Skip to content
Home » [NEW] PANTIP.COM : K11965942 เรียนภาษาอังกฤษเบื้องต้นง่ายๆ จากยูทูป ตอนที่ 17{แตกประเด็นจาก K11944912} [ห้องเรียนภาษาอังกฤษ] | วิธี การ เรียน ภาษา อังกฤษ ด้วย ตัว เอง – NATAVIGUIDES

[NEW] PANTIP.COM : K11965942 เรียนภาษาอังกฤษเบื้องต้นง่ายๆ จากยูทูป ตอนที่ 17{แตกประเด็นจาก K11944912} [ห้องเรียนภาษาอังกฤษ] | วิธี การ เรียน ภาษา อังกฤษ ด้วย ตัว เอง – NATAVIGUIDES

วิธี การ เรียน ภาษา อังกฤษ ด้วย ตัว เอง: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

ความคิดเห็นที่ 53

อันนี้ต่อจากความเห็น 2
บทที่ 39 (ต่อ)

Each  country has its own type o money or currency.
แต่ละประเทศ มีชนิด(สกุล)เงิน หรืออัตราแลกเปลี่ยน เป็นของตัวเอง

The word ‘currency’ means the particular type of money used in one country.
คำว่า ‘currency’ หมายถึงสกุลเงินเฉพาะที่ใช้ใน 1 ประเทศ

For example, here in the UK we use…the Pound.
สำหรับตัวอย่าง, ที่นี่ใน the UK  เราใช้ the Pound เงิน(สกุล)ปอนด์

So the UK currency is the Pound.
ดังนั้นสกุลเงินแลกเปลี่ยนของ UK คือ the Pound เงินปอนด์

In the USA currency is the Dollar.
ใน the USA สหรัฐอเมริกา คือ the Dollar เงินดอลลาร์

Some other examples …
บางตัวอยางอื่นๆ

In Russia the currency is…the Rouble. (เงินรูเบิ้ล)

In India it is the Rupee. (เงินรูปี)

In China it is the Yuan. (เงินหยวน)

The Japanese currency is…the Yen. (เงินเยน)

And across Europe (ตลอดทั้งยุโรป) the currency is…the Euro. (เงินยูโร)

The Dollar also describes the currency used in other countries too, such as…
เงินดอลลาร์นั้นยังใช้เรียกอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้ในประเทศอื่นๆอีกด้วย อย่างเช่น

Australia, Jamaica, Singapore and New Zealand,

but it is worth remembering that they are not connected in any way to the United States.
แต่ต้องจำไว้ให้มั่นว่า มันไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆเลยกับสหรัฐอเมริกา (แค่มีคำเรียกสกุลเงินว่าดอลล่าร์เหมือนกันเฉยๆเท่านั้น แต่ดอลลาร์ของแต่ละประเทศไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกันเลย)

//

Each country’s currency has its own value.
เงินของแต่ละประเทศนั้นมีคุณค่าในตัวของมันเอง

This is called…The Exchange rate.
นี้เรียกว่า “อัตราแลกเปลี่ยน”

We work this out by comparing the value of one currency with another.
เราเรียนรู้เรื่องนี้โดยการเปรียบเทียบคุณค่าของสกุลเงินหนึ่งกับสกุลเงินอื่นๆ

For example…I can compare the UK Pound with the USA Dollar.
สำหรับตัวอย่าง… ผมสามารถเปรียบเทียบเงินปอนด์อังกฤษ กับ เงินดอลลาร์สหรัฐ

Right now the UK Pound has more value, so if I travel to the USA,
ตอนนี้ เงินปอนด์อังกฤษมีมูลค่ามากกว่า ดังนั้นถ้าผมท่องเที่ยวไปในอเมริกา

I will actually get more money for each Pound that I change into Dollars.
ผมก็จะได้เงินมากขึ้นจากแต่ละปอนด์ที่ผมแลกเปลี่ยนไปเป็นดอลลาร์

However, if I travel from the USA with Dollars and change them into UK Pounds then I lose money.
อย่างไรก็ตาม ถ้าผมมาเที่ยวจากอเมริกาด้วยเงินดอลล่าร์ และไปแลกเปลี่ยนเงินเป็นเงินปอนด์ ผมก็จะสูญเสียเงิน(ไปด้วยค่าเงินที่น้อยกว่า)

This is how the exchange rate works between all countries.
นี่คือวิธีการที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินทำงานในระหว่างทุกประเทศ

Sometimes you gain… and sometimes you lose.
บางครั้ง คุณได้เงินเพิ่ม และบางครั้งคุณสูญเงิน

There are some idioms and phrases relating to money, such as…
มีบางสำนวนและวลีที่เกี่ยวข้องกับเงิน อย่างเช่น

Money doesn’t grow on trees.
เงินไม่ได้โตมาจากต้นไม้(หมายถึงต้องขยันอดออม ประหยัด กว่าจะหาเงินมาได้ ให้เห็นคุณค่าของเงิน)

This means that money is always hard to get.
นี้หมายถึง เงินนั้นยากลำบากกว่าจะได้มา

Money is the root of all evil.
เงินเป็นเหตุแห่งสิ่งชั่วร้าย

This means that money can often make people do bad things.
นี้หมายถึง เงินมักทำให้คนทำสิ่งที่ไม่ดี

I’m not made of money.
(สำนวน) ผมไม่ได้มีเงินมากนัก

 
This means that only have a certain amount of money that belongs to me.
นี้หมายความว่า มีเงินที่แน่นอนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่เป็นของผม

That will cost me an arm and a leg.
(สำนวน) มันแพงมาก

This means that something is too expensive, it costs too much.
นี้หมายถึง บางอย่างที่แพงเกินไป และต้องจ่ายในราคาแพงมากเกินไป

You look like a million Dollars.
(สำนวน) คุณดูสง่า ภูมิฐาน ดูดี

This means you look great and healthy.
นี้หมายถึง คุณดูดีและมีสุขภาพดี

Splash out.

This means, to spend a lot of money all at  once.
นี้หมายถึง ใช้จ่ายเงินจำนวนมากลงในคราวเดียว

It one go Rob Peter to pay Pound.
(สำนวน)

This means that you borrow money from one person to  pay back money you owe to someone else.
นี้หมายถึง คุณยืมเงินจากคนหนึ่งมาจ่ายเงินอีกคนหนึ่ง ที่คุณติดเงินเค้าอยู่

Money makes the World go round.
(สำนวน)(เงินทำให้โลกหมุน)

This means that money helps us to live and things to happen
นี้หมายถึงว่าเงินช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้และทำให้มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้น(ในโลก)

Throw your money down the drain.
(โยนเงินไปเป็นขยะ,โยนเงินไปซื้อขยะ)

This means that you waste money or you spend it on useless things and rubbish!
นี้หมายถึงว่าคุณใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งไร้สาระสิ้นเปลือง(โดยเปล่าประโยชน์) หรือคุณใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์, ไม่ได้ใช้ และเป็นขยะ!
//

Of course there is one big problem with money and that is that most of us do not have enough of it.
แน่นอนว่า มีปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งกับเรื่องเงิน และนั่นคือ พวกเราส่วนมากมีเงินไม่พอน่ะครับ

So very often, we must borrow it from the bank.
ดังนั้น บ่อยมากๆ (ที่)เราต้องยืมเงินจากธนาคาร

The bank will lend it to us. This is called…Credit .
ธนาคารก็จะให้เรายืม นี้เรียกว่า “เครดิต”

Of course they will also charge us for this service and this time we must give interest to the bank.
แน่นอนว่า เค้าก็จะชาร์ท(เงิน)เราจากบริการนี้และครั้งนี้ เราต้องให้ดอกเบี้ยกับธนาคารน่ะครับ

Each day that we have that money, the bank will charge us. sometimes this can lead to us paying a very big interest charge.
แต่ละวันที่เราถือเงิน(ที่ยืมมา)นั้น ธนาคารจะชาร์ทเรา บางครั้ง สิ่งนี้จะนำเราไปสู่การจ่ายเงินที่ถูกชาร์จจากดอกเบี้ยเป็นจำนวนมาก

You can also borrow money by using a credit card.
คุณยังสามารถยืมเงินจากการใช้บัตรเครดิตได้ด้วย

Once again the bank is giving you the money.
อีกครั้งนะครับ ธนาคารจะให้เงินคุณ

But in this situation, it does not have to be paid back so fast.
แต่ในสถานการณ์นี้ ก็ไม่ต้องจ่ายคืนอย่างรวดเร็วนัก

These days many people own a credit card some of us  have four or five credit cards at one time.
ทุกวันนี้ หลายๆคนก็เป็นเจ้าของบัตรเครดิต พวกเราบางคนก็มีบัตรเครดิต 4 – 5 ใบในคราวเดียว

During  the past ten years, people have been spending much more money than they are actually earning.
ระหว่างช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผู้คนได้ใช้จ่ายเงินมากขึ้นมากกว่าเงินที่พวกเค้าได้รับจริงๆ

In 2007 we saw the early sign of a problem  in the way we all borrow and spend money.
ในปี 2007 เราพบเห็นสัญญาณของปัญหาล่วงหน้าเรื่องที่เราทั้งหลายได้ยืมเงินและใช้จ่ายเงินกัน

It seemed as if the banks were becoming less willing to lend money to people.
มันดูเหมือนว่าธนาคารได้คลายความเต็มใจที่จะให้คนยืมเงินลง

As we all now know, this has lead to a big financial freeze or hold on giving credit.
อย่างที่พวกเราทั้งหมดทราบกันในปัจจุบัน นี้ได้นำไปสู่ การฟรีซทางการเงินครั้งใหญ่หรือการชะลอการปล่อยให้เครดิต

We call this situation…. “The Credit crunch”
เราเรียกสถานการณ์นี้ว่า “The Credit crunch”

//
In society we tend to judge each other by the amount of money we have or appear to have.
ในสังคม เรามีแนวโน้มจะตัดสินกันและกันด้วยจำนวนเงินที่เรามีหรือปรากฏว่ามี

If we see a person driving a nice new car, then we may assume that they have lots of money,
ถ้าเราเห็นคนขับรถคันใหม่สวยๆแล้ว เราอาจจะคิดว่าพวกเค้ามีเงินเป็นจำนวนมาก

but in fact they may have borrowed the money to pay for the car, so as to appear wealthy.
แต่ในความจริง พวกเค้าอาจยืมเงินมาจ่ายค่ารถ เพื่อให้ดูว่าร่ำรวย(มีฐานะ)

There is a phrase in English that describes this type of person
มีวลีในภาษาอังกฤษที่บรรยายผู้คนประเภทนี้ไว้

“They have two cars outside the house but nothing to eat in the fridge.”
“พวกเค้ามีรถ 2 คันอยู่ข้างนอกบ้านแต่ในตู้เย็นไม่มีอะไรจะกินเลย”

OK I’m ready for my transition. Special effect Whooshing noise. Where are you?
โอเคครับ ผมพร้อมสำหรับการเปลี่ยน(ฉาก)แล้วครับ ช่างสเปเชียลเอฟเฟค ส่งเสียงหน่อย …  อยู่ไหนน่ะ?

Ah … here it comes.
อะ…  มาแล้ว

Of course we need money to live and we must work for it.
แน่นอนว่า เราต้องการเงินเพื่อการดำรงชีพและเราต้องทำงานเพื่อสิ่งนี้

However, some people may become too concerned with making money and forget all about the things in life that cost nothing.
อย่างไรก็ตาม  บางคนอาจกลายมากังวลมากจนเกินไปเกี่ยวกับการทำเงินกระทั่งลืมหมดทุกสิ่งในชีวิตที่ไม่ตีค่าเป็นเงิน

Those who have little or no money may appreciate the small things they own,
คนเหล่านั้นที่มีเงินนิดหน่อยหรือไม่มีเงินเลย อาจพึงพอใจกับสิ่งเล็กน้อยที่เค้าเป็นเจ้าของ

while those with millions in the bank may not care about anything but themselves.
ในขณะที่ผู้คนเหล่างั้น ด้วยเงินนับล้านๆในธนาคาร (เค้า)อาจไม่สนใจอะไรเลยนอกจากตัวเขาเอง

You could say that money is a paradox.
คุณอาจกล่าวว่า เงินคือ ปฏิภาค(สิ่งที่ขัดแย้งกันเอง)

If you have none…you want some.
ถ้าคุณไม่มีมันเลย… คุณจะต้องการมันบ้าง

If you have some…then you want more.
ถ้าคุณพอจะมีมัน … แล้วคุณจะต้องการมันเพิ่ม

If you have lots, then you may find yourself discovering that the phrase “Money can’t buy you happiness” is completely true.
ถ้าคุณมีมันมากๆ แล้วคุณอาจพบว่าตัวคุณเองค้นพบว่า วลีที่ว่า “เงินไม่สามารถซื้อความสุขให้คุณได้” นั้นป็นจริงอย่างที่สุด

As Oscar Wilde once wrote “I may be lying in the gutter…but I’m looking up at stars.”
อย่างที่ออสการ์ ไวล์ด์ เขียนว่า “ผมอาจนอนอยู่ในคูร่องท้องน้ำ แต่ผมมองไปยังเหล่าดวงดาว” (ถึงจะมีเงินไม่มาก แต่ชีวิตก็มีความสุขดี)

This is Misterduncan in England saying … take care until next time. Ta-ta for now.
นี่คือมิสเตอร์ดันแคนในอังกฤษกล่าวว่า … ดูแลตัวเองกระทั่งครั้งหน้า ลาก่อนสำหรับตอนนี้

จากคุณ
:
lovelypriest

เขียนเมื่อ
:
27 เม.ย. 55 08:35:17

Table of Contents

[Update] เรียนภาษาอังกฤษ ด้วย 7 วิธีง่าย ๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์ | วิธี การ เรียน ภาษา อังกฤษ ด้วย ตัว เอง – NATAVIGUIDES

Posted on

หาเคล็ดลับในการ “ เรียนภาษาอังกฤษ ” อยู่ใช่ไหม ? แต่เคล็ดลับไหนกันที่จะช่วยให้คุณเก่งภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น วันนี้ English Munmun จึงได้นำหลักการทางวิทยาศาสตร์ มาให้คุณได้ลองศึกษา ค้นคว้า และฝึกฝน เพื่อเป็นแนวทางในการนำไปปรับใช้ให้เข้ากับตัวเอง

สารบัญ

เรียนภาษาอังกฤษ

มันต้องมีทางลัดสู่ความสำเร็จอยู่แล้ว แต่ทางไหนถึงจะเหมาะกับตัวเราเองที่สุด ซึ่งหมายความว่าเราอาจจะต้องลองผิดลองถูกมากมาย หรืออาจจะต้องเจอกับวิธีที่ไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย ก่อนที่จะพบกับวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้เรากำลังใช้ชีวิตกันอย่างเร่งรีบ พยายามทำทุกอย่างให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ตั้งแต่ส่งข้อความ ยันไปถึงที่หมายที่เราต้องการ และประเด็นสำคัญที่สุดเลยก็คือ การฝึกพูดภาษาใหม่ให้เป็นเร็ว ๆ

แต่การ เรียนภาษาอังกฤษ จำเป็นจะต้องใช้เวลา เพราะมีไวยากรณ์และคำศัพท์ใหม่ ๆ ให้จดจำและเรียนรู้อยู่เสมอ

วิทยาศาสตร์กับการเรียนรู้ด้านภาษา

“สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างกว่าสัตว์อื่น ๆ ก็คือภาษา!”

ซึ่งต้องบอกว่ามีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มากมายที่เน้นศึกษาไปในเรื่องของภาษา จากการศึกษาวิจัย ทำให้นักวิทยาศาสตร์รู้กลไกการทำงานสมองของมนุษย์ ทั้งวิธีการเรียนรู้และวิธีการพูด บางวิจัยก็พยายามทำความเข้าใจว่าทำไมพวกเราต้องเรียนภาษา บางวิจัยก็ได้ข้อสรุปของประโยชน์ในการเรียนภาษาใหม่ ๆ บางวิจัยก็มุ่งศึกษาไปที่เด็กในเรื่องของการเรียนรู้ภาษาได้ตามธรรมชาติ และบางงานวิจัยก็มุ่งเน้นไปศึกษาที่ผู้ใหญ่ แต่งานวิจัยด้านภาษาที่น่าสนใจก็คือ “ การเรียนภาษาอย่างไรให้ได้ผลเร็วขึ้น ”

เรียนภาษาอังกฤษอย่างไรให้เร็วขึ้น ด้วย 7 เคล็ดลับทางวิทยาศาสตร์

1. ฟังให้มาก มากกว่า มากที่สุด

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บอกว่า การเรียนภาษาจะมีศัพท์ที่เรียกเฉพาะก็คือ การเรียนรู้ภาษาแบบจิตไร้สำนึก หรือการเรียนรู้ภาษาแบบโดยปริยาย เป็นการเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ได้พยายามทำอะไรเลย ซึ่งมันจะไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่เรานั่งอยู่บนโต๊ะเรียน แล้วเรียนตามกฎเกณฑ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มันจะเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก โดยให้เสียงภาษาอังกฤษอยู่เป็นเสียงพื้นหลังไว้ แล้วสมองของคุณก็จะดูดซับเสียง สำเนียง คำ และไวยากรณ์โดยอัตโนมัติ แม้ว่าคุณจะไม่ตั้งใจฟัง พูด หรือจดบันทึกก็ตาม

สิ่งที่ประหลาดอีกหนึ่งอย่างก็คือ คนเราสามารถเรียนรู้ภาษาจากการฟังได้ แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจความหมายของคำคำนั้นก็ตาม จากหลายงานวิจัยบอกว่ามันเป็นไปได้ที่มนุษย์จะเรียนรู้ภาษาใดก็ได้จากการฟัง เรายังสามารถเรียนรู้ภาษาที่แต่งขึ้นมาได้ เพียงแค่ฟังจากที่มนุษย์พูด

นึกถึงตอนที่เราเป็นเด็ก เราเริ่มอ่าน เริ่มเขียน หรือเริ่มฟังก่อน ? ใช่! ก็ต้องเป็นการฟังอยู่แล้ว นั่นก็เป็นเพราะว่าการฟังนั้นสำคัญที่สุด เป็นพื้นฐานแรกที่ควรมี หากอยากเก่งภาษาเร็ว ๆ

แล้วเราจะนำไปปรับใช้ได้อย่างไรล่ะ

อย่างแรกเลยก็คือฟังภาษาอังกฤษให้มาก ๆ มากเท่าที่คุณจะทำได้ ฟังไปเรื่อย ๆ เริ่มจากสิ่งใกล้ตัว เช่น การดูทีวีเป็นภาษาอังกฤษ ฟังเพลงภาษาอังกฤษ ฟังหนังสือเสียงเป็นภาษาอังกฤษ หรือว่าคุณจะเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่คุณสามารถได้ยินเจ้าของภาษาพูดคุยกันก็ได้ ซึ่งคุณไม่จำเป็นจะต้องไปจดจ่ออยู่กับมันขนาดนั้นเลย ขณะที่คุณฟัง คุณก็สามารถไปเดินเล่น ทำอาหาร อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย ทำการบ้าน หรือทำงานไปด้วยก็ได้

เพราะตราบใดที่เสียงของภาษาอังกฤษเข้ามาในหูและสมองของคุณ คุณก็จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้เร็วมากกว่าที่คุณจะรู้ตัวเสียอีก

2. เรียนรู้สิ่งที่เหมือนกัน

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บอกว่า สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการเรียนภาษาใหม่ ๆ ก็คือการเรียนรู้เกี่ยวกับเสียงใหม่ทั้งหมด บางภาษาที่เราเลือกเรียนก็อาจจะมีเสียงที่ห่างไกลจากภาษาของเราพอสมควร ยกตัวอย่างเช่น คำภาษาอังกฤษบางคำจะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร “BL” (เช่น Blink) แต่เราคงไม่เคยได้ยินคำที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร “LB” หรือถ้าหากใครบอกว่าเคยได้ยิน งั้นให้คุณลองพยายามออกเสียงคำนั้นดู พูดออกมาดัง ๆ แล้วจะรู้ว่ามันแปลก! มันไม่ได้! เพราะบางเสียงมันก็ไม่สมเหตุสมผล

แล้วเราจะนำไปปรับใช้ได้อย่างไรล่ะ

เราอยากให้คุณจำข้อเท็จจริงนี้ไว้ให้ขึ้นใจว่า ถ้าคุณได้ยินเสียงที่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ นั่นแสดงว่ามันน่าจะเป็นไปไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำลังพยายามเขียนคำว่า “ghost” แต่ไม่แน่ใจว่าตัว h มาก่อนหรือมาหลัง g ให้คุณลองพูดออกมาดัง ๆ แล้วดูว่ามันสามารถออกเสียงแบบนั้นได้ไหมหรือไม่ หากคุณทำความเข้าใจได้แล้ว นั่นแสดงว่าคุณจะสามารถเรียนรู้การสะกดคำได้ง่ายยิ่งขึ้น

3. การแยกเสียง การออกเสียงนั้นสำคัญ

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บอกว่า การเรียนภาษาอังกฤษสามารถเปลี่ยนวิธีการทำงานของสมองได้ ซึ่งมีงานวิจัยฉบับหนึ่งพบว่า เมื่อเราเรียนภาษา สมองของเราบางส่วนจะเติบโตขึ้น ยิ่งมันเติบโตมากเท่าไหร่ การเรียนรู้ภาษาใหม่ ๆ ก็จะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับคุณ อย่างไรก็ตาม นั่นแสดงให้เห็นว่าสมองของเราตอบสนองต่อเสียงที่แตกต่างกันออกไป

ยกตัวอย่างเช่น ตัว L กับตัว R เป็นตัวที่แยกเสียงออกได้ยากสำหรับผู้เรียน ยิ่งถ้าภาษาของเรามีเสียง L และ R เป็นเสียงเดียวกัน (เช่น ภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งจากการทดลองแสดงให้เห็นว่า คนที่พูดภาษาอังกฤษ เมื่อได้ยินเสียงตัวอักษร L และ R สมองสองส่วนตอบสนองต่อการได้ยิน  แต่ในขณะที่คนพูดภาษาญี่ปุ่นจะตอบสนองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

แล้วเราจะนำไปปรับใช้ได้อย่างไรล่ะ

จาการทดลองแสดงให้เราเห็นว่าการฟังเสียงช้า ๆ สามารถช่วยให้เราเรียนรู้เสียงเหล่านั้นได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง ซึ่งบอกเลยว่านั่นถือว่าเร็วมาก!

ซึ่งคุณไม่จำเป็นที่จะต้องมีโปรแกรมซอฟต์แวร์ใด ๆ ที่จะช่วยให้เสียงช้าลงเลย เพราะเรามีสิ่งที่เรียกว่า “YouTube” สื่อโซเชียลมีเดียออนไลน์ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยให้คุณหาวิดีโอเกี่ยวกับการออกเสียงโดยเจ้าของภาษาที่คุณสนใจ หรือจะลองดูจากวิดีโอนี้ก็ได้ เป็นวิดีโอสอนการออกเสียง R และ L ที่ดีมาก ๆ

หากต้องการเปลี่ยนความเร็วในการฟังก็สามาถทำได้ง่าย ๆ โดยให้คุณคลิกไปที่ตั้งค่า ปุ่มไอคอนตรงด้านขาวล่างของวิดีโอ จากนั้นคลิก “ความเร็วในการเล่น” แล้วเลือกความเร็วที่น้อยกว่า 1 หรือระดับที่คุณต้องการได้เลย แต่เราขอแนะนำว่าให้คุณลองฟังด้วยความเร็วที่ 0.25 เป็นเวลา 10 นาที แล้วจากนั้นให้เปลี่ยนเป็นความเร็วที่ 0.5 อีก 10 นาที แล้วค่อยเปลี่ยนมาเล่นที่ความเร็วปกติเหมือนเดิม ทำแบบนี้สักสองสามครั้ง แล้วคุณจะสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างเสียงที่ยาก ๆ ได้ง่ายมากขึ้นกว่าเดิม

และหากอยากเรียนเรื่องการออกเสียงให้มากยิ่งขึ้น เราก็มีคอร์สเรียนการออกเสียงที่อยากจะแนะนำคือคอร์ส Zero to Hero Pronunciation Course คอร์สปรับการพูดภาษาอังกฤษให้เป๊ะปัง ได้เหมือนเจ้าของภาษากับ Teacher​ สลาตัน จากประสบการณ์การสอนมากกว่า 10 ปี

4. เชื่อมโยงด้วยรูปภาพ สัญลักษณ์ เรียนรู้ได้ไวกว่า

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บอกว่า เราสามารถเชื่อมโยงคำศัพท์หลายคำเข้าด้วยกันได้จากหลาย ๆ คำ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมโยงโดยเสียง  ท่าทาง การนึกภาพในใจ หรือดูรูปพร้อมท่องศัพท์ต่าง ๆ แต่ให้คุณลองคิดว่าเมื่อคุณได้ยินเสียง “โฮ่ง ๆ” คุณจะนึกถึงอะไรในหัว ? หรือเมื่อคุณเห็นรูปดวงอาทิตย์ คุณก็จะนึกถึงคำว่า “ดวงอาทิตย์” “ความอบอุ่น” หรือ “ความร้อน” ได้ในทันที โดยที่คุณไม่ต้องใช้เวลาคิดเลย เพราะว่าคุณมีภาพของมันอยู่ในหัวของคุณอยู่แล้ว

การเรียนคำศัพท์ผ่านการเชื่อมโยงจึงไม่เพียงแต่ให้ความสนุกกับเราเท่านั้น แต่มันยังเป็นวิธีที่จะช่วยให้การเรียนภาษาอังกฤษของคุณเร็วขึ้นได้อีกด้วย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ใช้วิจัยฉบับนี้ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับภาษาสัญลักษณ์  ที่ใช้มือและนิ้วสร้างเป็นคำต่าง ๆ สำหรับคนหูหนวกที่ไว้ใช้สื่อสารกัน โดยจากการทดลองแสดงให้เราเห็นว่า การจดจำด้วยสัญลักษณ์นั้นจะจำได้ง่ายกว่า เช่น เราทำสัญลักษณ์ที่คล้ายกับคำว่า “กิน” มันก็จะเหมือนคนกินจริง ๆ  แต่บางคำก็จะยากขึ้นอีก เมื่อการเคลื่อนไหวของมือคุณ มันไม่ได้เชื่อมโยงกันกับความคิดที่คุณอยากจะสื่อ

แล้วเราจะนำไปปรับใช้ได้อย่างไรล่ะ

ให้เราพยายามเรียนคำศัพท์ให้เป็นหมวดหมู่ จับกลุ่มคำกับรูปภาพ หรือท่าทาง และนำไปเชื่อมกับคำอื่น ๆ เมื่อเราเชื่อมมันในใจได้แม่นยำแล้ว เราก็จะจำมันได้ง่ายขึ้น

ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนุกให้เราลองทำก็คือ ให้ลองเปลี่ยนคำให้กลายเป็นสิ่งที่เราต้องการสื่อความหมายแทน โดยดูไอเดียได้จากการใช้ Google Images search ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้เราจำความหมายของมันได้เร็วขึ้น และช่วยในเรื่องของการสะกดคำอีกด้วย

5. จำรูปแบบประโยค แทนการท่องจำกฎไวยากรณ์

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บอกว่า ให้เราลองดูวิดีโอตัวนี้เพียงนาทีแรก แล้วลองทำตามวิดีโอนี้ซ้ำ ๆ ถ้าเราจำและทำตามรูปแบบนี้ซ้ำ ๆ ได้ นั่นอาจจะช่วยให้เราเรียนภาษาใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น

ในงานวิจัยฉบับหนึ่ง ได้จัดนักเรียนตามกลุ่มของรูปทรง แล้วนักเรียนที่ค้นหารูปแบบของรูปทรงได้ดีที่สุด ก็จะเป็นนักเรียนที่เรียนรู้ภาษาฮีบรูได้ดีที่สุดด้วยเช่นกัน เพราะภาษาประกอบไปด้วยรูปแบบต่าง ๆ มากมาย ยิ่งเราค้นหารูปแบบเหล่านี้ได้เมื่อไหร่ เราก็จะเรียนภาษาได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

แล้วเราจะนำไปปรับใช้ได้อย่างไรล่ะ

ใครเป็นบ้าง ? ใช้เวลาในการเรียนหลักการใช้ไวยากรณ์และการสะกดคำมาเป็นสิบ ๆ ปี แต่ก็ยังจำไม่ได้ เพราะแทนที่เราจะจำตามกฎแกรมม่าเป๊ะ ๆ ให้ลองเปลี่ยนมาจำเป็นรูปแบบแทน

ลองมาดูรูปแบบรูปอดีตของกริยาปกติกัน ยกตัวอย่างเช่น กฎการใช้บอกว่า “การเปลี่ยนคำกริยาปกติ (regular verb) ให้เป็นอดีต (past tense) โดยการเติม -ED ต่อท้ายคำกริยา” ซึ่งถ้าเราจำกฎการใช้ไวยากรณ์นี้ได้จากการอ่านประโยคนี้ นั่นถือว่าคุณเจ๋งมาก ๆ เพราะสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว มันเป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจ จนกว่าจะได้เห็นว่ามันถูกใช้อย่างไร

ลองมาดูในลักษณะของรูปแบบของคำกริยาปกติ กับคำกริยาที่ผันเป็นอดีตแล้ว จากตัวอย่างนี้

Rain — Rained

Want — Wanted

Learn — Learned

     เห็นรูปแบบของมันไหม ? งั้นไปดูกันต่อเลย ดูที่ความแตกต่างระหว่างกลุ่มคำกริยาต่อไปนี้กับกลุ่มคำกริยาก่อนหน้านี้

Plan — Planned

Rot — Rotted

Stop — Stopped

     ที่นี้สังเกตเห็นความแตกต่างตรงนี้ไหมเอ่ย? รูปแบบของมันคืออะไร ? เมื่อพิจารณาดูแล้ว จะเห็นได้ว่ารูปแบบของกริยาก็คือ “เมื่อคำกริยาที่ลงท้ายด้วย พยัญชนะ – สระ – พยัญชนะ ให้เพิ่มตัวสะกดไปในตัวสุดท้าย ก่อนจะเติม -ED” นั่นเอง

6. ให้เรียนรู้เป็นวลี แทนการจำคำศัพท์

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บอกว่า คำศัพท์บางคำเมื่ออยู่แบบเดี่ยว ๆ ก็จะมีความหมายนึง แต่เมื่อนำไปรวมกับคำอื่นความหมายก็จะต่างอย่างสิ้นเชิง เหมือนที่เราฟังหรืออ่านประโยคภาษาอังกฤษ เราก็ต้องมองหากลุ่มคำพวกนี้

ลองดูประโยคนี้ “I ran around” (ฉันวิ่งไปรอบ ๆ) เหมือนคุณกำลังจะบอกว่าคุณวิ่งไปเรื่อย ๆ ไม่มีจุดหมาย แต่ถ้าคุณเพิ่มเข้าไปสักสองคำ ก็จะกลายเป็น “I ran around the park” (ฉันวิ่งไปรอบ ๆ สวนสาธารณะ) ซึ่งความหมายของมันก็ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง

ซึ่งงานวิจัยฉบับหนึ่งอธิบายว่า ลำดับของคำศัพท์อาจมีความสำคัญมากกว่าทั้งประโยค ลองคิดดูแบบนี้แล้วกันว่า “Bread and butter” กับ “butter and bread” มีความหมายเหมือนกันนะ แต่มีอยู่อันเดียวเท่านั้นที่เรียงลำดับได้ถูกต้อง นั่นก็คือ “Bread and butter”

แล้วเราจะนำไปปรับใช้ได้อย่างไรล่ะ

การเรียนรู้คำศัพท์เดี่ยว ๆ นั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องด้วยคำศัพท์หนึ่งคำนั้นมีความหมายมากกว่าหนึ่งความหมาย หากแค่รู้จักคำศัพท์ นั้นไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถใช้มันได้จริง ๆ ดังนั้นเมื่อคุณเรียนคำศัพท์ใหม่ ๆ คุณต้องเรียนวิธีใช้คำเหล่านั้นในวลี ประโยค และบทสนทนาด้วย

ตัวอย่างเช่นคำว่า “retrospect” หมายถึงการมองย้อนกลับไปที่บางสิ่งบางอย่าง ซึ่งคุณจะเห็นได้ว่ามันจะถูกใช้โดยมีคำว่า “in” นำหน้าเสมอ เช่น “In retrospect, I shouldn’t have eaten the whole cake.” (เมื่อนึกกลับไป ฉันไม่น่ากินเค้กทั้งหมดนั้นเลย) เป็นต้น หากคุณรู้วิธีการจัดกลุ่มคำศัพท์ได้ เมื่อคุณพูดออกมา มันก็จะดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นนั่นเอง

7. เรียนภาษาด้วยบทเพลง

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บอกว่า เรายังจำเพลงน่ารัก ๆ ที่เคยเรียนเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่ได้ไหม ? พนันได้เลยว่า เรายังสามารถร้องเพลงที่แม่หรือครูสอนได้แน่นอน นั่นก็ผ่านมานานมาก ๆ แล้ว แต่ทำไมเราถึงยังจำเพลงเหล่านี้ได้แม่นยำอยู่เลยล่ะ ?

เมื่อตอนที่เรายังเด็ก เพลงถือว่าสำคัญมาก ๆ ในการเรียนภาษา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องมีเพลง เพื่อที่จะช่วยให้เด็ก ๆ จดจำเกี่ยวกับตัวเลข ตัวอักษร การสะกดคำ และเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ซึ่งการฟังเพลงซ้ำ ๆ จะช่วยให้เด็กจำส่วนที่สำคัญของภาษาได้ง่ายขึ้น

ดนตรีก็ช่วยให้ผู้ใหญ่เรียนรู้ได้ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ดนตรีมันจะไปสำคัญกว่าทักษะทางภาษาได้ยังไง ? หากอ้างอิงจากงานวิจัยฉบับนี้ได้บอกว่า วิธีการที่เราเรียนภาษานั้นไม่ต่างจากการเรียนดนตรีเลย ซึ่งต่างก็สำคัญทั้งสองอย่าง เช่น เราเรียนรู้ว่าเสียง “ba” และ “da” นั่นต่างกันอย่างไร ก็เหมือนเราเรียนรู้ว่าเสียงทรัมเป็ตกับเสียงเปียโนนั้นต่างกันอย่างไรนั่นเอง

แล้วเราจะนำไปปรับใช้ได้อย่างไรล่ะ

ภาษาก็เปรียบเสมือนดนตรีชนิดหนึ่ง ดนตรีจะทำให้คุณเรียนภาษาได้ง่ายและเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งมีเพลงมากมายเลย ที่จะช่วยในการเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งคุณสามารถหาได้บนยูทูป หรือที่ English Munmun ก็ได้เช่นกัน ลองฟังแล้วร้องตามดู คุณอาจจะพูดได้เหมือนเจ้าของภาษาโดยที่คุณไม่รู้ตัว

“มันไม่มีทางลัดที่จะทำให้คุณเรียนภาษาได้เร็วหรอก แต่วิทยาศาสตร์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าบางเคล็ดลับก็ใช้ได้ผล และเร็วกว่าวิธีอื่น ๆ นั่นเอง”

สรุป วิธีการ เรียนภาษาอังกฤษ ให้ไว้ขึ้น

จากการศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ด้วยเคล็ดลับข้างต้นที่กว่ามา จะเป็นตัวช่วยให้คุณเรียนภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นและเร็วขึ้นได้

“ยิ่งเรียนรู้และพัฒนาไปเรื่อย ๆ  สมองของคุณก็จะพัฒนาขึ้นตามด้วยเช่นกัน!”

อีกสิ่งที่เราอยากจะบอก

หากคุณสนุกไปกับการเรียนภาษาอังกฤษที่ใช้สื่อการสอนที่สนุกและสมจริง คุณจะต้องชอบ English Munmun อย่างแน่นอน เพราะเราใช้วิธีการสอนที่สมจริง ไม่ใช่แค่เพียงถามตอบเท่านั้น เป็นตัวช่วยให้คุณเข้าใจในภาษาและวัฒนธรรมได้ง่ายมากขึ้น คุณจะสามารถเรียนและพูดภาษาอังกฤษได้แบบเจ้าของภาษาจริง ๆ  จากคอร์สเรียนที่เราขอแนะนำ

แปลและเรียบเรียงจาก

https://bit.ly/2YCIdqX

#munmunfellowship


Top 5 Từ hay phát âm SAI trong tiếng Anh – Bí Quyết Phát Âm Chuẩn


Làm chủ tiếng Anh giao tiếp Phát âm chuẩn như người bản xứ Chỉ trong 3 tháng
Xem chi tiết tại https://engbreaking.com/

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

Top 5 Từ hay phát âm SAI trong tiếng Anh - Bí Quyết Phát Âm Chuẩn

English Conversation Learn English Speaking English Subtitles Lesson 01


English Conversation   Learn English Speaking English Subtitles Lesson 01

6 วิธี ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง จนได้ไปอเมริกาแบบฟรีๆ | How can I learn English


ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ภาษาอังกฤษ ไปอเมริกา
คลิปนี้จะมาแชร์วิธีฝึกภาษาอังกฤษในแบบฉบับของเราเองค่ะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่เรียนภาษาอังกฤษ อยากฟังออก อยากพูดได้
ทุกคนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ
.
ฝาก กดติดตาม เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ^^
.
แก้ไข คลื่นวิทยุออนไลน์ของสิงคโปร์ 98.7 FM นะคะ😅
.
TOEIC 710
(Test Date : Oct 2020)
แบ่งปันวิธีการเตรียมสอบTOEICแบบใหม่ 700+ คลิกเล้ย https://web.facebook.com/yumiseetheworld/photos/107168821327443
แชร์วิธีเตรียมสอบ HSK4 200+ แบบฉบับเด็กสายวิทย์และไม่เคยไปจีน 2020 คลิกเล้ย https://www.youtube.com/watch?v=tqWB98c_3Nw
.
sticker line น่ารัก https://line.me/S/sticker/13426558
.
Facebook : https://www.facebook.com/yumiseetheworld

6 วิธี ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง จนได้ไปอเมริกาแบบฟรีๆ | How can I learn English

สอนพูดภาษาอังกฤษ(ฟรี)จากเริ่มต้นจนพูดคล่อง Level 1: EP.1 Language Basics


อยากฝึกพูดภาษาอังกฤษตัวต่อตัว หรือเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบบุฟเฟ่ต์
สมัครได้เลย ​https://www.unfoxenglish.com/
สอบถามแอดไลน์ ​https://lin.ee/5uEdKb7h

กลุ่มเฟสบุค https://www.facebook.com/groups/unfoxenglishcommunity/

เรียนตอนต่อๆไป
https://www.youtube.com/playlist?list=PLDFirtKulNk9TP14p0TWjl7bs84Ow1aC
อยากพูดภาษาอังกฤษได้เราก็ต้องฝึกพูด เริ่มต้นฝึกเหมือนเด็กทารกที่ค่อยๆหัดพูดตามพ่อแม่ทีละคำสองคำ เป็นกลุ่มคำ เป็นประโยค จนพูดได้ตามที่ใจนึกอยากจะพูด วิธีการเรียนรู้แบบธรรมชาตินี้จะทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว เข้าใจง่าย ไม่ต้องท่องจำ และที่สำคัญไม่ต้องแปลเป็นภาษาไทย แค่ทำความเข้าใจผ่านภาพที่เห็นเชื่อมโยงกับเสียงที่ได้ยิน เราก็จะได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษไปโดยอัตโนมัติเหมือนกับที่เราเรียนรู้ภาษาแม่ได้อย่างธรรมชาติ
ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องง่าย แต่เราอย่าไปทำให้มันยาก
ติดตามช่อง YouTube ส่วนตัว
ช่องยูทูปของแล็คต้า https://www.youtube.com/lactawarakorn
ช่องยูทูปของเบล https://www.youtube.com/bellvittawut
ติดตามช่องทางอื่นๆ และพูดคุยกันได้ที่
ชุมชนคนรักภาษาอังกฤษ https://www.unfoxenglish.com
FB: https://www.facebook.com/unfoxenglish
Twitter: https://www.twitter.com/unfoxenglish
Lacta’s IG: https://www.instagram.com/lactawarakorn
Bell’s IG: https://www.instagram.com/toshiroz
ติดต่องาน
Email: [email protected]
Line: http://nav.cx/oOH1Q6T
ภาษาอังกฤษ สอนภาษาอังกฤษ เรียนภาษาอังกฤษ

สอนพูดภาษาอังกฤษ(ฟรี)จากเริ่มต้นจนพูดคล่อง Level 1: EP.1 Language Basics

9 วิธีฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง 🙂 | ammriss


ammriss ฝึกภาษาอังกฤษ improveenglish
บอกก่อนว่าเราไม่ได้เก่งอังกฤษอะไรมากมายน้า
แต่เราเป็นคนที่เรียนโปรแกรม ภาษาไทยมาตลอด แล้วก็ชอบเรียนภาษาอังกฤษมว้าก^^
ก็เลยนำเทคนิคมาแชร์กันน้า ว่าเราฝึกภาษาอังกฤษยังไงบ้าง
(นอกเหนือจากการเรียนในห้อง และที่เรียนพิเศษนะก๊ะ)

FOLLOW ME : http://www.instagram.com/ammriss
credit intro : editing by matthieu
His channel : http://bit.ly/editingbymatthieu

ขอบคุณที่เข้ามาดูน้าาา วีดีโอของเราาา ไปดูกันๆๆ^O^
cover ความลับมีในโลก + เพื่อนไม่จริง
https://www.youtube.com/watch?v=ftj4uugTx6U
เล่าประสบการณ์ผ่าอาจารย์ใหญ่ น่ากลัวไหม ? เรียนอะไรบ้าง ^^
https://youtu.be/mfwxZ47Fd50

พาไปงาน Byenior ที่คณะแพทย์จุฬา ^^ พาไปคุยกับพี่ฟรัง นรีกุลด้วยย
https://youtu.be/uKF_0PmArZ0
HOW TO : เตรียมตัวสอบเข้าแพทย์ ^^
https://youtu.be/RWZBEWqLbo
1 วันกับชีวิตนิสิตแพทย์จุฬา ฯ 😀
https://youtu.be/_iXRszOtUiE

9 วิธีฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง :-) | ammriss

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆMAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ วิธี การ เรียน ภาษา อังกฤษ ด้วย ตัว เอง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *