Skip to content
Home » [Update] การใช้คำเชื่อมในภาษาอังกฤษ « Pitukpong’s Blog | despite ใช้ยังไง – NATAVIGUIDES

[Update] การใช้คำเชื่อมในภาษาอังกฤษ « Pitukpong’s Blog | despite ใช้ยังไง – NATAVIGUIDES

despite ใช้ยังไง: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

And (และ)ใช้เชื่อมข้อความคล้อยตาม กันสอดคล้องกันหรือเป็นไปทำนองเดียวกัน เช่น
We eat with fork and a spoon.
Tina and Tom are playing football.

Or (หรือ)
ใช้เชื่อมข้อความเพื่อเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
Is your house big or small
Would you like tea or coffee

But (แต่)
ใช้เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน เช่น
That house is beautiful but very expensive.
I can ride a bicycle but I can’t ride a horse.

Because (เพราะว่า) ใช้เชื่อมข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลกันโดย becauseจะนำหน้าประโยคที่เป็น สาเหตุ
เช่น
I like my sister because she is pretty.
She can pass the exam because she studies hard.

So (ดังนั้น)
ใช้เชื่อมข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลกันโดย so จำนำหน้าประโยคที่เป็นผล
เช่น
Cathy eats a lot so she is fat.
My sister is pretty so I like her.

Though/although (แม้ว่า) ใช้เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน เช่น
Although he ran very fast, he didn’t win the first prize.

Either….or (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งใน 2อย่าง) ถ้านำมาเชื่อมประโยคในส่วนที่เป็นประธานจะ ใช้คำกริยาตามประธานตัวหลัง เช่น
Either you or he is wrong.
You can get either this pen or that pencil.

Neither …….nor (ไม่ทั้ง 2อย่าง)
ถ้านำมาเชื่อมประโยคในส่วนที่เป็นประธานจะ ใช้คำกริยาตามประธานตัวหลัง
เช่น
Neither I nor she speaks English.

o that: (เพื่อว่า, เผื่อว่า)
ตามด้วยประโยค (Clause) เสมอ
กริยาของประโยคที่ตามหลัง so that จะต้องอยู่ในรูป may หรือ might หรือ should + Verb ช่องที่ 1 เช่น
I stepped a side “so that” she “might” go in. (ผมก้าวไปข้าง ๆ เพื่อว่าหล่อนจะได้เข้าไปข้างในได้)
ถ้าต้องการเปลี่ยนประโยค Complex Sentence ที่มี so that มาเชื่อม ไปเป็น Simple Sentence
ก็สามารถทำได้โดยใช้ in order to หรือ so as to + Verb ช่องที่ 1 ได้ เช่น
He gave up smoking “in order to (หรือ so as to)” get better. (เขาเลิกบุหรี่ก็เพื่อให้อาการ (ของเขา) ดีขึ้น)

so……that: (เสีย…จนกระทั่ง)
คำที่อยู่ระหว่าง so…that ได้แก่ Adjective (คุณศัพท์) หรือ Adverb (กริยาวิเศษณ์) เท่านั้น
แต่บางครั้งหลัง Adjective จะมีนามมาร่วมด้วยก็ได้ มีโครงสร้างดังนี้ so + [Adverb/Adjective/Adj+Noun] + that เช่น
Wichai runs “so” fast “that” I cannot overtake him.

such…..that: (เสีย…จน)
คำที่อยู่ระหว่าง such…that ได้แก่ นาม โดยมี Adjective มาขยายอยู่ข้างหน้า มีโครงสร้างดังนี้
แบบ A: such a + Adjective + นามเอกพจน์นับได้ + that เช่น
He is “such” a good boy “that” everyone likes him. (เขาเป็นเด็กดีเสียจนทุก ๆ คนชอบเขา)
such a + Adjective + นามเอกพจน์นับได้ ในแบบ A นั้นจะใช้ so…that มาแทนก็ได้ แต่ต้องเขียนโครงสร้างใหม่ คือ ให้ a มาอยู่ชิดกับนามเอกพจน์ที่นับได้ เป็นดังนี้ so + Adjective + a + นามเอกพจน์นับได้ + that เช่น
He is “so” good “a” boy “that” I like him.
(= He is “such a” good boy “that” I like him.)
แบบ B: such + [Adjective+นามพหูพจน์ / Adjective+นามนับไม่ได้] + that เช่น
They are  “such” heavy boxes “that” I can hardly lift them up.

in order to, so as to: (เพื่อที่จะ)
ตามด้วย Infinitive (กริยาช่องที่ 1) ทั้งนี้เพื่อเชื่อมเนื้อความ 2 ประโยคให้เป็นหนึ่งประโยค เช่น
I shall go on working late tonight “so as to” be free tomorrow.
(= I shall go on working late tonight. I shall be free tomorrow.)
(ผมจะทำงานต่อไปจนดึกเพื่อที่จะว่าง (ไม่ต้องทำงาน) ในวันพรุ่งนี้)

in order that: (เพื่อว่า)
in order that ต่างจาก in order to ตรงที่ว่า in order to ตามด้วย infinitive ส่วน in order that ตามด้วยประโยค (Clause) ตลอดไป
Children go to school “in order that” they may learn things.
(= Children go to school “in order to” learn things.)

lest: (มีความหมายเท่ากับ so that…not แปลว่า “เพื่อจะได้ไม่”)
ประโยคที่ตามหลัง lest ต้องใช้ should (แทน may, might) ตลอดไป และใช้ได้กับทุกบุรุษอีกด้วย เช่น
He works harder “lest” he should (may) fail. (เขาทำงานหนักขึ้น เพื่อจะได้ไม่ประสบความล้มเหลว)

as long as, so long as: (เมื่อ, ถ้า)
สันธานคู่ (Correlative Conjunction) ตัวนี้ นิยมวางไว้ต้นประโยคมากกว่ากลางประโยค และเมื่อจบประโยคข้างหน้าต้องใส่เครื่องหมาย Comma (,) ทันที เช่น
“As (so) long as” you come here in time, you will see her. (ถ้าคุณมาที่นี่ทันเวลา คุณจะพบเธอแน่)

if: (ถ้า, หาก)
คำนี้เมื่อเชื่อมประโยคจะวางไว้ต้นหรือกลางประโยคทั้งสองก็ได้
ถ้าวางไว้ต้นประโยค เมื่อจบประโยคท่อนแรกให้ใส่ Comma (,) เช่น
“If” the weather holds good, we shall stay another week.
แต่ถ้าวาง if ไว้กลางประโยคทั้งสอง ไม่ต้อง Comma เช่น
We shall stay here another week “if” the weather holds good.

unless: (ถ้า…ไม่, เว้นเสียแต่ว่า…ไม่) มีความหมายเท่ากับ if…not
เมื่อนำมาเชื่อมจะวางไว้ต้นหรือกลางประโยคก็ได้ เช่น
We shall go “unless” it rains.
หรือ “Unless” it rains, we shall go.
(= We shall go “if” it “does not” rain.)
ระวัง! อย่าใช้ not ในประโยคที่ตามหลัง unless เพราะ unless มีความหมายเป็นปฏิเสธ (negative) อยู่ในตัวแล้ว เช่น
ผิด: “Unless” he “does not study” harder, he will fail in the exam.
ถูก: “Unless” he “studies” harder, he will fail in the exam.

but that: (ถ้า…ไม่) มีความหมายเหมือนกับ if…not
เมื่อนำมาเชื่อมความ จะวางไว้ต้นหรือกลางประโยคก็ได้ แต่ต้องตามหลังด้วยประโยค
และอย่าใช้ not ในประโยคที่ตามหลัง but that เพราะ but that มีความหมายเป็นปฏิเสธอยู่แล้ว เช่น
She would have fallen “but that” I caught her. (เธอคงจะตกลงไปแล้ว ถ้าผมไม่ได้จับเธอไว้)
“But that” he is in debt, he would enter priesthood. (ถ้าเขาไม่เป็นหนี้ เขาก็คงบวช)
จำอีก: “but for + Noun” แปลว่า “ถ้า…ไม่” เหมือนกับ but that
ต่างกันแต่ว่า หลัง but that เป็นประโยค ส่วนหลัง but for เป็นนาม
“But for” my help, he should have failed last year. (ถ้าผมไม่ช่วย เขาก็คงสอบตกไปแล้วปีกลายนี้)
(= “But that” I helped him, he should have failed last year.)

inasmuch as: (เพราะ, ด้วยเหตุที่) มีความหมายเท่ากับ because
จะวางไว้ต้นหรือกลางประโยคทั้งสองที่ไปเชื่อมก็ได้ เช่น
He yielded to the invader, “inasmuch as” his army was thoroughly defeated.
(เขายอมแพ้ต่อผู้มารุกราน (ข้าศึก) เพราะกองทัพของเขาถูกตีอย่างพ่ายแพ้ไป)
“Inasmuch as” he is sick, he had better go to hospital. (เพราะเขาไม่สบาย เขาก็ควรจะไปโรงพยาบาลดีกว่า)

or และ or else
or: (หรือ) ใช้เชื่อมคำ (words), วลี (phrases), ประโยค (clauses) ที่แสดงการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
เชื่อมคำ: Is it sweet “or” sour? (เปรี้ยวหรือหวาน?)
เชื่อมวลี: Is he at home “or” in the office? (เขาอยู่บ้านหรือว่าไปทำงาน?)
เชื่อมประโยค: You look after the house “or” go to work. (คุณเฝ้าบ้านหรือมิฉะนั้นก็ไปทำงาน (เลือกเอา))
ส่วน or else: (หรือมิฉะนั้น) มีความหมายเท่ากับ otherwise นิยมใช้เชื่อมประโยค (Clause) มากกว่าคำหรือวลี เช่น
I must clean it, “or else” it will be rusty. (ผมจะต้องทำความสะอาด มิฉะนั้นมันจะขึ้นสนิม)

till และ until: (จนกระทั่ง, จนกว่า)
until มักใช้กับประโยค (Clause) ที่ไปนำหน้าอีกประโยคหนึ่ง
พูดให้ง่ายเข้าก็คือ วางไว้ต้นประโยค ใช้ until (มากกว่า till ว่าอย่างงั้นเถอะ) เช่น
“Until” you told me, I had known nothing about him. (ผมไม่เคยได้รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย จนกระทั่งคุณบอกผม)
till นิยมวางไว้กลางประโยคเสียมากกว่า (แต่จะใช้ until ก็ได้) เช่น
He had never written to me “till (until)” he returned.

provided และ providing: (ถ้าหากว่า) คำทั้งสองก็เป็นสันธานอันหนึ่ง มีหน้าที่เชื่อมประโยคดุจดั่งสันธานทั่ว ๆ ไป
แต่เวลานำมาใช้ provided จะตามด้วย that เสมอ
ส่วน providing ไม่ต้องมี that เช่น
We shall go “provided that” it does not rain. (พวกเราจะไปถ้าหากว่าฝนไม่ตก)
Amy will go “providing” her friend can go together. (เอมี่จะไปถ้าหากว่าเพื่อนของเธอก็ไปด้วยกันได้)

supposing: (ถ้า, สมมติว่า)
คำนี้นิยมไว้ต้นของประโยคหน้า หรือใช้กับ Clause หน้า เช่น
“Supposing” you win the government lottery, what do you buy? (สมมติว่าคุณถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล คุณจะซื้ออะไรบ้าง?)

since: (ตั้งแต่, เพราะว่า, เนื่องจากว่า)
ถ้าแปลว่า “ตั้งแต่” ใช้เชื่อมระหว่างประโยค Present Perfect (Subject + have/has + V3) หรือ Present Simple (Subject + V1(ประฐานเอกพจน์เติมs)) กับ Past Simple (Subject + V2(เติมedบ้าง,ผันบ้าง)) เช่น
He has worked hard “since” his father died. (Present Perfect, Past Simple)
ถ้าแปลว่า “เพราะว่า, เนื่องจากว่า” ให้วางไว้หน้า Clause ของประโยคแรก เช่น
“Since” he doesn’t learn English, he can’t speak it. (เนื่องจาก (เพราะ) เขาไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษ เขาจึงพูดไม่ได้)

as soon as: (เมื่อ = when)
แต่ใช้ความหมายฉับพลันกว่า when เช่น
I shall go back “as soon as” he arrives.
อนึ่ง จะวาง as soon as ไว้หน้า Clause แรกก็ได้ แต่ต้องใส่ Comma เมื่อจบความของประโยคแรก เช่น
“As soon as” he arrives, I will tell him.

in case: (ในกรณีที่, เพราะ)
ตามด้วยประโยค (Clause)
วิธีใช้ก็เช่นเดียวกับ so that, for fear that คือ จะต้องตามด้วย may, might, should, can, could ตัวใดตัวหนึ่ง เช่น
Don’t go too near the river “in case” you “should” fall in it. (อย่าเข้าไปใกล้แม่น้ำนัก เพราะคุณอาจจะตกไปก็ได้)
ตามด้วยประโยค (Clause)
ถ้า In case วางไว้หน้า Clause แรก ไม่ต้องตามด้วย can, could, should, may, might เช่น
“In case” I “forget”, please remind me about that.
ระวัง! in case of + นาม (ไม่ใช่ประโยค) เช่น
“In case of” fire, please inform the fire-brigade. (ถ้าเกิดเพลิงไหม้ โปรดแจ้งกองดับเพลิงทราบ)

because และ because of: ทั้งสองคำแปลเหมือนกันคือ “เพราะ, เพราะว่า” แต่วิธีใช้ต่างกันคือ
because: เป็น Conjunction เชื่อมประโยคแสดงเหตุผล
หลัง because ต้องเป็นอนุประโยค (Clause) เสมอ เช่น
Jack did not come to school “because” he was ill.
because of: เป็น Preposition (คำที่ใช้เชื่อม Noun และ Pronoun เข้ากับคำอื่น ๆ ที่อยู่ในประโยค ทั้งนี้เพื่อให้ใจความของประโยคกลมกลืนสละสลวยขึ้น” ได้แก่ in, on, at, by, from, toward, into, etc.) วลี
หลัง because of ต้องมีกรรมมารับ จะเป็นสรรพนามหรือคำเสมอนามก็ได้ แต่จะเป็นประโยคไม่ได้ เช่น
She failed “because of” him.

the same…+Noun+…as: (เหมือนกับ, เช่นเดียวกันกับ)
ระหว่าง the same กับ as ให้ใส่คำนามเข้ามา เช่น
I have “the same” trouble “as” you (have). (ผมมีข้อยุ่งยากเช่นเดียวกับคุณ (มี))
ถ้านามนั้นกล่าวถึงมาแล้ว หรือผู้พูดและผู้ฟังรู้กันดีอยู่แล้วว่า หมายถึงอะไรในสิ่งที่เหมือนกัน หลัง the same ก็ไม่ใส่นามเข้ามา
This “book” is “the same as” that one. (หนังสือเล่มนี้เหมือนกับเล่มนั้น)

either of และ neither of
either of + นามพหูพจน์ = (อย่างใดอย่างหนึ่ง)
ถ้าไปเป็นประธานในประโยค กริยาต้องใช้เอกพจน์ตลอดไป เช่น
“Either of you” is wrong. (เธอคนใดคนหนึ่งจะต้องผิด)
I don’t (กริยาพหูพจน์) want “either of the apples”. (ผมไม่ต้องการแอปเปิ้ลผลใดผลหนึ่ง)

neither of + นามพหูพจน์ = (ไม่ทั้งสองอย่าง)
ถ้าเป็นประธาน กริยาใช้เอกพจน์ เช่น
“Neither of the books” is of any use to me. (หนังสือทั้งสองเล่มไม่มีประโยชน์ใด ๆ แก่ผมเลย)
I want “neither of them”. (ผมไม่ต้องการทั้งสองอย่าง)

no sooner……than: (พอ…ก็)
คำนี้เป็น Conjunctive ใช้เชื่อมประโยคทั้งสองเข้าด้วยกัน
ประโยคที่ no sooner…than ไปเชื่อมมักเป็นประโยค Past Perfect (Subject + had +V3) กับ Past Simple (Subject + V2)
He had “no sooner” seen it “than” he started to run. (Past Perfect, Past Simple)
(พอเห็นเขาเริ่มออกวิ่ง)
หรือจะวาง No sooner ไว้ต้นประโยคก็ได้ เช่น
“No sooner” had he arrived “than” he was told to start back again. (Past Perfect, Past Simple)
(พอมาถึงเขาก็ได้รับคำสั่งให้ออกเดินทางกลับไปอีก)

not so…….as: (ไม่เท่ากับ)
คำนี้ความจริงก็คือ as…as นั่นเอง แต่ใช้ในประโยคปฏิเสธเท่านั้น (ส่วน as…as ใช้ในประโยคบอกเล่า) เช่น
บอกเล่า: He is “as clever as” you are. (เขาฉลาดเท่ากับคุณ(ฉลาด))
ปฏิเสธ: He is “not so clever as” you are. (เขาไม่ฉลาดเท่าคุณ

ขอขอบคุณ*—->>http://englishlearningthailand.com/error-in-conjunction-คำเชื่อมที่มักจะใช้ผิดเสมอ.htmlขอขอคุณ**—->>>

Share this:

Like this:

ถูกใจ

กำลังโหลด…

[Update] จดไปใช้! 15 คำและวลีเริ่ดๆ ช่วยพลิกโฉม Essay ธรรมดาให้ Perfect กว่าที่เคย | despite ใช้ยังไง – NATAVIGUIDES

            

สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว

Dek-D

หลายคนคงทราบกันดีกว่าการจะเก่งภาษาอังกฤษนั้นมันไม่ง่ายเลย เพราะไม่ว่าจะฟัง พูด อ่าน หรือเขียนก็ล้วนเป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ทั้งนั้น และหนึ่งทักษะสำคัญที่ได้ใช้อยู่ตลอด และเจอได้ทั้งในวัยเรียนและวัยทำงานก็คือ

“ทักษะการเขียนเรียงความ (essay)  ”

 นั่นเอง ซึ่งนอกจากหัวข้อและประเด็นใน Essay จะต้องน่าสนใจชวนให้อ่านแล้ว การใช้คำและวลีที่เหมาะสมยังเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความประทับใจและทำให้ผู้อ่านอ่านงานเขียนของเราไปจนจบด้วย
 

            

วันนี้

พี่ปุณ

และ

English Issues

ก็เลยมีทริคเกี่ยวกับหลักการใช้ภาษาที่จะทำให้งานเขียนธรรมดากลายเป็นงานเขียนสุดปังในพริบตาเดียว ว่าแล้วก็อย่ารอช้า มือซ้ายคว้ากระดาษ มือขวาจับปากกา แล้วมาเริ่มอัปสกิลการเขียน Essay ไปพร้อมกันค่ะ!
 

General explaining 

อธิบายให้กระจ่าง

 

            

มาเริ่มกันที่หมวดหมู่วลีที่ใช้ในการอธิบายหรือขยายความสิ่งที่พูดไว้ก่อนหน้ากันค่ะ
 

In order to

            

In order to แปลเป็นไทยได้ว่า ‘เพื่อที่จะ’ วลีนี้เราจะใช้เมื่อต้องการบอกจุดประสงค์หรือบอกว่าเราจะทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร แต่ก่อนจะใช้น้องๆ ต้องอย่าลืมว่าหลัง In order to ต้องตามด้วย Verb infinitive (=คำกริยาที่ไม่เติม s, es, ed, ing) เท่านั้นนะคะ
 

 ตัวอย่างประโยค:

In order to understand the lesson, you need to read more books from the library. 

คุณต้องอ่านหนังสือที่อยู่ในห้องสมุดมากกว่านี้เพื่อที่จะได้เข้าใจบทเรียน
 

In other words

            

In other words สามารถแปลเป็นไทยได้ว่า ‘อีกนัยหนึ่ง’ หรือ ‘พูดอีกอย่าง’ ซึ่งวลีนี้จะถูกใช้เมื่อน้องๆ ต้องการขยายความหรืออธิบายความหมายของสิ่งต่างๆ ให้เห็นภาพและให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
 

 ตัวอย่างประโยค:

Frogs are amphibians. In other words, they live on the land and in the water.

กบเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ อีกนัยหนึ่งก็คือพวกมันอาศัยอยู่ทั้งในน้ำและบนบก
 

To put it another way

            

วลีนี้มีความหมายคล้ายกับ In other words แต่จะแตกต่างกันตรงที่ To put it another way มักจะใช้อธิบายอะไรที่มีความซับซ้อนหรือเข้าใจได้ยากกว่า และเราก็มักจะใช้มันเมื่อเห็นว่าประโยคที่ตามหลังวลีนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายของประโยคก่อนหน้ามากขึ้นค่ะ
 

 ตัวอย่างประโยค:

Plants rely on photosynthesis. To put it another way, they will die without the sun.

พืชต้องการการสังเคราะห์แสง พูดอีกอย่างได้ว่าพวกมันจะตายถ้าไร้ซึ่งพระอาทิตย์
 

Adding additional information to support a point 

ซัปพอร์ตข้อมูล เสริมความหมาย

            

รู้หรือไม่? นอกจากคำว่า “And” ก็ยังมีคำเชื่อมและวลีอีกมากมายที่สามารถใช้ในการให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ผู้อ่านได้เหมือนกันนะ
 

Moreover

            

Moreover เป็น adverb ที่แปลว่า ‘ยิ่งไปกว่านั้น’ เวลาใช้เราก็มักจะวางไว้หน้าประโยคเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม เสริม หรือสนับสนุนสิ่งที่กล่าวมาก่อนหน้า แค่คำสั้นๆ ก็ทำให้ essay ของเราน่าสนใจขึ้นมาได้แล้ววว
 

 ตัวอย่างประโยค:

Cycling is good exercise. Moreover, it doesn’t pollute the air. 

การปั่นจักรยานเป็นการออกกำลังกายที่ดี ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไม่ก่อให้เกิดมลพิษในอากาศอีกด้วย
 

Furthermore

            

อีกหนึ่ง adverb ที่เราจะใช้เมื่อต้องการให้ข้อมูลเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้สิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วก็คือ Furthermore ที่แปลเป็นไทยได้ว่า ‘ยิ่งไปกว่านั้น’ หรือ ‘นอกจากนี้’ (มีความหมายคล้าย moreover เลยค่ะ)
 

 ตัวอย่างประโยค:

No worries, he is in prison. Furthermore, there is evidence to suggest that he is the one who committed the crime.

ไม่ต้องกังวล ตอนนี้เขาอยู่ในคุกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเรายังมีหลักฐานว่าเขาเป็นคนก่ออาชญากรรมอีกด้วย
 

Likewise

            

Likewise แปลเป็นไทยได้ว่า ‘ในทำนองเดียวกัน’ โดยคำนี้มักจะใช้ขึ้นต้นประโยคหรือวางไว้ตรงกลางเพื่อ support หรือเพิ่มความคิดเห็นที่เป็นไปในแนวทางเดียวกับสิ่งที่เพิ่งพูดไป แต่นอกจาก Likewise แล้ว ‘Similarly’ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีที่เราสามารถดึงมาใช้แทนกันได้ค่ะ
 

 ตัวอย่างประโยค:

Just water these plants twice a week, and likewise the ones in the bedroom.

ต้นไม้พวกนี้รดน้ำแค่สัปดาห์ละสองครั้งพอ ต้นที่อยู่ในห้องนอนก็เหมือนกัน
 

Another key thing to remember

            

Another key thing to remember หรือ Another key fact to remember มีความหมายว่า ‘อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ควรรู้ไว้’ วลีนี้มักถูกใช้เพื่อเพิ่มข้อมูลสำคัญที่จะทำให้ใจความของประโยคก่อนหน้าสมบูรณ์ยิ่งขึ้นได้ คล้ายกับคำว่า also ที่แปลว่า ‘เช่นกัน/ด้วย’ เลยค่ะ เรียกว่าเป็นวลีที่หรูหราเหมาะกับการเอาไปใส่ในงานเขียนมาก!
 

 ตัวอย่างประโยค:

As a Romantic, Blake was a proponent of a closer relationship between humans and nature. Another key point to remember is that Blake was writing during the Industrial Revolution.

ในยุคโรแมนติกเบลกเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างธรรมชาติและมนุษย์ และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เราควรรู้เกี่ยวกับเขานั่นก็คือ ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม เบลกได้ประกอบอาชีพเป็นนักเขียน
 

Words and phrases for demonstrating contrast 

แย้งให้เห็นประเด็นที่แตกต่าง

            

นอกจากประเด็นสนับสนุนแล้ว บทความที่ดีก็ต้องมีประเด็นขัดแย้งด้วยเช่นกันนะคะ แต่ถ้าจะให้มาใช้แค่ Yet และ But มันก็จะดูธรรมดาไปหน่อย ว่าแล้วไปดูดีกว่าว่าเราจะสามารถสรรหาคำหรือวลีไหนมาใช้ได้อีกกก
 

However

            

However เป็นคำเชื่อมแสดงข้อคิดเห็นหรือข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งหรือตรงข้ามกัน คำนี้สามารถวางไว้ได้ทั้งต้น กลาง และท้ายประโยค และไม่ว่าจะวางไว้ตรงไหนความหมายที่ได้จะเป็นความหมายเดียวกันแต่จะต่างกันก็ตรงที่จังหวะการพูดและการเน้นคำเท่านั้นเอง นอกจากนี้ However ที่เรารู้จักกันยังสามารถใช้ได้ 2 ความหมาย
 

  1.  หากมี comma ( , ) คั่นไว้ข้างหน้าหรือข้างหลัง However นั้นจะมีความหายว่า ‘อย่างไรก็ตาม’
  2. หากไม่มี comma ( , ) คั่น However นั้นจะแปลว่า ‘ไม่ว่า…ยังไง’ หรือ ‘ไม่ว่า…ขนาดไหน’
     

 ตัวอย่างประโยค:

I want to be a singer. However, my parents want me to be a doctor.

ฉันอย่างเป็นนักร้อง อย่างไรก็ตามพ่อแม่อยากให้ฉันเป็นหมอ
 

However full I am, I still want to eat more cakes.

ไม่ว่าฉันจะอิ่มขนาดไหน ฉันก็ยังอยากกินเค้กเพิ่มอีก
 

By contrast/in comparison

            

เราจะใช้ By contrast เมื่อต้องการแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งและใช้ In comparison เมื่อต้องการเปรียบเทียบระหว่างสองข้อความ โดยทั้งสองคำนี้จะต้องมี comma ( , ) มาคั่นเมื่อใช้ขึ้นต้นประโยค แต่หากจะวางไว้กลางประโยคน้องๆ ก็ต้องอย่าลืมหา preposition หรือคำบุพบทมาช่วยแล้วตามด้วยคำนาม ซึ่ง By contrast จะเปลี่ยนเป็น In contrast แล้วใช้กับ to ส่วน In comparison จะใช้ได้กับทั้ง to และ with เลยค่ะ
 

 ตัวอย่างประโยค:

Jane’s opinion is based on insufficient evidence. By contrast, Ann’s seems more plausible.

ข้อวินิจฉัยของเจนไม่มีหลักฐานที่เพียงพอ ขณะที่ข้อวินิจฉัยของแอนดูเป็นไปได้มากกว่า
 

France is relatively rich, in comparison to other European countries.

ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ค่อนข้างรวยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรป
 

Despite/In spite of

            

Despite และ In spite of เป็น preposition หรือคำบุพบทที่มีความหมายว่า “ทั้งๆ ที่” โดยมักใช้เชื่อมข้อความใดๆ ก็ตามที่ขัดแย้งกัน แต่กฎเหล็กข้อสำคัญคือสองคำนี้ต้องตามด้วยคำนามหรือนามวลีเท่านั้นนะคะ
 

 ตัวอย่างประโยค:

Despite knowing Bangkok very well, Tim gets lost every time he travels alone.

ทิมหลงทางทุกครั้งที่ไปเที่ยวคนเดียว ทั้งๆ ที่เขาก็รู้จักกรุงเทพฯ เป็นอย่างดี
 

Giving examples 

ตัวอย่างต้องมี essay ที่ดีต้องเคลียร์!

            

Essay ที่ดีจะต้องมีการยกตัวอย่างมาสนับสนุนประเด็นต่างๆ ที่ได้ยกขึ้นมาเสมอ แต่ถ้าจะให้ใช้แค่คำว่า ‘for example’ มันก็ดูจะซ้ำและจำเจไป ลองเปลี่ยนมาใช้คำเหล่านี้กันดีกว่า
 

For instance

            

For instance มีความหมายและวิธีใช้เหมือนกับคำว่า for example เป๊ะ! จะต่างกันก็ตรงที่ในงานเขียนวิชาการ for example มักจะไปปรากฏให้เห็นได้บ่อยกว่าเท่านั้นเอง และอีกหนึ่งความพิเศษที่หลายคนอาจยังไม่รู้ก็คือทั้งสองคำนี้สามารถวางไว้ได้ทั้งต้น กลาง และท้ายประโยค เลือกใช้ได้ตามใจชอบเลยค่ะ
 

 ตัวอย่างประโยค:

It was obvious that her memory was failing. For instance, she would often forget where she put her car keys.

เห็นได้ชัดว่าระบบความจำของเธอกำลังมีปัญหา ดูได้จากที่เธอมักจะลืมว่าเธอเก็บกุญแจรถไว้ที่ไหน
 

To give an illustration

            

To give an illustration สามารถแปลตรงตัวเป็นภาษาไทยได้ว่า ‘เพื่อที่จะทำให้เห็นภาพ’ ซึ่งการทำให้เห็นภาพก็คือการยกตัวอย่างมาประกอบข้อความนั่นเอง
 

 ตัวอย่างประโยค:

To give an illustration of what I mean, let’s look at the case of the conflicts in the First World War.

เพื่อที่จะให้เห็นภาพว่าฉันกำลังพูดถึงอะไร เราไปดูกรณีข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกัน
 

Signifying importance

เน้นประเด็นให้เห็นความสำคัญ

            

การจะเน้นหรือแสดงให้ผู้อ่านเห็นว่าข้อความส่วนไหนใน essay ของเรานั้นสำคัญอาจไม่ต้องบอกตรงๆ ว่า This is important. แต่ใช้ adverb ที่มีความหมายว่า ‘สำคัญ/จำเป็น’ ช่วยบอกก็ได้นะ ทั้งฟังดูลื่นไหลและไม่โจ่งแจ้งเกินไปด้วย
 

Significantly

            

Significantly แปลว่า ‘อย่างสำคัญ/จำเป็น’ มีความหมายคล้ายคลึงกับคำว่า Notably, Importantly และ Necessarily ทั้งหมดเป็น adverb ที่ใช้เพื่อนำเสนอว่าข้อความต่อไปนี้มีประเด็นสำคัญที่ผู้อ่านอาจไม่รับรู้มาก่อนซ่อนอยู่! 
 

 ตัวอย่างประโยค:

She moved herself to the opposite bench and let her gaze drop significantly to the cup in his hand.

เธอย้ายตัวเองไปอยู่ที่ม้านั่งฝั่งตรงข้ามและจ้องมองแก้วในมือของชายหนุ่มอย่างมีนัยยะสำคัญ
 

Summarising 

สรุปครบจบบทความ

            

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด! ก่อนจะจบ essay ก็ต้องทิ้งท้ายด้วยการสรุปเนื้อหาข้างต้นเพื่อไม่ให้ผู้อ่านสับสนกันสักหน่อย เนื้อหาว่าสำคัญแล้ว คำหรือสำนวนที่ทำให้รู้ว่านี่คือตอนจบก็สำคัญเช่นกันค่ะ
 

In conclusion

            

ถ้าเจอคำนี้เมื่อไหร่ให้รู้ไว้เลยว่าบทความนั้นใกล้จะจบแล้ววว เพราะ In conclusion แปลว่า ‘โดยสรุปแล้ว’ ซึ่งส่วนใหญ่คำนี้จะถูกนำมาใช้ในย่อหน้าสรุปหรือย่อหน้าสุดท้ายเพื่อสรุปประเด็นสำคัญและภาพรวมทั้งหมดของบทความ แต่นอกจาก In conclusion แล้วก็ยังวลีอีกมากมากมายที่คนนิยมนำมาใช้ในการสรุป เช่น To conclude, To sum up, To summarize, To wrap it all up, etc. จะคำไหนก็มีความหมายคล้ายและสามารถใช้แทนกันได้หมดเลยค่ะ
 

 ตัวอย่างประโยค:

In conclusion, three things that you can’t recover in life are the word after it’s said, the moment after it’s missed, and the time after it’s gone.

โดยสรุปแล้ว 3 สิ่งในชีวิตที่เราไม่สามารถเอากลับมาได้คือคำพูดที่ได้พูดไปแล้ว โอกาสที่ได้เสียไปแล้ว และเวลาที่ได้ผ่านไปแล้ว
 

Above all

            

Above all เป็น idiom มีความหมายว่า ‘เหนือสิ่งอื่นใด’ หรือ ‘สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ’ การใช้สำนวนนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพว่าข้อความหรือส่วนไหนในบทความคือส่วนที่สำคัญและน่าจับตามองมากที่สุด
 

 ตัวอย่างประโยค:

Above all, you should know that leadership has its costs.

เหนือสิ่งอื่นใดคุณต้องรู้ว่าการเป็นผู้นำต้องกล้าได้กล้าเสีย 
 

        

            

และนี่ก็คือ 15 คำ สำนวน และวลีที่จะช่วยอัปเกรดงานเขียนของน้องๆ ให้ดูดี น่าสนใจ และไม่น่าเบื่ออีกต่อไป น้องคนไหนอยากพัฒนาสกิลการเขียนก็อย่าลืมจดจำและนำคำเหล่านี้ไปใช้กันนะคะ^^
 

 Sources:


การใช้ Preposition | Eng ลั่น [by We Mahidol]


พี่คะน้ารวบรวมเทคนิคและหลักการใช้ Preposition หรือคำบุพบท ให้เก่งกว่าเดิมมาฝาก ทั้งการจำเป็นวลี การจัดคำเป็นกลุ่ม รวมถึงการฝึกใช้ซ้ำ ๆ เพราะสิ่งที่หลายคนสับสนและไม่เข้าใจเกี่ยวกับการใช้ Preposition มีสาเหตุมาจากเป็นคำที่ไม่มีความหมายตายตัวในภาษาไทย แปลตรงตัวไม่ได้ บุพบทวลีมีตำแหน่งไม่ตายตัว และที่สำคัญมันมีเยอะมาก ๆ
Learn WithMe Engลั่น Preposition WeMahidol Mahidol
YouTube : We Mahidol
Facebook : http://www.facebook.com/wemahidol
Instagram : https://www.instagram.com/wemahidol/
Twitter : https://twitter.com/wemahidol
มหาวิทยาลัย มหิดล Mahidol University : https://www.mahidol.ac.th/th/
Website : https://channel.mahidol.ac.th/

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

การใช้ Preposition | Eng ลั่น [by We Mahidol]

Using Small Talk Phrases in English


Click here to learn English twice as fast with FREE PDF: https://bit.ly/32YQ5BB
In this English grammar lesson we will teach you everything you need to know about Using Small Talk Phrases in English.
If you are an absolute beginner English learner, this video is made for you as you will learn some of the most useful English words and expressions for everyday life. This is THE place to start if you want to start learning English.
■ Facebook: https://www.facebook.com/EnglishClass101
■ Instagram: https://www.instagram.com/EnglishClass101
■ Alisha’s Instagram: https://www.instagram.com/arishaintokyo
■ Alisha’s Twitter: https://www.twitter.com/arishaintokyo

Click here to get your free gifts: https://bit.ly/32YQ5BB
Also, please LIKE, SHARE and COMMENT on our videos! We really appreciate it. Thanks!
Grammar English LearnEnglish EnglishClass101 Language

Using Small Talk Phrases in English

Too, Also, As Well, But กับ Though ใช้อย่างไร


สอบถามเรื่องคอร์ส Line: Aj.Adam, Info.Hollywood, KhunBaiTuey
โทร 02 612 9300, 081 353 7810, 089 422 4546
สนใน sponsor คลิปอาจารย์อดัมติดต่ออีเมล [email protected] หรือโทร 02 612 9300
เรียนกับอดัม: http://www.facebook.com/hollywoodlearning
สาขาเชียงใหม : http://www.facebook.com/hollywoodlearningcm
เรียนออนไลน์กับอดัม: http://www.ajarnadam.tv
FBของอดัม: http://www.facebook.com/AjarnAdamBradshaw
Twitter: http://twitter.com/AjarnAdam
FBของซู่ชิง: http://www.facebook.com/jitsupachin
YouTube ของซู่ชิง: http://www.youtube.com/user/jitsupachin
Twitter ซูชิง: http://twitter.com/Sue_Ching

Too, Also, As Well, But กับ Though ใช้อย่างไร

How to Improve Your English Listening Skills


Click here to learn English twice as fast with FREE PDF:
In this English grammar lesson we will teach you everything you need to know about How to Improve Your listening Skills in English.
If you are an absolute beginner English learner, this video is made for you as you will learn some of the most useful English words and expressions for everyday life. This is THE place to start if you want to start learning English.
■ Facebook: https://www.facebook.com/EnglishClass101
■ Instagram: https://www.instagram.com/EnglishClass101
■ Alisha’s Twitter: https://twitter.com/arishaintokyo
■ Alisha’s Instagram: https://www.instagram.com/arishaintokyo
Click here to get your free gifts:
Also, please LIKE, SHARE and COMMENT on our videos! We really appreciate it. Thanks!
Grammar English LearnEnglish EnglishClass101 Language

How to Improve Your English Listening Skills

การใช้ In spite of และ despite


In spite of และ Despite แปลว่า ถึงแม้ว่า
จะตามด้วยคำนามค่ะ

การใช้ In spite of  และ despite

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN TO MAKE A WEBSITE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ despite ใช้ยังไง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *