Skip to content
Home » [Update] การเขียน Resume / CV ภาษาอังกฤษ | ความสามารถในการแข่งขัน ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

[Update] การเขียน Resume / CV ภาษาอังกฤษ | ความสามารถในการแข่งขัน ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

ความสามารถในการแข่งขัน ภาษาอังกฤษ: คุณกำลังดูกระทู้

มาเจาะลึกถึงเทคนิคการเขียน resume ภาษาอังกฤษกันสักหน่อย การเขียนเรซูเม่ให้ดีเป็นสิ่งที่ยากมากแต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเขียนไม่ได้  หลักสำคัญคือ ต้องเขียนสิ่งที่เป็ฯตัวเราจริงๆ เนื้อความสั้น กระชับ และได้ใจความ ส่วนรูปแบบของเรซูเม่ จริงๆแล้วไม่มีใครรู้ว่าแบบไหนคือดีที่สุด เอาเป็นว่าอ่านง่ายสบายตา เท่านี้ก็ถือได้ว่าเป็นเรซูเม่ที่ดีค่ะ การเขียนเรซูเม่ทั่วไปมีหลักการเช่นเดียวกับการเขียนออไลน์เรซูเม่ แต่ออนไลน์เรซูเม่มีความพิเศษกว่า เพราะสามารถใส่ลิ้ง (Link) เพื่อที่จะโชว์ความสามารถพิเศษหรือ portfolio ของเราให้นายจ้างดูได้ และยังสามารถใส่วีดีโอเรซูเม่ (VDO Resume) เพื่อแนะนำหรือพรีเซนต์ประวัติย่อของเราได้ด้วย ซึ่งนายจ้างที่เห็นวีดีโอเรซูเม่ก็จะสามารถเห็นบุคลิกภาพของเราก่อนเรียกเข้าสัมภาษณ์งาน ความพิเศษของออนไลน์เรซูเม่ เป็นสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาเพื่อให้เรซูเม่ของเราน่าสนใจและเพิ่มโอกาสในการเรียกเข้าสัมภาษณ์งานให้กับเราอีกด้วย ในบทความนี้เราจะแบ่ง resume ออกเป็น 6 ส่วนหลักๆ คือ  

 

Table of Contents

1. หัวเรื่องและจุดมุ่งหมายในงาน (Heading & Career Objective )

2. ข้อมูลส่วนตัว (Personal Information)

3. ทักษะความสามารถ (Skills) 

4. ข้อมูลทางด้านการศึกษา (Education)

5. ประสบการณ์ทำงาน (Working Experience)

6. บุคคลที่สามารถอ้างอิงได้ (References)

 

 

1. หัวเรื่องและจุดมุ่งหมายในงาน (Heading & Career Objective )

 

ส่วนหัวกระดาษ (Heading) ต้องระบุชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์และอีเมล์ที่สามารถติดต่อเราโดยตรงได้ อย่าลืมเช็คเบอร์โทรและอีเมล์ก่อนส่งเรซูเม่สมัครงานอีกครั้งเพราะเป็นส่วนที่สำคัญและไม่ควรจะเขียนผิดพลาด เนื่องจากถ้านายจ้างสนใจเรียกเข้าสัมภาษณ์งานแล้วแต่ไม่สามารถติดต่อเราได้ เรซูเม่เราก็จะไม่มีความหมายไม่ต่างกับกระดาษเปล่านะคะ

ส่วนจุดมุ่งหมายในงาน (Career Objecting) คือการระบุเป้าหมายของการสมัครงานในตำแหน่งงานที่เราต้องการสมัคร และควรระบุตำแหน่งงานที่เราต้องการสมัครให้ชัดเจน อาจมีการระบุจำนวนเงินเดือนที่ต้องการด้วยก็ได้

 

การระบุจุดมุ่งหมายในการทำงานที่ชัดเจน และสอดคล้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร เช่น ตั้งเป้าหมายระยะสั้นว่าจะทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จได้อย่างไร หรือการตั้งเป้าหมายระยะยาวในช่วงเวลา 3-5 ปีข้างหน้าในเส้นทางอาชีพว่าจะเป็นไปในทิศทางใด เป็นต้น ซึ่งการตั้งเป้าหมายในสายอาชีพให้ชัดเจนเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และสร้างแรงจูงใจที่สำคัญแก่องค์กรในการเลือกรับผู้สมัครคนดังกล่าวเข้าทำงานเพื่อสร้างผลงานและขับเคลื่อนองค์กรได้ต่อไป

 

ตัวอย่าง หัวเรื่องและจุดมุ่งหมายในงาน (Heading & Career Objective )

 

MR. FISCHER PARTNERS

55 Wave Place Wireless Rd., Lumpini, Pathumwan, Bangkok, 10330

Tel. 02-2541448-9  E-mail: [email protected]

CAREER OBJECTIVE: Seeking a position in the accounting field where excellent analytical and technical skills can be utilized to improve the company’s profitability 
EXPECTED SALARY:   15,000- 25,000 Baht

 

 

2. ข้อมูลส่วนตัว (Personal Information)

 

ข้อมูลส่วนตัว (Personal  Information) ถือเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในเรซูเม่  ประกอบไปด้วยรูปภาพ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ประวัติการศึกษา สำหรับรูปถ่ายควรเป็นรูปที่เห็นใบหน้าตรงชัดเจน และแต่งกายสุภาพเรียบร้อย เนื่องจากรูปถ่ายจะเป็นสิ่งแรกที่ HR เห็นจากเรซูเม่ของผู้สมัคร นอกจากนี้ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลติดต่อกลับทั้งเบอร์โทรศัพท์ และอีเมลที่ต้องดูเป็นทางการ เช่น ชื่อ.นามสกุล@xxx.com 

 

ส่วนข้อมูลที่เกี่ยวกับสัญชาติ ศาสนา น้ำหนัก ส่วนสูง และงานอดิเรกที่เราสนใจนอกเวลางาน บางคนอาจจะเลือกที่จะไม่ใส่ขอมูลเกี่ยวกับ สัญชาติ ศาสนา น้ำหนัก และส่วนสูง ถ้าต้องการให้เรซูเม่ของเราดูเป็นมืออาชีพ และถ้าข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้องาน ดังนั้นในส่วนนี้ จะใส่เพียว ที่อยู่ เบอร์โทร อีเมล์ และงานอดิเรกที่สนใจนอกเวลางาน เท่านั้นก็ได้ แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับเนื้องานก็จำเป็น เช่น ถ้าเราสมัครเป็นแอร์โฮสเตส ที่นายจ้างจะต้องรู้ความสูงและน้ำหนัก แบบนี้เราก็ควรระบุลงไปให้ชัดเจน เป็นต้น

 

ตัวอย่าง ข้อมูลส่วนตัว (Personal Information)

 

PERSONAL INFORMATION 

Residential Address : 55 Wave Place Wireless Rd., Lumpini, Pathumwan, Bangkok, 10330

Mobile : 084-752-5656

Email : [email protected]

Date of Birth : 15 May 1977

Nationality : Thai

Age : 41

Marital Status : Single

Interest and Activities : Volunteer at local Rescue Mission, Participant in various running events, Enjoy jogging, tennis, reading

 

 

3. ทักษะความสามารถ (Skills)

 

ทักษะความสามารถ เป็นหัวข้อที่เราควรใส่ลงในเรซูเม่ (Resume) ของเรา  เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าสัมภาษณ์งาน เพราะช่วยให้เรซูเม่ของผู้สมัครดูน่าสนใจและได้เปรียบคู่แข่ง  เนื่องจากปัจจุบันนายจ้างจะเลือกดูประสบการณ์ทำงานและทักษะความสามารถของผู้สมัครเป็นหลัก ดังนั้น ใครมีความสามารถอะไร ควรใส่ให้ครบนะคะ โดยเฉพาะทักษะที่จำเป็นในตำแหน่งงานที่สมัครจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งานมากขึ้น อาทิ ทักษะด้านภาษา ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาที่ 3 เช่น ญี่ปุ่น จีน เยอรมัน ฯลฯ รวมไปถึงทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่จำเป็นและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้

 

ทักษะความสามารถแบ่งออกเป็น Hard Skill และ Soft Skill

 

Hard Skill หรือ Qualification คือ ทักษะที่จำเป็นในการทำงานในแต่ละสายอาชีพ เช่น ถ้าเราเป็นนักบัญชี เราต้องรู้เกี่ยวกับการบันทึกบัญชี การสอบบัญชี และการยื่นภาษีต่างๆ  ถ้าเราเป็นวิศวกร คุณต้องรู้เกี่ยวกับโครงสร้างและหลักการคำนวณ ว่ากันง่ายๆคือ ทักษะส่วนใหญ่ที่เราเรียนมาในมหาวิทยาลัย (อาจจะดูได้จากวิชาหลักที่เราเรียนในมหาวิทยาลัย) คือ Hard Skill

 

Soft Skill คือ มีขอบเขตที่กว้างกว่า โดยเป็นทักษะที่สามารถใช้ได้กับทุกสายอาชีพ เป็นลักษณะส่วนบุคคลที่สัมพันธ์กับความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence Quotient) เช่นทักษะการสื่อสารการแก้ปัญหาความขัดแย้ง การจูงใจ การจัดการอารมณ์ของตัวเอง การเจรจาต่อรอง การคิดเชิงกลยุทธ์ การสร้างทีมงาน ซึ่งแตกต่างจาก Hard Skills ที่สัมพันธ์กับความฉลาดทางสติปัญญา (Intelligence Quotient)

 

ตัวอย่าง การเขียนทักษะความสามารถ (Skills)

 

QUALIFICATION

 

  • General accounting transaction and entering data to accounting system

  • Issue withholding tax certificate

  • prepare and record AR,AP payment 

  •  handle all VAT and TAX calculation 

  • issue Invoice, Debit note, Credit note

  • Good command of Written and Spoken English

 

Skill

 

  • Having analytical skills, leadership, highly responsible and results oriented. 

  • Ability to work under pressure conditions

  • Typing skills: Thai, 45 words per minute | English, 50 words per minute

 

 

4. ข้อมูลทางด้านการศึกษา (Education)

 

เขียนวุฒิการศึกษาที่เราได้รับมา และการฝึกอบรมต่างๆ หรือกิจกรรมนอกหลักสูตรที่เคยเข้าร่วม ถ้าให้ดีต้องเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัครด้วย สำหรับคนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน สามารถใช้ประสบการณ์ระหว่างการศึกษาได้ เช่น ถ้าเคยเป็นเหรัญญิกของสมาคมหรือค่าอาสา ก็เขียนว่า ได้รับเลือกให้เป็นเหรัญญิกของโครงการค่ายอาสาพัฒนาชนบท มีหน้าที่จัดทำเอกสาร รวบรวมเอกสาร รวมถึงบัญชีรายรับรายจ่ายทั้งหมดของโครางการ เป็นต้น ส่วนคนที่เคยมีประสบการทำงานมาแล้วก็สามารถใส่ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เคยทำมาได้เลย (อย่าลืมใส่ลิ้ง หรือเว็บไซต์ของที่ทำงานเก่า ลงไปในออนไลน์เรซูเม่ด้วย เพื่อให้นายจ้างตรวจเช็คได้สะดวก) การเขียนข้อมูลทางการศึกษา (Education) ให้เรียงจากวุฒิการศึกษสูงสุดไปวุฒติที่ต่ำที่สุด แต่ไม่ควรต่ำเกิดวุฒิมัธยมปลายหรือ ปวช. และถ้าเขียนอยู่ในบรรทัดเดียวกัน ให้เขียนเรียงลำดับจาก ช่วงเวลาที่เรียน วุฒิที่ได้รับ และชื่อสถาบัน

 

ตัวอย่าง ข้อมูลทางด้านการศึกษา (Education)

 

EDUCATION HISTORY

May 2010 – Aug 2012                 Masters in  Accounting,University of ABC,  Bangkok THAILAND

May 2006 – Feb 2010                 Bachelor of Science – Accounting, University of ABC, Bangkok THAILAND

May 2000 – Feb 2006                High School Certificate equivalent, AAA High School, Bangkok THAILAND

 

ข้อสังเกต

 

  • เขียนชื่อวุฒิขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ

  • ชื่อสถาบัน ให้ใส่จังหวัดที่สถาบันตั้งอยู่ ยกเว้นสถาบันที่ใช้ชื่อจังหวัดเป็นชื่อสถาบัน (เช่น Chiang Mai University, Khon Kaen University)

  • เราสามารถเพิ่มหัวข้อการฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องกับงานเข้าไปที่หัวข้อนี้ หรือเพิ่มหัวข้อการฝึกอบรมขึ้นมา ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เราได้งานมากขึ้นด้วย วิธีเขียนก็เช่นเดียวกับการศึกษาหรือประสบการณ์ทำงาน คือ ให้เขียนเรียงลำดับ วันเดือนปีที่อบรม ระยะเวลา ชื่อหลักสูตรในการอบรม และสถาบันที่จัดการอบรม

 

 

5. ประสบการณ์ทำงาน (Working Experience)

 

ในส่วนนี้จะคล้ายกับข้อมูลการศึกษา โดยเริ่มจาก ชื่อสถานประกอบการ ตำแหน่งงาน จังหวัด ประเทศ (ถ้าทำงานต่างประเทศมาก่อน) วันเดือนปีที่เริ่มทำงาน  และระยะเวลาที่ทำงานนั้น และควรใส่ขอบเขตหน้าที่ ที่เราได้รับผิดชอบขณะทำงานอยู่ด้วย หรืออาจจะจัดรูปแบบให้แตกต่างแต่อานแล้วสบายตา เข้าใจง่ายก็ได้ (ดูตัวอย่างข้างล่าง) นอกจากนั้น ถ้าเคยผ่านงานมาหลายที่ ให้เขียนงานที่ทำปัจจุบันก่อน แล้วเรียงไปจนถึงตำแหน่งงานแรก  และการอบรมที่เคยเข้าร่วม ส่วนนิสิต นักศึกษาจบใหม่ การระบุประสบการณ์พิเศษเป็นการช่วยให้เรซูเม่ดูน่าสนใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมเป็นอาสาสมัคร การออกค่าย การฝึกงาน ตลอดจนการทำงานล่วงเวลา (Part-Time) ทั้งนี้ประสบการณ์พิเศษจะเป็นปัจจัยสนับสนุนว่าผู้สมัครเป็นบุคคลที่มีความสามารถรอบด้าน และมีความรับผิดชอบ

 

ตัวอย่าง ประสบการณ์ทำงาน (Working Experience)

 

WORK EXPEREINCE

FP RECRUITMENT, Bangkok THAILAND  (Feb 2013 – April 2014)

Accounting Assistant

 

  • Performed accounts payable functions for construction expenses.

  • Managed vendor accounts, generating weekly on demand cheques.

  • Managed financial departments with responsibility for Budgets, Forecasting, Payroll, Accounts Payable and Receivable.

  • Created budgets and forecasts for the management group.

  • Ensured compliance with accounting deadlines.

  • Prepared company accounts and tax returns for audit.

  • Coordinated monthly payroll functions for 200+ employees.

  • Liased with bankers, insurers and solicitors regarding financial transactions.

 

K FiSCHER & CO, Bangkok, THAILAND  (March 2010 – Dec 2012)

Administrative Assistant

 

  • Performed general office duties and administrative tasks.

  • Prepared weekly confidential sales reports for presentation to management.

  • Managed the internal and external mail functions.

  • Provided telephone support.

  • Scheduled client appointments and maintained up-to-date confidential client files.

 

 

6. บุคคลที่สามารถอ้างอิงได้ (References)

 

เรซูเม่ (Resume) ภาษาอังกฤษ ที่เราเขียนจะดูมีความน่าเชื่อถือสูง ถ้าเรามีชื่อและข้อมูลการติดต่อของบุคคลที่นายจ้างสามารถสอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวเราได้ ประมาณ 2-3 คน (ไม่ควรทำงานที่เดียวกัน และต้องไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา) ดังนั้นบุคคลที่สามารถอ้างอิงได้ (reference) ของเราควรเป็นหัวหน้างานเก่าหรือ หากคุณยังไม่มีประสบการณืทำงานเลย ก็ควรจะเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ในวงการธุรกิจ เช่น ต้องเป็นบุคคลที่มีงานมั่นคง หรือมีชื่อเสียง อาจเป็นข้าราชการ หัวหน้าหน่วยงาน อาจารย์ หรือเจ้าของกิจการ ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะต้องรู้จักและเคยเห็นการทำงานของเราเป็นอย่างดี การเขียนให้เรียงจากชื่อ-นามสกุล (ถ้าเป็นอาจารย์ที่มีตำแหน่งต้องใส่คำนำหน้าด้วย เช่น ศาสตราจารย์ = Prof. , รองศาสตราจารย์ = Assoc.Prof) ตำแหน่ง ชื่อสถานประกอบการ และหมายเลขโทรศัพท์

 

ตัวอย่าง บุคคลที่สามารถอ้างอิงได้ (References)

 

REFERENCES

Mr. Chanin Kulkanjanatorn, Director, AEC Enlist Co.Ltd., Bangkok THAILAND Tel. 02-392-4186

อย่างไรก็ตาม resume ที่เราส่งไปนั้นยังไม่ต้องอ้าง reference ก็ได้แต่ให้เขียนว่า “References will be sent on request.” (หมายความว่า เอกสารอ้างอิงจะส่งให้กรณีที่ทางบริษัทร้องขอมา)

 

ตัวอย่างเรซูเม่ (Resume) ภาษาอังกฤษ

[NEW] | ความสามารถในการแข่งขัน ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

ภาษาอังกฤษนับว่าสำคัญมากสำหรับโลกในยุคปัจจุบัน เนื่องจากปัจจุบันมีประชาชนทั่วโลกพูดภาษาอังกฤษมากกว่า 500 ล้านคน และภายใน 10 ปีข้างหน้า จะมีประชาชนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 เป็นจำนวนมากถึง 2,000 ล้านคน ทำให้กลายเป็นภาษาที่มีคนพูดมากที่สุดในโลก มากกว่าภาษาจีนกลางที่พูดกัน 1,100 ล้านคน

จากความสำคัญของภาษาอังกฤษ ทำให้รัฐบาลประเทศต่างๆ มุ่งเน้นส่งเสริมให้ประชาชนของตนเองศึกษาภาษาอังกฤษให้แตกฉาน เพื่อเป็นพื้นฐานในการสร้างทรัพยากรบุคคลให้มีคุณภาพทัดเทียมกับนานาชาติ เป็นต้นว่า มาเลเซียได้กำหนดว่านับตั้งแต่เดือนมกราคม 2546 เป็นต้นไป การศึกษาในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ จะต้องบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ ยังได้จัดสรรงบประมาณนับพันล้านบาท เพื่ออบรมภาษาอังกฤษแก่บัณฑิตในช่วงที่ตกงานและอยู่ระหว่างหางานทำ โดยมีบัณฑิตเข้ารับการฝึกอบรมหลายหมื่นคน

สำหรับสิงคโปร์นับว่าประสบผลสำเร็จอย่างมากในด้านภาษาอังกฤษเนื่องจากใช้เป็นภาษาราชการ ทำให้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายภายในประเทศ โดยจากสถิติการสอบ TOEFL เมื่อปี 2547 พบว่าสิงคโปร์ได้คะแนนสูงสุดในทวีปเอเชีย โดยมีคะแนนเฉลี่ย 252 เหนือกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญ คือ ฮ่องกง 216 เกาหลีใต้ 213 จีน 213 ไต้หวัน 203 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสิงคโปร์ได้พิจารณาเห็นว่าปัจจุบันประชาชนสิงคโปร์แม้จะเก่งในการอ่านและเขียนภาษาอังกฤษ แต่กลับพูดภาษาอังกฤษไม่ชัด โดยเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงจีน พร้อมกับมีคำศัพท์ในภาษาจีนและมาเลย์เข้ามาผสมปนเปกับภาษาอังกฤษอีกด้วย จึงถูกเยาะเย้ยว่าพูดภาษา Singlish ซึ่งเป็นคำประสมระหว่าง Singapore และ English

เพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้น สิงคโปร์จึงเริ่มดำเนินโครงการ Speak Good English Movement ขึ้นเมื่อปี 2543 เพื่อส่งเสริมให้ชาวสิงคโปร์พูดภาษาอังกฤษแบบมาตรฐาน เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน หากประชาชนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ในสำเนียงที่ถูกต้อง จะมีส่วนช่วยเกื้อหนุนอย่างมากในติดต่อธุรกิจ สร้างความประทับใจแก่ชาวต่างประเทศที่มาใช้บริการต่างๆ ในสิงคโปร์ เช่น การรักษาพยาบาล การศึกษา ท่องเที่ยว ฯลฯ

กรณีของเกาหลีใต้ คณะทำงานของประธานาธิบดีคนใหม่ ได้ประกาศเมื่อเดือนมกราคม 2551 เกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงการศึกษาภาษาอังกฤษใหม่ โดยกำหนดมาตรการหลายประการ เป็นต้นว่า ครูสอนภาษาอังกฤษต้องสอบความรู้ภาษาอังกฤษเป็นระยะๆ โดยต้องสอบผ่านได้คะแนนสูงกว่าระดับหนึ่ง มิฉะนั้น จะไม่อนุญาตให้ทำการสอนภาษาอังกฤษ รวมถึงเพิ่มชั่วโมงภาษาอังกฤษ เป็นต้นว่า กรณีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2 จะเพิ่มจาก 3 – 5 เป็น 6 – 10 ชั่วโมง/สัปดาห์

นอกจากนี้ ในระยะที่ผ่านมารัฐบาลเกาหลีใต้ได้มีแนวคิดที่จะกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการสำหรับใช้ในเขตปลอดอากรที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้น โดยเอกสารราชการทุกชิ้นจะต้องมีทั้งภาษาเกาหลีและภาษาอังกฤษ ส่วนกระทรวงศึกษาธิการของเกาหลีใต้ได้ทดลองกำหนดให้โรงเรียนบางส่วนทำการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในชั้นประถมศึกษาโดยใช้ภาษาอังกฤษนับตั้งแต่ปี 2549

ขณะที่ญี่ปุ่นก็มีทักษะภาษาอังกฤษแย่มาก โดยเป็นรองไม่เพียงแค่ฮ่องกงและสิงคโปร์เท่านั้น เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้ถูกเกาหลีเหนือและอัฟกานิสถานแซงหน้าอีกด้วย รัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้ทำการศึกษาและจัดทำรายงาน “English Strategy Initiative” เมื่อปี 2545 เสนอแนะให้ผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายต้องมีการสนทนาในภาษาอังกฤษเป็นประจำทุกวัน สำหรับผู้สำเร็จการศึกษามหาวิทยาลัย จะต้องสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานและในการวิจัยได้

รายงานฉบับนี้ยังได้เสนอแนะว่าอาจารย์ภาษาอังกฤษที่สอนในระดับมัธยมศึกษาจะต้องสอบ TOEFL ได้คะแนนอย่างต่ำ 550 และสอบ Test of English for International Communication (TOEIC) ได้คะแนนอย่างต่ำ 730 อย่างไรก็ตาม นโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นไม่บรรลุตัวชี้วัดที่กำหนดเท่าใดนัก โดยจากการสำรวจโรงเรียนรัฐบาล 10,200 แห่ง และโรงเรียนเอกชน 3,800 แห่ง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2548 พบว่ามีเพียง 8.3% ของอาจารย์สอนภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ที่มีคะแนน TOEIC อย่างต่ำ 730 ที่กำหนดเอาไว้ สำหรับอาจารย์ภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน มีไม่ถึง 16.3% ที่มีคะแนนอย่างต่ำ 730

ส่วนประเทศจีนให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษมาก รัฐบาลจีนได้เร่งส่งเสริมการศึกษาภาษาอังกฤษเป็นการใหญ่ โดยมีเหตุผลสำคัญประการหนึ่ง คือ เพื่อเตรียมบุคลากรในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 2551 สำหรับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากของจีน คือ มหาวิทยาลัย Qinghua และมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ได้เริ่มใช้ตำราที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ และในอนาคตมีแผนที่จะบรรยายในชั้นเรียนโดยใช้ภาษาอังกฤษ ในวิชาต่างๆ เช่น การบริหารการเงิน ชีววิทยา เทคโนโลยีสารสนเทศ ฯลฯ

ขณะที่ฮ่องกงซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษยาวนานถึง 155 ปี (ตั้งแต่ปี 2385 – 2540) ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาประชาชนมีทักษะในภาษาอังกฤษค่อนข้างดี แต่ภายหลังอังกฤษมอบฮ่องกงคืนแก่จีนเมื่อปี 2540 ปรากฏว่าทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนฮ่องกงมีแนวโน้มลดลงตามลำดับ โดยจากการสำรวจความเห็นของภาคธุรกิจของฮ่องกงเมื่อเดือนตุลาคม 2549 พบว่ามีสัดส่วน 60% ที่ไม่พอใจเกี่ยวกับมาตรฐานภาษาอังกฤษของบุคลากร

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลฮ่องกงได้ทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษแก่บรรดาครูอาจารย์ที่สอนวิชาภาษาอังกฤษเมื่อปี 2547 พบว่าบรรดาครูอาจารย์มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนที่เข้าทดสอบทั้งหมด 3,307 คน มีระดับต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด นับว่าต่ำมากเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่จัดการทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษเป็นต้นมา

แม้มีจำนวนครูอาจารย์ภาษาอังกฤษเป็นจำนวนค่อนข้างสูง คือ 63% ที่สามารถสอบผ่านการทดสอบเกี่ยวกับการอ่านภาษาอังกฤษ แต่มีจำนวนเพียง 45% ผ่านการทดสอบการพูดภาษาอังกฤษ ยิ่งไปกว่านั้น มีครูอาจารย์เพียงแค่ 37% ผ่านการทดสอบการเขียนและการฟังภาษาอังกฤษ

ปัญหาข้างต้นทำให้รัฐบาลฮ่องกงกังวลมาก เนื่องจากกระทบต่อภาพลักษณ์การลงทุนของฮ่องกงที่ปัจจุบันกำลังแย่งชิงกับสิงคโปร์ในการเป็นศูนย์กลางทางการเงินของทวีปเอเชีย รวมถึงกระทบต่อการท่องเที่ยวอีกด้วย ดังนั้น รัฐบาลจึงได้ว่าจ้างครูจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย ฯลฯ จำนวนมาก เพื่อมาสอนนักเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา

กระทรวงศึกษาธิการของฮ่องกงยังได้กำหนดให้ครูอาจารย์ภาษาอังกฤษจำนวน 163 คน ที่สอบตกวิชาภาษาอังกฤษหลายครั้ง หยุดการสอนนับตั้งแต่ปีการศึกษา 2548 เป็นต้นไป โดยเท่าที่ผ่านมาครูอาจารย์ที่ถูกห้ามสอนนี้ บางส่วนได้ลาออกจากราชการ และอีกส่วนหนึ่งต้องไปอบรมเพิ่มเติมเพื่อเปลี่ยนไปสอนวิชาอื่นแทน

สำหรับฟิลิปปินส์นับเป็นประเทศที่ประชาชนมีทักษะภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี โดยประชาชนสัดส่วนมากถึง 95% สามารถพูดหรือฟังภาษาอังกฤษอย่างเข้าใจ แต่ต้องเผชิญกับกระแสชาตินิยมภายหลังการโค่นล้มรัฐบาลของประธานาธิบดีมาร์กอส ส่งผลทำให้กระทรวงศึกษาธิการซึ่งเดิมใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน ต้องเปลี่ยนมาสอนโดยใช้ 2 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษและภาษาตากาล๊อก นับตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา ยิ่งไปกว่านั้น การเรียนการสอนในระยะหลังได้เปลี่ยนมาใช้ภาษาตากาล๊อกเป็นสัดส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษลดลง

นโยบายข้างต้นได้ส่งผลกระทบอย่างมาก ทำให้ประชากรมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษลดลงอย่างรวดเร็ว กระทบต่อจุดขายสำคัญของประเทศที่ภาษาอังกฤษนับเป็นปัจจัยสำคัญในการชักจูงการลงทุน โดยจากการศึกษาของหอการค้าฟิลิปปินส์เมื่อปี 2549 พบว่าในจำนวนผู้สำเร็จปริญญาตรีจำนวน 400,000 คน มีสัดส่วนเพียง 25% ของทั้งหมด ที่ภาษาอังกฤษอยู่ในขั้นใช้ได้ ขณะที่รัฐบาลได้ทำการสำรวจผู้สำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่ามีสัดส่วนเพียง 7% ที่ภาษาอังกฤษอยู่ในขั้นใช้ได้

ปัญหาข้างต้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อความพยายามของฟิลิปปินส์ที่จะเป็นศูนย์ธุรกิจ Shared Services and Outsourcing (SSO) ซึ่งเป็นบริการร่วมทั้งเพื่อให้บริการตนเองและรับจ้างให้บริการแก่บริษัทอื่น โดยเฉพาะการให้บริการผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ไปยังต่างประเทศ นับว่าน่าสนใจมาก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันสภาพการทำงานดี ทำงานในห้องแอร์ ไม่ต้องแบกหามใช้แรงงานมาก

นาย Edgardo J. Angara สมาชิกวุฒิสภา ได้ให้ทัศนะว่าปัญหาข้างต้นนับเป็นระเบิดเวลาที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ต้องรีบเร่งแก้ไข โดยล่าสุดรัฐสภาของฟิลิปปินส์ได้ออกกฎหมายเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2549 กำหนดให้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการเรียนการสอนนับตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นต้นไป

สำหรับกรณีของประเทศไทย จากข้อมูลเมื่อปี 2548 ของศูนย์พัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา พบว่าคนไทยทำคะแนนสอบภาษาอังกฤษค่อนข้างต่ำ โดยค่าเฉลี่ยคะแนนภาษาอังกฤษจากการสอบเอนทรานซ์ตั้งแต่การสอบในเดือนมีนาคม 2545 – มีนาคม 2548 พบว่าไม่มีปีใดเลยที่ผู้เข้าสอบทำคะแนนเฉลี่ยได้เกิน 50%

ขณะเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน พบว่าไทยมีทักษะภาษาอังกฤษค่อนข้างอ่อน แม้การสอบ TOEIC ที่เป็นการสอบภาษาอังกฤษเพื่อนำคะแนนไปใช้ในการสมัครงานในต่างประเทศ ไทยจะมีคะแนนเฉลี่ยค่อนข้างสูง โดยในช่วงปี 2547 – 2548 ไทยอยู่ในลำดับที่ 4 ของอาเซียน แต่การสอบ TOEFL ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2547 –มิถุนายน 2548 กลับพบว่าไทยได้คะแนนเฉลี่ยเพียง 201 นับว่าเป็นอันดับที่ 8 ของอาเซียนที่มีทั้งหมด 10 ประเทศ ซึ่งหากประเทศไทยต้องการเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจในภูมิภาคแล้ว จะต้องรีบเร่งแก้ไขปัญหานี้โดยด่วนที่สุด


My Speech (my family) 1080p hd


This is a Speech for compettion The student She studies in the English program in Anubankhonkaen school Academic year 2015 Thank you Teacher David Harrison for his kindly cooperation

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

My Speech (my family) 1080p hd

ฝึกออกเสียง 40 ประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐาน


ติดตาม Facebook Fanpage ครูเชอรี่ English Bright
https://www.facebook.com/cherry.englishbright
https://www.englishbright.net

ฝึกออกเสียง 40 ประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐาน

ขั้นตอนการเตรียมตัวสอบเข้าเอกภาษาอังกฤษ | จากเด็กเอกอิ้ง


สวัสดีค่ะทุกคนนน ลลิลกลับมาแล้วววว ครั้งนี้มาพร้อมกับสาระ😅 มีคำถามที่ถามเข้าเกี่ยวกับการเตรียมตัวสอบเยอะมาก ลลิลเลยทำคลิปมาอธิบายบอกขั้นตอนนะคะ หวังว่าทุกคนจะชอบน้าาาา
editor: parichat.h (IG)
(ขอบคุณเพื่อนฟิล์มมากๆคับ)

ขั้นตอนการเตรียมตัวสอบเข้าเอกภาษาอังกฤษ | จากเด็กเอกอิ้ง

เกมส์การแข่งขันความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ ตอนที่ 5


พบกับพิธีกรสุดฮาแต่มากด้วยความรู้ในเกมส์ประลองความรู้ความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ พิชิตการแข่งขันเพื่อชิงความเป็นหนึ่งในด้านภาษาอังกฤษ พร้อมเคล็ดลับความรู้ที่จะนำไปใช้ได้จริงทั้งในห้องเรียนและห้องสอบ

เกมส์การแข่งขันความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ ตอนที่ 5

ฉลาดคิด ชีวิตไม่เครียด โดย ท่าน ว.วชิรเมธี [พระเมธีวชิโรดม – พระมหาวุฒิชัย] ไร่เชิญตะวัน


อย่ายอมให้คำตัดสินของคนที่ไม่รู้จักตัวเราอย่างแท้จริง มามีอิทธิพลต่อชีวิตของเรามากเกินไป (ท่าน ว.วชิรเมธี)
\”Never let the judgment of someone who doesn’t truly know us affect our lives too much.\” (v.vajiramedhi)
แก้เครียด คิดเป็น ความสุข

ฉลาดคิด ชีวิตไม่เครียด โดย ท่าน ว.วชิรเมธี [พระเมธีวชิโรดม - พระมหาวุฒิชัย] ไร่เชิญตะวัน

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN TO MAKE A WEBSITE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ ความสามารถในการแข่งขัน ภาษาอังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *