Skip to content
Home » [Update] คำนำหน้าคำนาม (a an the) ใช้ต่างกันอย่างไร พร้อมแบบฝึกหัด | การเติม a an – NATAVIGUIDES

[Update] คำนำหน้าคำนาม (a an the) ใช้ต่างกันอย่างไร พร้อมแบบฝึกหัด | การเติม a an – NATAVIGUIDES

การเติม a an: คุณกำลังดูกระทู้

หลักการใช้ a an the หรือ article a an the เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เรียนแล้วสนุกครับ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับนักเรียนไทย เนื่องจากในภาษาไทยมันไม่มีอะไรแบบนี้เลย อยากเรียกแมวก็เรียกว่า แมว ไม่ใช่ อะ แมว หรือ เดอะ แมว

คำนำหน้าคำนาม (Article) คือ คำที่วางหน้าคำนามเพื่อบ่งชี้คำนามนั้น ๆ ว่าเป็นคำนามที่ชี้เฉพาะ หรือไม่ชี้เฉพาะ คำนำหน้าคำนามแบ่งได้สองประเภท ได้แก่

Table of Contents

1. คำนำหน้าคำนามแบบไม่ชี้เฉพาะ (Indefinite Article)

คือ คำนำหน้าคำนามที่แสดงให้เรารู้ว่า คำนามที่ตามหลังมีจำนวนเป็นหนึ่ง คำนำหน้านามประเภทนี้ ได้แก่ a และ an

A กับ An ใช้นำหน้านามทั่ว ๆ ไป  แปลว่า หนึ่งคน หนึ่งตัว หนึ่งอัน หนึ่งแห่ง หรือบางทีไม่ต้องแปลก็ได้ เป็นการกล่าวถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบลอย ๆ ไม่เจาะจงว่าคืออันไหนกันแน่ โดยมีกฎการใช้ดังนี้ คือ

  • เราจะใช้ a นำหน้าคำนามเอกพจน์ที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ

        – A bird (นกตัวหนึ่ง)
        – A book (หนังสือเล่มหนึ่ง)
        – A girl (เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง)
        – A zoo (สวนสัตว์แห่งหนึ่ง)
        – A teacher ครูหนึ่งคน
        – A school โรงเรียนหนึ่งแห่ง

นอกจากนี้เรายังใช้ a นำหน้าคำนามนับได้ ที่เป็นเอกพจน์ ที่ขึ้นต้นด้วย สระ แต่ออกเสียงเป็นเสียง พยัญชนะ

        – A uniform (/ˈjuːnɪfɔːrm/) (เครื่องแบบชุดหนึ่ง)
        – A university (/ˌjuːnɪˈvɜːrsəti/) (มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง)

หมายเหตุ: ตัวอักษร “u” ในที่นี้ไม่ได้ออกเสียง อู แต่ออกเสียง ยู ซึ่งเป็นเสียงพยัญชนะ เลยเราจะต้องใช้คำนำหน้านามเป็น “a” ไม่ใช้ “an”

  • เราจะใช้ an นำหน้าคำนามเอกพจน์ที่ขึ้นต้นด้วย สระ (a e i o u)

ยกตัวอย่างเช่น:
        – An apple (แอปเปิลลูกหนึ่ง)
        – An egg (ไข่ฟองหนึ่ง)
        – An orange (ส้มผลหนึ่ง)
        – An elephant ช้างหนึ่งตัว
        – An ice-cream ไอศกรีมหนึ่งแท่ง
        – An umbrella (ร่มคันหนึ่ง)

  • นอกจากนี้ เรายังใช้ an นำหน้าคำนาม ที่เป็นเอกพจน์ ที่ขึ้นต้นด้วย พยัญชนะ แต่ออกเสียงเป็นเสียง สระ

        – An hour (ชั่วโมงหนึ่ง) – “h” ในที่นี้ไม่ได้ออกเสียง ฮะ แต่ออกเสียง อะ ซึ่งเป็นเสียงสระ

2. คำนำหน้าคำนามแบบชี้เฉพาะ (Definite Article)

คือคำนำหน้าคำนามที่ใช้เจาะจงคำนามนั้น ๆ ว่าคือสิ่งไหน โดยใช้นำหน้าได้ทั้งคำนามนับได้ทั้งเอกพจน์ และพหูพจน์ คำนามนับไม่ได้ คำนำหน้าคำนามประเภทนี้เรียกว่า the (เดอะ) แต่ถ้านำหน้าคำนามที่ขึ้นต้นด้วยสระ หรือเสียงสระ เราจะอ่านออกเสียงว่า the (ดิ)

“The” จะใช้ในกรณีดังต่อไปนี้

  • การใช้ The ให้ใช้นำหน้านามที่รู้กันดีกันทั่ว ๆ ไปว่าเป็นอันไหน เช่น

        – The Sun (ดวงอาทิตย์), The Moon (ดวงจันทร์), The Earth (โลก)
        – Great Wall of China เป็นกำแพงเมืองจีน มีแห่งเดียวในโลกถ้าอย่างนั้นก็เรียกว่า The Great Wall of China
        – Pyramids รู้จักไหม? แน่นอนว่าทุกคนคงต้องรู้ว่ามันอยู่กลางทะเลทรายในอียิปต์ อย่างนั้นก็เรียกว่า The Pyramids
        – Baiyoke Tower ตึกไบหยกที่สูง ๆ ในประเทศไทยของเราเอง จึงเรียกว่า The Baiyoke Tower

ดังนั้นสรุปได้ว่า The มักจะนำหน้าสิ่งที่รู้กันดีทั่ว ๆ ไป และจะสังเกตุได้ว่า มันมีเพียงที่เดียวในโลก

  • ใช้กับคำนามนับได้ที่เป็นเอกพจน์และพหูพจน์เป็นการชี้เฉพาะเจาะจงลงไปว่าคนไหน อันไหน สิ่งไหน

        – The man who wrote this book is a famous person  แปลว่า ผู้ชายคนที่เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นคนที่มีชื่อเสียง
        – I live in the small house with a blue door. แปลว่า ฉันอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่มีประตูสีฟ้า
        – He is the doctor I came to see เขาเป็นหมอคนที่เราจะไปหา

มาดูกันอีกหนึ่งประโยค The dog is mine. (เดอะ ด็อก อีส มาย) แปลว่า สุนัขตัวนั้นเป็นของฉัน ดังนั้นเราจะใช้ the เพื่อชี้เฉพาะว่าเป็นสุนัขตัวไหน

  • ใช้ the นำหน้าชื่อครอบครัว

อย่างเช่น:
        – The Browns แปลว่า ครอบครัวตระกูล Brown
        – The Lees แปลว่า ครอบครัวตระกูล Lee
        – The Smiths แปลว่า ครอบครัวตระกูล Smith

  • ตามปกติเราใช้ the นำหน้าชื่อหนังสือพิมพ์ เช่น

        – The Nation,
        – The Times,
        – The Sun

  • ใช้ the กับชื่อสถานที่

        – ทะเล the Pacific, the Atlantic
        – เทือกเขา the Himalayas, The
        – แม่นํ้า the Mississippi
        – ทะเลทราย the Sahara
        – โรงแรม the Plaza, the Grand le Khon Kaen
        – โรงหนังโรงละคร the Playhouse
        – พิภิธภัณฑ์   the National Museum
        – ชื่อประเทศที่มีคำว่า Republic, Kingdom, State

  • ใช้ the เมื่อเราพูดโดยทั่วไปในเรื่องเครื่องดนตรี

        – The piano
        – I play the guitar.

  •  ใช้ the ก่อนคำว่า same       

        – Your shirt is the same color as mine. แปลว่า เสื้อของคุณสีเดียวกันกับเสื้อของผม

  • ใช้ the + คำคุณศัพท์เมื่อกล่าวถึงกลุ่มบุคคลเป็นพิเศษ

        – the rich คนรวย
        – the sick คนป่วย 
        – the poor คนจน

  • ใช้ the กับเวลาที่กล่าวถึงเป็นช่วง 10 ปี

ตัวอย่างเช่น:
        – He was born in the seventies.
        – This is a painting from the 1820’s.

  • ใช้ the กับอนุประโยคที่ใช้ only

ตัวอย่างเช่น:
        – This is the only day we’ve had sunshine all week.
        – You are the only person he will listen to.
        – The only tea I like is black tea.

หมายเหตุ : “the” จะถูกห้ามใช้ในกรณีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • ห้ามใช้ the กับชื่อประเทศ (ยกเว้น ในกรณีพิเศษที่ได้กล่าวไปแล้ว)

ตัวอย่างเช่น:
        – Germany is an important economic power. แปลว่า เยอรมนีเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
        – He’s just returned from Zimbabwe. แปลว่า เขาเพิ่งกลับจากซิมบับเว

  • ห้ามใช้ the กับชื่อภาษา

ตัวอย่างเช่น:
        – French is spoken in Tahiti. ภาษาฝรั่งเศสถูกใช้เป็นภาษาพูดในตาฮิติ
        – English uses many words of Latin origin. ภาษาอังกฤษใช้คำที่มาจากภาษาละตินหลายคำ

  • ห้ามใช้ the กับมื้ออาหาร

ตัวอย่างเช่น:
        – Lunch is my favorite meal. มื้อเที่ยงเป็นมื้อโปรดของฉัน
        – I like to eat breakfast early. ฉันชอบกินอาหารเช้า แต่เช้า

  • ห้ามใช้ the กับชื่อคน

ตัวอย่างเช่น:
        – John is coming over later. จอห์นจะมาในภายหลัง
        – Mary Carpenter is my boss. แมรี่คาร์เพนเตอร์เป็นเจ้านายของฉัน

  • ห้ามใช้ the กับชื่อตำแหน่งที่กล่าวพร้อมกับชื่อคน

ตัวอย่างเช่น:
        – Prince Charles is Queen Elizabeth’s son. เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธ
        – President Kennedy was assassinated in Dallas. ประธานาธิบดีเคนเนดีถูกลอบสังหารในดัลลัส

  • ห้ามใช้ the หลังการแสดงความเป็นเจ้าของ

ตัวอย่างเช่น:
        – His brother’s car was stolen. รถของพี่ชายเขาถูกขโมยไปแล้ว
        – Peter’s house is over there. บ้านของปีเตอร์อยู่ที่ตรงโน้น

  • ห้ามใช้ the กับอาชีพ

ตัวอย่างเช่น:
        – Engineering is a well-paid career. แปลว่า วิศวกรเป็นอาชีพที่ได้เงินเดือนดี
        – He’ll probably study medicine. แปลว่า เขาคงจะเรียนแพทย์

  • ห้ามใช้ the กับชื่อร้านค้าต่าง ๆ

ตัวอย่างเช่น:
        – I’ll get the card at Starbucks. ฉันจะไปรับการ์ดที่ Starbucks
        – Can you go to Adidas for me? คุณช่วยแวะไปร้าน Adidas ให้เราหน่อยได้ไหม?

  • ห้ามใช้ the กับปี

ตัวอย่างเช่น:
        – 1948 was a wonderful year. แปลว่า ปี 1948 เป็นปีที่ยอดเยี่ยม
        – He was born in 1995. แปลว่า เขาเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1995

  • ห้ามใช้ the กับคำนามนับไม่ได้

ตัวอย่างเช่น:
        – Rice is an important food in Asia. แปลว่า ข้าวเป็นอาหารที่สำคัญในเอเชีย
        – Milk is often added to tea in England. แปลว่า ในประเทศอังกฤษมักจะเติมนมลงในถ้วยชา
        – War is destructive. แปลว่า สงครามคือการทำลายล้าง

  • ห้ามใช้ the กับชื่อภูเขา ทะเลสาบและเกาะ

ตัวอย่างเช่น:
        – Mount McKinley is the highest mountain in Alaska. แปลว่า ยอดเขาแมคคินลีย์ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในอลาสก้า
        – She lives near Lake Windermere. แปลว่า เธออาศัยอยู่ใกล้ทะเลสาบวินเดอร์เมียร์
        – Have you visited Long Island? แปลว่า คุณเคยไปเกาะลองไอแลนด์หรือยัง?

  • ส่วนใหญ่แล้วห้ามใช้ the กับชื่อเมือง ถนน สถานีต่าง ๆ และสนามบิน

ตัวอย่างเช่น:
        – Victoria Station is in the centre of London. แปลว่า สถานีวิกตอเรียอยู่ใจกลางกรุงลอนดอน
        – Can you direct me to Bond Street? แปลว่า คุณช่วยพาฉันไปที่ Bond Street ได้ไหม
        – She lives in Florence. แปลว่า เธออาศัยอยู่ในเมืองฟลอเรนซ์
        – They’re flying into Heathrow. แปลว่า พวกเขากำลังบินไปที่สนามบินฮีทโธรว์

อ่านไปแล้วก็อย่าลืมทำแบบฝึกหัดที่ Eng Breaking ได้เตรียมมาให้สำหรับคุณโดยเฉพาะด้วยนะ มันจะช่วยให้เราท่องจำหลักการใช้ของ คำนำหน้านาม ( a, an, the) ได้ง่ายขึ้นและสามารถประยุกต์ใช้ได้ทันที ลองมาดูกันว่ามีใครตอบได้ทุกข้อดังต่อไปนี้ไหม

แบบฝึกหัดสำหรับ คำนำหน้านาม ( a an the)

1. We are looking for _______ place to spend ________ night.
         A. the/the               B. a/the       C. a/a          D. the/a

2. Please turn off ________ lights when you leave ________ room.
         A. the/the               B. a/a          C. the/a       D. a/the

3. We are looking for people with ________experience.
         A. the                      B. a             C. an           D. x

4. Would you pass me ________ salt, please?
         A. a                         B. the          C. an           D. x

5. Can you show me ________way to ________station?
         A. the/the               B. a/a          C. the/a       D. a/the

6. She has read ________interesting book.
         A. a                         B. an           C. the          D. x

7. You’ll get ________shock if you touch ________ live wire with that screwdriver.
         A. an/the                B. x/the      C. a/a          D. an/the

8. Mr. Smith is ________ old customer and ________ honest man.
         A. An/the               B. the/an    C. an/an      D. the/the

9. ________ youngest boy has just started going to ________ school.
         A. a/x                      B. x/the      C. an/x        D. the/x

10. Do you go to ________ prison to visit him?
         A. the                      B. a             C. x             D. an

11. ________eldest boy is at ________ college.
         A. a/the                  B. the/x      C. x/ a         D. an/x

12. Are you going away next week? No, ________ week after next.
         A. an                       B. a             C. the          D. x

13. Would you like to hear ________ story about ________ English scientist?
         A. an/the                B. the/the   C. a/the       D. a/ an

14. There’ll always be a conflict between ________ old and ________ young.
         A. the/the               B. an/a        C. an/the    D. the/a

15. There was ________ collision at ________ corner.
         A. the/a                  B. an/the    C. a/the       D. the/the

16. My mother thinks that this is ________ expensive shop.
         A. the                      B. an           C. a             D. x

17. Like many women, she loves ________ parties and ________gifts.
         A. the/ a                 B. a/the       C. a/a          D. x/x

18. She works seven days ________ week.
         A. a                         B. the          C. an           D. x

19. My mother goes to work in ________ morning.
         A. a                     B. x             C. the          D. an

20. I am on night duty. When you go to ________ bed, I go to ________ work.
         A. a/x                      B. a/the       C. the/x      D. x/x

เป็นอย่างไรกันบ้าง กับบทความเรื่อง คำนำหน้านาม (Article a, an the) ที่ทาง Eng Breaking ได้นำมาให้คุณในวันนี้ หากเรารู้หลักการใช้ที่ถูกต้อง ภาษาอังกฤษก็กลายเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว

แต่ถึงอย่างไรก็อย่าลืมหมั่นทบทวนและหมั่นฝึกฝนภาษาอังกฤษอยู่เป็นประจำนะ Practice Makes Perfect การฝึกฝนบ่อย ๆ จะทำให้เกิดความชำนาญ ไว้ครั้งหน้าอย่าลืมมาติดตามบทความดี ๆ เกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษจาก Eng Breaking ว่ามาจะมีสาระน่ารู้ดี ๆ อะไรมาฝากกันอีก

ปล. ว่าจะบอกลาเพื่อน ๆ ทุกคนแล้ว แต่ลืมให้คำเฉลยสำหรับแบบฝึกหัดข้างบน

นี่เลย ไม่ต้องรอนาน

1. B     2. A     3. D     4. B     5. A    
6. B     7. B     8. C     9. D     10. A  
11. B   12. C   13. D   14. A   15. C  
16. B   17. D   18. A   19. C   20. D

ตอบถูกได้กี่ข้อ หรือมีตรงไหนยังสงสัยก็ลองมาแชร์กับ Eng Breaking ได้เลย!!!

ความคิดเห็น 635 รายการ

 

[Update] คำนามเอกพจน์ (Singular Noun) และคำนามพหูพจน์ (Plural Noun) | การเติม a an – NATAVIGUIDES

noun1-opt

PART 1  คำนามเอกพจน์ (Singular Noun) และคำนามพหูพจน์ (Plural Noun)

คำนามเอกพจน์ คือ คำนามที่แสดงถึงสิ่งของเพียงชิ้นเดียว คนๆเดียว หรือสัตว์ตัวเดียว เช่น กระเป๋า 1 ใบ (a bag) ผู้ชาย 1 คน (a man) พูดง่ายๆเลยก็คือ อะไรก็ตามที่มีเพียงหนึ่งหน่วย เราเรียกว่า คำนามเอกพจน์

คำนามพหูพจน์ คือ คำนามที่แสดงถึงสิ่งของที่มีมากกว่า 1 ชิ้น เช่น กระเป๋า 2 ใบ (2 bags) ผู้ชาย 4 คน (4 men) เป็นต้น

อย่างที่เรารู้กันดีว่า ในภาษาอังกฤษเวลาที่เราต้องการเปลี่ยน “คำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์” เพื่อบอกปริมาณสิ่งของที่เพิ่มขึ้นนั้นสามารถทำได้หลายวิธี มาดูกันว่ามีวิธีการใดบ้าง

วิธีการเปลี่ยนคำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์

มีทั้งหมด 7 วิธีด้วยกัน

1. เติม –s ท้ายคำนามได้เลย

ได้ยินกันบ่อยมากกก เรื่องของการ เติม –s  เวลาที่เราต้องการพูดถึงคำนามที่มีมากกว่าหนึ่ง ส่วนมากเราสามารถเติม –s ไปหลังคำนามได้เลย

เช่น ห้างสรรพสินค้า 3 แห่ง จากเดิมที่ใช้ Mall ก็ให้เติม –s ลงไป เป็น Malls แทน

ตัวอย่าง  I heard that Central will renovate three of their shopping malls this year.

           ฉันได้ยินมาว่าเซนทรัลจะทำการปรับปรุงห้างสรรพสินค้า 3 แห่งในปีนี้ล่ะ

2. หากคำนามลงท้ายด้วย ch, s,  ss, sh, x,  และ z  ต้องเติม -es ท้ายคำนั้นๆ

Singular

Plural

คำแปล

bush (บุช)

bushes (บุช-เชส)

พุ่มไม้

bus (บัส)

buses (บัส-เซส)

รถเมล์

dress (เดรส)

dresses (เดรส-เซส)

ชุดกระโปรง

church (เชิร์ช)

churches (เชอร์-เชส)

โบสถ์

 

NOUN-S-ES1-opt

ฝึกออกเสียง -s และ-es คลิ๊กเลย !

3.   คำนามที่ลงท้ายด้วย O แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ เติม –s หรือ เติม –es

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า คำไหนเติม –s คำไหนเติม –es ? คำตอบคือ ต้องจำและใช้บ่อยๆค่ะ

– ส่วนมากแล้วคำนามที่ลงท้ายด้วย –o มักจะเติม –s ได้เลย

เช่น          Studio (สตูดิโอ)    เปลี่ยนเป็น     studios (สตูดิโอส)

    Zoo (ซู)                 เปลี่ยนเป็น     zoos (ซูส)

– บางคำที่ลงท้ายด้วย –o จะต้องเติม –es เช่น

Singular

Plural

คำแปล

buffalo (บัฟ-ฟา-โลว์)

buffaloes (บัฟ-ฟา-โลว์ส)

ควาย

domino (ดอ-มิ-โนว์)

dominoes (ดอ-มิ-โนว์ส)

โดมิโน่

hero (ฮี-โรว์)

heroes (ฮี-โรว์ส)

ฮีโร่

echo (เอ็ค-โคว์)

echoes (เอ็ค-โคว์ส)

เสียงก้อง

mosquito (มอส-กี-โทว์)

mosquitoes (มอส-กี-โทว์ส)

ยุง

potato (เพอะ-เท-โทว์)

potatoes (เพอะ-เท-โทว์ส)

มันฝรั่ง

tomato (โท-เม-โทว์)

tomatoes (โท-เม-โทว์ส)

มะเขือเทศ

** รู้หรือไม่ บางคำที่ลงท้ายด้วย –o สามารถเติมได้ทั้ง –s และ –es เช่น

Singular

Plural

คำแปล

cargo (คาร์-โกว์)

cargos        หรือ  cargoes  (คาร์-โกว์ส)

คลังสินค้า

flamingo (ฟละ-มิง-โกว์)

flamingos   หรือ  flamingoes  (ฟละ-มิง-โกว์ส)

นกฟลามิงโก้

halo (เฮย์-โลว์)

halos           หรือ  haloes  (เฮย์-โลว์ส)

รัศมี

mango (แมง-โกว์)

mangos       หรือ  mangoes  (แมง-โกว์ส)

มะม่วง

motto (ม็อท-โทว์)

mottos         หรือ  mottoes  (ม็อท-โทว์ส)

คติ

tornado (ทอร์-เน-โดว์)

tornados      หรือ  tornadoes  (ทอร์-เน-โดว์ส)

ทอร์นาโด

volcano (โฟล-เค-โนว์)

volcanos      หรือ  volcanoes  (โฟล-เค-โนว์ส)

ภูเขาไฟ

4.  คำนามที่ลงท้ายด้วย –y แบ่งเป็น 2 ประเภท คือเติม-s หรือเติม –es

แล้วจะรู้ได้ไงว่าเติม –s หรือ –es มีวิธีแยกดังต่อไปนี้

  • ถ้าหน้า –y เป็นสระ –a, -e, -i, -o, -u คำนามตัวนั้นจะต้องเติม –s ค่ะ เช่น

Singular

Plural

คำแปล

monkey (มัง-คิ)

monkeys (มัง-คิส์)

ลิง

birthday (เบิร์ธ-เดย์)

birthdays (เบิร์ธ-เดย์ส)

วันเกิด

key (คีย์)

keys (คีย์ส)

กุญแจ

way (เวย์)

ways (เวย์ส)

เส้นทาง 

chimney (ชิม-นีย์)

chimneys (ชิม-นีย์ส)

ปล่องไฟ 

 

สระในภาษาอังกฤษมีอยู่ 5 ตัว คือ a, e, i, o, u

  • ถ้าหน้า –y เป็นพยัญชนะ เราต้องตัด y เป็น i แล้วเติม –es ค่ะ เช่น

Singular

Plural

คำแปล

enemy (เอเน-มิ่)

enemies (เอเนมิ่ส์)

ศัตรู

berry (เบร์-ริ่)

berries (เบร์ริ่ส์)

ลูกเบอร์รี่ 

duty (ดิว-ทิ่)

duties (ดิว-ทิ่ส์)

หน้าที่ 

spy (สปาย)

spies (สปายส์)

สายลับ 

library (ไล-แบร-ริ่)

libraries (ไล-แบร-ริ่ส์)

ห้องสมุด 

 

5. คำนามที่ลงท้ายด้วย –f หรือ –fe ให้เปลี่ยนตัว –f หรือ –fe เป็น –v แล้วเติม –es เช่น

Singular

Plural

คำแปล

 life (ไลฟ)

lives (ลายฟส์)

ชีวิต

 shelf (เชลฟ์)

shelves (เชลฟส์)

ชั้นวางของ 

 loaf (โลฟ)

loaves (โลฟส์)

ก้อนขนมปัง 

 thief (ธีฟ)

thieves (ธีฟส์)

โจร 

 wife (ไวฟ)

wives (ไวฟส์)

ภรรยา 

6. คำนามบางคำ เวลาทำให้เป็นพหูพจน์ เราต้องเปลี่ยนรูปคำนั้นทันที 

อันนี้เรามักจะพบเห็นกันอยู่บ่อยๆค่ะ เช่น

Singular

Plural

คำแปล

child (ชายลด์)
children (ชิล-เดริน)
เด็ก

tooth (ทูธ)
teeth (ทีธ)
ฟัน

foot (ฟุท)
feet (ฟีท)
เท้า

mouse (เมาส์)
mice (ไมส์)
หนู

man (แมน)
men (เม็น)
ผู้ชาย

 

7. คำนามบางคำ สามารถใช้รูปเดิมได้ทั้งเวลาเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ 

อันนี้ง่ายเลยค่ะ ไม่ต้องเปลี่ยนรูป หรือเติมอะไรเลย สบ๊าย สบาย ส่วนมากก็จะเป็นคำที่เกี่ยวกับสัตว์ทั้งนั้น มาดูกันว่ามีคำไหนบ้าง  เช่น

fish  ฟิช   (ปลา)
deer  เดียร์   (กวาง)
sheep   ชีพ   (แกะ)

8. คำนามบางคำเป็นพหูพจน์อยู่เสมอ

ง่ายๆคือต้องมี –s หรือ –es ต่อท้ายตลอด ไม่มีไม่ได้  เช่น

scissors ซิส-เซอร์ส  (กรรไกร)
pants แพ้นท์ส   (กางเกง)
clothes โคลธส์   (เสื้อผ้า)
jeans จีนส์   (กางเกงยีนส์)
glasses แกลส-เซส   (แว่นตา)
noodles นู-เดิลส์   (บะหมี่)
goods กู้ดส์   (สินค้า) 

 

พอเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนคำนามเอกพจน์เป็นพหูพจน์แล้วใช่มั้ยคะ? ลองมาฝึกทำแบบฝึกหัด และฝึกออกเสียงได้เลย

ทำแบบฝึกหัดคำนามเอกพจน์และคำนามพหูพจน์ คลิ๊ก (กำลังอัพเดท)

ฝึกอ่านออกเสียง -s และ -es  คลิ๊ก (กำลังอัพเดท)

Part 2  คำนามนับได้ (Countable Noun) และคำนามนับไม่ได้ (Uncountable Noun) คลิ๊ก

Part 3  คำนามทั่วไป (Common Noun)  แบะคำนามเฉพาะ (Proper Noun)  คลิ๊ก

Part 4  คำนามที่ใช้บอกอาการ (Abstract Noun) คลิ๊ก


การใช้ A,An


นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

การใช้ A,An

Articles A and An for Kids | Grammar practice | Bandu’s KIDS LAB


In this video, kids will understand where to use A and An while making sentences.
Subscribe so you don’t miss our new videos…
To be the first one to watch our videos click the link below:
Bandu’s KIDS LAB makes songs, educational videos, and nursery rhymes for kids from toddlers and preschool, through to kindergarten and elementary school age. Thanks for watching!

Articles A and An for Kids | Grammar practice | Bandu's KIDS LAB

การใช้ a an some หน้าคำนาม


อธิบายการใช้ a an some และประโยคบอกอาหารและเครื่องดื่มที่ชอบ

การใช้ a an some หน้าคำนาม

A, An, The วันนี้เคลียร์แน่นอน!


วันนี้แจกแอพพลิเคชันเรียนภาษาอังกฤษฟรี!

A, An, The วันนี้เคลียร์แน่นอน!

สื่อการเรียนการสอน วิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง article a an


A An สื่อการเรียนการสอน วิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง article a an

สื่อการเรียนการสอน วิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง article a an

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ การเติม a an

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *