยามว่างก็ดูซีรีย์ สารคดี ก็ได้ฝึกฟังและคิดตามครับ ชอบเล่นเกม Resident Evil นะ ได้ทั้งฟังและอ่านภาษาอังกฤษในขณะที่เล่นเกม ฟังไม่ได้เป๊ะตลอดเวลา ข้ามบ้าง มโนบ้าง เพราะตอนฟังไม่ใช่ได้ยินแค่เสียง แต่เห็นภาพเคลื่อนไหวด้วย เดาได้ เอาใจความรวมครับ ส่วนอ่านจะเป๊ะตลอด เพราะเปิดดิกส์ได้ สามารถเก็บได้ทุกศัพท์ พร้อมจดลงสมุด เจอคำเดิม ลืมความหมาย ก็เปิดครับ แล้วมันจำได้เองจริง ๆ ขยันเปิดดิกส์มากจนด้ายขาดเลยนะ ขอบอก 555+

* ถึงจุดนี้ ประสบการณ์พอตัว ครบตามทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียน แกรมม่าไม่เคร่งมาก เพราะรู้ว่าส่วนมากใช้ในภาษาเขียน รู้ได้อย่างไร? รู้จากการอ่านครับ ผมชอบอ่าน เฉพาะเรื่องที่อยากอ่านนะ * 

ช่วงเรียน ปวส.
ผมเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา ผมเลยกลับเข้ามาเรียนใหม่ แต่จะพยายามเลือกเรียนสิ่งที่คล้ายกับเด็กฝรั่งเขาเรียน ผมว่า ปวส. เหมาะสุดแล้ว ทฤษฎี ปฏิบัติ อย่างละครึ่ง ผมเลยเลือกเรียนสาขาที่ชอบก็คือไอที ผมว่าคนเรียนจบที่นี่ทำงานได้เลยนะ การเรียนใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น เพราะสื่อการสอนเป็นภาษาอังกฤษ แต่บรรยายเป็นภาษาไทย ประกอบกับการเรียนภาษาอังกฤษที่นี่เป็นแนวที่ผมไม่เคยเรียนมาก่อน เรียนเน้นการพูดสื่อสารสำหรับการทำงานมากกว่า นอกจากคาบบังคับเข้าเรียนแล้ว ยังมีชั่วโมงบังคับเรียนเอง คือ นักเรียนต้องเข้าไปเรียนเองในห้องภาษาอังกฤษโดยมีสื่อไว้ให้และมีเจ้าหน้าที่เป็นผู้ตรวจ มีแสดงละครเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ 555+

และโอกาสก็มาถึง มีอาจารย์ท่านหนึ่งต้องการนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันทักษะทางวิชาชีพ หัวข้อในการแข่งขัน คือ ผู้ประกาศข่าวภาษาอังกฤษ อาจารย์เห็นว่าผมพอมีแวว อาจารย์เลยจับผมมาฝึกเพิ่มเติม ตั้งแต่นั้นมา จากที่ผมมีสำเนียงอเมริกัน วัยรุ่น แบดบอย แรพโย่ ยิปปีย่า ยิปปีโย่ ก็เปลี่ยนเป็นสำเนียงอเมริกันแบบผู้ประกาศข่าวทันที ผู้เข้าแข่งขันแต่ละวิทยาลัยอาชีวศึกษาทั่วประเทศต้องเข้าแข่งขันระดับภาคก่อน ถ้าผ่านเข้ารอบก็จะได้ไปแข่งขันต่อระดับประเทศ ผมไปแข่งมาทั้งหมด 4 ครั้ง ปี 2548 รองชนะเลิศระดับภาค รองชนะเลิศระดับประเทศ ปี 2549 รองชนะเลิศระดับภาค ชนะเลิศระดับประเทศ

หลังจากนั้นก็ได้เป็นตัวแทนทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ เช่น การเป็นพิธีกร การกล่าวเปิดงาน การต้อนรับนักศึกษาต่างประเทศ ฯลฯ

สำหรับเรื่องเรียนไอที ส่วนมากจะใช้ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษค่อนข้างมาก เพราะความรู้หลายอย่างอัพเดตล่าสุดก็จากต่างประเทศ เมื่อเขียนโปรแกรมติดปัญหา ใช้คีย์เวิร์ดภาษาอังกฤษค้นหาในกูเกิ้ลจะเจอผลลัพธ์ตลอด มันทำให้ผมรู้วิธีการแก้ปัญหา รู้โนว์ฮาว รู้ฮาวทู ได้เร็วกว่าเพื่อน ๆ

ช่วงเรียน ป.ตรี และทำงานประจำ
ยูทูปเริ่มบูม ช่วงนั้นติดรายการตลก MadTV และ American / Britain’s Got Talent บางทีก็หาคลิปความรู้ดู พวกสอนคณิต เริ่มพบความจริง เช่น ลอการิทึม ln ไทยอ่านลอน ฝรั่งอ่านเอลฺเอ็น ตรีโกณมิติ cos ไทยอ่านคอส ฝรั่งอ่านโคไซน์ อ่านเต็ม 555+ ผมทำงานจันทร์ – ศุกร์ เรียนเสาร์ – อาทิตย์ ภาษาอังกฤษตอนทำงานเน้นอ่าน ตอนเรียน ป.ตรี เหมือนทบทวนเรื่องเดิม เน้นแกรมม่าและอ่านตีความ แต่ที่พิเศษมากขึ้นคือรูปเล่มโปรเจ็กจบผมเขียนเป็นภาษาอังกฤษ และบทคัดย่อส่งตีพิมพ์งานวิชาการ คิดว่าได้เขียนเป็นการเป็นงานเยอะสุดก็ตอนนั้น แต่คิดว่ายังไม่เป๊ะนะ 555+ ตอนทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ก็เน้นอ่านครับ ตอนจบ ป.ตรี เกรดอยู่ในระดับขอทุนเรียนต่อเต็มจำนวนได้ เลยสมัครขอทุนกับมหาวิทยาลัยนานาชาติแห่งหนึ่ง สาขา Embedded System สอบแล้วปรากฎว่าผ่านเข้ารอบ ดีใจมากเลย อาจารย์ที่สัมภาษณ์ผมบอกว่าคนมาสมัครส่วนใหญ่ไม่ได้ทักษะภาษาอังกฤษ แต่จบตรงสาย ผมได้ทักษะภาษาอังกฤษ แต่จบไม่ตรงสาย ไม่เป็นไร เรียนฮาร์ดแวร์เพิ่มเติมเอาได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เรียน เนื่องจากสถานการณ์การเงินยังไม่พร้อม คือ ต้องลาออกจากงานไปเรียนเต็มเวลา ในขณะที่ครอบครัวยังต้องการความช่วยเหลืออยู่ ผมไม่ลังเล ผมเลือกครอบครัวครับ จบ ป.ตรี ได้ ถือว่าเป็นใบเบิกทางสู่การทำงานได้ระดับหนึ่งแล้ว หากอยากเรียนต่อค่อยว่ากันใหม่ ^_^ 

ปัจจุบัน
ผมทำงานประจำเป็นโปรแกรมเมอร์บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ทักษะภาษาอังกฤษที่ใช้ในโรงงานเรียงได้ตามนี้ อ่าน > ฟัง > เขียน > พูด อ่านและฟังเป็นหลัก เพราะต้องเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เขียนและแปลเอกสารบ้าง พูดบ้างเมื่อมีชาวต่างชาติติดต่อเข้ามา จัดอบรมให้พนักงานพึ่งทำไปได้ 2 หลักสูตรเอง คือ English for Presentation และ English Phonics Fun ส่วนงานอดิเรกของผมก็คือสอนพิเศษครับ หนึ่งในนั้นคือภาษาอังกฤษ สอนไปก็ได้ทวนไปครับ สอนไทยให้ฝรั่งด้วยนะ แชทกันทางเฟสบุ๊กครับ ^_^

ประสบการณ์ชีวิตของผมกับภาษาอังกฤษย่อกระชับสุดแล้วก็มีประมาณนี้แหละครับ ทุกวันนี้ก็ยังคงฝึกอยู่เรื่อย ๆ มันมีแต่รู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ไม่มีลดลง ตอนนี้ผมเอาภาษาสเปนมาปัดฝุ่น ก็ฝึกในแนวเดียวกันกับที่ผมฝึกภาษาอังกฤษเช่นกันครับ ยุคนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร เน็ตแรงเวอร์ สื่อการเรียนก็มีเยอะ ทั้งให้อ่าน ทั้งให้ดู ทั้งให้ฟัง ผมแอบอิจฉาเด็กสมัยนี้จริง ๆ

หลังจากอ่านกันจบแล้ว ได้เทคนิคอะไรบ้าง บอกกันบ้างนะ เด๋วว่าง ๆ ผมจะมาสรุปให้ แต่หลัก ๆ ของผมเลยคือ “ชอบ” ก่อนครับ แล้วเรื่องอื่นดี ๆ จะตามมา ท้ายที่สุดนี้ ผมขอขอบคุณพ่อ แม่ ครอบครัว ญาติ พี่น้อง ครูบาอาจารย์ เพื่อน ๆ ที่คอยสนับสนุนกันมาตลอด และผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน สู้ ๆ นะครับ ^_^

ครอบครัวส่งผมเรียนโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง มีการเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นอนุบาล แนวเดียวกันกับที่บ้าน เพียงแต่ว่าศัพท์เยอะกว่า ท่องเยอะกว่า เปรียบเสมือนการต่อยอดความรู้จากบ้านให้ได้มากขึ้นผมย้ายจากกรุงเทพมาศรีราชา ครอบครัวส่งผมเรียนโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง เป็นโรงเรียนวัดใกล้บ้าน ในขณะนั้นยังไม่มีการเรียนภาษาอังกฤษ ผมเรียนรู้เองที่บ้านจากเพลงเป็นหลัก มีญาติผู้ใหญ่เห็นว่าชอบภาษาอังกฤษ ก็นำหนังสือบทสนทนามาให้ ภายในหนังสือประกอบไปด้วยประโยคภาษาอังกฤษ คำอ่านภาษาไทย คำแปลภาษาไทย ก็เลยเริ่มอ่านเอง พูดเอง มันคันปาก อยากออกเสียง และสำเนียง ฮิฮิ ผมเริ่มจับแนวการสะกดและอ่านออกเสียงได้ เช่น –at / ถ้า cat อ่านว่า แคท / bat ก็น่าจะอ่านว่า แบท จนสามารถอ่านและเขียนภาษาคาราโอเกะได้ และลองเขียนเล่นดู เริ่มรู้และเข้าใจความหมายหลายอย่าง ผมเริ่มพูดประโยคในหนังสือบทสนทนาภาษาอังกฤษกับคนในครอบครัว พูดจนคนรอบข้างรู้ไปด้วยว่าประโยคนั้นหมายถึงอะไร เช่น แม่จะได้ยินผมถามว่า “แว้ อิ่ส” บ่อย ๆ เวลาหาของไม่เจอ พูดเล่น ๆ แบบนี้มาตลอด จนติดปาก จนจำได้ 555+เริ่มได้เรียนภาษาอังกฤษ แต่ทั้งหมดเป็นความรู้เดิมที่ผ่านมาแล้วทั้งนั้น แบบเรียนน่าจะชื่อ English is Fun ในขณะเดียวกัน พี่ชายเรียนมัธยมต้น ผมเห็นมีหนังสือเรียนภาษาอังกฤษสีสันสวยงาม แบบเรียนน่าจะชื่อ Discovery และ Blueprint ผมเปิดดูแล้วชอบมาก เน้นดูภาพ และผมก็ได้รู้จักกับดิกส์ ที่นี้ อยากรู้ศัพท์คำไหน อ่านว่าอะไร แปลว่าอะไร ผมก็เปิดเลยครับ ผมยืมหนังสือเรียนภาษาอังกฤษของพี่ชายมาอ่านตลอด ชอบจดศัพท์ เขียนตามลงสมุด พร้อมคัดลายมือ และเริ่มเรียกสิ่งของรอบตัวทับศัพท์เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดผมย้ายมาอยู่กับพ่อและเรียนโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งที่สัตหีบ การเรียนที่นี่เข้มข้นขึ้น ผมเริ่มรู้จักแกรมม่า อ่าน และแปล ไม่ค่อยมีบทสนทนาในตอนเรียน แบบเรียนก็คล้ายกับของพี่ชายผมครับ แต่เรียนไม่เคยจบเล่ม ผมเลยศึกษาต่อเอง ผมศึกษาเพิ่มเติมจากการเลือกซื้อหนังสือตามร้านหนังสือ ส่วนใหญ่ไปร้านซีเอ็ด ผมเริ่มอ่านหนังสือพิมพ์ Student Weekly และ Nation Junior รวมถึงลองกลับมาแต่งประโยคเองที่บ้านด้วย แต่งประมาณว่าแต่ละวันทำอะไรไปบ้าง ผมเริ่มสังเกตและจำภาษาอังกฤษรอบตัว เช่น ในห้าง ซุปเปอร์มาร์เก็ต (ตัวอย่างคำ detergent = ผงซักฟอก) หรือตามของกิน กล่องขนม (ตัวอย่างคำ no preservatives = ไม่ใช้วัตถุกันเสีย) ผมติดเพลงฝรั่งมาก บ้าดู MTV ตลอดเลย และชอบเอาดิกส์มาแปลเนื้อเพลง ผมเริ่มคิดในใจและเริ่มเขียนเป็นภาษาอังกฤษมากขึ้นการเรียนในโรงเรียนเน้นแกรมม่า อ่าน แปล ศัพท์ รากศัพท์ และการเดาความหมายศัพท์ ผมเริ่มเอาตัวเองไปคลุกคลีกับนักเรียนแลกเปลี่ยน ได้สื่อสารจริงกับฝรั่ง ผมเริ่มอ่านตำราภาษาอังกฤษมากกว่าตำราภาษาไทย ส่วนใหญ่เป็นพวกคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ผมเริ่มหัดอ่านหนังสือพิมพ์ Bangkok Post และ The Nation ผมเริ่มใช้ดิกส์อังกฤษเป็นอังกฤษของ Longman เล่มหนามาก พ่อซื้อให้ ประมาณ 700 กว่าบาทครับ ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ ใช้แล้วเหมือนต่อยอดความรู้ภาษาอังกฤษของเราที่มีอยู่ ให้มีเพิ่มขึ้นไปอีก ยุคนั้นเน็ต 56k แรงสุด ผมเริ่มท่องเน็ต อ่านบทความต่าง ๆ ตามที่ตัวเองชอบเป็นภาษาอังกฤษ แต่ที่ชอบที่สุดเลย คือ คอมพิวเตอร์ ศัพท์แสงเยอะมาก ผมเริ่มแชทกับฝรั่งในเรื่องที่ชอบเหมือน ๆ กัน ตรงนี้นอกจากภาษาแล้ว ยังได้รู้เรื่องอื่นอีกด้วย เช่น วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ฯลฯ ของเขาเทียบของเรา ไม่รู้คำไหน เปิดดิกส์แปล ไม่ยาก ฮิฮิ ผมเริ่มสนใจภาษาอื่นที่ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษในการเขียนเหมือนกัน เช่น สเปน อิตาลี โปรตุเกส อาจจะเป็นเพราะเพื่อนที่แชทด้วยมีหลายชาติ ผมว่าเขาก็คงใช้ภาษาอื่นในคำทั่วไปเหมือนกับบ้านเรานะ เช่น บ้านเราใช้ภาษาอังกฤษ เฮลโหล แต้งกิ้ว อเมริกาใช้ภาษาสเปน โอ้หล่า กราสเซียส เป็นต้นผมเริ่มเพลียการศึกษาไทย ผมเลยลาพักร้อน 1 ปี ไม่เอ็นทรานซ์ 555+ ในระหว่างนั้น ผมก็มีเวลาว่างมากขึ้นในการทำกิจกรรมที่ผมชอบเหมือนเดิมพร้อมกับฝึกภาษาอังกฤษไปในตัว ผมเริ่มรับจ้างงานด้านคอม เช่น ซ่อม ประกอบ ลงโปรแกรม พิมพ์ เขียนสูตร เขียนโปรแกรม เขียนเว็บ ฯลฯ สอนพิเศษเด็ก เช่น คณิต วิทย์ อังกฤษ แน่นอนตามการเรียนสไตล์ไทย สอนแกรมม่า สอนอ่านตีความ ข้อสอบกากบาท ตอนสอนก็ถือได้ว่าเป็นการทบทวนความรู้ไปในตัวครับ ยามว่างก็ดูซีรีย์ สารคดี ก็ได้ฝึกฟังและคิดตามครับ ชอบเล่นเกม Resident Evil นะ ได้ทั้งฟังและอ่านภาษาอังกฤษในขณะที่เล่นเกม ฟังไม่ได้เป๊ะตลอดเวลา ข้ามบ้าง มโนบ้าง เพราะตอนฟังไม่ใช่ได้ยินแค่เสียง แต่เห็นภาพเคลื่อนไหวด้วย เดาได้ เอาใจความรวมครับ ส่วนอ่านจะเป๊ะตลอด เพราะเปิดดิกส์ได้ สามารถเก็บได้ทุกศัพท์ พร้อมจดลงสมุด เจอคำเดิม ลืมความหมาย ก็เปิดครับ แล้วมันจำได้เองจริง ๆ ขยันเปิดดิกส์มากจนด้ายขาดเลยนะ ขอบอก 555+ผมเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา ผมเลยกลับเข้ามาเรียนใหม่ แต่จะพยายามเลือกเรียนสิ่งที่คล้ายกับเด็กฝรั่งเขาเรียน ผมว่า ปวส. เหมาะสุดแล้ว ทฤษฎี ปฏิบัติ อย่างละครึ่ง ผมเลยเลือกเรียนสาขาที่ชอบก็คือไอที ผมว่าคนเรียนจบที่นี่ทำงานได้เลยนะ การเรียนใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น เพราะสื่อการสอนเป็นภาษาอังกฤษ แต่บรรยายเป็นภาษาไทย ประกอบกับการเรียนภาษาอังกฤษที่นี่เป็นแนวที่ผมไม่เคยเรียนมาก่อน เรียนเน้นการพูดสื่อสารสำหรับการทำงานมากกว่า นอกจากคาบบังคับเข้าเรียนแล้ว ยังมีชั่วโมงบังคับเรียนเอง คือ นักเรียนต้องเข้าไปเรียนเองในห้องภาษาอังกฤษโดยมีสื่อไว้ให้และมีเจ้าหน้าที่เป็นผู้ตรวจ มีแสดงละครเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ 555+และโอกาสก็มาถึง มีอาจารย์ท่านหนึ่งต้องการนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันทักษะทางวิชาชีพ หัวข้อในการแข่งขัน คือ ผู้ประกาศข่าวภาษาอังกฤษ อาจารย์เห็นว่าผมพอมีแวว อาจารย์เลยจับผมมาฝึกเพิ่มเติม ตั้งแต่นั้นมา จากที่ผมมีสำเนียงอเมริกัน วัยรุ่น แบดบอย แรพโย่ ยิปปีย่า ยิปปีโย่ ก็เปลี่ยนเป็นสำเนียงอเมริกันแบบผู้ประกาศข่าวทันที ผู้เข้าแข่งขันแต่ละวิทยาลัยอาชีวศึกษาทั่วประเทศต้องเข้าแข่งขันระดับภาคก่อน ถ้าผ่านเข้ารอบก็จะได้ไปแข่งขันต่อระดับประเทศ ผมไปแข่งมาทั้งหมด 4 ครั้ง ปี 2548 รองชนะเลิศระดับภาค รองชนะเลิศระดับประเทศ ปี 2549 รองชนะเลิศระดับภาค ชนะเลิศระดับประเทศหลังจากนั้นก็ได้เป็นตัวแทนทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ เช่น การเป็นพิธีกร การกล่าวเปิดงาน การต้อนรับนักศึกษาต่างประเทศ ฯลฯสำหรับเรื่องเรียนไอที ส่วนมากจะใช้ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษค่อนข้างมาก เพราะความรู้หลายอย่างอัพเดตล่าสุดก็จากต่างประเทศ เมื่อเขียนโปรแกรมติดปัญหา ใช้คีย์เวิร์ดภาษาอังกฤษค้นหาในกูเกิ้ลจะเจอผลลัพธ์ตลอด มันทำให้ผมรู้วิธีการแก้ปัญหา รู้โนว์ฮาว รู้ฮาวทู ได้เร็วกว่าเพื่อน ๆยูทูปเริ่มบูม ช่วงนั้นติดรายการตลก MadTV และ American / Britain’s Got Talent บางทีก็หาคลิปความรู้ดู พวกสอนคณิต เริ่มพบความจริง เช่น ลอการิทึม ln ไทยอ่านลอน ฝรั่งอ่านเอลฺเอ็น ตรีโกณมิติ cos ไทยอ่านคอส ฝรั่งอ่านโคไซน์ อ่านเต็ม 555+ ผมทำงานจันทร์ – ศุกร์ เรียนเสาร์ – อาทิตย์ ภาษาอังกฤษตอนทำงานเน้นอ่าน ตอนเรียน ป.ตรี เหมือนทบทวนเรื่องเดิม เน้นแกรมม่าและอ่านตีความ แต่ที่พิเศษมากขึ้นคือรูปเล่มโปรเจ็กจบผมเขียนเป็นภาษาอังกฤษ และบทคัดย่อส่งตีพิมพ์งานวิชาการ คิดว่าได้เขียนเป็นการเป็นงานเยอะสุดก็ตอนนั้น แต่คิดว่ายังไม่เป๊ะนะ 555+ ตอนทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ก็เน้นอ่านครับ ตอนจบ ป.ตรี เกรดอยู่ในระดับขอทุนเรียนต่อเต็มจำนวนได้ เลยสมัครขอทุนกับมหาวิทยาลัยนานาชาติแห่งหนึ่ง สาขา Embedded System สอบแล้วปรากฎว่าผ่านเข้ารอบ ดีใจมากเลย อาจารย์ที่สัมภาษณ์ผมบอกว่าคนมาสมัครส่วนใหญ่ไม่ได้ทักษะภาษาอังกฤษ แต่จบตรงสาย ผมได้ทักษะภาษาอังกฤษ แต่จบไม่ตรงสาย ไม่เป็นไร เรียนฮาร์ดแวร์เพิ่มเติมเอาได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เรียน เนื่องจากสถานการณ์การเงินยังไม่พร้อม คือ ต้องลาออกจากงานไปเรียนเต็มเวลา ในขณะที่ครอบครัวยังต้องการความช่วยเหลืออยู่ ผมไม่ลังเล ผมเลือกครอบครัวครับ จบ ป.ตรี ได้ ถือว่าเป็นใบเบิกทางสู่การทำงานได้ระดับหนึ่งแล้ว หากอยากเรียนต่อค่อยว่ากันใหม่ ^_^ผมทำงานประจำเป็นโปรแกรมเมอร์บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ทักษะภาษาอังกฤษที่ใช้ในโรงงานเรียงได้ตามนี้ อ่าน > ฟัง > เขียน > พูด อ่านและฟังเป็นหลัก เพราะต้องเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เขียนและแปลเอกสารบ้าง พูดบ้างเมื่อมีชาวต่างชาติติดต่อเข้ามา จัดอบรมให้พนักงานพึ่งทำไปได้ 2 หลักสูตรเอง คือ English for Presentation และ English Phonics Fun ส่วนงานอดิเรกของผมก็คือสอนพิเศษครับ หนึ่งในนั้นคือภาษาอังกฤษ สอนไปก็ได้ทวนไปครับ สอนไทยให้ฝรั่งด้วยนะ แชทกันทางเฟสบุ๊กครับ ^_^ประสบการณ์ชีวิตของผมกับภาษาอังกฤษย่อกระชับสุดแล้วก็มีประมาณนี้แหละครับ ทุกวันนี้ก็ยังคงฝึกอยู่เรื่อย ๆ มันมีแต่รู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ไม่มีลดลง ตอนนี้ผมเอาภาษาสเปนมาปัดฝุ่น ก็ฝึกในแนวเดียวกันกับที่ผมฝึกภาษาอังกฤษเช่นกันครับ ยุคนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร เน็ตแรงเวอร์ สื่อการเรียนก็มีเยอะ ทั้งให้อ่าน ทั้งให้ดู ทั้งให้ฟัง ผมแอบอิจฉาเด็กสมัยนี้จริง ๆหลังจากอ่านกันจบแล้ว ได้เทคนิคอะไรบ้าง บอกกันบ้างนะ เด๋วว่าง ๆ ผมจะมาสรุปให้ แต่หลัก ๆ ของผมเลยคือ “ชอบ” ก่อนครับ แล้วเรื่องอื่นดี ๆ จะตามมา ท้ายที่สุดนี้ ผมขอขอบคุณพ่อ แม่ ครอบครัว ญาติ พี่น้อง ครูบาอาจารย์ เพื่อน ๆ ที่คอยสนับสนุนกันมาตลอด และผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน สู้ ๆ นะครับ ^_^


ไก่กับพลอย | The Cock and the Jewel | เรียนอังกฤษจากนิทานอีสป | MISbook


เพลิดเพลินไปกับการเล่าเรื่องนิทานอีสป โดยเจ้าของภาษา พร้อมเสียงแปลเป็นภาษาไทย
ดูนิทานทั้งหมด 50 เรื่อง คลิกที่นี่ https://www.youtube.com/watch?v=LAVyqgvgaI\u0026list=PLYSzQdnk6q9YNrs7qmr20D123H2dtp4Y
สั่งซื้อหนังสือได้ที่ https://www.misbook.com/
หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม Line @MISbook
อย่าลืมกด Subscribe เพื่อดูวิดีโอใหม่ๆ ก่อนใคร https://www.youtube.com/misbook
===============================
นิทานอีสปชุดนี้ จัดทำเป็น 2 ภาษาทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย เพื่อให้บรรดาเด็กๆได้อ่านเรื่องราว สนุกสนานของของนิทานอีสปที่แผงด้วยคติสอนใจ ซึ่งจะช่วยปลูกฝังข้อคิดที่ดีงาม และเสริมสร้างทักษะทางด้านภาษาอังกฤษไปพร้อมๆ กัน โดยมีเรื่องต่างๆ ดังนี้
► The North Wind and the Sun (ลมเหนือกับพระอาทิตย์) — https://youtu.be/1nRw8UPpCQ
► The Fox and the Lion (สุนัขจิ้งจอกกับราชสีห์) — https://youtu.be/Kso1q8VsGbU
► The Goose with the Golden Eggs (ห่านกับไข่ทองคำ) — https://youtu.be/RqFNfDgXe0
► The Camel and the Arab (อูฐกับชาวอาหรับ) — https://youtu.be/XxrlT4RVCAA
► The Lion and the Three Bulls (ราชสีห์กับวัวสามตัว) — https://youtu.be/icRkStelbv4
► The Oak and the Reeds (ต้นโอ๊กกับต้นอ้อ) — https://youtu.be/rRGr64czWb4
► The Cat and Venus (แมวสาวกับเทพวีนัส) — https://youtu.be/XnsNtDFC6mM
► The Cock and the Jewel (ไก่กับพลอย) — https://youtu.be/DwEYvRKuhRU
► The Dog and the Oyster (สุนัขกับหอยนางรม) — https://youtu.be/xvQGUEAKid8
► The Flies and the Honey (แมลงวันกับน้ำผึ้ง) — https://youtu.be/hZ0YET2EyA8
► The Lamb and the Wolf (ลูกแกะกับหมาป่า) — https://youtu.be/Ct6RSTRDmZw
► The Camel and the Traveler (อูฐกับนักเดินทาง) — https://youtu.be/wWluofuNEs
► The Eagle and the Tortoise in the Air (นกอินทรีกับเต่าเหินเวหา) — https://youtu.be/sIr1mbKLHg
► The Fox and the Grapes (สุนัขจิ้งจอกกับพวงองุ่น) — https://youtu.be/0hIrtcn1L3Q
► The Deer and the Lion (กวางกับราชสีห์) — https://youtu.be/6NOopzAL2go
► The Astronomer (นักดูดาว) — https://youtu.be/fk6SgpnQtz4
► The Eagle, the Hawk and the Pigeons (นกอินทรี เหยี่ยว กับนกพิราบ) — https://youtu.be/J8cZN79K5js
► The Crow and the Serpent (กากับงู) — https://youtu.be/6PBJNP6wbs
► Truth and the Traveler (ความจริงกับนักเดินทาง) — https://youtu.be/PXzWl44fXr4
► The Wolf and the Lamb (หมาป่ากับลูกแกะ) — https://youtu.be/KG8jXluRWRU
► The Boy and the Filberts (เด็กชายกับลูกเกาลัด) — https://youtu.be/Gw7TZkCZObc
► The Ass and His Purchaser (ลากับคนซื้อลา) — https://youtu.be/uYuIUTt2QEM
► The Dogs and the Cowhides (สุนัขกับหนังวัว) — https://youtu.be/HatRSTF1il8
► The Shepherd and the Sea (คนเลี้ยงแกะกับทะเล) — https://youtu.be/7dLmUwdhJaw
► The Widow and Her Hen (แม่ม่ายกับแม่ไก่) — https://youtu.be/TcDVwHw5NUc
► The Snake and the File (งูกับตะไบ) — https://youtu.be/wkYXINYnZPc
► The Peacock and the Crane (นกยูงกับนกกระเรียน) — https://youtu.be/nUEcha7Jb20
► The Dog and the Shadow (สุนัขกับเงา) — https://youtu.be/lUy4hiCc8S4
► Juno and the Peacock (จูโน่กับนกยูง) — https://youtu.be/POyH7zpzdSc
► The Farmer and His Sons (ชาวไร่กับลูกชาย) — https://youtu.be/1shE1bBisHM
► The Quack Frog (หมอกบกำมะลอ) — https://youtu.be/qkBNqMIhVeI
► The Hawk and the Nightingale (เหยี่ยวกับนกไนติงเกล) — https://youtu.be/YzfWwxLZmcM
► The Shepherd Boy and the Wolf (เด็กเลี้ยงแกะกับหมาป่า) — https://youtu.be/LAVyqgvgaI
► The Hunter and the Fisherman (นายพรานกับคนจับปลา) — https://youtu.be/aMP2OinbTuk
► The Old Woman and the Wine Jar (หญิงชรากับเหยือกไวน์) — https://youtu.be/k1LepAXe4O0
► The Crow and Mercury (อีกากับเมอร์คิวรี่) — https://youtu.be/8fRNvcYHZ9g
► Fox and the Mask (สุนัขจิ้งจอกกับหน้ากาก) — https://youtu.be/3uNNNRSnd6A
► The Fowler and the Viper (นักล่านกกับงูพิษ) — https://youtu.be/gpNaw7EBAM
► The Playful Ass (ลาขี้เล่น) — https://youtu.be/pIT8i_c4VD4
► The Hare and the Tortoise (กระต่ายกับเต่า) — https://youtu.be/4kiNh0JAtkE
► The Hen and the Swallow (แม่ไก่กับนกนางแอ่น) — https://youtu.be/d7lHSA1hvG8
► The Boys and the Frogs (เด็กชายกับฝูงกบ) — https://youtu.be/HCkxUxc40M
► The Traveler and the Sword (นักเดินทางกับดาบ) — https://youtu.be/aTmCS8cOihA
► The Two Pots (หม้อสองใบ) — https://youtu.be/otG5nwq3mbA
► The Lamp (ตะเกียง) — https://youtu.be/aGnlepCBBWM
► The Miser and His Gold (คนขี้เหนียวกับทองคำ) — https://youtu.be/pFTEesJYjo0
► The Dolphins, the Whales and the Sprat (ปลาโลมา ปลาวาฬ กับปลาซิว) — https://youtu.be/o9eYOmgD_Qo
► The Seller of Image (คนขายเทวรูป) — https://youtu.be/HbDvUyHMels
► The Sick Stag (กวางป่วย) — https://youtu.be/FgAmNkf6cE
► The Mother Crab and Her Son (แม่ปูกับลูกปู) — https://youtu.be/6fkGGvRTytw
รวบรวมเรื่องราวหลากหลายแสนสนุก แฝงด้วยคุณธรรมและคติสอนใจถึง 50 เรื่อง จากนักเล่านิทานชื่อดังนามอีสป เนื้อเรื่องอ่านสนุก พร้อมแง่คิดสอนใจ มีภาพประกอบสวยงามสีสันสดใส ช่วยกันเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรมให้งอกเงยในจิตใจของเด็กๆ

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

ไก่กับพลอย | The Cock and the Jewel | เรียนอังกฤษจากนิทานอีสป | MISbook

ฝึกฟังภาษาอังกฤษง่ายๆสำเนียงอเมริกัน/การเรียนภาษาอังกฤษที่อเมริกา (easy American English listening)


หรือติดตามครูวสันต์ อายุบเคน ได้ทาง Facebook fan page ได้อีกช่องทางหนึ่ง: https://www.facebook.com/wasan.aryubken/

ฝึกฟังภาษาอังกฤษง่ายๆสำเนียงอเมริกัน/การเรียนภาษาอังกฤษที่อเมริกา  (easy American English listening)

ฝึกอ่านภาษาอังกฤษให้เก่งขึ้นกับเรื่องสั้น….They Are in Love… พร้อมอธิบายความหมาย


ติดตาม ครูเชอรี่ English Bright\r
https://www.facebook.com/cherry.englishbright\r
http://www.englishbright.net/

ฝึกอ่านภาษาอังกฤษให้เก่งขึ้นกับเรื่องสั้น....They Are in Love... พร้อมอธิบายความหมาย

หัดอ่านภาษาอังกฤษ 🐻 Teddy Loves His Red Bike


ติดตาม Facebook Fanpage ครูเชอรี่ English Bright
https://www.facebook.com/cherry.englishbright

หัดอ่านภาษาอังกฤษ 🐻 Teddy Loves His Red Bike

📖 ฝึกอ่านอังกฤษกับเรื่องสั้น They Are Way Too Short! พวกมันสั้นเกินไปมาก พร้อมอธิบายความหมาย


ติดตาม ครูเชอรี่ English Bright\r
https://www.facebook.com/cherry.englishbright\r
http://www.englishbright.net/

📖  ฝึกอ่านอังกฤษกับเรื่องสั้น They Are Way Too Short! พวกมันสั้นเกินไปมาก พร้อมอธิบายความหมาย

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ เนื้อเรื่อง ภาษา อังกฤษ สั้น ๆ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *