Skip to content
Home » [NEW] Machine Learning ภาคผนวก 2: Python อย่างสั้นที่สุด | บาง อย่าง – NATAVIGUIDES

[NEW] Machine Learning ภาคผนวก 2: Python อย่างสั้นที่สุด | บาง อย่าง – NATAVIGUIDES

บาง อย่าง: คุณกำลังดูกระทู้

Table of Contents

Python อย่างสั้นที่สุด

โดย ชิตพงษ์ กิตตินราดร | มกราคม 2563

บทนี้จะแนะนำ Python สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโค้ดเลย โดยจะอธิบายเฉพาะเรื่องพื้นฐานที่สำคัญจริงๆ อย่างสั้นและกระชับที่สุด เพื่อให้สามารถเริ่มต้นได้และสามารถใช้ Machine learning framework เช่น scikit-learn และ TensorFlow

ขอย้ำอีกรอบ ว่าสิ่งที่แนะนำนี้ไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามหลักวิชาการ แต่เน้นกระชับ สั้น ง่าย ให้เริ่มต้นเรียนรู้ได้เท่านั้น

Python เป็นภาษาคอมพิวเตอร์แบบ High-level นั่นหมายความว่าเราสามารถสั่งให้ Python ทำสิ่งต่างๆ ได้ในลักษณะที่คล้ายกับภาษาคน โดยไม่ต้องไปสนใจเรื่อง “หลังบ้าน” ของคอมพิวเตอร์มากนัก เช่นการจัดการหน่วยความจำ การระบุประเภทตัวแปร เป็นต้น ทำให้เขียนง่าย อ่านง่าย เข้าใจง่าย

นอกจากนั้น Python ยังเป็นภาษาแบบ Interpret หมายความว่าเวลาเราเรียก Script หรือโปรแกรมที่เขียนด้วย Python เครื่องก็จะตีความ คำนวน และแสดงผลทันที โดยไม่ต้องสั่งแปลงเป็นภาษาเครื่องก่อนจะรันโปรแกรม (เรียกว่าการ Compile) ทำให้สะดวกรวดเร็วในการพัฒนาโปรแกรม แต่แลกมากับการที่ความเร็วและประสิทธิภาพในการคำนวนจะด้อยกว่าภาษาที่ต้อง Compile เช่น C++ เป็นต้น

ปัจจุบัน Python เป็นภาษา “มาตรฐาน” สำหรับงานวิทยาศาสตร์ข้อมูล, AI, Machine learning นอกจากนั้นยังใช้ในอีกหลายวงการ เช่นการสร้างเว็บไซต์ ผ่าน Framework เช่น Django และ Flask เป็นต้น

การติดตั้งและใช้งาน Python

ขั้นแรกให้โหลด Python มาติดตั้งก่อน โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ของ Python ไปที่หน้า Downloads และทำตามคำแนะนำได้เลย

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะใช้ Python ในงานวิทยาศาสตร์ข้อมูล, AI, Machine learning แนะนำวิธีติดตั้งอีกแบบ คือการติดตั้ง Python และ Library มาตรฐานที่มักจะได้ใช้แบบรวดเดียวจบ ผ่าน Anaconda ก็จะได้ Library พื้นฐาน เช่น numpy, pandas, matplotlib มาเลย ส่วน scikit-learn และ TensorFlow ก็สามารถติดตั้งได้ง่ายๆ โดยใช้คำสั่ง conda ใน Commandline เช่น conda install scikit-learn และ conda install tensorflow เป็นต้น รายละเอียดเรื่องการติดตั้งและจัดการ Package จะไม่อธิบายมาก สามารถอ่านและศึกษาได้โดยตรง

การเขียนโค้ดและเรียกโปรแกรมที่เขียนด้วย Python มีหลายวิธี ดังนี้

  • iPython: เรียก ipython จาก Commandline จะสามารถเขียนโค้ดและรันทีละบรรทัดๆ เหมาะสำหรับการทำลองไอเดียสั้นๆ เร็วๆ หรือใช้ Python เป็นเครื่องคิดเลข
  • IDE: ใช้ Python ผ่านโปรแกรมที่เป็นสภาพแวดล้อมสำหรับการเขียนโค้ดโดยเฉพาะ เช่น PyCharm หรือ Spyder โดยสามารถติดตั้งและเรียกใช้ IDE เหล่านี้ได้เอง
  • Jupyter Lab: ใช้ Python ผ่าน Jupyter Notebook (ปัจจุบันพัฒนาเป็นรุ่นใหม่ เรียกว่า Jupyter Lab) โดยการเรียก jupyter lab จาก Commandline จะเปิดเว็บขึ้นมาในลักษณะ Web-based IDE นั่นเอง สำหรับงาน Data science/ML แนะนำวิธีนี้ เพราะสามารถแยกโค้ดเป็น Cell ย่อยๆ และสามารถใส่ Cell ที่เป็นข้อความธรรมดาเพื่ออธิบายโค้ดของเราควบคู่ไปได้

การคำนวน

เมื่อเรียกใช้ Python ผ่านช่องทางที่ถนัดแล้ว ก็มาเริ่มกันเลย

การคำนวนและการแสดงผล ทำได้ง่ายมาก เช่น:

2*0.5/3

จะได้คำตอบเป็น 0.3333333333333333 สังเกตว่าถ้าเราคำนวนหลายๆ อย่างใน Term เดียว เราอาจจะไม่แน่ใจว่า Python จะคำนวนสัญลักษณ์ไหนก่อน ซึ่งจริงๆ มีลำดับที่ชัดเจน แต่ถ้าไม่อยากจำ แนะนำว่าให้ใส่วงเล็บให้ชัดเจนไปเลย เช่น:

(2*0.5)/3

นอกจากบวก + ลบ - คูณ * หาร / ยังมี Operator ที่น่ารู้ เช่น ยกกำลัง ** Floor division // (หารไม่เอาเศษ) และ Modulus % (หารแล้วเอาแค่เศษ) สามารถดูเพิ่มเติมได้จากเว็บต่างๆ เช่นที่นี่

Variables: การกำหนดตัวแปร

เวลาเราเขียนโค้ด เรามักจะต้องการเก็บข้อมูลบางอย่างเอาไว้ก่อนเพื่อเรียกใช้ภายหลัง เราเรียกที่เก็บข้อมูลนี้ว่าตัวแปร หรีอ Variable

ตัวอย่างเช่น:

age = 50
name = "John"
print(age)
print(name)

จะได้คำตอบคือ:

50
John

สังเกตว่า ค่าของตัวแปรที่เป็นตัวเลข สามารถใส่ได้เลย ส่วนถ้าเป็นตัวหนังสือ ต้องใช้ Quotation ครอบไว้ จะใช้ " หรือ ' ก็ได้

เราใช้ฟังก์ชัน print() เพื่อแสดงผลสิ่งที่อยู่ในวงเล็บ เราเรียกสิ่งที่อยู่ในวงเล็บว่า Argument โดยในที่นี้เราจะใส่ตัวแปรของเราเป็น Argument ทำให้ Python print ค่าของตัวแปรของเราออกมา อนึ่ง Argument อาจมีได้หลายอัน ขึ้นอยู่กับว่า Function นั้นรองรับ Argument อะไรบ้าง โดยเราใช้ Comma , คั่นระหว่างแต่ละ Argument ซึ่งเดี๋ยวเราจะเห็นตัวอย่างเมื่ออธิบาย Function อื่นๆ ต่อไป

ทีนี้เราจะลองใช้ประโยชน์จากตัวแปร โดยเราต้องการที่จะบอกว่า John อายุ 50 ปี:

print(name + ' is ' + str(age) + ' years old.')

ได้คำตอบว่า:

John is 50 years old.

ลองมาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง:

  • เครื่องหมาย + ในที่นี้ คือการเอาข้อความ (เรียกว่า String) มาต่อกัน (เรียกการกระทำแบบนี้ว่า Concatenate)
  • การ Concatenate จะต้องทำระหว่างข้อมูลประเภทเดียวกันเท่านั้น เช่น String กับ String ดังนั้น เราจึงต้องแปลงตัวแปร age จากตัวเลขจำนวนเต็ม (Integer หรือ int) ให้เป็นข้อความ (String หรือ str) ด้วยการเรียกฟังก์ชัน str()
  • สังเกตว่าเราเว้นวรรคบางจุด เช่น ก่อนและหลัง is และก่อน years old เพื่อให้ข้อความที่ออกมามีการเว้นวรรคที่ถูกต้อง เพราะการ Concatenate ไม่ได้เว้นวรรคให้เรา

ทีนี้ถ้าเรากำหนดตัวแปรใหม่ เช่น age = 35 แล้วเรียก print เหมือนเดิมอีกรอบ Output ที่ได้ก็จะเปลี่ยนตามตัวแปรใหม่ นั่นก็คือ John is 35 years old.

Data types: ประเภทของข้อมูล

ตัวแปรสามารถเก็บข้อมูลได้หลายประเภท เราจะทำความรู้จักประเภทข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญและใช้บ่อยดังนี้:

  • Text str
  • Numerical int, float
  • Sequence list, tuple
  • Mapping dict
  • Boolean bool

String

เรารู้จัก String กันแล้วก่อนหน้านี้ String มีคุณสมบัติที่น่าสนใจบางอย่าง เช่น:

1) String เป็น Array หมายความว่าตัวอักษรแต่ละตัวจะถูกมองว่าเป็นข้อมูล 1 ชิ้น ดังนั้นเราจึงสามารถจัดการตัวอักษรใน String ได้หลากหลาย เช่น:

หาความยาว โดยใช้ฟังก์ชัน len()

a = "Hello, World!"
print(len(a))

ได้คำตอบคือ 13

ตัดเอา Space ว่างท้าย String ออก โดยใช้ Method .strip() (Method คือฟังก์ชันที่ใช้ได้กับตัวแปร โดยการนำไปต่อท้ายตัวแปรได้ทันที เพื่อกระทำการบางอย่างกับข้อมูลในตัวแปรนั้น ลองดูตัวอย่างข้างล่าง)

a = " Hello, World! "
print(a.strip())

ได้คำตอบว่า Hello, World! โดยไม่มี Space หลัง !

แยกคำออกจากกัน โดยใช้ Method .split()

a = "My name is John."
print(a.split())

จะเป็นการแยกประโยคออกเป็นคำๆ โดยแยกที่ Space ได้ผลคือ ['My', 'name', 'is', 'John.'] ทั้งนี้สามารถกำหนดได้ว่าให้แยกที่พบอักษรอะไร เช่น a.split(",") คือให้แยกเมื่อพบ Comma เป็นต้น

สังเกตว่า ['My', 'name', 'is', 'John.'] เป็นข้อมูลประเภท List ซึ่งจะอธิบายภายหลังว่าคืออะไร ตอนนี้เพียงให้รู้ว่า List นี้มีข้อมูล 4 รายการ คือคำแต่ละคำนั่นเอง คั่นด้วย Comma

เลือกเฉพาะบางตัวอักษรตามลำดับที่ เป็นความสามารถที่เรียกว่า Slicing ซึ่งใช้ได้กับทุกอย่างที่มีลักษณะเป็น Array หลักการคือ Python จะกำหนดให้ข้อมูลชิ้นแรกมีรหัส Index 0 และเพิ่มขึ้นทีละ 1 ต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้น:

a = "Hello, World!"
print(a[1])

จะได้ e

เราสามารถเลือก Slicing เป็น Range ได้ โดยใช้ Colon : คั่น โดยจะนับ Index เริ่มต้นเป็นชิ้นแรก (Inclusive) แต่ Index ตัวขบขะไม่นับตัวมันเอง (Exclusive) ตัวอย่างเช่น:

a = "Hello, World!"
print(a[2:5])

จะได้ llo

สุดท้าย ถ้าใน String มีเครื่องหมายที่ปกติจะถูกตีความว่ามีความหมายพิเศษ เช่น " เราจะไม่สามารถใส่เครื่องหมายนั้นลงไปได้ตรงๆ ถ้าอยากใส่ ต้องใช้ Backslash \ ไว้ก่อน เราเรียก \ ว่า Escape character ตัวอย่างเช่น:

print("My name is \"John\".")

จะได้ My name is "John".

แถม Escape character ที่มีประโยชน์มาก คือ \n คือการขึ้นบรรทัดใหม่ ส่วน \t คือ Tab

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ String ได้ที่นี่

Int และ Float

Int (Integer) คือจำนวนเต็ม เช่น -1, 0, 5, 100 ส่วน Float คือจำนวนที่มีทศนิยม เช่น -0.12, 5.816497 เป็นต้น เราสามารถดูได้ว่าตัวเลขของเราคือประเภทอะไร โดยใช้ฟังก์ชัน type() เช่น:

x = 1
y = 2.5

print(type(x))
print(type(y))

จะได้:

<class 'int'>
<class 'float'>

เราสามารถแปลงระหว่าง int กับ float ได้ โดยใช้ฟังก์ชัน int() และ float()

List

List เป็นข้อมูลแบบ Array ที่มีสมาชิกหลายตัว สามารถผสมสมาชิกประเภทต่างๆ กันได้ และสามารถสลับตำแหน่ง เปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ จึงใช้งานได้หลายวัตถุประสงค์ยืดหยุ่นมาก เราสามารถสร้าง List โดยการใช้ Bracket [] เช่น:

emptylist = []
print(emptylist)

ก็จะได้ List ว่างๆ คือ [] ส่วน List ที่มีสมาชิก ก็ใส่สมาชิกนั้นลงไปเลย คั่นแต่ละตัวด้วย Comma เช่น:

fruitlist = ["apple", "banana", "cherry"]
print(fruitlist)

ก็จะได้ ['apple', 'banana', 'cherry']

สมมุติเราอยากเลือกแค่ banana กับ cherry ก็ใช้ Slicing ได้ เช่น:

fruitlist = ["apple", "banana", "cherry"]
print(fruitlist[1:])

ก็จะได้ ['banana', 'cherry'] สังเกตว่าตอน Slice ถ้าเราไม่ใส่ Index ตัวจบ ก็แปลว่าให้เลือกไปจนถึงสมาชิกตัวสุดท้าย โดยรวมตัวสุดท้ายด้วย ในทางกลับกัน ถ้าไม่ใส่ Index ตัวเริ่ม ก็คือให้เริ่มที่สมาชิกตัวแรกเลย

เราสามารถเปลี่ยนสมาชิกใน List ง่ายๆ เช่น:

fruitlist = ["apple", "banana", "cherry"]
fruitlist[1] = "pineapple"
print(fruitlist)

จะได้ ['apple', 'pineapple', 'cherry'] ทันที

ส่วนถ้าจะเพิ่มสมาชิก ก็ทำได้โดยใช้ Method .append() เช่น:

fruitlist = ["apple", "banana", "cherry"]
fruitlist.append("orange")
print(fruitlist)

จะได้ ['apple', 'banana', 'cherry', 'orange']

นอกจากนี้ยังมีการแทรกสมาชิก ใช้ .insert(index, object) โดยใส่ Index ที่ต้องการแทรกลงไปเป็น Argument ก่อนจะใส่ Object ที่ต้องการแทรก ส่วนการลบสมาชิก ก็สามารถใช้ .remove(object) ซึ่งใส่ชื่อ Object เป็น Argument หรือไม่ก็ .pop(index) ซึ่งใช้หมายเลข Index เป็น Argument (ถ้าไม่ใส่จะหมายถึงให้เอารายการสุดท้ายออก)

ถ้าต้องการลบสมาชิกทั้งหมดใน List ให้เหลือ List ว่างๆ ก็ใช้ .clear()

สุดท้าย เราสามารถเอา List มาต่อกันได้ โดยการใช้เครื่องหมาย + เช่น:

list1 = ["a", "b" , "c"]
list2 = [1, 2, 3]

list3 = list1 + list2
print(list3)

จะได้ ['a', 'b', 'c', 1, 2, 3]

สุดท้าย เราสามารถนับจำนวนสมาชิกใน List ได้ โดยใช้ฟังก์ชัน len() เช่นเดียวกับการนับจำนวนตัวอักษรใน String

List จะมีประโยชน์มากเมื่อใช้คู่กับ For loop ซึ่งจะอธิบายในส่วนถัดๆ ไป

สามารถอ่านเรื่อง List เพิ่มเติมได้ที่นี่

Tuple

Tuple เป็นข้อมูลแบบ Array ที่มีสมาชิกหลายตัวคล้ายกับ List ต่างกันที่ Tuple นั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลข้างในได้ เราสามารถสร้าง Tuple โดยใช้วงเล็บ () เช่น:

emptytuple = ()
print(emptytuple)

ก็จะได้ List ว่างๆ คือ () ส่วนคุณสมบัติอื่นๆ ก็เหมือนกับ List ต่างตรงที่ไม่สามารถเพิ่ม ลบ สิ่งที่อยู่ใน Tuple ได้

อ่านเพิ่มเกี่ยวกับ Tuple ได้ที่นี่

Dictionary

Dictionary เป็นประเภทข้อมูลที่เก็บข้อมูลแต่ละตัวเป็นคู่ ซึ่งประกอบด้วยรหัส (Key) กับค่า (Value) เรียกว่า Key-value pair เราสามารถสร้าง Dictionary ด้วยการใช้วงเล็บปีกนก {} ตัวอย่างเช่น:

profiledict = {
    "name": "John",
    "age": 50,
    "sex": "male"
}

print(profiledict)

จะได้ {'name': 'John', 'age': 50, 'sex': 'male'} สังเกตว่าข้อมูลแต่ละคู่จะใช้ Comma แบ่ง

เราสามารถเรียก Value ของ Key-value pair โดยการเรียก Key ที่ต้องการ โดยเรียกใน Bracket เช่น:

print(profiledict["name"])

ก็จะได้ Value ของ Key "name" นั่นก็คือ "John"

อีกวิธีในการเรียก Value คือการใช้ Method get(key) ก็ได้ผลเหมือนกัน

เราสามารถเปลี่ยน Value ได้ โดยการเรียก Key แล้วกำหนด Value ใหม่โดยใช้เครื่องหมาย = เช่น:

profiledict = {
    "name": "John",
    "age": 50,
    "sex": "male"
}

profiledict["age"] = 35

print(profiledict)

ก็จะได้ {'name': 'John', 'age': 35, 'sex': 'male'} ตามที่ต้องการ

การเพิ่ม Key-value pair ใหม่ใน Dict ให้ทำเหมือนกับการเปลี่ยน Value โดยกำหนด Key และ Value ตามที่ต้องการได้เลย เช่น:

profiledict = {
    "name": "John",
    "age": 50,
    "sex": "male"
}

profiledict["address"] = "Bangkok"

print(profiledict)

จะได้ {'name': 'John', 'age': 50, 'sex': 'male', 'address': 'Bangkok'}

ส่วนการลบ Key-value pair ก็ใช้ Method .pop(key)

การ Loop สมาชิกใน Dictionary โดยปกติจะได้ Key ออกมา แต่ถ้าอยากได้ Value ก็สามารถทำได้ โดยจะอธิบายในส่วน For loop

อ่านเพิ่มเกี่ยวกับ Dictionary ได้ที่นี่

Boolean

Boolean คือข้อมูลที่มีสองค่าเท่านั้น คือ True หรือ False โดย Python จะพิจารณาจาก Expression ที่ใส่ เช่น:

print(10 > 9)
print(10 == 9)
print(10 < 9)

คำตอบคือ:

True
False
False

สังเกตว่า เวลาเปรียบเทียบความเท่ากัน ใช้ == ไม่ใช่ = เพราะ = เป็นเครื่องหมายสำหรับการกำหนดค่าให้กับตัวแปร (Assignment) ไม่ใช่การเปรียบเทียบว่าจริงหรือไม่ (Validation)

สำหรับรายละเอียดอื่นๆ อ่านเพิ่มได้ที่นี่

Conditions: การกำหนดเงื่อนไข

บ่อยครั้งที่เราต้องการให้โค้ดของเรามีความฉลาด เช่นสามารถทำสิ่งหนึ่งภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง หรือให้ทำสิ่งเดิมวนซ้ำๆ จนกระทั่งบรรลุถึงเงื่อนไขที่ต้องการ ความสามารถแบบนี้เรียกว่า Conditions หรือบางทีก็เรียกว่า Flow control เป็นหัวใจของการเขียนโค้ด ควรจะเรียนรู้ไว้ให้คล่อง

เราจะทำความรู้จัก Conditions 3 รูปแบบ คือ:

  • If…Else
  • For loop
  • While loop

If…Else

เราสามารถกำหนดให้โปรแกรม เรียกโค้ดบรรทัดหนึ่งๆ ก็ต่อเมื่อเงื่อนไขบางอย่างเป็นจริง

If: การกำหนดเงื่อนไข ทำได้โดยการเขียน if เว้นวรรค ตามด้วย Statement ที่เป็นเงื่อนไข ตามด้วย Colon : เช่น:

a = 10
b = 25

if b > a:
  print("b is greater than a")

เนื่องจากในกรณีนี้ b มากกว่า a ตามเงื่อนไขใน if (statement): Python ก็จะเรียกโค้ดที่อยู่บรรทัดถัดไป โดยจะเรียกเฉพาะบรรทัดที่ถูก Indent เท่านั้น การ Indent ทำได้โดยการกด Tab หรือเคาะ Space 2 หรือ 4 ที

Elif: ถ้าเราต้องการสร้างเงื่อนไขต่อไป ในกรณีที่เงื่อนไขแรกไม่เป็นจริง ก็ใช้ elif ซึ่งย่อมาจาก Else if เช่น:

a = 25
b = 25

if b > a:
    print("b is greater than a")
elif b == a:
    print("b equals a")

Else: แต่ถ้าเราต้องการเพียงแค่จะดักเงื่อนไขที่ไม่เป็นจริงจาก If ด้านบน ก็เพียงใช้ else ดังนี้:

a = 50
b = 25

if b > a:
    print("b is greater than a")
else:
    print("b is not greater than a")

And/Or: ใน Statement เราสามารถใช้ Operator and หรือ or เชื่อม 2 Statement เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเงื่อนไขที่เจาะจงขึ้นได้ โดย and แปลว่าจะต้องเป็นจริงทั้ง 2 Statement ส่วน or เป็นจริง Statement เดียวก็ถือว่าจริง

สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ If…Else ได้ที่นี่

For loop

For loop ใช้สำหรับการวนโค้ดซ้ำๆ ตามสมาชิกของข้อมูลแบบ Text, Sequence, และ Mapping นั่นก็คือ str, list, tuple, และ dict สำหรับผู้เริ่มต้นอาจจะงง จึงให้ลองดูตัวอย่างดังนี้:

for i in "banana":
    print(i)

จะได้ Output ว่า:

b
a
n
a
n
a

หลักการทำงานของ For loop คือการกำหนดตัวแปรขึ้นมาตัวหนึ่ง เช่น i (นิยมใช้ เพราะย่อมาจาก Iteration แปลว่าการทำซ้ำเป็นรอบ) แล้วกำหนดค่า i ให้เป็นสมาชิกแต่ละตัวตั้งแต่ตัวแรกไปจนถึงตัวสุดท้าย โดยให้กระทำกับ i ตามโค้ดที่ถูก Indent ไว้ เช่นในที่นี้ ก็เพียงให้พิมพ์ค่า i ออกมา โดยการวนแต่ละรอบ จะ Output ออกหนึ่งบรรทัด พอวนรอบถัดไป ก็ Output ออกบรรทัดใหม่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงสมาชิกตัวสุดท้าย

ลองมาดู For loop สำหรับ List กัน:

fruitlist = ["apple", "banana", "cherry"]

for i in fruitlist:
    print(i)

จะได้:

apple
banana
cherry

หลายคนอาจสงสัยว่า จะทำอย่างนี้ไปทำไม คำตอบคือมันจะมีประโยชน์เมื่อไปผสมกับอย่างอื่นที่ทำให้ Output นั้นมีความหมาย ตัวอย่างเช่น:

fruitlist = ["apple", "banana", "cherry"]
count = 1

for i in fruitlist:
    print("Fruit number " + str(count) + " is " + i + ".")
    count = count + 1

print("There are " + str(count-1) + " fruit types.")

Output ที่ได้คือ:

Fruit number 1 is apple.
Fruit number 2 is banana.
Fruit number 3 is cherry.
There are 3 fruit types.

อธิบายดังนี้:

  • เรามีข้อมูลตั้งต้นเป็น List ของประเภทผลไม้ เราต้องการให้โปรแกรมระบุลำดับที่ของประเภทผลไม้ พร้อมกับบอกว่าเป็นประเภทอะไร นอกจากนั้น เรายังอยากให้โปรแกรมสรุปว่าสุดท้ายผลไม้ใน List มีทั้งหมดกี่ประเภท
  • เมื่อได้โจทย์แล้ว ก็ต้องวางแผน จะเห็นว่าเราต้องการนับลำดับที่ของผลไม้ โดยให้ตัวเลขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น เราจะกำหนดตัวแปรสำหรับลำดับที่ที่จะแสดงผล โดยกำหนดไว้เป็น 1 ก่อน ด้วยการกำหนด count = 1
  • จากนั้นก็เริ่มวน For loop โดยใน Loop ให้พิมพ์ count และ i ซึ่งก็คือชื่อผลไม้ใน List นั่นเอง
  • ตอนเราจะจบ Loop แต่ละรอบ เราจะต้องเปลี่ยนตัวแปร count ให้เพิ่มขึ้นรอบละ 1 ซึ่งทำได้โดยการกำหนด count = count + 1 หรือจะย่อว่า count += 1 ก็ได้
  • ดังนั้น พอผ่านรอบแรกมาถึงจุดนี้ count จะเท่ากับ 2 เมื่อ For loop วนรอบสอง ก็จะแสดงค่า count ของรอบนี้ เป็น 2 ตามที่ต้องการ ซึ่งจับคู่กับ banana ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนจบ List
  • สุดท้าย เราจะสรุปจำนวนประเภทผลไม้ ซึ่งก็คือ count แต่ต้องลบ 1 เพราะรอบสุดท้าย คือรอบที่ 3 ได้จบรอบด้วยการบวก count ไปอีก 1 ทำให้ count ตอนจบเท่ากับ 4 ตอนพิมพ์จำนวนสรุปตอนจบนี้ ต้องทำ “นอก Loop” นั่นคือให้กลับไปสร้าง Statement ที่ไม่ได้อยู่ใน Indent นั่นเอง เพราะถ้ายังอยู่ใน Indent โปรแกรมก็จะเรียกโค้ดบรรทัดนี้ทุกครั้งที่วน Loop ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ
  • อนึ่ง วิธีการสรุปจำนวนรายการใน List ที่ง่ายกว่านั้น คือการใช้ฟังก์ชัน len(object) เช่น print("There are " + str(len(fruitlist)) + " fruit types.") สังเกตว่าเราใช้ str() คลุมรอบ len() อีกที เพราะ len() ให้ผลเป็นตัวเลข ซึ่งเอามา Concatenate กับ Text ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนตัวเลขให้เป็น str เสียก่อน

เราสามารถหยุด For loop ได้ด้วยการใช้ break และ continue

1) break จะหยุด For loop ก่อนที่จะวนครบทุกรายการ โดยจะรันรายการล่าสุดเป็นรายการสุดท้าย:

fruits = ["apple", "banana", "cherry"]
for i in fruits:
    print(i)
    if i == "banana":
        break

จะได้:

apple
banana

2) continue จะข้ามรายการล่าสุด แล้วไปต่อที่รายการถัดไป:

fruits = ["apple", "banana", "cherry"]
for i in fruits:
    if i == "banana":
        continue
    print(i)

จะได้:

apple
cherry

สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ For loop ได้ที่นี่

While loop

While loop เป็นการวนซ้ำตราบใดที่เงื่อนไขยังคงเป็นจริง เช่น:

i = 1
while i < 6:
    print(i)
    i += 1

จะได้:

1
2
3
4
5

การใช้ While loop ให้ระวังอย่าลืมบวก i เพิ่ม เพื่อให้มีจุดที่ Loop จะวนจนไปชนเงื่อนไขที่ไม่เป็นจริง มิฉะนั้น หากเงื่อนไขเป็นจริงเสมอ While loop ็จะวนตลอดกาล

การหยุด While loop สามารถใช้ break และ continue ได้เช่นเดียวกับ For loop

สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ While loop ได้ที่นี่

Function: ฟังก์ชัน

Function คือกลุ่มโค้ดที่จะรันต่อเมื่อถูกเรียกใช้เท่านั้น การสร้างฟังก์ชัน ให้ใช้ def เว้นวรรค ตามด้วยชื่อฟังก์ชันที่ต้องการ ตามด้วย Colon : ตัวอย่างเช่น:

def greeting():
    print("Hello!")

พอจะเรียกฟังก์ชัน ก็เพียงเรียก greeting() ก็จะได้:

Hello!

สังเกตว่าที่ผ่านมา เรารู้จักกับฟังก์ชันที่มาพร้อมกับ Python หลายตัวแล้ว เช่น str() หรือ len() ฟังก์ชันเหล่านี้ก็เหมือนกับฟังก์ชันที่เราสร้างขึ้นเอง ต่างกันที่ Python เตรียมมาให้เราแล้วเท่านั้นเอง

Argument

เราสามารถใส่ข้อมูลเข้าไปในฟังก์ชัน เพื่อให้ฟังก์ชันทำอะไรบางอย่างกับข้อมูล แล้วให้ผลลัพธ์ออกมาได้ โดยผลลัพธ์ก็สามารถออกมาเป็นข้อมูลได้เช่นกัน ข้อมูลที่เราใส่ในฟังก์ชัน เรียกว่า Argument (บางทีก็เรียกว่า Parameter เวลาพูดถึงตัวแปรที่อยู่ในวงเล็บตอนสร้างฟังก์ชัน) โดยใส่ในวงเล็บที่ต่อท้ายชื่อฟังก์ชันตอนเราสร้างฟังก์ชัน ตัวอย่างเช่น:

def greeting(name):
    print("Hello, " + name + "!")

เวลาเรียกฟังก์ชัน ก็ใส่ Argument ที่เราต้องการลงไป เช่น:

greeting("John")

ก็จะได้:

Hello, John!

ถ้าเรากำหนด Argument กี่ตัวตอนสร้าง Function ตอนเรียกเราก็ต้องใส่ Argument จำนวนเท่ากัน เข่น:

def greeting(fname, lname):
    print("Hello, " + fname + " " + lname + "!")

เวลาเรียกฟังก์ชัน ก็ใส่ Argument ทั้งสองลงไปตามลำดับ เช่น:

greeting("John", "Doe")

ก็จะได้:

Hello, John Doe!

หากเราไม่รู้ว่าตอนเรียกฟังก์ชัน จะมี Argument ที่ป้อนเข้าไปกี่ตัว เราสามารถทำดังนี้ตอนสร้างฟังก์ชัน:

1) ใช้ Arbitary argument หรือ *args โดยการใส่ * ก่อนชื่อ Parameter ตอนสร้างฟังก์ชัน วิธีนี้จะเป็นการส่ง Tuple เข้าไปในในฟังก์ชัน โดยไม่ต้องระบุจำนวน Argument ที่แน่นอน ตัวอย่างเช่น:

def fruitlist(*fruit):
    print("The last fruit is " + fruit[-1] + ".")

fruitlist("apple", "banana", "cherry")

ก็จะได้ The last fruit is cherry. สังเกตว่าในฟังก์ชัน เราเลือกผลไม้รายการสุดท้ายโดยการ Slice ด้วย [-1] ซึ่งหมายถึงรายการสุดท้าย

2) ใช้ Keyword argument หรือ kwargs โดยการใส่ Key-value เข้าไปในฟังก์ชัน โดยตอนเรียกให้เรียก Key ก็จะได้ Value วิธีนี้ต้องระบุจำนวน Argument ที่แน่นอน เช่น:

def fruitlist(fruit1, fruit2, fruit3):
    print("The last fruit is " + fruit3 + ".")

fruitlist(fruit1 = "apple", fruit2 = "banana", fruit3 = "cherry")

ก็จะได้ The last fruit is cherry. เช่นเดิม

3) ใช้ Arbitary keyword argument หรือ **kwargs โดยการใส่ ** ก่อนชื่อ Parameter ตอนสร้างฟังก์ชัน วิธีนี้จะเป็นการส่ง Dictionary ของ Argument เข้าไปในฟังก์ชัน โดยตอนเรียกก็เรียก Key จะได้ Value ออกมา วิธีนี้ไม่ต้องระบุจำนวน Argument ที่แน่นอน เช่น:

def fruitlist(**fruits):
    print("The last fruit is " + fruits["fruit3"] + ".")

fruitlist(fruit1 = "apple", fruit2 = "banana", fruit3 = "cherry")

ก็จะได้ The last fruit is cherry. เช่นเดียวกัน

ใช้ List และ Dictionary เป็น Argument

เราสามารถใส่ List หรือ Dictionary ที่กำหนดไว้แล้ว ลงไปเป็น Argument ได้ เช่น:

fruits = ["apple", "banana", "cherry"]

def fruitlist(fruits):
    print("The last fruit is " + fruits[-1] + ".")

fruitlist(fruits)

หรือ:

fruitdict = {
    "fruit1": "apple",
    "fruit2": "banana",
    "fruit3": "cherry"
}

def fruitlist(fruitdict):
    print("The last fruit is " + fruitdict["fruit3"] + ".")

fruitlist(fruitdict)

ก็จะได้ The last fruit is cherry. เช่นเดียวกันทั้งหมด

Return value

เราสามารถให้ฟังก์ชัน Output ค่าออกมาได้ เช่น:

def bmi(weight, height):
    return weight/(height**2)

bmi(70, 1.72)

สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Function ได้ที่นี่

Library import: การเรียกใช้ Library

Python มี Library ที่ขยายความสามารถเฉพาะทางให้เลือกใช้จำนวนมาก เช่น numpy เป็น Library สำหรับการประมวลผลแบบ Array หลายมิติที่มีประสิทธิภาพสูง หรือ pandas เอาไว้จัดการข้อมูลแบบตาราง เป็นต้น

ก่อนจะใช้ Library เหล่านี้ เราต้องติดตั้งเสียก่อน โดยถ้าใช้ Python ปกติ ก็ใช้ pip เป็นตัวติดตั้งและจัดการ Package เช่น pip install numpy ส่วนถ้าใช้ Anaconda ที่แนะนำในตอนแรก ก็ใช้คำสั่ง conda จัดการ เช่น conda install numpy เป็นต้น

การเรียกใช้ Library มีสองวิธีใหญ่ๆ ได้แก่:

1) เรียกโดยตรง โดยใช้ import เช่น:

import numpy

เวลาจะใช้งาน ก็ต้องเรียก numpy ก่อน เช่น:

a = numpy.array([[1, 2], [3, 4]])

2) เรียกโดยการเปลี่ยนชื่อ หรือที่เรียกว่า Alias เพื่อย่นชื่อให้สั้นลงโดยใช้ as จะได้เรียกใช้สะดวก เช่น:

import numpy as np

เวลาจะใช้งาน ก็สามารถเรียก np ได้เลย เช่น:

a = np.array([[1, 2], [3, 4]])

3) เรียกเฉพาะบางฟังก์ชันหรือ Class ที่จะใช้ โดยใช้ from...import เช่น:

from numpy import array

เวลาเรียก ก็เรียกชื่อฟังก์ชัน array เลย เช่น:

a = array([[1, 2], [3, 4]])

สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ Import library ได้ที่นี่

ทั้งหมดนี้น่าจะพอให้สามารถเริ่มต้นเขียนโค้ดด้วย Python เรียกใช้ Library ต่างๆ และประยุกต์นำไปแก้ปัญหาต่างๆ ได้

หน้าแรก

Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution 4.0 International License.

[NEW] แรงจูงใจ Motives การจูงใจ Motivation ความหมายของแรงจูงใจ แรงจูงใจหมายถึง | บาง อย่าง – NATAVIGUIDES

ความหมายของแรงจูงใจและการจูงใจ

แรงจูงใจ คือพลังผลักดันให้คนมีพฤติกรรม และยังกำหนดทิศทางและเป้าหมาย ของพฤติกรรมนั้นด้วย คนที่มีแรงจูงใจสูง จะใช้ความพยายามในการกระทำไปสู่เป้าหมายโดยไม่ลดละ แต่คนที่มีแรงจูงใจต่ำ จะไม่แสดงพฤติกรรม หรือไม่ก็ล้มเลิก การกระทำ ก่อนบรรลุเป้าหมาย

ความหมายของแรงจูงใจ และการจูงใจ (Definition of motive and motivation)

แรงจูงใจ (motive) เป็นคำที่ได้ความหมายมาจากคำภาษาละตินที่ว่า movere ซึ่งหมายถึง “เคลื่อนไหว (move) ” ดังนั้น คำว่าแรงจูงใจจึงมีการให้ความหมายไว้ต่างๆ กันดังนี้

  1. แรงจูงใจ หมายถึง “บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายในตัวของบุคคลที่มีผลทำให้บุคคลต้องกระทำ หรือเคลื่อนไหว หรือมี พฤติกรรม ในลักษณะที่มีเป้าหมาย” (Walters.1978 :218) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ แรงจูงใจเป็นเหตุผล ของการกระทำ นั่นเอง
  2. แรงจูงใจ หมายถึง “สภาวะที่อยู่ภายในตัวที่เป็นพลัง ทำให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหว ไปในทิศทางที่มีเป็าหมาย ที่ได้เลือกไว้แล้ว ซึ่งมักจะเป็นเป้าหมายที่มีอยู่นภาวะสิ่งแวดล้อม” (Loundon and Bitta.1988:368)

จากความหมายนี้จะเห็นได้ว่า แรงจูงใจจะเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ประการ คือ
(1) เป็นกลไกที่ไปกระตุ้นพลังของร่างกายให้เกิดการกระทำ และ
(2) เป็นแรงบังคับให้กับพลังของร่างกายที่จะกระทำอย่างมีทิศทาง

ส่วนการจูงใจ (motivation) เป็นเงื่อนไขของการได้รับการกระตุ้นโดยมีการให้ความหมายไว้ ดังนี้

  1. การจูงใจ หมายถึง “แรงขับเคลื่อนที่อยู่ภายในของบุคคลที่กระตุ้นให้บุคคลมีการกระทำ” (Schiffman and Kanuk. 1991:69)
  2. การจูงใจ เป็นภาวะภายใน ของบุคคล ที่ถูกกระตุ้นให้กระทำพฤติกรรมอย่างมีทิศทางและต่อเนื่อง (แอนนิต้า อี วูลฟอล์ค Anita E. Woolfolk 1995)
  3. การจูงใจเป็นภาวะในการเพิ่มพฤติกรรม การกระทำหรือกิจกรรมของบุคคล โดยบุคคลจงใจ กระทำพฤติกรรม นั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ ต้องการ (ไมเคิล ดอมแจน Domjan 1996)

จากคำอธิบายและความหมายดังกล่าว จึงสรุปได้ว่า การจูงใจ เป็นกระบวนการที่บุคคลถูก กระตุ้นจากสิ่งเร้าโดยจงใจ ให้กระทำหรือดิ้นรนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์บางอย่าง ซึ่งจะเห็นได้ว่า พฤติกรรมที่เกิดจาก การจูงใจ เป็น พฤติกรรม ที่มิใช่เป็นเพียงการตอบสนองสิ่งเร้าปกติธรรมดา แต่ ต้องเป็นพฤติกรรมที่มีความเข้มข้น มีทิศทางจริงจัง มีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการไปสู่จุดใด และ พฤติกรรมที่เกิดขึ้น เป็นผลสืบเนื่องมาจาก แรงผลักดัน หรือ แรงกระตุ้น ที่เรียกว่า แรงจูงใจ ด้วย

ความสำคัญของการจูงใจ

การจูงใจมีอิทธิผลต่อผลผลิต ผลิตผลของงานจะมีคุณภาพดี มีปริมาณมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับ การจูงใจในการทำงาน ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างานจึงจำเป็นต้องเข้าใจว่าอะไร คือแรงจูงใจที่จะทำให้พนักงานทำงานอย่างเต็มที่ และไม่ใช่เรื่องง่ายในการจูงใจพนักงาน เพราะ พนักงานตอบสนองต่องานและวิธีทำงานขององค์กรแตกต่างกัน การจูงใจพนักงานจึงมี ความสำคัญ สามารถสรุปความสำคัญของการจูงใจในการทำงานได้ดังนี้

1. พลัง (Energy) เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญต่อการกระทำ หรือ พฤติกรรมของมนุษย์ ในการทำงานใดๆ ถ้าบุคคลมี แรงจูงใจ ในการทำงานสูง ย่อมทำให้ขยันขันแข็ง กระตือรือร้น กระทำให้สำเร็จ ซึ่งตรงกันข้ามกับ บุคคลที่ทำงานประเภท “เช้าชาม เย็นชาม” ที่ทำงานเพียงเพื่อให้ผ่านไปวันๆ

2. ความพยายาม (Persistence) ทำให้บุคคลมีความมานะ อดทน บากบั่น คิดหาวิธีการนำความรู้ความสามารถ และ ประสบการณ์ของตน มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่องานให้มากที่สุด ไม่ท้อถอยหรือละความพยายามง่ายๆ แม้งาน จะมีอุปสรรคขัดขวาง และเมื่องานได้รับผลสำเร็จ ด้วยดีก็มักคิดหา วิธีการปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

3. การเปลี่ยนแปลง (variability) รูปแบบการทำงานหรือวิธีทำงานในบางครั้ง ก่อให้เกิการค้นพบช่องทาง ดำเนินงาน ที่ดีกว่า หรือประสบ ผลสำเร็จมากกว่า นักจิตวิทยาบางคนเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลง เป็นเครื่องหมายของ ความเจริญ ก้าวหน้า ของบุคคล แสดงให้เห็นว่า บุคคลกำลังแสวงหาการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ให้ชีวิต บุคคลที่มี แรงจูงใจ ในการทำงานสูง เมื่อดิ้นรน เพื่อจะบรรลุ วัตถุประสงค์ใดๆ หากไม่สำเร็จบุคคล ก็มักพยายามค้นหา สิ่งผิดพลาด และพยายามแก้ไข ให้ดีขึ้นในทุก วิถีทาง ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การทำงานจน ในที่สุดทำให้ค้นพบแนวทาง ที่เหมาะสมซึ่ง อาจจะต่างไป จากแนวเดิม

4. บุคคลที่มีแรงจูงใจในการทำงาน จะเป็นบุคคลที่มุ่งมั่นทำงานให้เกิดความเจริญก้าวหน้า และการมุ่งมั่นทำงานที่ตนรับผิดชอบ ให้เจริญก้าวหน้า จัดว่าบุคคลผู้นั้นมี จรรยาบรรณในการทำงาน (work ethics) ผู้มีจรรยาบรรณในการทำงาน จะเป็นบุคคล ที่มีความรับผิดชอบ มั่นคงในหน้าที่ มีวินัยในการทำงาน ซึ่งลักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ ผู้มีลักษณะ ดังกล่าวนี้ มักไม่มีเวลาเหลือพอที่จะคิดและทำในสิ่งที่ไม่ดี

ลักษณะของแรงจูงใจ

แรงจูงใจของมนุษย์มีมากมายหลายอย่าง เราถูกจูงใจให้มีการกระทำหรือพฤติกรรม หลายรูปแบบ เพื่อหาน้ำและ อาหารมาดื่มกิน สนองความต้องการทางกาย แต่ยังมีความต้องการมากกว่านั้น เช่น ต้องการความสำเร็จ ต้องการเงิน คำชมเชย อำนาจ และในฐานะที่เป็นสัตว์สังคม คนยังต้องการมีอารมณ์ผูกพันและอยู่รวมกลุ่มกับผู้อื่น แรงจูงใจ จึงเกิดขึ้นได้จากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก

แรงจูงใจภายใน (intrinsic motives)

แรงจูงใจภายในเป็นสิ่งผลักดันจากภายในตัวบุคคล ซึ่งอาจจะเป็นเจตคติ ความคิดเห็น ความสนใจ ความตั้งใจ การมองเห็นคุณค่า ความพอใจ ความต้องการ ฯลฯ สิ่งต่างๆ ดังกล่าวมาเหล่านี้มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมค่อนข้างถาวร เช่น คนงานที่เห็นคุณค่าของงาน มองว่าองค์การคือสถานที่ให้ชีวิตแก่เขาและครอบครัว เขาก็จะจงรักภักดีต่อองค์การ กระทำ การต่างๆ ให้องค์การเจริญก้าวหน้า หรือในกรณีที่บ้านเมืองประสบปัญหาเศรษฐกิจ ในช่วงเวลาของเศรษฐกิจขาลง องค์การจำนวนมากอยู่ในภาวะขาดทุน ไม่มีเงินจ่ายค่าตอบแทน แต่ด้วยความผูกพัน เห็นใจกันและกัน ทั้งเจ้าของกิจการ และพนักงานต่างร่วมกัน ค้าขายอาหารเล็กๆ น้อยๆ ทั้งประเภทแซนวิช ก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ เพียงเพื่อ ให้มีรายได้ ประทังกันไปทั้งผู้บริหารและลูกน้อง และในภาวะดังกล่าวนี้จะเห็นว่า พนักงานหลายราย ที่ไม่ทิ้งเจ้านาย ทั้งเต็มใจไปทำงานวันหยุดโดยไม่มีค่าตอบแทน ถ้าการกระทำดังกล่าวเป็นไปโดย เนื่องจากความรู้สึก หรือเจตคติที่ดีต่อเจ้าของกิจการ หรือด้วยความรับผิดชอบในฐานะสมาชิกคนหนึ่งขององค์การ มิใช่เพราะ เกรงจะถูกไล่ออกหรือไม่มีที่ไป ก็กล่าวได้ว่า เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากแรงจูงใจภายใน

แรงจูงใจภายนอก (extrinsic motives)

แรงจูงใจภายนอกเป็นสิ่งผลักดันภายนอกตัวบุคคลที่มากระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม อาจจะเป็นการได้รับรางวัล เกียรติยศ ชื่อเสียง คำชม การได้รับการยอมรับ ยกย่อง ฯลฯ แรงจูงใจนี้ไม่คงทนถาวรต่อพฤติกรรม บุคคลจะ แสดงพฤติกรรม เพื่อ ตอบสนองสิ่งจูงใจดังกล่าว เฉพาะในกรณีที่ต้องการรางวัล ต้องการเกียรติ ชื่อเสียง คำชม การยกย่อง การได้รับ การยอมรับ ฯลฯ ตัวอย่างแรงจูงใจภายนอกที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม เช่น การที่คนงาน ทำงานเพียง เพื่อแลกกับ ค่าตอบแทน หรือเงินเดือน การแสดงความขยันตั้งใจทำงานเพียง เพื่อให้หัวหน้างานมองเห็นแล้ว ได้ความดีความชอบ เป็นต้น

ธรรมชาติของแรงจูงใจ

1. ความต้องการ

ความต้องการ (needs) เป็นสภาพที่บุคคลขาดสมดุล เกิดแรงผลักดันให้บุคคลแสดงพฤติกรรมเพื่อสร้างสมดุลให้ตัวเอง เช่น คนที่รู้สึกเหนื่อยล้าโดยการนอน หรือนั่งพัก หรือเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนอิริยาบถ ดูหนังฟังเพลง คนที่ถูกทิ้ง ให้อยู่คนเดียว เกิดความต้องการความรักความสนใจจากผู้อื่น เป็นแรงผลักดันให้คนๆ นั้น กระทำการบางอย่าง เพื่อให้ได้รับความรักความสนใจ ความต้องการมีอิทธิพลมากต่อพฤติกรรม กล่าวได้ว่าสิ่งที่กระตุ้น ให้บุคคล แสดงพฤติกรรม เพื่อบรรลุจุดหมายปลายทางที่ต้องการนั้น ส่วนใหญ่เกิดเนื่องมาจากความต้องการของบุคคล ความต้องการในคนเรามีหลายประเภท นักจิตวิทยาแต่ละท่าน จะอธิบายเรื่อง ความต้องการในรูปแบบต่างๆ กัน แต่โดยทั่วไปแล้ว เราอาจแบ่งความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

  1. ความต้องการทางกาย (Physical Needs)

    เป็นความต้องการที่เกิดจากธรรมชาติของร่างกาย เช่น ต้องการกินอาหาร หายใจ ขับถ่ายของเสีย การเคลื่อนไหว พักผ่อน และต้องการทางเพศ ความต้องการทางกายทำให้เกิดแรงจูงใจ ให้บุคคลกระทำการ เพื่อสนองความต้องการดังกล่าว เรียกแรงจูงใจที่เกิดจากความต้องการทางกายนี้ว่า แรงจูงใจทางชีวะภาพ หรือทางสรีระ (biological motives)

  2. ความต้องการทางสังคม หรือ ความต้องการทางจิตใจ (Social or Psychological Needs)

    เป็นความต้องการที่เกิดจาก การเรียนรู้ทางสังคม เช่น ต้องการความรัก ความมั่นคง ปลอดภัย การเป็นที่ยอมรับในสังคม ต้องการอิสระภาพ ความสำเร็จ ในชีวิต และตำแหน่งทางสังคม ความต้องการทางสังคมหรือทางจิตใจดังกล่าวนี้ เป็นเหตุให้มนุษย์แสดง พฤติกรรม เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการดังกล่าวคือ ทำให้เกิดแรงจูงใจที่เรียกว่า แรงจูงใจทางสังคม (Social Motives)

2. แรงขับ

แรงขับ (drives) เป็นแรงผลักดันที่เกิดจากความต้องการทางกาย และสิ่งเร้าจากภายในตัวบุคคล ความต้องการ และแรงขับมักเกิด ควบคู่กัน คือ เมื่อเกิดความต้องการแล้วความต้องการนั้นๆ ไป ผลักดันให้เกิดพฤติกรรม เราเรียกว่า เป็นแรงขับนอก จากนั้นแรงขับ ยังหมายถึง สภาพทางจิตวิทยาที่เป็นผล เนื่องมาจากความต้องการทางกาย เช่น ความหิว ทำให้เกิดสภาพทางจิตวิทยาคือ ใจสั่น ตาลอย หงุดหงิด อารมณ์เสีย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในหน่วยงาน เช่น การเร่งร้อน หาข้อสรุปจากการประชุม ในบรรยากาศที่ผู้เข้าประชุมทั้งหิว ทั้งเหนื่อย แทนที่จะได้ข้อสรุปที่ดี บางครั้งกลับ ก่อให้เกิดปัญหาขัดแย้ง ไม่ได้รับผลสำเร็จตามที่ต้องการ หรือเพราะด้วยความหิว ความเหนื่อย ทำให้รีบสรุปและตกลง เรื่องงานโดยขาดการไตร่ตรอง เพื่อจะได้รับประทานอาหารและพักผ่อน ซึ่งอาจก่อให้เกิด ผลเสียต่องานได้ แต่ในบางกรณี บุคคลบางคนก็อาจฉวยโอกาสของการที่คน ในที่ประชุมอยู่ในภาวะมีแรงขับด้านความหิว ความเหนื่อย มาเป็น ประโยชน์ ให้ลงมติบางเรื่องโดยง่ายและรวดเร็ว เพื่อประโยชน์ต่องาน

3. สิ่งล่อใจ

สิ่งล่อใจ (incentives) เป็นสิ่งชักนำบุคคลให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ จัดเป็น แรงจูงใจภายนอก เช่น การชักจูงให้คนงานมาทำงานอย่างสม่ำเสมอ โดยยกย่องพนักงาน ที่ไม่ขาดงานให้เป็นที่ปรากฏ การประกาศเกียรติคุณ หรือการ จัดสรรรางวัล ในการคัดเลือกพนักงาน หรือบุคคลดีเด่นประจำปี การจัดทำเนียบ “Top Ten” หรือสิสาขาดีเด่นขององค์การ การมอบโล่รางวัลแก่ฝ่ายงาน ที่มีผลงานยอดเยี่ยมในรอบปี ฯลฯ ตัวอย่างที่ยกมาเหล่านี้ จัดเป็นการใช้สิ่งล่อใจ มาสร้างแรงจูงใจ ในการทำงาน ให้เกิดแก่พนักงานขององค์การทั้งสิ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า สิ่งล่อใจนั้น อาจเป็น วัตถุ เป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นคำพูด ที่ทำให้บุคคลพึงพอใจ

4. การตื่นตัว

การตื่นตัว (arousal) เป็นภาวะที่บุคคลพร้อมที่จะแสดงพฤติกรรม สมองพร้อมที่จะคิด กล้ามเนื้อพร้อมที่จะเคลื่อนไหว นักกีฬาที่อุ่นเครื่องเสร็จพร้อมที่จะแข่งขันหรือเล่นกีฬา พนักงานต้อนรับที่พร้อมให้บริการแก่ลูกค้า ฯลฯ ลักษณะดังกล่าวนี้เปรียบเหมือนเครื่องยนต์ที่ติดเครื่องพร้อมจะทำงาน บุคลากรในองค์การถ้ามีการตื่นตัวในการทำงาน ย่อมส่งผลให้ทำงานได้ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาธรรมชาติ พฤติกรรมของมนุษย์พบว่า การตื่นตัวมี 3 ระดับ คือ การตื่นตัวระดับสูง การตื่นตัวระดับกลาง และการตื่นตัวระดับต่ำ ระดับที่นักจิตวิทยาค้นพบว่าดีที่สุดได้แก่ การตื่นตัวระดับกลาง ถ้าเป็นการตื่นตัวระดับสูง จะตื่นตัวมากไปจนกลายเป็นตื่นตกใจ หรือตื่นเต้น ขาดสมาธิในการทำงาน ถ้าตื่นตัวระดับต่ำก็มักทำงานทำงานเฉื่อยชา ผลงานเสร็จช้า และจากการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ทำให้บุคคลตื่นตัว มีทั้งสิ่งเร้าภายนอก และสิ่งเร้าภายในตัวได้แก่ ลักษณะส่วนตัวของบุคคล แต่ละคนที่มีต่างๆ กัน ทั้งในส่วนที่เป็นบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย และระบบสรีระภายในของผู้นั้น

นักจิตวิทยาที่ทำการศึกษาเรื่องการตื่นตัวในเชิงสรีระที่มีชื่อเสียงได้แก่ เฮบบ์ (Donald O.Hebb) ซึ่งเขได้ทำ การศึกษาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1955 และค้นคว้าเพิ่มเติมติดต่อกันเรื่อยมา ผลงานล่าสุดเท่าที่ค้นคว้าได้มีถึง ค.ศ.1972 เขากล่าวว่า การตื่นตัวกับอารมณ์ของมนุษย์มีความสัมพันธ์กัน และในขณะตื่นตัวการทำงาน ทางสรีระของมนุษย์ มีการเปลี่ยนแปลง เช่น การเต้นของหัวใจจะแรงขึ้น กล้ามเนื้อจะเกร็ง ระบบประสาทอัตโนมัติ อยู่ในภาวะพร้อม จะทำงานเต็มที่ ซึ่งนักจิตวิทยามักเรียก ภาวะพร้อมของคนดังกล่าวนี้ว่า “ปฏิกิริยาพร้อมสู้ และพร้อมหนี” ซึ่งคำกล่าวนี้ เป็นการเปรียบเทียบอาการตื่นตัวของหมีป่า ถ้ามันจนมุมมันก็พร้อมสู้กับศัตรู ดังคำกล่าวที่ว่า “สุนัขจนตรอก” แต่ถ้ามันมองเห็น ช่องทางหนี มันก็จะหลบเร้นออกจากการต่อสู้นั้น คือพร้อมที่จะทำได้ทุกรูปแบบ

5. การคาดหวัง

การคาดหวัง (expectancy) เป็นการตั้งความปรารถนา หรือการพยากรณ์ล่วงหน้าของบุคคล ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ตัวอย่างเช่น การที่คนงานคาดหวังว่า พวกเขาจะได้รับโบนัสประจำปีสัก 4-5 เท่าของเงินเดือน การคาดหวังดังกล่าวนี้ ส่งผลให้พนักงาน ดังกล่าว กระปรี้กระเปล่า มีชีวิตชีวา ซึ่งบางคนก็อาจจะสมหวัง และมีอีหลายคนที่ผิดหวัง ในชีวิตจริง ของคนเราโดยทั่วไป สิ่งที่คาดหวัง กับ สิ่งที่เกิดขึ้น มักไม่ตรงกันเสมอไป ช่วงห่างระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ถ้าห่างกันมาก ก็อาจทำให้คนงานคับข้องใจ และ เกิดปัญหา ขัดแย้งอื่นๆ ตามมา เจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารงาน จึงควรระวังในเรื่องดังกล่าว ที่จะต้องมีการสื่อสาร สร้างความเข้าใจ ที่ถูกต้องในกันและกัน การสร้างความหวัง หรือ การปล่อยให้พนักงาน คาดหวังลมๆ แล้งๆ โดยที่สภาพความเป็นจริง ทำไม่ได้ อาจจะก่อให้ เกิดปัญหายุ่งยากที่คาดไม่ถึง ในเวลาต่อไป ดังตัวอย่างที่เห็นได้จาก การที่กลุ่มคนงานของบริษัทใหญ่บางแห่ง รวมตัวกัน ต่อต้าน ผู้บริหาร และ เผาโรงงาน เนื่องมาจาก ไม่พอใจที่ไม่ได้โบนัสประจำปีตามที่คาดหวังไว้ว่าควรจะได้

การคาดหวังก่อให้เกิดแรงผลักดัน หรือเป็นแรงจูงใจที่สำคัญต่อพฤติกรรมอีกส่วนหนึ่ง ในองค์การ ถ้าได้มีการกระตุ้น ให้พนักงาน ทำงานโดยวางแผนและเป้าหมาย ตั้งระดับของผลงานตามที่ควรจะเป็น อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยยกระดับ มาตราฐานของผลงาน ของพนักงาน ซึ่งเมื่อได้ผลงานดีขึ้น ผู้บริหารก็พิจารณาผลตอบแทน ที่ใกล้เคียงกับ สิ่งที่พนักงาน คาดว่า ควรจะได้ เช่นนี้นับว่า ได้รับประโยชน์พร้อมกัน ทั้งฝ่ายเจ้าของกิจการและผู้ปฏิบัติงาน

6. การตั้งเป้าหมาย

การตั้งเป้าหมาย (goal settings) เป็นการกำหนดทิศทางและ จุดมุ่งหมายปลายทางของ การกระทำกิจกรรมใด กิจกรรมหนึ่งของบุคคล จัดเป็นแรงจูงใจจากภายในของบุคคลผู้นั้น ในการทำงานธุรกิจที่มุ่งเพิ่มปริมาณและคุณภาพ ถ้าพนักงานหรือนักธุรกิจมีการตั้งเป้าหมายในการทำงาน จะส่งผลให้ทำงานอย่างมีแผน และดำเนินไปสู่เป้าหมาย ดังกล่าวเสมือนเรือที่มีหางเสือ ซึ่งในชีวิตประจำวันของคนเรานั้นจะเห็นว่า มีคนบางคนที่ทำอะไร ก็มักประสบความสำเร็จ หรือไม่สำเร็จดังกล่าว อาจจะมีหลายประการ แต่ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลมากต่อความสำเร็จในการทำงาน คือการตั้งเป้าหมายในการทำงานแต่ละงานไว้ล่วงหน้า ซึ่งเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารงาน ควรสนับสนุน ให้พนักงาน ทำงานอย่างมีเป้าหมาย ทั้งนี้เพื่อความเจริญก้าวหน้าขององค์การ และตัวของพนักงานเอง

ที่กล่าวมาทั้งหมดในเรื่องที่มาของแรงจูงใจ ซึ่งได้แก่ ความต้องการ แรงขับ สิ่งล่อใจ การตื่นตัว การคาดหวัง และ การตั้งเป้าหมาย จะเห็นได้ว่าค่อนข้างยากที่จะกล่าวอธิบายแต่ละเรื่องแยกจากกันโดยเอกเทศ ทั้งนี้เนื่องจาก แต่ละเรื่องมี ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างเช่น ความต้องการ ทำให้เกิด ภาวะขาดสมดุล ภายในร่างกาย หรือ จิตใจ มนุษย์อยู่ใน ภาวะขาดสมดุลไม่ได้ ต้องหาทางสนอง ความต้องการ เพื่อให้เข้าสู่ภาวะสมดุล ส่งผลให้เกิดแรงขับหรือแรงผลักดันพฤติกรรม ทำให้มนุษย์แสดง พฤติกรรม อย่างมีทิศทาง มุ่งไปสู่เป้าหมาย เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว แรงผลักดันพฤติกรรมก็ลดลง ภาวะสมดุลก็กลับคืนมา อีกครั้งหนึ่ง จากคำอธิบายดังนี้ จะเห็นได้ว่า ที่มาของแรงจูงใจหลายเรื่องมี ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน

รูปแบบของแรงจูงใจ

บุคคลแต่ละคนมีรูปแบบแรงจูงใจที่แตกต่างกัน ซึงนักจิตวิทยาได้แบ่งรูปแบบ แรงจูงใจของมนุษย์ออกเป็นหลายรูปแบบที่สำคัญ มีดังนี้

1. แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (Achievement Motive) หมายถึง แรงจูงใจที่เป็นแรงขับให้บุคคลพยายามที่จะประกอบพฤติกรรม ที่จะประสบสัมฤทธิผลตามมาตรฐานความเป็นเลิศ (Standard of Excellence) ที่ตนตั้งไว้ บุคคลที่มีแรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิ์ จะไม่ทำงานเพราะ หวังรางวัล แต่ทำเพื่อจะ ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว ้ ผู้มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์จะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้

  1. มุ่งหาความสำเร็จ (Hope of Success) และกลัวความล้มเหลว (Fear of Failure)
  2. มีความทะเยอทะยานสูง
  3. ตั้งเป้าหมายสูง
  4. มีความรับผิดชอบในการงานดี
  5. มีความอดทนในการทำงาน
  6. รู้ความสามารถที่แท้จริงของตนเอง
  7. เป็นผู้ที่ทำงานอย่างมีการวางแผน
  8. เป็นผู้ที่ตั้งระดับความคาดหวังไว้สูง

2. แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ (Affiliative Motive)ผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ มักจะเป็นผู้ที่โอบอ้อมอารี เป็นที่รักของเพื่อน มีลักษณะเห็นใจผู้อื่น ซึ่งเมื่อศึกษาจากสภาพครอบครัวแล้วผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์มักจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่น บรรยากาศในบ้านปราศจาก การแข่งขัน พ่อแม่ไม่มีลักษณะข่มขู่ พี่น้องมีความรักสามัคคีกันดี ผู้มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์จะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้

1. เมื่อทำสิ่งใด เป้าหมายก็เพื่อได้รับการยอมรับจากกล่ม
2. ไม่มีความทะเยอทะยาน มีความเกรงใจสูง ไม่กล้าแสดงออก
3. ตั้งเป้าหมายต่ำ
4. หลีกเลี่ยงการโต้แย้งมักจะคล้อยตามผู้อื่น

3. แรงจูงใจใฝ่อำนาจ (Power Motive) สำหรับผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่อำนาจนั้น พบว่า ผู้ที่มีแรงจูงใจแบบนี้ส่วนมาก มักจะพัฒนามาจาก ความรู้สึกว่า ตนเอง “ขาด” ในบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการ อาจจะเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้ทำให้เกิดมีความรู้สึกเป็น “ปมด้วย” เมื่อมีปมด้วย จึงพยายามสร้าง “ปมเด่น” ขึ้นมาเพื่อชดเชยกับสิ่งที่ตนเองขาด ผู้มีแรงจูงใจใฝ่อำนาจจะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้

1. ชอบมีอำนาจเหนือผู้อื่น ซึ่งบางครั้งอาจจะออกมาในลักษณะการก้าวร้าว
2. มักจะต่อต้านสังคม
3. แสวงหาชื่อเสียง
4. ชอบเสี่ยง ทั้งในด้านของการทำงาน ร่างกาย และอุปสรรคต่าง ๆ
5. ชอบเป็นผู้นำ

4. แรงจูงใจใฝ่ก้าวร้าว (Aggression Motive)ผู้ที่มีลักษณะแรงจูงใจแบบนี้มักเป็นผู้ที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบเข้มงวดมากเกินไป บางครั้งพ่อแม่อาจจะใช้วิธีการลงโทษที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นเด็กจึงหาทางระบายออกกับผู้อื่น หรืออาจจะเนื่องมาจากการเลียนแบบ บุคคลหรือจากสื่อต่าง ๆ ผู้มีแรงจูงใจใฝ่ก้าวร้าว จะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้

1. ถือความคิดเห็นหรือความสำคัญของตนเป็นใหญ่
2. ชอบทำร้ายผู้อื่น ทั้งการทำร้ายด้วยกายหรือวาจา

5. แรงจูงใจใฝ่พึ่งพา (Dependency Motive) สาเหตุของการมีแรงจูงใจแบบนี้ก็เพราะการเลี้ยงดูที่พ่อแม่ทะนุถนอมมากเกินไป ไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้ช่วยเหลือตนเอง ผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่ พึ่งพา จะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้

1. ไม่มั่นใจในตนเอง
2. ไม่กล้าตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเอง มักจะลังเล
3. ไม่กล้าเสี่ยง
4. ต้องการความช่วยเหลือและกำลังใจจากผู้อื่น

การจำแนกแรงจูงใจ (Classification of motives)

แรงจูงใจ สามารถจำแนกประเภทได้หลายวิธีที่มีความสำคัญมากได้แก่ การจำแนกประเภทของแรงจูงใจออกเป็น 5 ลักษณะดังนี้

(1) แรงจูงใจทั่วไป
(2) แรงจูงใจด้านร่างกายกับด้านจิตวิทยา
(3)แรงจูงใจที่รีบด่วน
(4) แรงจูงใจลำดับแรกกับแรงจูงใจลำดับสอง และ
(5) แรงจูงใจที่รู้สึกตัวกับแรงจูงในที่ไม่รู้สึกตัว โดยมีรายละเอียดดังนี้

แรงจูงใจทั่วไป (Generic motives)

ปกติจะหมายถึง แรงจูงใจที่มีพื้นฐานมาจากความหิว ความกระหาย ความต้องการทางเพศการต่อสู้เพื่อการดำรงชีวิต ความภาคภูมิใจ ความสามารถเข้าสังคมได้ ความอยากรู้อยากเห็น ความกลัวและการปกป้องตัวเอง เป็นต้น
วิธีการจัดกลุ่มของแรงจูงใจใดๆ ปกติมักจะให้ข้อมูลที่มากกว่า ความเป็นลักษณะทั่วไปอย่างง่ายๆ เช่น การจัดกลุ่มแรงจูงใจเป็นแรงจูงใดด้านร่างกาย และแรงจูงใจด้านจิตวิทยา

แรงจูงใจด้านร่างกาย (Physiological motives)
จะเป็นแรงจูงใจที่เกี่ยวกับการทำหน้าที่พื้นฐานของร่างกายด้านกายภาพ เช่น ความหิว ความกระหาย ความต้องการทางเพศ การขจัดของเสีย ออกจากร่างกาย การพักผ่อน การทำงาน และความสุขสบายทางร่างกาย เป็นต้น

แรงจูงใจด้านจิตวิทยา (Psychological motives)
คือ แรงจูงใจทั้งหลายที่มีอยู่ในจิตใจ (mind) เช่น ความปลอดภัย ความรัก การบรรลุความปรารถนา ความภาคภูมิใจ การสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง การแสวงหาสถานภาพ การเป็นที่ยอมรับของบุคคลอื่นๆ ความสุ่ข ความเศร้า และการมีอำนาจ เป็นต้น
แม้ว่าแรงจูงใจ จะไม่มีแรงจูงใจที่พิจารณาในแง่าของการที่ต้องตอบสนองทันทีทันใด หรือไม่สามารถเลื่อนการตอบสนองออกไปได้ โดยแรงจูงใจที่รีบด่วนเป็นแรงจูงใจที่ต้องมีการตอบสนองในทันทีคอยไม่ได้ เราไม่อาจจะระบุชนิดของแรงจูงใจที่เป็นแบบรีบด่วนได้ เพราะขึ้นอยู่กับผู้บริโภคแต่ละคนที่แตกต่างกันแะในช่วงของเวลาของบุคคลแต่ละคนที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น ความหิวอาจมี

การจำแนกแรงจูงใจ (Classification of motives)

แรงจูงใจมีมากมายหลายอย่าง แต่พอจะแบ่งออกได้เป็นสองประเภทดังนี้

ก. แรงขับปฐมภูมิ (primary drives)

เป็นแรงขับที่มีกำเนิดมาจากความต้องการทางร่างกาย และไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้ (unlearned) เช่น ความหิวและความกระหาย มักจะเรียกว่า แรงขับทางสรีรวิทยา (physiological drives) นอกจากนั้นอาจมีแรงจูงใจบางอย่างที่มิได้เกิดจากการเรียนรู้เช่นกัน แต่มิได้เกี่ยวข้องกับ การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เช่น ความรัก ความอยากรู้อยากเห็น การกระตุ้นความรู้สึกจากการสัมผัส (sensory stimulation) เป็นต้น

1. ความหิว (hunger) ร่างกายต้องการอาหารเพื่อการเจริญเติบโต อาหารจึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต ความรู้สึกหิว จะแตกต่างกันไป ในแต่ละคนและแต่ละเวลา สมองบางส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมของความหิวและการกินอาหาร ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ hypothalamus
2. ความกระหาย (Thirst) น้ำเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งสำหรับร่างกาย น้ำจะสูญเสียไปจากร่างกายในลักษณะต่างๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางปอด ต่อมเหงื่อและไต เมื่อมีการสูญเสียน้ำเกิดขึ้นร่างกาย จำเป็นจะต้องรักษา ความสมดุลย์ของน้ำ และอิเล็กโทรไลท์ให้คงอยู่ ความต้องการใน ลักษณะเช่นนี้จึงก่อให้แรงขับของความกระหาย ศูนย์ควบคุมความกระหายอยู่ที่ hypothalamus ซึ่งประกอบด้วยเซลล์ประสาทที่ไวต่อการสูญเสียน้ำมาก
3. แรงขับทางเพศและความเป็นมารดา (Sex and maternal drives) เราเชื่อว่าแรงขับทางเพศและความเป็นมารดา (meternal behavior) เป็นแรงขับทางสรีรวิทยา เพราะว่าในสัตว์ที่ต่ำกว่าคน สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนในเลือด androgens ซึ่งหลั่งออกมาจากอัณฑะ (testes) ของผู้ชาย ก่อให้เกิดความรู้สึกทางเพศแบบผู้ชาย estrogens ซึ่งหลั่งออกมาจากรังไข่ (ovaries) ของผู้หญิงก่อให้เกิดความรู้สึกทางเพศแบบผู้หญิง โดยปรกติความรู้สึกทางเพศในผู้หญิง จะมีมากเมื่อตอนไข่สุก และพร้อมที่จะเคลื่อน หรือเคลื่อนลงมาแล้วในมดลูก เมื่อมีกิจกรรมทางเพศ ในระยะนี้อาจมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นในช่วงสุดท้ายของการตั้งครรภ์จะมีฮอร์โมนตัวอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องการมีตัวเด็ก (fetus) ในมดลูกกระตุ้นให้มี prolactin จากต่อมปิติวอิทตารี่ prolactin ดังกล่าวจะกระตุ้นต่อมนม ทำให้มีนมหลั่งออกมาสำหรับเลี้ยงทารก prolaction ยังมีส่วนทำให้เกิดพฤติกรรม ของความเป็นมารดาในแม่อีกด้วย
4. อุณหภูมิ (Temperature) ร่างกายต้องการความอบอุ่นและความหนาวเย็นที่พอเหมาะ กล่าวคือไม่ร้อนและหนาวจนเกินไป อากาศร้อนจัด หรือหนาวจัด จะก่อให้เกิดการปรับตัวทางร่างกาย เพื่อให้อุณหภูมิคงที่และเกิดแรงจูงใจในการแสวงหาเครื่องนุ่งห่ม ตัวรับ (receptors) สำหรับอุณหภูมิอยู่ที่ผิวหนัง ส่วนศูนย์ควบคุมอุณหภูมิที่ไฮโปทาลามัส
5. การหลีกหนีความเจ็บปวด (Avoidance of pain) ความต้องการที่จะหลีกหนีภยันตรายต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ การดำรงอยู่ของมนุษย์และ สัตว์ทั้งหลาย
6. ความอยากรู้อยากเห็นและการกระตุ้นความรู้สึกจากการสัมผัส (Curiosity and sensory stimulation) ถ้าเรามองดูพฤติกรรมในแต่ละวันทั้งของคนและสัตว์จะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มาจากแรงขับทางสรีรวิทยาที่เกี่ยวกับความอยากรู้ อยากเห็นและ การกระตุ้นความรู้สึก จากการสัมผัส ตัวอย่าง คนเราต้องใช้ตามองหลายสิ่งหลายอย่างจนนับไม่ถ้วน : หนังสือ รูปภาพ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ทิวทัศน์ ภูเขา การแข่งขันกีฬา รถยนต์ เสื้อผ้า และจุดสนใจอื่นๆ บางครั้งเราต้องใช้พลังงานในกิจกรรมบางอย่าง เช่น การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา การยกของ การเย็บเสื้อผ้า การเดินทาง และอื่นๆ การจูงใจมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง มิฉะนั้นคนเราจะไม่ทำสิ่งเหล่านี้ แต่แรงจูงใจในกรณีเหล่านี้มิได้เป็นเรื่องทางสรีรวิทยาโดยตรง
7. กิจกรรมและการจัดแจง (Activity and manipulation) แรงจูงใจบางอย่างมีกิจกรรมทางร่างกายและการจัดแจงเป็นเป้าประสงค์ ทั้งสัตว์และมนุษย์ต้องเสียเวลามากทีเดียว ในการเดินไปเดินมาโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน สัตว์บางอย่างเช่นหนูถีบจักร จะต้องถีบจักรให้มนุษย์อยู่เรื่อย สัตว์ชั้นสูงหรือคนชอบวุ่นวายหรือจัดแจงสิ่งของบางอย่าง เช่น เด็กเล่นง่วนอยู่กับของเล่น บางคนก็ชอบจับฉวย หยิบโน่นจับนี่
8. แรงจูงใจเกี่ยวกับความสามารถ (Competence motive)ถ้าเราแสวงหาหลักการในการศึกษา เรื่องของความอยากรู้อยากเห็น และกิจกรรมต่างๆ เราอาจสรุปได้ว่า มีแรงจูงใจทั่วไปอย่างหนึ่งแฝงอยู่เบื้องหลัง สิ่งนี้คือแรงจูงใจสำหรับความสามารถ (motive for competence) ทั้งคนและสัตว์จะถูกจูงใจโดยแรงขับอันนี้ให้รู้จักศักยภาพ (potentialities) ของตนเองอย่างเต็มที่ และการกระทำดังกล่าว ก็ก่อให้เกิดความพอใจด้วย

ข. แรงขับทุติยภูมิ (secondary drives)

เป็นแรงขับที่สลับซับซ้อนมากกว่าแรงขับปฐมภูมิ ส่วนใหญ่เกิดจากการเรียนรู้ แต่บางทีก็ไม่ใช่ แรงขับทุกอย่างถูกเปลี่ยนแปลงได้ (modified) โดยการเรียนรู้ทำนองเดียวกับแรงขับประเภทแรก บางทีเรียกว่าแรงจูงใจทางสังคม (social motives) หรือแรงขับทางจิตใจ (psychological drives) Morgan แบ่งแรงจูงใจทางสังคมออกเป็น

1. ความรักและความเกี่ยวเนื่อง (Affection and affiliation) แรงจูงใจทั้งสองอย่างนี้มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างใกล้ชิด แต่ก็พอจะแยกออกจากกันได้ อันแรกคือความปรารถนาที่จะรักคนอื่น โดยเริ่มต้นกับแม่ของตนเอง อันหลังเป็นแรงจูงใจที่จะอยู่กับคนอื่น เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ความรักและ ความเกี่ยวเนื่องผูกพันกับคนอื่นจึงเป็นสิ่งจำเป็น แรงจูงใจเช่นนี้จะต้องมีต่อผู้อื่นด้วย นอกเหนือจากพ่อแม่และพี่น้องของตน มีการตอบสนองความต้องการ ซึ่งกันและกันในด้านต่างๆ
2. การยอมรับและการยกย่องทางสังคม (Social approval and esteem) เมื่อคนเราเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมก็จะต้องมีความรู้สึกว่าคนได้รับการยกย่องทางสังคม สิ่งนี้ยังรวมไปถึงแรงจูงใจเกี่ยวกับสถานภาพ (status) ตำแหน่ง (rank) ชื่อเสียง (prestige) และอำนาจ (power)
3. ความสัมฤทธิ์ (Achievement) แม้นักจิตวิทยาจะยอมรับว่าการยกย่องตนเอง (self-esteem) เป็นแรงจูงใจที่สำคัญอย่างหนึ่ง แต่แรงจูงใจ ที่มีการ ศึกษากันอย่างกว้างขวางที่สุดกลับเป็นความต้องการของความสัมฤทธิ์ (need for achievement)
4. ความก้าวร้าว (Aggression) บางคนคิดว่าความก้าวร้าวจัดอยู่ในพวกแรงจูงใจทางสังคม เนื่องจากความรุนแรง ความก้าวร้าว และสงคราม เป็นเรื่องที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ จนกระทั่งทุกวันนี้ คนส่วนมากจึงมักคิดว่าความก้าวร้าวเป็นเรื่องของสัญชาตญาณมากกว่า อย่างไรก็ตามจาก การศึกษาเป็นจำนวนมาก พอจะสรุปได้ว่าความก้าวร้าวเป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์บางอย่าง ตัวอย่างเช่น เมื่อเราแย่งของเล่น มาจากเด็กทันทีทันใด เด็กจะแสดงความโกรธออกมา จากการศึกษาของ Dollard และพรรคพวก (1939) ตอนแรกพบว่า “ความคับข้องใจจะนำไปสู่ความก้าวร้าวเสมอ แต่ตอนหลังพบว่าปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เป็นความจริงเสมอไป ความคับข้องใจทำให้เกิดผลที่ตามมาเป็นอย่างอื่นได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุคคลและสถานการณ์ นอกจากนั้นสาเหตุของความก้าวร้าวยังมีผลตามมาเป็นอย่างอื่นได้ขึ้นอยู่กับบุคคลและสถานการณ์

การจัดลำดับขั้นของความต้องการในทัศนะของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of needs)

Abraham Maslow ซึ่งเป็นผู้นำที่สำคัญคนหนึ่งของนักจิตวิทยาแนวมนุษยนิยม ได้จำแนกแรงจูงใจของคนเราอีกทัศนะหนึ่ง โดยมีการจัดลำดับขั้น ของแรงจูงใจ จากความต้องการพื้นฐานทางชีวภาพ (basic biological needs) ซึ่งมีมาตั้งแต่เกิดไป จนกระทั่งถึงแรงจูงใจทางจิตใจที่ซับซ้อนมากกว่า แรงจูงใจประเภทหลังนี้ จะมีความสำคัญก็ต่อเมื่อ ความต้องการพื้นฐานได้รับ การตอบสนองจนเป็นที่พอใจแล้ว

รูป การจัดลำดับขั้นของความต้องการในทัศนะของ Maslow

Maslow ได้จัดลำดับขั้นของความต้องการไว้ดังนี้
1. ความต้องการทางสรีรวิทยา (physiological needs) : ความหิว ความกระหาย เป็นต้น
2. ความต้องการทางความปลอดภัย (sefty needs) : การรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ปราศจากอันตราย
3. ความต้องการทางความเป็นเจ้าของและความรัก (Belongingness and love need) : การผูกพันกับคนอื่น การได้รับการยอมรับและการเป็นเจ้าของ
4. ความต้องการทางการยกย่อง (esteem needs) : การบรรลุผลสำเร็จ การมีความสามารถ การได้รับการยอมรับและการรู้จักจากคนอื่น
5. ความต้องการทางการรู้ (cognitive needs) : การรู้ การเข้าใจและการสำรวจ
6. ความต้องการทางสุนทรียภาพ (aesthetic needs) : สมมาตร ความมีระเบียบและความงาม
7. ความต้องการทางความจริงแท้แห่งตน (self-actualization needs) : การพบความสำเร็จแห่งตนและการเข้าใจศักยภาพของตน
มีความเห็นว่า อย่างน้อยที่สุดความต้องการในระดับต่ำจะต้องได้รับการตอบสนองจนเกิดความพอใจเสียก่อน ความต้องการในระดับที่สูงขึ้นมา จึงสามารถกลายเป็นแหล่งกำเนิดอันสำคัญของการจูงใจได้

ทฤษฎีความต้องการ (Need Theories)

1. ทฤษฎีลำดับความต้องการ (Hierachy of Needs Theory)

เป็นทฤษฎีที่พัฒนาขึ้นโดย อับราฮัม มาสโลว์ (Abrahum Maslow) นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแบรนดีส์ เป็นทฤษฎีที่รู้จักกันมากที่สุดทฤษฎีหนึ่ง ซึ่งระบุว่าบุคคลมีความต้องการเรียงลำดับจากระดับพื้นฐานที่สุดไปยังระดับสูงสุด กรอบความคิดที่สำคัญของทฤษฎีนี้มีสามประการ คือ

1. บุคคลเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความต้องการ ความต้องการมีอิทธิพลหรือเป็นเหตุจูงใจต่อพฤติกรรม ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการสนองตอบเท่านั้นที่เป็นเหตุจูงใจ ส่วนความต้องการที่ได้รับการสนองตอบแล้วจะไม่เป็นเหตุจูงใจอีกต่อไป

2. ความต้องการของบุคคลเป็นลำดับชั้นเรียงตามความสำคัญจากความต้องการพื้นฐาน ไปจนถึงความต้องการที่ซับซ้อน

3. เมื่อความต้องการลำดับต่ำได้รับการสนอบตอบอย่างดีแล้ว บุคคลจะก้าวไปสู่ความต้องการลำดับที่สูงขึ้นต่อไป

มาสโลว์ เห็นว่าความต้องการของบุคคลมีห้ากลุ่มจัดแบ่งได้เป็นห้าระดับจากระดับต่ำไปสูง เพื่อความเข้าใจมักจะแสดงลำดับของความต้องการเหล่านี้ โดยภาพ ดังนี้

ภาพ แสดงลำดับความต้องการของมนุษย์ตามแนวคิดของมาสโลว์

ความต้องการทางร่างกาย (Physiological Needs)

เป็นความต้องการลำดับต่ำสุดและเป็นพื้นฐานของชีวิต เป็นแรงผลักดันทางชีวภาพ เช่น ความต้องการอาหาร น้ำ อากาศ ที่อยู่อาศัย หากพนักงานมีรายได้ จากการปฏิบัติงานเพียงพอ ก็จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยมีอาหารและที่พักอาศัย เขาจะมีกำลังที่จะทำงานต่อไป และการมีสภาพแวดล้อม การทำงาน ที่เหมาะสม เช่น ความสะอาด ความสว่าง การระบายอากาศที่ดี การบริการสุขภาพ เป็นการสนองความต้องการในลำดับนี้ได้

ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs)

เป็นความต้องการที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ความต้องการทางร่างกายได้รับการตอบสนองอย่างไม่ขาดแคลนแล้ว หมายถึง ความต้องการสภาพแวดล้อม ที่ปลอดจากอันตรายทั้งทางกายและจิตใจ ความมั่นคงในงาน ในชีวิตและสุขภาพ การสนองความต้องการนี้ต่อพนักงานทำได้หลายอย่าง เช่น การประกันชีวิต และสุขภาพ กฎระเบียบข้อบังคับที่ยุติธรรม การให้มีสหภาพแรงงาน ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน เป็นต้น

ความต้องการทางสังคม (Social Needs)

เมื่อมีความปลอดภัยในชีวิตและมั่นคงในการงานแล้ว คนเราจะต้องการความรัก มิตรภาพ ความใกล้ชิดผูกพัน ต้องการเพื่อน การมีโอกาสเข้าสมาคม สังสรรค์กับผู้อื่น ได้รับการยอมรับเป็นสมาชิกในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือหลายกลุ่ม

ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียง (Esteem Needs)

เมื่อความต้องการทางสังคมได้รับการตอบสนองแล้ว คนเราจะต้องการสร้างสถานภาพของตัวเองให้สูงเด่น มีความภูมิใจและสร้างการนับถือตนเอง ชื่นชมในความสำเร็จของงานที่ทำ ความรู้สึกมั่นใจในตัวเองแลเกียรติยศ ความต้องการเหล่านี้ได้แก่ ยศ ตำแหน่ง ระดับเงินเดือนที่สูง งานที่ท้าทาย ได้รับการยกย่องจากผู้อื่น มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในงาน โอกาสแห่งความก้าวหน้าในงานอาชีพ เป็นต้น

ความต้องการเติมความสมบูรณ์ให้ชีวิต (Self-actualization Needs)

เป็นความต้องการระดับสูงสุด คือต้องการจะเติมเต็มศักยภาพของตนเอง ต้องการความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาสูงสุดของตัวเอง ความเจริญก้าวหน้า การพัฒนาทักษะความสามารถให้ถึงขึดสุดยอด มีความเป็นอิสระในการตัดสินใจและการคิดสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ การก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในอาชีพและการงาน เป็นต้น

มาสโลว์แบ่งความต้องการเหล่านี้ออกเป็นสองกลุ่ม คือ ความต้องการที่เกิดจากความขาดแคลน (deficiency needs) เป็นความต้องการระดับต่ำ ได้แก่ความต้องการทางกายและความต้องการความปลอดภัย อีกกลุ่มหนึ่งเป็นความต้องการก้าวหน้าและพัฒนาตนเอง (growth needs) ได้แก่ความต้องการทางสังคม เกียรติยศชื่อเสียง และความต้องการเติมความสมบูรณ์ให้ชีวิต จัดเป็นความต้องการระดับสูง และอธิบายว่า ความต้องการระดับต่ำจะได้รับการสนองตอบจากปัจจัยภายนอกตัวบุคคล ส่วนความต้องการระดับสูงจะได้รับการสนองตอบจากปัจจัยภายในตัวบุคคลเอง

ตามทฤษฎีของมาสฌลว์ ความต้องการที่รับการตอบสนองอย่างดีแล้วจะไม่สามารถเป็นเงื่อนไขจูงใจบุคคลได้อีกต่อไป แม้ผลวิจัยในเวลาต่อมา ไม่สนับสนุนแนวคิดทั้งหมดของมาสโลว์ แต่ทฤษฎีลำดับความต้องการของเขา ก้เป็นทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานในการอธิบายองค์ประกอบของแรงจูงใจ ซึ่งมีการพัฒนาในระยะหลังๆ

2. ทฤษฎี ERG ของแอลเดอร์เฟอร์ (ERG Theory)

เคลย์ตัน แอลเดอร์เฟอร์ (Claton Elderfer) แห่งมหาวิทยาลัยเยล ได้รับปรับปรุงลำดับความต้องการตามแนวคิดของมาสโลว์เสียใหม่ เหลือความต้องการเพียงสามระดับ คือ

1. ความต้องการดำรงชีวิตอยู่ (Existence Needs) คือความต้องการทางร่างกายและความปลอดภัยในชีวิต เปรียบได้กับความต้องการระดับต่อของมาสโลว์ …ย่อโดย E

2. ความต้องการความสัมพันธ์ (Relatedness Needs) คือความต้องการต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องนกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทั้งในที่ทำงานและสภาพแวดล้อมอื่นๆ ตรงกับความต้องการทางสังคมตามแนวคิดของมาสโลว์ ย..่อโดย R

3. ความต้องการเจริญเติบโต (Growth Needs) คือความต้องการภายใน เพื่อการพัฒนาตัวเอง เพื่อความเจริญเติบโต พัฒนาและใช้ความสามารถของตัวเองได้เต็มที่ แสวงหาโอกาสในการเอาชนะความท้าทายใหม่ๆ เปรียบได้กับความต้องการชื่อเสียงและการเติมความสมบูรณ์ให้ชีวิตตามแนวคิดของมาสโลว์….ย่อโดย G

มีความแตกต่างสองประการระหว่างทฤษฎี ERG และทฤษฎีลำดับความต้องการ คือ

ประการแรก มาสโลว์ยืนยันว่า บุคคลจะหยุดอยู่ที่ความต้องการระดับหนึ่งจนกว่าจะได้รับการตอบสนองแล้ว แต่ทฤษฎี ERG อธิบายว่า ถ้าความต้องการระดับนั้นยังคงไม่ได้รับการตอบสนองต่อไป บุคคลจะเกิดความคับข้องใจ แล้วจะถดถอยลงมาให้ความสนใจในความความต้องการระดับต่ำกว่าอีกครั้งหนึ่ง

ประการที่สอง ทฤษฎี ERG อธิบายว่า ความต้องการมากกว่าหนึ่งระดับอาจเกิดขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน หรือบุคคลสามารถถูกจูงใจด้วยความต้องการมากกว่าหนึ่งระดับในเวลาเดียวกัน เช่น ความต้องการเงินเดือนที่สูง (E) พร้อมกับความต้องการทางสังคม (R) และความต้องการโอกาสและอิสระในการคิดตัดสินใจ (G)

3. ทฤษฎีสองปัจจัยของเฮิร์ซเบิร์ก (Two-Factor Theory)

เฟรดเดอริค เฮิร์ซเบิร์ก (Frederick Herzberg) ได้ดัฒนาทฤษฎีการจุงใจซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลาย คือ ทฤษฎีสองปัจจัย โดยแบ่งเป็นปัจจัยอนามัย และปัจจัจจูงใจ

ปัจจัยอนามัย (hygiene factors) ได้แก่สภาพแวดล้อมของการทำงาน และวิธีการบังคับผบัญชาของหัวหน้างาน ถ้าหากไม่เหมาะสมหรือบกพร่องไป จะทำให้บุคคลรู้สึกไม่พอใจในงาน ซึ่งถ้ามีพร้อมสมบูรณ์ก็ไม่สามารถสร้างความพอใจในงานได้ แต่ยังคงปฏิบัติงานอยู่ เพราะเป็นปัจจัยที่ป้องกันความไม่พอใจในงานเท่านั้น ไม่ใช่ปัจจัยที่จะส่งเสริมให้คนทำงานโดยมีประสิทธิภาพหรือผลผลิตมากขึ้นได้ ตัวอย่างปัจจัยเหล่านี้ ได้แก่ นโยบายของหน่วยงาน สภาพแวดล้อมการทำงาน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน แบบการบริหารงาน เงินเดือน สวัสดิการต่างๆ ความมั่นคง ความปลอดภัย เป็นต้น

ปัจจัยจูงใจ (motivating factors) ได้แก่ปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกับเนื้อหาของงาน และทำให้ผู้ปฏิบัติมีความพอใจในงาน ใช้ความพยายาม และความสามารถทุ่มเทในการทำงานมากขึ้น เช่น ความสำเร็จ การได้รับการยกย่อง ได้รับผิดชอบในงาน ลักษณะงานที่ท้าทาย เหมาะกับระดับความสามารถ มีโอกาสก้าวหน้าและพัฒนาตนเองให้สูงขึ้น เป็นต้

การสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ปฏิบัติงานจึงมีสองขั้นตอน คือ ตอนแรกหัวหน้างานหรือผู้บริหารต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่าปัจจัยอนามัยไม่ขาดแคลนหรือบกพร่อง เช่น ระดับเงินเดือนค่าจ้างเหมาะสม งานมีความมั่นคง สภาพแวดล้อมปลอดภัย และอื่นๆ จนแน่ใจว่าความรู้สึกไม่พอใจจะไม่เกิดขึ้นในหมู่ผู้ปฏิบัติงาน ในตอนที่สองคือการให้โอกาสที่จะได้รับปัจจัยจูงใจ เช่น การได้รับการยกย่องในความสำเร็จและผลการปฏิบัติงาน มอบความรับผิดชอบตามสัดส่วน ให้โอกาสใช้ความสามารถในงานสำคัญ ซึ่งอาจต้องมีการออกแบบการทำงานให้เหมาะสมด้วย การตอบสนองด้วยปัจจัยอนามัยก่อน จะทำให้เกิด ความรู้สึกเป็นกลาง ไม่มีความไม่พอใจ แล้วจึงใช้ปัจจัยจูงใจเพื่อสร้างความพอใจ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงาน ทุ่มเทในการทำงาน อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น

เฮิร์ซเบิร์กได้ลดความต้องการห้าขั้นของมาสโลว์เหลือเพียงสองระดับ คือ ปัจจัยอนามัยเที่ยบได้กับการสนองตอบต่อความต้องการระดับต่ำ (ความต้องการทางกาย ความต้องการความปลอดภัย และความต้องการทางสังคม) ส่วนปัจจัยจูงใจเทียบได้กับการสนองตอบต่อความต้องการระดับสูง (เกียรติยศชื่อเสียง และความสบูรณ์ในชีวิต)

4. ทฤษฎีความต้องการจากการเรียนรู้ (Learned Needs Theory)

เดวิด ซี แมคเคิลแลนด์ เป็นผู้เสนอทฤษฎีความต้องการจากการเรียนรู้ขึ้น โดยสรุปว่าเคนเราเรียนรู้ความต้องการจากสังคมที่เกี่ยวข้อง ความต้องการ จึงถูกก่อตัวและพัฒนามาตลอดช่วงวีวิตของแต่ละคน และเรียนรู้ว่าในทางสังคมแล้ว เรามีความต้องการที่สำคัญสามประการ คือ

ความต้องการความสำเร็จ (need for achievement) เป็นความต้องการที่จะทำงานได้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีมาตรฐานสูงขึ้นในชีวิต มีผู้ความต้องการความสำเร็จสูงจะมีลักษณะพฤติกรรม ดังนี้

  • มีเป้าหมายในการทำงานสูง ชัดเจนและท้าทายความสามาถ
  • มุ่งที่ความสำเร็จของงานมากกว่ารางวัล หรือผลตอบแทนเป็นเงินทอง
  • ต้องการข้อมูลย้อนกลับในความก้าวหน้าสู่ความสำเร็จทุกระดับ
  • รับผิดชอบงานส่วนตัวมากกว่าการมีส่วนร่วมกับผู้อื่น

ความต้องการอำนาจ (need for power) เป็นความต้องการที่จะมีส่วนควบคุม สร้างอิทธิพล หรือรับผิดชอบในกิจกรรของผู้อื่น ผู้มีความต้องการอำนาจจะมีลักษณะพฤติกรรม ดังนี้

  • แสวงหาโอกาสในการควบคุมหรือมีอิทธิพลเหนือบุคคลอื่น
  • ชอบการแข่งขันในสถานการณ์ที่มีโอกาสให้ตนเองครอบงำคนอื่นได้
  • สนุกสนานในการเชิญหน้าหรือโต้แย้ง ต่อสู่กับผู้อื่น

ความต้องการอำนาจมีสองลักษณะ คือ อำนาจบุคคล และอำนาจสถาบัน อำนาจบุคคลมุ่งเพื่อประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าองค์กร แต่อำนาจสถาบันมุ่งเพื่อประโยชน์ส่วนรวมโดยทำงานร่วมกับคนอื่น

ความต้องการความผูกพัน (need for affiliation) เป็นความต้องการที่จะรักษามิตรภาพและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลไว้อย่างใกล้ชิด ผู้มีความต้องการความผูกพันมีลักษณะ ดังนี้

  • พยายามสร้างและรักษาสัมพันธภาพและมิตรภาพให้ยั่งยืน
  • อยากให้บุคคลอื่นชื่นชอบตัวเอง
  • สนุกสนานกับงานเลี้ยง กิจกรรมทางสังคม กละการพบปะสังสรรค์
  • แสงหาการมีส่วนร่วม ด้วยการร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม หรือองค์กรต่างๆ

สัดส่วนของความต้องการทั้งสามนี้ ในแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน บางคนอาจมีความต้องการอำนาจสูงกว่าความต้องการด้านอื่น ในขณะที่อีกคนหนึ่งอาจมีความต้องการความสำเร็จสูง เป็นต้น ซึ่งจะเป็นส่วนที่แสดงอุปนิสัยของคนคนนั้นได้

ทฤษฎีแรงจูงใจ Motivation Theory

แนวความคิดของการจูงใจมีได้หลายแง่หลายมุม ดังนั้นจึงมีทฤษฎีต่างๆ ที่พยายามอธิบายสภาวะ ของอินทรีย์เช่นนี้และ พอจะแบ่งออกได้เป็น

1. ทฤษฎีเกี่ยวกับสมดุลยภาพและแรงขับ (Homeostasis and drive theory)

พื้นฐานเกี่ยวกับ มโนภาพของแรงขับ คือ หลักการของสมดุลยภาพ (homeostasis) ซึ่งหมายถึง ความโน้มเอียงของร่างกาย ที่จะทำให้สิ่งแวดล้อมภายในคงที่อยู่เสมอ ตัวอย่าง คนที่มีสุขภาพดีย่อมสามารถ ทำให้อุณหภูมิใน ร่างกายคงที่อยู่ได้ใน ระดับปรกติไม่ว่าจะอยู่ในอากาศร้อนหรือหนาว ความหิว และความกระหาย แสดงให้เห็นถึงกลไกเกี่ยวกับ สมดุลยภาพเช่นกัน เพราะว่าแรงขับดังกล่าว จะไปกระตุ้นพฤติกรรม เพื่อก่อให้เกิดความสมดุลย์ของส่วนประกอบหรือสารบางอย่างในเลือด ดังนั้นเมื่อเรามองในทัศนะของสมดุลยภาพ ความต้องการเป็นความไม่สมดุลย์ทางสรีรวิทยา อย่างหนึ่งอย่างใดหรือเป็น การเบี่ยงเบนจากสภาวะที่เหมาะสม และการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่เกิดตามมาก็คือแรงขับ เมื่อความไม่สมดุลทางสรีรวิทยา คืนสู่ภาวะปกติ แรงขับจะลดลงและการกระทำ ที่ถูกกระตุ้นด้วยแรงจูงใจก็จะหยุดลงด้วย
นักจิตวิทยาเชื่อว่า หลักการของสมดุลยภาพมิได้เป็นเรื่องของสรีรวิทยาเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับจิตใจด้วย กล่าวคือความไม่สมดุลย์ทางสรีรวิทยา หรือ ทางจิตใจ (physiological or psychological imbalance) มีส่วนจูงใจพฤติกรรม เพื่อทำให้ภาวะสมดุลย์กลับคืนมาเช่นเดิม

2. ทฤษฎีของความต้องการและแรงขับ (Theory of needs and drives)

เมื่อทฤษฎีของสัญชาตญาณซึ่งจะได้กล่าวต่อไปนั้นได้รับความนิยมลดลง ได้มีผู้เสนอแนวความคิดของแรงขับขึ้นมาแทน แรงขับ (drive) เป็นสภาพที่ถูกยั่วยุอันเกิดจากความต้องการ (need) ทางร่างกายหรือเนื้อเยื่อบางอย่าง เช่น ความต้องการอาหาร น้ำ ออกซิเจน หรือการหลีกหนีความเจ็บปวด สภาพที่ถูกยั่วยุเช่นนี้จะจูงใจอินทรีย์ให้เริ่มต้นแสดงพฤติกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการที่เกิดขึ้น เช่น การขาดอาหารก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีบางอย่างในเลือด แสดงให้เห็นถึงความต้องการสำหรับอาหาร ซึ่งต่อมามีผลทำให้เกิดแรงขับ อันเป็นสภาพของความยั่วยุหรือความตึงเครียด อินทรีย์จะพยายามแสวงหาอาหารเพื่อลดแรงขับนี้ และเป็นการตอบสนองความต้องการไปในตัวด้วย บางครั้งความต้องการและแรงขับอาจถูกใช้แทนกันได้ แต่ความต้องการมักจะหมายถึง สภาพสรีรวิทยาของการที่เนื้อเยื่อขาดสิ่งที่จำเป็นบางอย่าง ส่วนแรงขับหมายถึงผลที่เกิดตามมาทาง สรีรวิทยาของความต้องการ ความต้องการและแรงขับเคียงคู่กัน แต่ไม่เหมือนกัน

3. ทฤษฎีเกี่ยวกับเหตุกระตุ้นใจ (Incentive theory)

ในระยะต่อมาคือ ราว ค.ศ. 1950 นักจิตวิทยาหลายท่านเริ่มไม่พอใจทฤษฎีเกี่ยวกับการลดลงของแรงขับ (drive-reduction theory) ในการอธิบายการจูงใจของพฤติกรรมทุกอย่าง จะเห็นได้ชัดว่าสิ่งเร้าจากภายนอกเป็นตัวกระตุ้นของพฤติกรรมได้ อินทรีย์ไม่เพียงแต่ถูกผลักดันให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ โดยแรงขับภายในเท่านั้น เหตุกระตุ้นใจหรือเครื่องชวนใจ (incentives) บางอย่างก็มี ความสำคัญในการยั่วยุพฤติกรรม เราอาจมองการจูงใจได้ในฐานะเป็นการกระทำระหว่างกัน (interaction) ของวัตถุที่เป็นสิ่งเร้าในสิ่งแวดล้อมกับสภาพทางสรีรวิทยาของอินทรีย์อย่างหนึ่งโดยเฉพาะ คนที่ไม่รู้สึกหิวอาจถูกกระตุ้น ให้เกิดความหิวได้ เมื่อเห็นอาหารที่อร่อยในร้านอาหาร
ในกรณีนี้เครื่องชวนใจคือ อาหารที่อร่อยสามารถกระตุ้นความหิวรวมทั้งทำให้ความรู้สึกเช่นนี้ลดลง สุนัขที่กินอาหารจนอิ่ม อาจกินอีกเมื่อเห็นสุนัขอีกตัวกำลังกินอยู่ กิจกรรมที่เกิดขึ้นมิได้เป็นเรื่องของแรงขับภายใน แต่เป็นเหตุการณ์ภายนอก พนักงาน พอได้ยินเสียงกริ่งโทรศัพท์ก็รีบยกหูขึ้นพูด ดั้งนั้นจึงกล่าวได้ว่าพฤติกรรมที่มีการจูงใจ อาจเกิดขึ้นภายใต้การควบคุมของสิ่งเร้า หรือเหตุกระตุ้นใจมากกว่าที่จะเกิดจากแรงขับ

4. ทฤษฎีเกี่ยวกับสัญชาตญาณ (Instinct theory)

สัญชาตญาณคือแรงทางชีวภาพที่มีมาแต่กำเนิด และเป็นตัวผลักดันให้อินทรีย์แสดงพฤติกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดออกมา พฤติกรรม ของสัตว์ ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นเรื่องของสัญชาตญาณ เพราะสัตว์ไม่มีวิญญาณ สติปัญญาหรือเหตุผล เช่น มนุษย์ William McDougall กล่าวว่าความคิดและพฤติกรรมทั้งหมดของคนเราเป็นผลของสัญชาตญาณในหนังสือ Social psychology ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1908 ท่านได้จำแนกสัญชาตญาณต่างๆ ไว้ดังนี้

– การหลีกหนี (flight)
– การขับไล่ (repulsion)
– ความอยากรู้ (curiosity)
– ความอยากต่อสู้ (pugnacity)
– การตำหนิตนเอง (self-abasement)
– การเสนอตนเอง (self-assertion)
– การสืบพืชพันธุ์ (reproduction)
– การรวมกลุ่ม (gregariousness)
– การแสวงหา (acquisition)
– การก่อสร้าง(construction)

จะเห็นว่าทฤษฎีเกี่ยวกับสัญชาตญาณ ไม่ค่อยจะสมเหตุผลนักในทัศนะของนักจิตวิทยาหลายท่าน

 5. ทฤษฎีเกี่ยวกับจิตไร้สำนึก (Theory of unconscious motivation)

ฟรอยด์มีความเชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์ถูกกำหนดโดยพลังพื้นฐานสองอย่างคือ สัญชาตญาณแห่งชีวิต (life instincts) ซึ่งแสดงออกมา เป็นพฤติกรรมทางเพศ และสัญชาตญาณแห่งความตาย (death instincts) ซึ่งผลักดันให้เกิดเป็นพฤติกรรมก้าวร้าว สัญชาตญาณ ทั้งสองอย่างนี้เป็นแรงจูงใจที่ทรงพลังอย่างยิ่งและอยู่ภายในจิตไร้สำนึก บ่อยครั้งคนเรามักจะไม่รู้ว่าอะไรคือ แรงจูงใจ หรือเป้าประสงค์ ที่แท้จริง เขาอาจให้เหตุผลที่ดีบางอย่างสำหรับพฤติกรรมของเขา แต่เหตุผลเหล่านี้มักไม่ถูกต้อง ตามความเป็นจริงอยู่เสมอ

6. ทฤษฎีเกี่ยวกับการรู้ (Cognitive theory)

การรู้ (cognition) มาจากภาษาลาติน แปลว่าการรู้จัก (knowing) ทฤษฎีนี้เน้นเกี่ยวกับความเข้าใจหรือการคาดคะเนเหตุการณ์ต่างๆ โดยอาศัยการกำหนดรู้ (perception) มาก่อน อาจรวมทั้งการคิดค้นและการตัดสินใจ เช่น ในกรณีที่ต้องมีการเลือกสิ่งของที่มีคุณค่า ใกล้เคียงกัน การกระตุ้นก็ดีหรือพฤติกรรมที่กำลังดำเนินไปสู่เป้าประสงค์ (goal-seeking behavior) ก็ดีเกิดจากความรู้ ที่เคยพบมาเป็น ตัวกำหนด นอกจากนั้นยังต้องอาศัยเหตุการณ์ในอดีต สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันและความคาดหวังในอนาคต
Festinger (1957) ได้อธิบายเกี่ยวกับความขัดแย้งหรือความไม่ลงรอยกันของการรู้ (cognitive dissonance) ซึ่งมีผลทำให้เกิด แรงจูงใจ ในการเปลี่ยนพฤติกรรม บางอย่างได้ เช่น คนที่ติดบุหรี่ สูบบุหรี่จัดเมื่อทราบข่าวว่า การสูบบุหรี่มีส่วนทำให้เกิดเป็น มะเร็งของปอด เกิดความขัดแย้งระหว่างพฤติกรรมของการสูบบุหรี่กับข่าวใหม่ เขาจะต้องเลือกเอา อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อลดความขัดแย้ง ที่เกิดขึ้น ถ้าเขาตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ความขัดแย้งจะลดลงไปโดยการเลิกความเชื่อเดิมที่ว่าสูบบุหรี่แล้วจะปลอดภัย รวมทั้งความอยากที่จะสูบอีกด้วย

7. ทฤษฎีเกี่ยวกับจิตวิญญาณ (Spiritual theory)

เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวกับกฎแห่งกรรมในพุทธศาสนา จำลอง ดิษยวณิช (2545) ได้อธิบายความหมายของคำว่าจิตวิญญาณ ไว้ดังนี้ “จิตวิญญาณ หมายถึง ภวังคจิต (the life continuum) ในพุทธศาสนา หรือจิตไร้สำนึก (the unconscious) ในจิตวิเคราะห์ ” จิตวิญญาณ ซึ่งเป็นส่วนลึกภายในจิตใจของมนุษย์มีแรงจูงใจที่ทรงพลังอย่างหนึ่งคือ”กรรม” กรรมเป็นการกระทำของคนเรา ไม่ว่าจะเป็นทางใจ ทางวาจา หรือทางกาย ถ้ากระทำกรรมดีก็จะส่งผลไปในทางที่ดี ถ้ากระทำกรรมชั่วก็จะส่งผลไปในทางที่ไม่ดี ทำกรรมเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น สมดังคำกล่าวว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” พลังกรรมและผลของกรรมถือว่า เป็นแรงจูงใจ ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ในชีวิตประจำวันของคนเรา และถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิตไร้สำนึก ความสุขจะเกิดขึ้นได้เพราะ เป็นผลของการ กระทำกรรมดี แต่ในทางตรงกันข้ามความทุกข์จะเกิดขึ้น เนื่องจากผลของการกระทำกรรมที่ไม่ดี


ทิ้งบางอย่างเอาไว้ให้กลายเป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นก็พอ-ดวงดาวเดียวดาย [ covered by Warin ]


Original song : https://youtu.be/iCai7NsruV4
ครั้งแรกที่ได้ฟังเพลงนี้เหมือนโดนเรียกสติกลับคืน เวลาที่มีบางสิ่งบางอย่างกำลังกลืนกินตัวตนของเราไป บางทีมันต้องมีเพลงแบบนี้มากระตุ้นเราถึงจะตระหนักได้ว่า เราโดนลากมาไกลแค่ไหนแล้ววว และเราควรกลับสู่ความเป็นตัวเราได้แล้ว.. ซึ่งเพลงนี้เขียนได้ดีมากๆจนทำให้เราต้องเสียน้ำตา ขอบคุณ original song จาก พี่กอล์ฟ ดวงดาวเดียวดาย ค่ะ

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

ทิ้งบางอย่างเอาไว้ให้กลายเป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นก็พอ-ดวงดาวเดียวดาย [ covered by Warin ]

คณะขวัญใจ – ในส่วนลึกความทรงจำ 「DEMO」


คำร้อง/ทำนอง : ชีวิน โกมารทัต

คณะขวัญใจ - ในส่วนลึกความทรงจำ 「DEMO」

SNOOPKING – ในบางอย่าง [ Audio ]+เนื้อเพลง


(Mixtape) instrumentel Original from Number One Hit R. Kelly
SNOOPKING ในบางอย่าง [ Audio ]

SNOOPKING - ในบางอย่าง [ Audio ]+เนื้อเพลง

P PEACHES – มีบางอย่างจะบอก [ Prod. liltema ] [ OFFICIAL AUDIO ]


Song : มีบางอย่างจะบอก
Lyrics By : P PEACHES
Produced Beat By : liltema
Mixed \u0026 Mastered By : P PEACHES
Photo By : P PEACHES
Video By : P PEACHES

เนื้อเพลง 🎵🎵🎵

PPEACHES มีบางอย่างจะบอก

P PEACHES  - มีบางอย่างจะบอก [ Prod. liltema ]  [ OFFICIAL AUDIO ]

อย่างน้อย (Ost.ปิดเทอมใหญ่ฯ) – Big Ass【OFFICIAL MV】


Digital Download : 123 1010771 3
iTunes Download : https://goo.gl/nkPHCH
KKBOX :http://kkbox.fm/3e0otN
เพลง : อย่างน้อย (ภาพยนตร์ปิดเทอมใหญ่ฯ)
ศิลปิน : Big Ass
คำร้อง : ขจรเดช พรมรักษา
ทำนอง : พูนศักดิ์ จตุระบุล;อภิชาติ พรมรักษา
เรียบเรียง : Big Ass
อัพเดทผลงานศิลปินที่คุณชื่นชอบได้ที่
https://www.facebook.com/gmmgrammyofficial?fref=nf
http://www.youtube.com/user/gmmgrammyofficial
https://plus.google.com/+GmmgrammyofficialBlogspot2014/posts
http://www.gmmgrammyofficial.blogspot…

อย่างน้อย (Ost.ปิดเทอมใหญ่ฯ) - Big Ass【OFFICIAL MV】

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ บาง อย่าง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *