Skip to content
Home » [NEW] Internship in USA ฝึกงานที่อเมริกายังไงให้รอด | ทํา งาน ที่ อเมริกา – NATAVIGUIDES

[NEW] Internship in USA ฝึกงานที่อเมริกายังไงให้รอด | ทํา งาน ที่ อเมริกา – NATAVIGUIDES

ทํา งาน ที่ อเมริกา: คุณกำลังดูกระทู้

ผ่านพ้นไปซักทีกับ 14 สัปดาห์อันแสนทรมาน เอ้ย แสนสนุกกับ summer intership ของการมาเรียน MBA ตัวฉัน ด้วยบุญที่สั่งสมมาแต่ปางก่อนเลยได้ไปฝึกงานที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในอเมริกา (ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ แต่เดี๋ยวอ่านดูก็พอเดาได้) ใครที่สงสัยว่าแล้วอยู่ๆมันเข้าไปทำงานกะเค้าได้ยังไง สามารถไปอ่านวิบากกรรมของฉันในการสมัครงานในอเมริกาได้ที่ (Recruiting สมัครงานที่อเมริกา หรรษากว่านี้ไม่มีอีกแล้ว) รับรองว่าได้ปรับทัศนคติจากที่อาจจะคิดว่า ‘โหววววว สุดยอด’ เป็น ‘มีงานทำก็บุญแล้วนะลูกนะ’

ก่อนเขียนไปถึงวิธีการเอาตัวรอดในการฝึกงานอันแสนหฤหรรษ์ครั้งนี้ ขอบ่นระบายความกังวลบวกลำเค็ญในการฝึกงานครั้งนี้ซักเล็กน้อย

  • ฉันไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ของที่บริษัทเลย คิดสภาพถ้าคุณใช้คอม Surface มือถือ Samsung นาฬิกา Fitbit จ่ายเงินด้วย Google Pay ประสบการณ์การใช้ Macbook/iPhone เป็นศูนย์ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่ iPad รุ่นถูกสุดเครื่องเดียวเพิ่งซื้อเมื่อตอนต้นปีเอาไว้จดตอนเรียนหนังสือ แค่คิดว่าต้องฝึกใช้เทคโนโลยีใหม่ก็หนาวแล้ว
  • เปลี่ยนเยอะกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ประสบการณ์การเปลี่ยนงานที่ผ่านมาส่วนมากคือเปลี่ยนบริษัทแต่ทำงานเป็น consultant เหมือนเดิม มากสุดอาจจะทั้งเปลี่ยนบริษัทและเปลี่ยนสายจาก consult สาย tech มาเป็น strategy ครั้งนี้นี่คือเปลี่ยนแม่งหมดตั้งแต่ industry (Consulting -> Tech), function (strategy -> product operations ที่เอาจริงๆคืออะไรยังไม่รู้เลย) และสุดท้ายคือ location (Thailand -> US) ภาษาที่นี่เค้าจะเรียกว่า triple jump ก็ได้แต่บอกตัวเองว่า จ๊ะ สู้ๆนะมึง
  • ภาษาอังกฤษ วัฒนธรรมอเมริกา ตอนช่วงไปทำงานที่สิงคโปร์อย่างน้อยมันก็ยังพอมีความมั่นใจเพราะส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เจ้าของภาษากันทั้งคู่ อันนี้คือแม่งของจริง ทุกคนพูดปะกิตได้ตั้งแต่เกิด วัฒนธรรมการทำงานแบบคนอเมริกาอีก ประสบการณ์ที่เคยทำงานกับคนไทยที่จบที่อเมริกาหรือตอนทำงานกลุ่มกับเพื่อนก็ค่อนไปทางไม่ดี (ไว้มาเล่าให้ฟังทีหลังนะเป็นยังไงบ้าง) จะรอดไหมนี่ฉัน
  • Virtual Internship!!! เพิ่มจากความลำเค็ญที่กล่าวมาทั้งหมด COVID-19 ทำให้ทุกอย่างต้องเป็น online คือตัวต่อตัวกุก็หอบแล้วนะ มาเจอแบบนี้คือหน้ามืด เครียดจนปลงไปเลย

จบการปูเรื่อง ต่อไปจะเป็นการเล่าประสบการณ์และบทเรียนที่ได้รับ เตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้ได้เลยนะ อ่านแล้วน้ำตาซึมด้วยความสงสารแน่นอน

อันนี้เผื่อใครขี้เกียจอ่าน ทำสรุปมาให้เด้อออ

Pre-internship

ได้งานตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ฝึกงานจริงต้นมิถุนายน มีเวลาจริงๆคือ 2 เดือนให้เตรียมตัว ส่วนนี้เป็นส่วนที่ฉันหักคะแนนตัวเองเยอะที่สุด เตรียมตัวได้หยิบย่งไม่เหมือนคนอยากได้ full-time offer เอาซะเลย เอาเป็นว่าสิ่งที่ทำ/ควรจะทำเป็นดังนี้

  • ฝึก skills ที่จำเป็น ซึ่งรู้ได้จากการถามเจ้านายว่าเราจะต้องทำอะไรบ้าง ฉันส่งอีเมลไปถาม HR ขอข้อมูลติดต่อเจ้านาย แล้วก็ HR ก็หายเงียบไปกับสายลม ดีที่จำขึ้นมาได้ว่าตอนนัดสัมภาษณ์เค้ามี cc email กันนี่หน่า เลยไปขุดมาแล้วส่งอีเมลไปถามเลยว่าต้องทำอะไรบ้าง ให้เตรียมตัวอะไรไหม เจ้านายก็ส่งกลับมาให้ 3 อย่าง อ่านแล้วก็เข้าใจแบบงงๆ สรุปคืออยากให้ 1) ใช้ Tableau เป็น 2) ใช้ WordPress Elementor เป็น 3) ทำ Data Analysis ได้ (แล้วก็ต้องเพิ่มไปอีกข้อด้วยคือใช้ Macbook เป็น ทำยังไงก็ได้ให้เจ้านายรู้ว่าทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรที่เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทเลย) สรุปคือท่าดีทีเหลว ติดทำ club ติดเรียน ติดปาร์ตี้กับเพื่อน ไม่ได้ฝึกอะไรซักอย่าง แล้วดันเริ่มฝึกงานเร็วด้วย ยังสอบไม่ทันเสร็จก็ต้องฝึกงานแล้ว ได้แต่สวดมนตร์ขอพรไป
  • เตรียมเอกสารให้เรียบร้อย ฉันก็ไม่เคยทำงานที่อเมริกาเลยไม่รู้ว่าต้องมีเอกสารอะไรบ้าง เลยเกือบเอาตัวไม่รอด เพื่อเป็นการไม่ให้เด็กไทยคนไหนต้องมาเผชิญกับสภาวะความงง และเกือบไม่ได้เริ่มงาน โปรดจงเตรียมเอกสารดังนั้น
    • CPT I-20 อันนี้เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว ทำตั้งแต่ได้ offer letter มาก็ยื่น request ผ่านระบบดูไฮโซไปตามเรื่องตามราว ติดที่ COVID ทำให้ไปรับเอกสารที่โรงเรียนไม่ได้ เลยต้องเสียเงิน $20 เป็นค่าจัดส่งเอกสารมาที่อพารท์เมนท์ซึ่งมีความห่างจากโรงเรียนไม่ถึงกิโล เซ็ง
    • Social Security Number (SSN) เพิ่งมารู้อาทิตย์สุดท้ายว่าของมันต้องมี (ชิบหาย) เคืองตัวเองมากที่มีเวลาตั้งนานดันไม่เอะใจ เมสเสจหาเพื่อนว่าทำยังไง เพราะประเทศนี้บังคับให้ต้องไป in-person ให้เห็นตัวตลอด แล้วช่วงนั้นคือ COVID กำลังพีค จะนัดไปทำก็ยากมาก ส่งไปถามคนดูแล internaltional students ของ Kellogg เขาก็บอกให้โทรไปหาเอง (คือโทรไปแล้วไม่ได้คิวไง เลยต้องเช็คว่าจะเริ่มงานได้ไหม) โอ้ยยย กว่าจะได้เบอร์(ที่ถูกต้อง)มา กว่าจะนัดได้ คือเกือบจะเริ่มทำงานแล้ว ได้เลขส่งมาทางไปรษณีย์ (Hi-tech มากค่ะ อเมริกา) มาจริงๆคือทำงานไปแล้ว 2 สัปดาห์ สรุปเอาเองว่าไม่มี SSN ก็เริ่มงานได้ แต่มันต้องใช้ตอนบริษัทจ่ายตังให้เรา อยากได้ตังค์ก็ต้องไปเอามาให้ได้นะ
    • I-9 โอ้ย อันนี้หายนะของจริง ส่งเมล์กลับไปกลับมากับเจ้านายไม่ต่ำกว่า 10 ฉบับ เรื่องของเรื่องคือ ที่บริษัทส่งลิงค์มาตั้งนานแต่มันไปอยู่ใน Junk box แล้ว HR คนดีคนเดิมที่ไม่ตอบอีเมลฉันก็ไม่บอกกุเล้ยยยย ดีนะมีโทรคุยกับเจ้านาย เลยรู้ว่าถ้าทำไม่เสร็จเริ่มงานไม่ได้ กระบวนการปกติคือมันต้องตรวจเอกสารที่บริษัท ณ วันเริ่มงาน แต่มันดันเป็น virtual ไง เลยต้องให้เพื่อนคนไทยที่มีอยู่หนึ่งเดียวที่ยังอยู่ที่อเมริกาตรวจเอกสารผ่านระบบให้ กว่าจะผ่าน ลุ้นขี้ปิ๊ด

ฉันเข้าไปทำงานในส่วนงาน Operations คอยติดต่อประสานงานทำโปรเจคต่างๆให้ชาวบ้านทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่วน structure ของ internship คือ 12 สัปดาห์ (ของฉันถูกยืดเป็น 14) มีเจ้านายที่เป็น direct report กับ Buddy ที่ถูกส่งมาอยู่เคียงข้างไม่ให้เคว้งคว้างตามลำพัง มี mid-term review สัปดาห์ที่ 7 และ final presentation สัปดาห์ที่ 11

1st Week

วันแรกมาถึงก็ต้อง set up คอมพิวเตอร์ที่ถูกส่งมาที่อพาร์ทเมนท์ก่อน คือเจ้านายฉันก็โหดจริง บอกเลขมา 4 ตัวแล้วบอกว่าอีกสองชั่วโมงเดี๋ยว video call มาเช็คนะว่าติดตั้งทุกอย่างเสร็จยัง คือนึกว่ากุมาทำงานเป็น Helpdesk ป่าวฟระ คือติดตั้งลง Application ทุกอย่างด้วยตัวเอง (ตอนเป็น Consultant คือมีคนทำให้ไง) รีบทำสะเปะสะปะจนไปเจอเว็บหนึ่งสำหรับ Interns (ที่เจ้านายไม่ได้บอก ความจริงเค้าไม่ได้ทดสอบ skills หรอก แค่เค้าไม่รู้เพราะฉันเป็น Intern คนแรกที่เค้าเคยมี) แล้วมันมี checklist อยู่เลยค่อยๆไล่เช็คว่าอะไรยังไม่ได้ทำบ้าง เฉียดฉิว set up เสร็จ ภายใน 2 ชั่วโมงพอดี ฟิ้ว รอดตาย

เจ้านาย video call มาเช็คทุกวันว่ายังไหวอยู่นะ ทำ training ไปถึงไหนแล้ว คือ mandatory training ไม่ค่อยมีหรอกถ้าเทียบกับของ Deloitte ที่ต้องนั่งทำตอนหยุดเสาร์อาทิตย์ content ส่วนใหญ่ก็ซ้ำกับที่เคยรู้มาคือไม่ต้องอ่านมากก็ข้ามไปทำสอบได้เลย ที่เหลือก็คือ training ใช้ corporate application ต่างๆที่ของที่นี่ที่มีเป็นล้าน app ต้องค่อยๆไปแกะๆว่าตัวไหนคืออะไร เดาว่าต้องใช้ในอนาคตไหม ใช้ยังไง แอบเบื่อเล็กน้อยเพราะไม่ได้ทำงานมาเป็นปีแล้วใจมันมีเศษเสี้ยวของความคิดถึง เลยแอบไปจิกกับเจ้านายทุกวัน เชิงว่ามา meeting กันไหม เริ่มงานกันได้ยัง

วันที่ 3 มีเหตุการณ์ช็อคโลกคือเจ้านายจับได้ว่าไม่มี iPhone เพราะข้อความไม่ขึ้นเบอร์แต่ขึ้น @gmail.com ที่ใช้เป็นอีเมลเข้า iCloud เห็นหน้าเจ้านาย (ผ่านจอคอม) ตอนนั้นคงคิดประมาณว่า กุรับมันเข้ามาได้ไงฟระ ในใจตอนนั้นคือ ชิบหาย ไม่ทันได้เริ่มงานเลย จะไม่ผ่านแล้วเนี่ย มี first impression ที่ประทับใจสุดๆไปเลยเรา

เพิ่งมารู้จากเพื่อนว่าถ้าใช้ Android มันจะขึ้นสีเขียวๆ เจ้านายที่เคยได้รับข้อความสีฟ้ามาตลอดชีวิตคงงงอ่ะ เอาจริง

2nd Week

สัปดาห์ที่สอง เจ้านายบอกโหยหางานนักใช่ไหม เจ๊จัดให้ อาทิตย์นี้มีความอยากลำบากในการเรียนงาน ลักษณะจะเป็นการถูกโยนเข้าไปใน meeting ที่เป็น on-going project อะไรซักอย่างหนึ่งหรือถูกบอกว่าให้ไปนัดคนที่เกี่ยวข้องเอาเอง (แต่ละคนเป็นใครมีความเป็นมายังไงก็ไม่รู้) ฉันมีอยู่ 3 โปรเจคที่ต้องทำ แต่ละอันคือไม่เหมือนกันเลย เป็นสัปดาห์ที่เครียดพอสมควรในการเรียนรู้คน งาน รายละเอียดของงาน วิธีการทำงานของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บวกกับที่เป็น virtual ไปอีก ตีนกาเลยขึ้นเพิ่มอีกสามเส้น ส่วน lessons learned ก็ประมาณนี้

  • Next Step(s) คืออะไร จากบทเรียนทั้งหมด ข้อนี้คงจะสำคัญสุดที่ทำให้งานไปต่อได้ คุณสมบัติที่แทบจะสำคัญที่สุดของพนักงานที่นี่คือต้องมี self-driven คือตอนแรกก็ตีความไม่ถูก ทำงานไปเรื่อยๆเริ่มเข้าใจเพราะมันไม่มีใครมา guide บอกให้ต้องทำอะไรต่อ ขนาด description ของ project ที่ได้มาก็เป็นปลายเปิด บางทีตัวเจ้าของโปรเจคยังไม่รู้เลยว่าอยากจะได้อะไร สิ่งที่ฉันทำคือการถามตัวเองเสมอว่า next steps คืออะไร เวลาออกมาจากประชุมแล้วไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อนี่คือมีปัญหาแล้ว ต้องรีบคิดว่าใครจะให้คำตอบเราได้และก็ไปนัด meeting กับเค้าซะ การถามตัวเองถึง next steps ของแต่ละโปรเจค เป็นการบีบกลายๆให้ต้องเข้าใจงานนั้นและนำไปสู่การถามคำถามให้เพื่อนร่วมงานที่เกี่ยวข้องตกตะกอนด้วยว่าเค้าอยากได้อะไร
  • จด จด และจด และorganize note ของเราให้ดี คือบางทีมันไม่รู้เรื่องในขณะที่เค้าคุยกันอยู่หรอกแต่ก็ต้องจดไว้ก่อนแล้วค่อยไปปะติดปะต่อเอาทีหลัง ดีกว่าจำข้อมูลอะไรไม่ได้เลย คือมารู้ที่หลังว่า เจ้านายของฉันตำแหน่งยิ่งใหญ่มากกก อีก 3-4 ทอดก็ถึงทิม คุกแล้ว เค้าไม่ได้มีเวลามากมายให้เรา ฉันใช้วิธีจด จัดระเบียบความคิด นัด meeting กับเจ้านาย 30 นาที แล้วถามไล่ทีละโปรเจคไปเลย

3rd Week

เริ่มฟอร์มความเข้าใจขั้นต้นว่าแต่ละโปรเจคต้องทำอะไร ซึ่งแม่งโคตรยาก Tableau skills ที่เจ้านายบอกตอนแรกคืออีกนิดนึงไปเป็น software engineer บริษัท Tableau ได้แล้วเลยนะ แบบอยู่ดีๆก็โยน dashboard ให้ไปแกะเอาเอง ให้ plot normal distribution curve บวกกับต้องใช้ความรู้ทางวิศวกรรมที่เรียนมาตอนปอตรีด้วย เจ๊ดดดดดดดด ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ วันที่ฉันพูดไม่ได้แล้วว่าเรียนตรีโกณมิติมาเอาไปทำอะไรได้ ตอนที่หาวิธีทำจนได้ (จากไม่เคยทำ ไม่มีความรู้อะไรเลย เคยแต่ให้น้องในทีมทำแล้วก็ไปโม้ตอนสัมภาษณ์) คือ ภูมิใจมาก เพราะคิดว่าจะทำไม่ได้แล้วจริงๆ

อีกโปรเจคนึงคือต้องนัดสัมภาษณ์ผู้บริหาร 50 คน ภายใน 3 อาทิตย์ แล้วเอาผลมาวิเคราะห์ต่อ คือที่นัดไป ได้ชื่อมาแต่ก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นใคร ใครทำอะไร ผังองค์กรอย่าหวังเลยว่าเค้าจะให้ คือไปปะติดปะต่อเองนะ lessons learned ในสัปดาห์นี้ ได้แก่

  • ภาพใหญ่ต้องมา พอเริ่มจับได้ว่า objective กับ deliverables ของแต่ละโปรเจคคืออะไร ฉันก็เริ่มคิด project approach, timeline, key stakeholders ทำเป็น presentation ในสไลด์ แล้วก็เอาไป present กับเจ้านายและคนที่เกี่ยวข้องหลักๆในแต่ละโปรเจค คอนเฟิร์มความเข้าใจให้ตรงกัน เสร็จปุ๊ปเอาทุกโปรเจคมารวมกันแล้วนัดทำ session check-in ส่งอีเมล weekly status update ให้เจ้านายทุกสัปดาห์ (ประกอบไปด้วยสิ่งที่ฉันทำไปในสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่จะทำต่อไป ติดปัญหาอะไรไหม สิ่งที่ได้เรียนรู้) ฉันค้นพบว่าเป็นวิธีที่ดีในการคอนเฟิร์มกับเจ้านายเป็นระยะว่าเรามาถูกทาง ช่องทางในการขอความช่วยเหลือจากเจ้านายแบบเป็น structure (ไม่ใช่ไปแตะเค้าอันนั้นที update อันนี้ที โดนด่ากลับมาแน่ๆ) ที่สำคัญที่สุดคือการโชว์ว่า กว่าจะออกมาเป็นชิ้นงานหนึ่งๆได้ กุลำบากไม่น้อยนะโว้ยยย โชว์สกิลการแก้ปัญหาแบบเนียนๆ ได้อีก เช่น เจ้านายอาจจะไม่รู้ว่าฉัน reach out ไปหา engineer ในประเทศจีนผ่าน connection ที่สร้างมา 2 สัปดาห์เพื่อช่วยคนอีกโปรเจคหนึ่งเขียนโค้ด clean ข้อมูล พอเอามาแจกแจงเป็น bullet แล้วแบบเจ้านายแบบ เฮ้ย ไปรู้จักเค้าได้ยังไง ก็โม้ต่อได้ว่าไปแชร์ความรู้เรื่อง Tableau ให้เค้า (เอาเข้าไป เก็บให้ครบทุกเม็ด อยู่ประเทศนี้ต้องรู้จักโม้อย่างชาญฉลาด)
  • ลงมือทำทันที อย่ากลัว อย่ารีรอ อย่างเรื่องที่ให้นัดคน 50 คน พอได้ชื่อมาแล้ว เช็คใน directory ว่าถูกคน ฉันส่งอีเมลนัดภายในวันนั้นเลย ผ่านไป 2 วันฉันสัมภาษณ์ไปแล้ว 9 คน สรุปปัญหากับข้อมูลเบื้องต้นใส่สไลด์ ส่งไปให้เจ้านายกับคนในโปรเจคดู คือเอาให้อึ้งไปเลย อยากพิสูจน์ความสามารถกันดีนัก ส่วนเรื่องความรู้ Tableau จุดไหนไม่เข้าใจไปเสิร์จอ่านใน community ถามคนรู้จัก ประเด็นคือคิดอะไรได้ให้ลงมือทำเลย อย่ารอเวลา เพราะ internship มีเวลาแค่ 10-12 สัปดาห์ในการเข็นผลงานออกมา ดังนั้นเวลาทุกวินาทีจึงมีค่ามากๆ เคยคุยกับพี่คนไทยที่ทำงานอยู่ที่นี่มานาน เค้าบอกว่าปกติ learning curve ของคนเข้าใหม่คือคือ 4-6 เดือน สงสารน้องมาก มีแค่ 3 เดือนแถม virtual อีก มันต้องยากมากแน่ๆ (คุยเสร็จแบบใจเสียเลยกุ)

4th Week

สัปดาห์นี้คือเริ่มเข้าใจทั้งงานและการทำงานกับคนในแต่ละโปรเจค เริ่มสนุก lessons learned หลักๆคือ

  • สังเกตเข้าใจคนที่เราทำงานด้วย สิ่งสำคัญมากคือต้องหาจุดที่เพื่อนร่วมงานแต่ละคนชอบ รายละเอียดเล็กน้อยคือต้องเก็บให้หมด เช่น คนนี้ชอบให้ update บ่อยๆ คนนี้ใช้แต่ iMessage จะนัดกับคนนี้ให้ยิง calendar ไปเลย คนนี้ชอบภาพสวยๆผ่าน สไสด์ คนนี้สไลด์ไม่สวยไม่เป็นไร ต้องพูดภาษา engineer ได้ ที่สำคัญกว่าสิ่งใดคือต้องจับสังเกตว่าอะไรสำคัญกับเจ้านายเรา อะไรเป็นงานที่เค้าภูมิใจแล้วให้ความสำคัญ focus งานนั้น ยากเข็นยังไงก็ต้องไปสู้ไปฝ่าฟันตบตีกับคนอื่นจนได้ results ให้ได้
  • เติมเต็ม skills ที่ทีมขาด หาว่า skills อะไรที่เจ้านายและทีมให้ความสำคัญ อะไรที่เป็น pain point ของทีม เช่น skills ขาดมากๆในทีมฉันคือ 1) technical skills อารมณ์ว่าทำ Tableau เขียนโค้ดได้นิดหน่อยนี่คือเทพแล้ว กับ 2) organize/visualize ข้อมูล คือสามารถนำข้อมูลที่ได้รับมา visualize ให้เห็นภาพใหญ่หรือเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ และทำ สไลด์สวย ถึงขนาดเจ้านายชอบขโมยสไลด์ฉันไปใช้เป็นของตัวเอง (นี่มัน skills programing + consulting ชัดๆ) ดังนั้นทุกอย่างที่ฉันทำคือต้องมี big picture มี structure มีตัวเลขสถิติชัดเจน เช่น จะแสดง progress ของการสัมภาษณ์จาก 44 คนตอนนี้นัดสัมภาษณ์ได้ 33 คนแล้วนะ คิดเป็น 70% คืองาน consulting สำหรับฉันมันยังพอไปได้ แต่ technical skills คือจุดอ่อนของจริง แต่เพื่อ full-time offer คือเป็นไงเป็นกัน ใส่ให้สุดแรง จนมีคนมาขอให้ไปช่วยสอน Tableau ให้คนในทีมเค้า ในใจคิดว่าอย่าเล้ยยย กุก็เพิ่งเริ่มทำเป็นเมื่อวานนี่แหละ แต่ความเป็นจริงคือนั่งเขียนสคริปต์ ทำสไลด์ ทำ Tableau guide ส่ง calendar อัดวีดีโอ เวลาเหนื่อยๆก็ให้นึกถึงจุดอ่อนเรื่องภาษาของตัวเองไว้เยอะๆ บวกกับบริษัทต้องจ่ายเงินสปอนเซอร์ให้เรา(เด็กต่างชาติ)ทำงาน ถ้าเราไม่มี unique value เลย เค้าไปจ้างคนอเมริกันทำไม่ดีกว่าหรอ
  • Overcommunicate ความยากของ virtual คือเจ้านาย หรือและเพื่อนร่วมงานผู้มีผลกับการให้ full-time offer เค้าไม่ได้เห็นว่าเรานั่งทำงานอยู่ เค้าจินตนการไม่ออกว่า (ถึงฉันจะบอกก็ตาม) ฉันมีหลายโปรเจคที่ต้องทำและแต่ละโปรเจคคือหนักและกินเวลามาก (โดยไม่มีน้องในทีมช่วยเหมือนสมัยก่อน) เพราะฉะนั้น วิธีการสื่อสารออกไปว่าเราใส่ใจทำงานที่ได้รับมอบหมายอยู่จึงสำคัญ ฉันต้องมั่นใจว่าแต่ะละโปรเจคมี progress ที่เป็นชิ้นเป็นอันแล้วนัด update กับคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทุกสัปดาห์ ให้รู้ว่ากุยังอยู่น้า ไม่ไปไหนน้า อีกทั้งยังช่วยให้ฉันรู้ด้วยว่ามาถูกทางหรือยัง ทุกคนโอเคกับงานอยู่ไหม
  • Multitask อย่างเป็นระบบ ต่อจากข้อที่แล้วคือถ้าต้องทำหลายโปรเจคในเวลาเดียวกัน อันดับแรกที่ฉันทำคือถามเจ้านายก่อนว่าโปรเจคไหนสำคัญสุด กรุณาใส่ rank มาให้เลยค่า (แต่สุดท้ายสังเกตว่าก็สำคัญหมดทุกอัน เพลีย) อีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีคือ time boxing บางที block calendar ไว้เลยว่าวันนี้เวลาจะขอทำ deep analysis นะ ห้ามใครมานัดคุยเดี๋ยวไม่ต่อเนื่อง (เพราะที่บริษัทมันดู calendar กันได้ว่าใครว่างช่วงไหนแล้วยิง meeting มาเลยโดยไม่ต้องถาม) ส่วนใหญ่ฉันจะมี to-do list คร่าวๆอย่างต่ำสามวันล่วงหน้าว่าวันไหนอะไรต้องเสร็จ แล้วก็ flexible ตามสถานการณ์งานร้อน
  • Communicate Objective บอกอีกฝ่ายเสมอว่าอยากได้อะไรจากการคุยกัน การสัมภาษณ์ผู้บริหารทั้ง 50 กว่าคนใน 3 สัปดาห์นั้นถือเป็นงานหินพอสมควรแม้ว่าฉันจะผ่านงาน consulting แบบนี้มานับไม่ถ้วน เพราะแต่ละคนมีเวลาแค่ 25 นาทีหรือน้อยกว่า หัวข้อค่อนข้างซับซ้อนพอสมควร ประกอบกับฉันไม่รู้ background เลยว่าใครมีหน้าที่อะไร ทีมไหนทำอะไร สิ่งที่ฉันทำเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการภายในเวลาที่มี อย่างแรกคือส่ง interview guide ไปก่อน อธิบายจุดประสงค์ของโปรเจคและมีตัวอย่างคำถามแนบไป ผู้บริหารบางคนรู้ตัวว่าตอบไม่ได้ก็จะให้ชื่อลูกน้องมาอีก 3 ชื่อ (งานงอกไปตามระเบียบ) ไปไล่ตามกันเอาเอง บางคนถึงกับส่งคำตอบแบบ high-level มาก่อนก็สบายไป ตอนที่สัมภาษณ์จริงๆ ฉันจะมีสไลด์ประมาณ 5 หน้า เพื่อใช้ 3 นาทีแรกในการอธิบายที่มาที่ไปของโปรเจค คนที่อยู่ใน scope การสัมภาษณ์ อยากได้ข้อมูลแบบนี้ เพื่อไปวิเคราะห์แบบนี้ ฉันติดการมีสไลด์ไว้คุยเพราะที่อเมริกามี culture ที่เรียกว่า small talk บางทีซัดไป 10 นาทียังไม่ได้คุยเรื่องที่นัดคุยเลย เทคนิคของฉันคือทักทายพอเป็นพิธีแล้วขออนุญาต share screen เปิดสไสด์โชว์เป็นการตัดบทเข้าเรื่องอย่างเนียนๆ ถ้าเวลาเหลือค่อย small talk สร้างความประทับใจในกรณีที่อีกฝ่ายไม่รีบ

2nd Month

Skip เวลามาที่เดือนที่สอง หลังจากทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางเป็นเวลาหลายสัปดาห์ก็เข้าสู่ช่วงเวลาของ mid-term review ซึ่งเป็นการประเมินกลางทางแบบเป็นทางการ เพื่อให้ feedback ว่ามาถูกทางไหม โปรเจคไหนมีอะไรต้องปรับปรุง ซึ่งก่อนจะไปพรีเซ็นท์ให้เจ้านายและทุกคนในทีมฟัง ฉันต้องไปซ้อมกับ Buddy ของฉันก่อน (ตำแหน่งเป็น Buddy แต่ลุงแกทำงานที่นี่มา 31 ปีแล้วนะ แถมยังเป็นผู้ดูแลโครงการ internship ของทีมอีกต่างหาก) บทเรียนที่ได้รับคือ

  • เปิดใจกับ feedback เหมือนจะง่ายนะ แต่เจ็บน่าดู คือก่อนจะทำสไลด์ ฉันก็ไปถาม Buddy ของฉันว่ามีหัวข้ออะไรที่ต้องพูดหรือเปล่า เค้าก็บอก freestyle เลย design ได้เต็มที่ ฉันก็พองขนเลย เพราะแต่ก่อนขนาดกับ consultant ด้วยกันฉันยังยืนหนึ่งด้านการทำสไลด์ แล้วที่เห็นสไลด์ของแต่ละคนที่นี่คือมีแต่ตารางกับภาพแปะๆ เลยคิดในใจว่าเดี๋ยวจะเอาให้อึ้งไปเลย อึ้งเลยค่ะ กุเองงง เพราะสไสด์ของฉันมันเหมาะกับงาน consulting แล้วที่นี่คือแนว minimalist เลยได้ feedback ว่าข้อมูลเยอะเกินไป overwhelm มาก ทำไมไม่พูดอันนี้ก่อน (ไหนบอกไม่มี mandatory topic) ทำเอานอยด์ไป 3 วัน คือมีพรีเซ็นท์จริงวันจันทร์บ่ายเพิ่งจะบิลด์ตัวเองให้แก้สไสด์ (แก้ในที่นี้คือโยนของเก่าทิ้งแล้วทำใหม่ หาข้อมูลในส่วนที่ยังขาด) ตอนช่วงเช้า แต่ผลที่ได้คือทุกคนพอใจ และแทบไม่มี comment เรื่องเนื้อหา Buddy ยังชมว่า take comments seriously เย็นนั้นคือยิ้มหน้าบานออกไปปาร์ตี้ได้เลย
  • ควบคุมอารมณ์ในทุกสถานการณ์ ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ต้องพรีเซ็นท์ผลของโปรเจคต่างๆให้คนที่เกี่ยวข้องในวงกว้างขึ้น ก็จะมีบางโปรเจคที่ไปจี้จุดผู้บริหารบางคนจริงๆ ทำให้โดนด่าและโดนคำถาม challenge หนักๆในที่ประชุมตลอดเวลา (คือบางทีเจ้านายก็มาเฉลยทีหลังด้วยนะว่าไม่อยากบอกก่อนว่าคนนี้ sensitive กับเรื่องนี้ อยากรู้ว่าเค้าจะ react ยังไง – ก็ด่ากุไงคะ ทีหลังบอกให้เตรียมใจก็ดีนะคะ เจ้านาย) จริงๆเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติตอนเป็น consultant แต่ที่แตกต่างคืองาน consulting เรามี C-level support อยู่ เราเป็นคนนอก งานจบแล้วแยกย้ายไม่ต้องมารับผลกระทบกับการเมืองภายในบริษัทมากนัก เวลาเจอแบบนี้ เทคนิคของฉันคือห้ามเถียงในทันที เงียบฟังโดยพยายามเข้าใจสถานการณ์ของเค้า (คือบางคนก็ด่าหนักเกิน ไม่รู้โกรธสามีที่บ้านมาหรือเปล่า เข้าใจไม่ค่อยไหวเหมือนกัน) แล้วหา solution แบบละมุนละม่อม มันหนักใจตรงที่ว่า ฉันพยายามเปิดวิดีโอให้เค้าเห็นหน้าเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนใหม่ ถือเป็นการแสดงความเคารพและจริงใจไปในตัว ผู้บริหารส่วนใหญ่ชอบปิดวิดีโอคุย แล้วมันได้ยินแต่เสียงหลายๆเสียงรุมทึ้งอยู่อ่ะ บางทีก็ต้องปั้นหน้าไปตามเรื่องตามราว หลายๆครั้ง ฉันใช้วิธีเขียนระบายเอา ทำให้เป็น bullet เลยนะ เขียนภาษาอังกฤษด้วย (จะได้ฝึกภาษาไง) ยิ่ง professional เท่าไร ความรู้สึกติดค้างแค้นเคืองใจหลังเลิกงานมันจะน้อยลง เช่น
    John Doe (นามสมมติ)
    – คิดจะนัดก็นัด คิดจะเลื่อนนัดก็นัด มึงเป็นใครเนี่ย
    – บอกว่าข้อมูลที่ได้มาคลาดเคลื่อน นี่ถอดบทสัมภาษณ์มาเลยนะเว้ยเฮ้ย
    – หาว่าไม่มีประสบการณ์การทำงานที่นี่ ใช่ เมิงพูดถูกแล้ว! (อ้าว)
  • ฝึกซ้อมการนำเสนองาน ยิ่งเป็นภาษาที่เราไม่ถนัด หัวข้อที่ซับซ้อน และมีคนเข้าประชุมเยอะๆแล้วด้วย ถ้าเขียนสคริปต์ได้เขียนไปเลยจ้ะ เวลาซ้อมคือเปิด video call แล้วดูตัวเองพูดกับจับเวลา การนำเสนอผ่าน video call มีข้อดีคือเราอ่านสคริปต์ได้ (แต่ก็ต้องซ้อมจนดูเหมือนว่าไม่ได้อ่านนะ แล้วก็ต้องมั่นใจว่ามองกล้องอยู่ด้วย) แต่ข้อเสียก็มีมากมายเช่น ทำยังไงให้ผู้ฟังเข้าใจและ focus กับเราได้ตลอด ดังนั้น นอกจากเนื้อหากระชับ น้ำเสียงที่ดี มีจังหวะ มีการ pause ตามองกล้อง พวกองศาจอคอม lighting นี่ก็สำคัญ ฉันสั่งโต๊ะยืนมาเลยจะได้ยืนพรีเซ็นท์งานได้ เปลี่ยนหลอดไฟห้องเป็นสีขาวด้วย อะไรที่ทำให้มันดู professional ขึ้นแต่ไม่ถึงกับเว่อร์วังมาก เจ๊ทำหมดเลยค่ะ
  • หาโอกาสช่วยงานเจ้านาย ผ่านไป 7 สัปดาห์ งาน 3 โปรเจคที่ถูกมอบหมายก็เกือบจะเสร็จหมดแล้ว ฉันเลยเริ่มมองหาสิ่งที่ฉันสามารถช่วยได้และเอาไปปรึกษาเจ้านายเลยได้มาอีก 3 เป็น 6 โปรเจค เจ้านายคงคิดว่า เออ ไอ้นี่มันก็มีประโยชน์เหมือนกันเลยขอยืดระยะเวลาการฝึกงานจาก 12 เป็น 14 สัปดาห์ ตอนแรกก็อิดออด แอบร้องไห้ในใจเบาๆเพราะเท่ากับว่าจะไม่มีเวลาพักไปเที่ยวก่อนจะเปิดเทอมปีสองเลย (แล้วตอนนั้นก็เริ่มได้เพื่อนใหม่เป็นชาวอเมริกัน มีแต่คนชวนไปเที่ยวก่อนเปิดเทอม) แต่พอคำนวณเงินที่น่าจะได้ก็หายเซ็ง ประกอบกับมารู้ทีหลังว่าเพื่อนชาวอเมริกันทุกคนที่ intern ที่นี่แทบอ้อนวอนขอเจ้านายตัวเอง extend มาตั้งแต่ day 1 เพราะหมายถึงโอกาสในการพิสูจน์ตัวเองและได้ full-fime offer ที่เพิ่มขึ้น แล้วส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ด้วย นี่มึงโชคดีแค่ไหนแล้วอิเจนที่เค้าให้เนี่ย ทีหลังต้องทำการบ้านนะคะหนู

Last Month

ช่วงเดือนหลังได้รู้จักคนเพิ่มขึ้นนิดหน่อยจากโปรเจคใหม่ๆที่ต้องทำ ในขณะที่โปรเจคเก่าก็มีงานงอกจากความ creative ของเพื่อนร่วมงานในแต่ละโปรเจค เลยเป็นการทำงาน 6 โปรเจคพร้อมกันอย่างสมบูรณ์แบบแต่เรียกว่าไม่ได้หนักมากเหมือนสัปดาห์แรกๆ เพื่อนร่วมงานก็คุ้นกันหมด มีคนไปเป็น back ให้เวลาเจอคนใหม่ๆ มีผลงานไปโชว์ ทำให้การทำงานโปรเจคใหม่ๆคือราบรื่นจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ ตอนทำ final presentation กับหัวหน้าของหัวหน้าอีกทีก็แทบไม่มีต้องแก้ slides แล้วก็ไม่มีใครถามคำถามในห้องเชือด (แบบ virtual) ด้วยซ้ำ แต่มีเพื่อนร่วมงานที่มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารมาให้กำลังใจอย่างท้วมท้น (คือฉันพรีเซ็นท์คนที่สอง เห็นจากรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุมนาทีที่ 20 คือเด้งขึ้นมาอีกเป็นสิบกว่าคนแล้วก็ออกไปนาทีที่ 40 อย่างพร้อมเพรียงกัน) ส่งข้อความมาให้กำลังใจด้วย น่ารักมากๆ บทเรียนในเดือนนี้คือ

  • ช่วยคนอื่นเพื่อให้งานก้าวไปข้างหน้าโดยไม่หวังผล มีเพื่อนร่วมงานที่ต้องมาดูแล Tableau Dashboard ต่อจากที่ฉันสร้างและออกแบบให้ ลุง A (นามสมมุติ) แก่แล้ว เป็นผู้ชายผิวขาว ก็ค่อนข้างเชิดๆใส่กระเหรี่ยงอย่างฉันนิดนึง ให้ข้อมูลแบบงงๆ ถามอะไรก็บอกไม่รู้ พอฉันเอาไปดีไซน์ให้ (ด้วยความรำคาญ) แล้วพากันไปนำเสนอเจ้านายลุง ลุงก็ตอกกลับในที่ประชุมเฉยเลยว่า เจนเค้าไม่รู้อะไรหรอก (ในใจคือ แหม เมิงรู้อะไรมากงั้น แล้วไม่ comment กุมาก่อน จำไว้เลยนะลุง) โม้ตลอดว่าตัวเองเก่งเทคโนโลยี ยังไงเดี๋ยวก็ทำ Tableau เป็นแต่ขอให้สอนหน่อย (ทำไมลุงย้อนแย้ง) ฉันก็อุตส่าห์ทำ step-by-step guide มีรูปภาพประกอบสวยงามไปให้ลุงอ่าน แต่ลุงบอกไม่รู้เรื่อง (ลุงได้อ่านยังอ่ะ) ค่อยๆอธิบายลุงก็บอกเร็วไป อดทนอยู่กับลุงที่ปากก็ไม่ดี หูก็ได้ยินไม่ชัด แต่นัด meeting มาอยู่ได้ รวมๆแล้วเกือบ 10 ชั่วโมง สงสัยอะไรสี่ห้าทุ่มก็ส่งข้อความมาถามแล้วจะเอาคำตอบให้ได้ด้วยนะ (หนูปาร์ตี้อยู่ไหมลุง) แบบไม่ได้หวังอะไรมาก วันสุดท้ายของ internship มี bi-weekly coffee chat กับคนในทีมที่ลุงไม่เคยเข้า ลุงโผล่มาเว้ยเฮ้ย แล้วบอกขอบคุณมาก เจนช่วยไว้ได้เยอะมาก ชมฉันให้เจ้านายกับคนในทีมฟังใหญ่เลย ทำเอาทุกคนอึ้ง (ตั้งแต่ลุงโผล่มาแล้ว) ฉันเกือบจะโทรไปถามลุงว่า Is everything okay? แต่ตัดสินใจยิ้มรับเหมือนเตี้ยมกันมา และคิดว่าเวลาทำอะไรแล้วไม่ได้หวังผลมากแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีก็เป็นเรื่องดีเหมือนกันแฮะ
  • ทำ Transition plan ไหนๆก็ทำมาขนาดนี้แล้ว ความหวังเดียวของฉันคือ ออกไปแล้วต้องไม่ให้คนตามไปด่าได้ว่านึกจะไปก็สะบัดตูดไปเลย แต่ละโปรเจคฉันจะมีเช็คลิสต์เลยว่า ใครจะมาต่อ โอนข้อมูลและสิทธิ์ต่างๆให้หมดหรือยัง แนะนำให้เพื่อนร่วมงานในโปรเจคนั้นรู้จักหรือยัง นัด 1:1 ถ่ายงานแบบละเอียด อะไรทำ guide ให้ได้ก็ทำให้ ให้เข้ามา shadow ในทุก meeting ที่ฉัน lead หรือที่ฉันต้องเข้าตั้งแต่สองสัปดาห์ก่อน internship จะจบ (มีแบบเข้ามา show power ยิงคำถามฉันด้วยนะ คืออยากจะด่า ที่มี 1:1 meeting กันไปก่อนหน้านี้ทำไมไม่ถามวะคะ ปวดกะบาลกับอเมริกันเค้าเจอร์) พอเวลาเจ้านายถามว่าเป็นยังไงบ้างคือควักออกมาได้เลยว่า status ของแต่ละโปรเจคเป็นยังไงบ้าง อยากให้เพิ่มเติมอะไรไหม
  • Thank you note เฮ้ย อันนี้ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจำเป็น แต่เพื่อนฝรั่งบอกว่าที่นี่เค้าถือนะจ้ะ กลุ้มใจเลย ให้ส่งอีเมลไปธรรมดาๆเดี๋ยวไม่กินใจ เลยประสานงานกับเลขาทีมสั่งของจาก Amazon ไปให้เจ้านาย และทำการ์ดอิเล็กทรอนิกส์ฟรุ้งฟริ้งส่งอีเมลไปให้เจ้านายก็เพื่อนร่วมงานคนที่สนิทๆรวมๆแล้วเกือบสิบ จบการฝึกงานอย่างสวยงาม (หรอ?)
  • Balance ชีวิต อยากส่งท้ายด้วยบทเรียนข้อนี้ เพราะช่วงอาทิตย์แรกๆคืออยากทำงานมาก คิดถึงการทำงาน กลัวว่าเค้าจะคิดว่าเราภาษาก็ไม่ดีทำงานก็ไม่ได้ mindset คือ Go Big or Go Home แบบถามตัวเอง เจนมึงจะอยู่ไหมเมกาเนี่ย เลยทำงานตั้งแต่ 10 โมงเช้ายันห้าทุ่มไปสองวัน ตระหนักได้ว่า กุแก่ล่ะ เลยเปลี่ยน motto ทันทีเป็น Go Moderate or Go Hospital จังหวะนี้จะมาบ้างานไม่ได้แล้ว ต้องฝึกตัวเองให้ไปออกกำลังกาย ไป social กับเพื่อนบ้าง นอนกลางวันบ้าง เป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยตอนทำงานก่อนมาเรียน MBA พอตอนนี้เลยได้จังหวะ reflect และ adjust เพื่อไปสู่ชีวิตที่ฉันอยากเป็นหลังจากเรียนจบ

ความประทับใจของการทำ insternship ที่นี่

  • ทุกคนมี passion กับงานที่ตัวเองทำมากๆ ไม่ว่ามันจะดูเป็นงานที่ไม่ว้าว (เพราะเป็นงานของส่วน operations ไม่ใช่คนคิดผลิตภัณฑ์อะเนอะ) แบบคนที่ดูเรื่องเครื่องที่ใช้ผลิต iPhone ก็จะลุ่มหลงในเครื่องนี้มาก รู้ทุกอย่าง อยากทำให้งานตัวเองดีขึ้น แถมรักบริษัทและ product ของบริษัทมากๆ ตอนที่รู้ว่าฉันทำเรื่องขอยืมเครื่อง iPhone มาทำงานที่บ้านนี่ขึ้นมาถามทุกวันว่าได้เครื่องมาหรือยัง ใช้ดีไหม
  • เพื่อนร่วมงานให้ความช่วยเหลือขั้นสุด คือมันก็ต้องมีบ้างที่เจอคนงี่เง่าตามที่บ่นระบายไปข้างบนอ่ะ แต่ที่นี่เป็นบริษัทแรก (จาก 5 บริษัทที่เคยทำมา) ที่คนส่วนใหญ่พร้อมจะกระโจนเข้ามาช่วยเหลือ ถ้าเป็นเรื่องที่ช่วยได้ แบบบางทีส่งข้อความถามไปนิดเดียวเอง ให้ชื่อคนที่คิดว่าช่วยได้แล้วส่งอีเมลแนะนำให้เสร็จสรรพ ที่ประทับใจมากๆจะ manager ที่จีนที่อธิบายปัญหาไปนิดเดียวคือเขียน code มาให้พร้อมใช้งานเลย ขนาดว่าฉันไป intern ตอนช่วงพีคของ operations (เพราะ product ออกเดือนกันยา) ทุกคนยุ่งหัวปั่นแต่ก็พยายามสละเวลามาคุยด้วยเวลาขอสัมภาษณ์ ซึ้งใจ
  • ได้ทำงานกับคนเยอะมากๆ ตำแหน่งนี้ได้ทำหลายโปรเจค แต่ละโปรเจคต้องคุยกับหลายคน ที่ต้องเจอกันทุกอาทิตย์มีหลัก 50+ ส่วนที่ได้คุยก็ 150-200 ตอนก่อนมาทำงาน รุ่นพี่ก็จะบอกว่า ต้องไปนัด 1:1 กับทีมอื่นน้า เผื่อมีทีมที่อยากไปทำตอน full-time อันนี้คือแบบแค่คุยเรื่องงานก็จะไม่ทันแล้ว เฉลี่ยคือ 4-5 meeting ต่อวัน สูงสุดคือ 9 ข้อดีคือได้เห็นมุมมองต่อเรื่องเดียวกันจากหลากหลายทีม คุยกับคนหลากหลาย background แต่ข้อเสียก็คือ หาเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นไม่ค่อยได้ ยิ่งพอเป็น virtual แล้ว ยิ่งขี้เกียจ ตอนจบ internship โดน HR ถามว่าได้เข้าร่วมกิจกรรมอะไรบ้างไหม ได้แต่ยิ้มบางให้ หนูขอโทษค่าาาา
  • ของแจกที่เค้าเรียกกันว่า swag พอไม่ได้ทำงานที่ head quarter บริษัทก็กลัวเราจะน้อยใจเลยขยันส่งของมาจัง มาทีคือเป็นกล่องใหญ่ หูฟัง Beats กระเป๋า หมวก แจ๊กเก็ต เสื่อโยคะ ผลไม้ เด็ดสุดคือ จะให้ไปดูโรงงาน (virtual factory tour) ที่ทำ Airpods เลยส่งมาให้เลยฟรี จะได้มี inspiration เวลาไปทัวร์
  • ได้เจอ CEO ผ่าน video call ตอนแรกที่ HR ส่ง meeting มาหัวข้อประมาณ Talk with Tim ก็แบบ เค้าคงเอาวีดีโอมาเปิดมั้ง ทิมหรอจะมีเวลามาพูดกับ interns พอวันจริง click เข้าไปดูแทบตกเก้าอี้ เฮ้ยยยยย ทิมไม่ไปขึ้นศาลหรอ (ตอนนั้นกำลังมีคดีกับรัฐบาลเรื่อง Antitrust) เลย selfie จนไม่ได้ฟังว่าเค้าพูดอะไรบ้าง เหอะๆ

กว่าจะได้ Full-time Offer

หลังจากจบ internship ไปแล้ว ปกติบริษัทจะติดต่อกลับมาภายใน 2 อาทิตย์ว่าจะให้ offer หรือ reject ทุกปีที่ผ่านมา บริษัทก็ทำแบบนี้ แต่พอปีนี้มี COVID ทำให้บริษัทค่อนข้างระมัดระวังเรื่องการให้ headcount แล้วเงียบหายไปเลย ความรู้สึกของฉันคือ ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าฉันทำดีนะ ช่วงอาทิตย์สุดท้ายคือเจ้านายพูดทุกประชุมที่เจอกันว่าอยากให้กลับมาทำ full-time เพื่อนร่วมงานอีกทีมก็มาชวนไปทำด้วย

ช่วงเดือนกันยา พอเปิดเรียนปีสองมา consulting firms และบริษัท Tech อื่นๆ ก็ให้ full-time offer กันหมดแล้ว (แต่บางที่ก็ออกมาประกาศเลยนะว่าไม่ให้ซักคน) ส่วนบริษัทฉันยังเงียบหาย มีแต่เปิดรับสมัครตำแหน่ง full-time ใหม่ๆ ช่วงนั้นมีคนมาขอ coffee chat ด้วยเยอะมาก เวลาคุยก็แบบไม่มั่นใจเลย เพราะยังไม่ได้ offer บั่นทอนกำลังใจเหลือเกิน จนปลายเดือนตุลา ส่งข้อความไปถามเจ้านาย เจ้านายขอโทรคุย บอกว่าไม่มี headcount นะ หางานใหม่ได้เลยแล้วไว้ keep in touch ละกัน วันนั้นแบบอึ้งเลย ถอนหายใจยาว เริ่มวางแผนหางาน ดึง resource เก่าๆที่มี พร้อมกับปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไร มาพยายามกันใหม่เนอะ

วันรุ่งขึ้น เจ้านายส่งข้อความมาบอกว่า Heads up! My req of you is approved. อารมณ์สวิงประมาณเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ รู้แต่ว่าโชคดีมาก เพราะเป็นแค่ 1 ใน 2 คนที่ได้ offer ในตอนนี้ รอไปอีกอาทิตย์นึง HR โทรมาแสดงความยินดีและได้ official offer มาเป็นกิจลักษณะในวันที่ 3 Nov พอดิบพอดี (อารมณ์เลยสวิงอีกครั้งกับการเลือกตั้งของจริง)

ยาวอีกแล้ว 5555 แต่หวังว่าจะเป็นกำลังใจหรือข้อเสนอแนะให้กับหลายๆคนที่กำลังทำงานสู้ตายอยู่ มองย้อนกลับไป เอาแค่ปีที่แล้วก็ได้ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้งานจริงๆที่บริษัทระดับโลกแบบนี้ ตอนติด Kellogg ก็ว่าที่สุดในชีวิตแล้วนะ พอตอนเห็น offer แล้วน้ำตาซึม ถึงจะฟลุ๊คๆซักครึ่งหนึ่งก็เถอะ แต่แบบมันเต็มตื้นจริงๆ อารมณ์แบบอนาคตสดใสแล้วนะเรา สามารถเลี้ยงแม่เลี้ยงครอบครัวในอนาคตได้แล้ว ถ้าพ่อยังอยู่ก็คงภูมิใจมาก อยากตบบ่าด้วยเองแล้วบอกว่า ‘พยายามได้ดีมากๆเลยเจน’

Table of Contents

[NEW] ตัวอย่าง การกรอกแบบฟอร์ม วีซ่าอเมริกา ออนไลน์ (DS-160) | ทํา งาน ที่ อเมริกา – NATAVIGUIDES

ตัวอย่าง การกรอกแบบฟอร์ม วีซ่าอเมริกา ออนไลน์

(DS-160) อย่างละเอียด

ในการขอวีซ่าอเมริกา สิ่งที่ผู้ยื่นขอวีซ่าทุกคนต้องทำ คือ กรอกฟอร์ม

DS-160

เพื่อ

submit

เข้าไปในระบบ ก่อนที่จะได้รหัสเพื่อนำไปจ่ายค่าธรรมเนียม เมื่อจ่ายค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว ในระบบจึงจะขึ้นให้เราเข้าไปทำนัดหมายเพื่อสัมภาษณ์อีกที

การกรอก DS-160 นั้นมีความสำคัญมาก ถ้าเรากรอกรายละเอียดครบถ้วน ถูกต้อง เหตุผลชัดเจน จะช่วยในตอนสัมภาษณ์ได้มาก ยิ่งเจ้าหน้าที่อ่านแล้วได้ข้อมูลครบ อาจจะถามแค่ไม่กี่คำ แล้วให้วีซ่าได้เลย ดังนั้นทุกคนที่ยื่นขอวีซ่าอเมริกาควรทำตรงนี้ให้ดีที่สุด

วีซ่าอเมริกา ประเภทที่มีคนยื่นขอมากที่สุด จะเป็นวีซ่าธุรกิจและท่องเที่ยว

BUSINESS & TOURISM (TEMPORARY VISITOR) (B1/B2)

หรือส่วนใหญ่เราก็จะเรียกกันง่ายๆว่า วีซ่าท่องเที่ยว นั่นแหละ

ตรงนี้ถามว่าถ้าแบบนั้นขอเป็น

B2

อย่างเดียว ซึ่งเป็น

TOURISM

ไม่ต้องขอ

B1

ที่เป็นส่วนของ

BUSINESS

จะดีกว่ามั้ย ส่วนตัวผมมองว่าไม่ได้มีผลมากนะครับ และถ้าเป็นผมขอเอง ผมก็จะขอควบไปเลย เผื่อได้วีซ่ายาวๆ ครั้งนี้ไปเที่ยว ครั้งหน้าอาจจะไปเรื่องงานก็ได้ เงื่อนไขของวีซ่าจะได้ครอบคลุมทั้งหมด

ว่ากันมายาวละ เริ่มกันเลยดีกว่า

การจะเข้าไปกรอก

DS-160 (online)

นั้น จะต้องเข้าไปที่ลิ้งค์

พอเข้าไปแล้วก็จะเจอเว็บไซต์หน้าตาแบบนี้

สิ่งที่เราต้องทำ คือ เลือก

Location

ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งถ้าเรายื่นในเมืองไทย จะมีให้เลือกคือ

BANGKOK

กับ

CHIANG MAI

นะครับ

[1]

จากนั้นใส่

Code

ตามที่เห็น

[2]

และเราสามารถเช็คได้ตั้งแต่ขั้นตอนนี้เลยว่า ไฟล์รูปที่เราเตรียมมาเพื่ออัพโหลดนั้นใช้ได้หรือไม่ จะอยู่ตรง

Test Photo

ตรงกลาง

[3]

แล้วเราก็เลือกครับว่าจะทำอะไร ถ้าเรายังไม่ได้เริ่มกรอกอะไรเลย เราก็เลือก

START AN APPLICATION

[4]

หากเรากรอกค้างไว้ แล้ว

save

และ

download

มาเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา เราอยากจะกรอกต่อ ก็เลือก

UPLOAD AN APPLICATION

[5]

และหากจด

application ID

ไว้ เราก็สามารถกรอกต่อจากที่เราเคยกรอกไว้เดิม ได้ด้วยการเลือก

RETRIEVE AN APPLICATION

[6]

พอเราเข้ามาแล้ว ในหน้าถัดไป เราก็จะเจอเลข

application ID

ตรงนี้สามารถจดไว้ หรือเซฟไว้ในคอมฯ เพื่อใช้ในการเปิดใบสมัครเดิมที่เรากรอกค้างไว้ เผื่อกรอกไปแล้วมีปัญหา เช่น กรอกๆอยู่เน็ตหลุด คอมแฮ้งค์ จะได้ไม่ต้องเริ่มกรอกใหม่ทั้งหมด ดังนั้นแนะนำให้จดไว้ครับ

[1]

จากนั้นก็ต้องตอบคำถาม

security question

ก็เป็นเหตุผลด้านความปลอดภัยของข้อมูลเราเองนี่แหละ เผื่อคนอื่นได้

application ID

ได้หน้าพาสปอร์ตเราไป จะเข้ามาแก้ไขข้อมูล แต่ก็จะมีโอกาสถูกกันไว้ด้วยคำถามนี้อีกที

(

ตรงนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหาของคนทั่วไปอย่างเราๆ แต่ก็อธิบายเผื่อไว้นะครับ

)

[2]

จากนั้นก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการกรอกข้อมูลของเราซึ่งเป็นผู้ที่ยื่นขอวีซ่า

Surnames –

นามสกุล

[1]

Given Names –

ชื่อ

[2]

Full Name in Native Alphabet –

ชื่อในภาษาของเรา ในกรณีนี้ก็เป็นภาษาไทย แต่ก็จะเห็นว่าด้านล่างของช่องนี้ มีที่ให้ติ๊ก

Does Not Apply/Technology Not Available

อยู่ ในกรณีที่เราไม่สามารถกรอกชื่อเราในภาษาของเราได้ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

[3]

คำถามต่อมาเป็นคำถามเกี่ยวกับชื่อ หากเราเคยใช้ชื่ออื่น ก็ต้องตอบ

Yes

หากไม่เคย ก็ตอบ

No

[1]

ส่วนคำถามเกี่ยวกับ

telecode

ตรงนี้เท่าที่ผมทราบ อักษรไทย ไม่มี

telecode

นะครับ ก็ตอบ

No

ได้เลย

[2]

ถัดมาเลย เป็นคำถามเกี่ยวกับ เพศของผู้ยื่นขอวีซ่า

[1]

,

สถานภาพ

(

โสด

,

สมรส

,

หย่าร้าง

,

ฯลฯ

)

[2]

,

วัน เดือน ปีเกิด

[3]

,

สถานที่เกิด

[4]

ยังอยู่ในส่วนของข้อมูลผู้ยื่นขอวีซ่า

สัญชาติ ก็เลือกไปตามจริง

[1]

ส่วนคำถามถัดมา คือ เรามีสัญชาติอื่นนอกจากที่เราเลือกไว้หรือไม่ บางคนถือสองสัญชาติอะไร ก็ต้องแจ้ง ส่วนคนที่ถือสัญชาติเดียวก็ตอบ

No

[2]

หรือ เรามีสถานะเป็นผู้มีถิ่นอาศัยถาวร

(Permanent Resident)

ของประเทศไหนด้วยหรือไม่ เช่น บางคนอาจจะถือ

PR

ของออสเตรเลีย ตรงนี้ก็กรอกไป หากไม่มีก็ตอบ

No

[3]

National Identification Number

คือ เลขประจำตัวประชาชน เราก็กรอกของไทยได้เลย

[4]

ส่วน

U.S. Social Security Number

[5]

กับ

U.S. Taxpayer ID Number

[6]

ใครมีก็กรอก

ใครไม่มีก็ติ๊กช่อง

Does Not Apply

จากนั้นเป็น

Address

หรือ ที่อยู่ เราก็กรอก Home Address ที่อยู่ในบัตรประชาชนของเราไปให้ครบครับ

[1]

ถัดมาจะมีคำถามว่าที่อยู่สำหรับจัดส่งเอกสาร

(Mailing Address)

ของเราตรงกับที่อยู่ที่เรากรอกไว้ข้างบนมั้ย ถ้าตรงเราก็ตอบ

Yes

แต่หากไม่ตรง ตอบ

No

แล้วก็ต้องกรอก

Mailing Address

เพิ่ม

[2]

ถัดมาอีกก็กรอกเบอร์โทรศัพท์

[1]

หากมีหลายเบอร์ หรือมีเบอร์ที่ทำงานด้วย ก็กรอกไปได้หมด

แล้วก็

Email Address

[2]

จากนั้นก็เป็นส่วนของข้อมูลหนังสือเดินทาง

(Passport Information)

ช่องแรก ประเภทของหนังสือเดินทาง สำหรับหนังสือเดินทางไทย สีเลือดหมู แบบที่ส่วนใหญ่มีกันคือ แบบ

REGULAR

[1]

ส่วนแบบอื่นอาจจะมีหนังสือเดินทางราชการ หนังสือเดินทางทูต อันนั้นก็เลือกเอา

ช่องต่อมา หมายเลขหนังสือเดินทาง

[2]

และต่อมา

Passport Book Number

คือ หมายเลขเล่มหนังสือเดินทาง เข้าใจว่าสำหรับหนังสือเดินทางไทย เลขที่อยู่บนเล่ม จะเป็นเลขเดียวกับหมายเลขหนังสือเดินทาง ดังนั้นเราไม่ต้องกรอกก็ได้นะครับ ติ๊กช่อง

Does Not Apply

ได้เลย

[3]

ต่อมา หนังสือเดินทางเป็นของประเทศไหน ก็เลือก ในที่นี้ก็เลือก

THAILAND

ครับ

[4]

ในกรอบเล็กเป็นสถานที่ที่ออกหนังสือเดินทาง จริงๆใส่เฉพาะ

City

กับ

Country

ก็ได้นะครับ แต่ถึงใส่เกินไป คือ ครบทั้ง

3

ช่องเลย ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับการพิจารณาวีซ่า

[5]

สุดท้ายในส่วนของหนังสือเดินทาง คือ วันออกหนังสือ

[1]

และวันหมดอายุ

[2]

และปิดด้วยคำถามว่า คุณเคยทำหนังสือเดินทางหาย หรือถูกขโมยหรือไม่ ถ้าไม่เคย ก็ติ๊กช่อง

No

[3]

ส่วนถัดมา เป็นเรื่องของรายละเอียดการเดินทาง (Travel Information)

อันแรกเลยคือ วัตถุประสงค์ของการเดินทาง ถ้าเราต้องการจะไปท่องเที่ยว หรือทำธุระส่วนตัวของเรา

Purpose of Trip to the U.S.

คือ

TEMP. BUSINESS PLEASURE VISITOR (B)

[1]

ลงรายละเอียด

คือ

เป็น

BUSINESS & TOURISM (TEMPORARY VISITOR) (B1/B2)

[2]

ข้อต่อมา ถ้าคุณมีกำหนดการณ์ที่ชัดเจนมากๆอยู่แล้ว คุณตอบ

Yes

[1]

คุณจะต้องกรอกข้อมูล วันที่คุณจะเข้าประเทศ

[2]

เที่ยวบินขาเข้า

(

ถ้ารู้

)

[3]

เมืองที่คุณจะเดินทางเข้า

[4]

รวมถึงวันที่คุณจะเดินทางออก

[5]

เที่ยวบินขาออก

(

ถ้ารู้

)

[6]

เมืองที่คุณจะเดินทางออก

[7]

และก็สถานที่ที่คุณจะไปในประเทศอเมริกา

[8]

ส่วนนี้ถ้าคุณไปหลายที่หลายเมือง มีปุ๋ม

+ Add Another

และ ปุ่ม

– Remove

เผื่อคุณต้องการเพิ่มรายละเอียดให้ชัดที่สุด

แต่ข้อนี้ หากคุณตอบ

No

[1]

ก็จะใส่ข้อมูลการเดินทางน้อยลงมาก เหลือแค่วันที่คาดว่าจะไปถึง

[2]

และระยะเวลาที่เราจะอยู่ในประเทศอเมริกา

[3]

ต่อจากข้อมูลการเดินทาง ก็ขณะจะเป็นข้อมูลของที่พักที่เราอยู่ในประเทศอเมริกา

[1]

ต้องมีที่อยู่ หรือ

Address

ชัดเจน กรณีนี้ ถ้าเราพักบ้านญาติ คนรู้จัก แฟน เราสามารถใส่ที่อยู่ของเค้าได้เลย หากเราพักโรงแรม เราก็ใส่

Address

ของโรงแรมได้

กรณีที่พักหลายที่ ส่วนใหญ่ก็ดูเป็นกรณีไป บางทีผมก็ใส่ที่พักที่แรก ในเมืองที่เราเดินทางเข้า หรือบางทีหากเราพักทั้งบ้านญาติ ทั้งโรงแรม ผมก็จะใส่ที่อยู่บ้านญาติ อันนี้ดูเป็นกรณีๆไป ไม่มีกฎตายตัว แต่ต้องเลือกมาใส่ซักทีหนึ่ง

ในช่องต่อมา เป็นการระบุผู้ที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในทริปนี้

[2]

ถ้าเป็นตัวเอง ก็ใส่

SELF

ส่วนกรณีที่มีผุ้อื่นออกเงินให้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคล

,

บริษัทต้นสังกัดในไทย

,

บริษัทที่อเมริกา ก็เลือกไปตามจริง

ต่อมาเป็นข้อมูลของผู้ที่เดินทางพร้อมกับเรา

(Travel Companions Information)

ถ้าเรามีคนเดินทางพร้อมกับเราด้วย ตอบ

Yes

[1]

หากไม่มีใครเดินทางพร้อมเรา เราเดินทางคนเดียว ตอบ

No

เราเดินทางเป็นกรุ๊ป หรือเดินทางมาในรูปแบบองค์กรใดหรือไม่ ถ้าไม่ เราก็ตอบ

No

[2]

จากนั้นเราก็ต้องกรอก ชื่อ

นามสกุล ของคนที่เดินทางพร้อมเรา

[3]

รวมถึงความสัมพันธ์ของของเรากับคนที่เดินทางด้วยกัน

[4]

เป็นสามี

ภรรยา เป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง ก็ระบุไปตามจริงครับ

ถัดมาจะเป็นเรื่องประวัติการเดินทางมาประเทศสหรัฐอเมริกาของเรา

(Previous U.S. Travel Information)

ถ้าเราไม่เคยมาเลย ก็ตอบ

No

แต่ถ้าเคยมาแล้วก็ตอบ

Yes

[1]

และต้องระบุรายละเอียดการเดินทางทุกครั้ง มีปุ่ม

+

แล

ให้คลิ๊กเพิ่มลดจำนวน การกรอกข้อมูลตรงนี้

[2]

ถ้าคนที่เคยไปอเมริกาครั้งสองครั้ง ก็กรอกไม่ยาก แต่หากใครเคยไปมาแล้วเป็นสิบๆครั้ง ก็จะลำบากหน่อย ถ้าถามว่าจำไม่ได้ หรือกรอกไม่ครบเป็นอะไรมั้ย ตรงนี้ขึ้นอยู่กับประวัติของเราเอง ถ้าเราไม่เคยทำอะไรผิดเลยทุกครั้งที่ไป อันนี้ไม่น่าจะมีปัญหาครับ เจ้าหน้าที่เข้าใจอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้ากรอกได้ทั้งหมดก็ดี

คำถามต่อมาคือ เรามี หรือเคยมีใบขับขี่ของประเทศสหรัฐอเมริกา

(U.S. Driver’s license)

หรือไม่ ถ้ามีก็ตอบ

Yes

และระบุข้อมูลใบขับขี่ของเรา หากไม่มีก็ตอบ

No

[3]

จากนั้นจะเจอ คำถามว่าเราเคยมีวีซ่าอเมริกา หรือไม่ ถ้าไม่ก็ตอบ

No

[1]

แต่ถ้าเคยมีก็ตอบ

Yes

และต้องให้รายละเอียดของวีซ่าตัวสุดท้ายที่เราเคยมี

วีซ่านั้นออกเมื่อไหร่

[2]

หมายเลขวีซ่า

[3]

อันนี้ถ้าไม่รู้ หรือจำไม่ได้ สามารถติ๊ก

Do Not Know

สมัครวีซ่าประเภทเดิมใช่หรือไม่

[4]

ถ้าคราวก่อนเรามีวีซ่า

B1/B2

แล้วคราวนี้สมัครเหมือนเดิม ก็ตอบ

Yes

ครั้งนี้ สมัครจากประเทศที่เคยออกวีซ่าให้เรา หรือประเทศที่เราอยู่อาศัยใช่หรือไม่

[5]

เคยเก็บลายนิ้วมือ

(

ตอนขอวีซ่าอเมริกา

)

ทั้ง

10

นิ้วรึยัง

[6]

วีซ่าที่เราได้รับ เคยหาย หรือถูกขโมยหรือไม่

[7]

เคยถูกยกเลิก หรือถอนวีซ่าอเมริกาหรือไม่

[8]

คำถามต่อมา คือ คุณเคยโดนปฏิเสธวีซ่าอเมริกา หรือ เคยโดนปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศอเมริกา หรือ เคยโดนยกคำร้องขอวีซ่าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองหรือไม่ ถ้าไม่ก็ตอบ

[1]

***

อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโดนยกคำร้อง น่าจะเป็นบางประเทศที่ขอวีซ่าเข้าอเมริกา

on arrival

ได้ ก็คือ ไปกรอกฟอร์มกันตรงด่าน ตม

.

เลย แต่ประเทศไทยไม่ใช่แบบนั้น ต้องขอวีซ่าไปก่อนนะครับ

***

ถ้ดมา เคยมีใครทำเรื่องวีซ่าถาวรของอเมริกาให้เรามั้ย ถ้าไม่มีก็ตอบ

No

[2]

จากนั้นเราต้องใส่ข้อมูลการติดต่อตัวเราในอเมริกา ซึ่งตรงนี้จะเป็น บุคคล หรือ องค์กร ก็ได้ แต่ต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่ง กรณีเป็นบุคคล เราก็ใส่ นามสกุล

ชื่อ ของบุคคลนั้น

[1]

กรณีเป็นองค์กร เราก็ใส่ชื่อองค์กร

[2]

แล้วก็ใส่ความสัมพันธ์ เป็นญาติ หรือเป็นอะไรกับเราก็ใส่ไป

[3]

นอกจากชื่อและความสัมพันธ์แล้ว เราต้องให้ ที่อยู่

[1]

,

เบอร์โทร

[2]

,

และอีเมล

[3]

ด้วย สำหรับอีเมล หากไม่รู้ สามารถติ๊กช่อง

Does Not Know

ได้

ต่อมา ข้อมูลครอบครัว

เริ่มด้วย ของพ่อ

นามสกุล

[1]

,

ชื่อ

[2]

,

วัน เดือน ปี เกิด

[3]

ส่วนคำถามสุดท้าย คือ พ่อของเราอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือไม่ ถ้าไม่ ก็ตอบ

No

[4]

ต่อด้วยข้อมูลของแม่

(

เหมือนกันกับของพ่อ

)

นามสกุล

[1]

,

ชื่อ

[2]

,

วัน เดือน ปี เกิด

[3]

ส่วนคำถามสุดท้าย คือ แม่ของเราอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือไม่ ถ้าไม่ ก็ตอบ

No

[4]

ข้อต่อมา หากเรามีญาติใกล้ชิดที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา

[1]

ถ้าไม่มีก็ตอบ

No

แต่ถ้ามี ข้อนี้ต้องตอบ

Yes

และกรอกข้อมูล

นามสกุล

ชื่อ

[2]

,

ความสัมพันธ์

[3]

,

สถานะของคนคนนี้ในประเทศอเมริกา

[4]

คือ จะถือวีซ่าชั่วคราว ถือกรีนการ์ด หรือเป็น

U.S. citizen

ก็เลือกตอบตามความจริง

***

ญาติใกล้ชิดในที่นี้ คือ คู่หมั้น

,

คู่ครอง

(

สามี

ภรรยา

),

บุตร

,

หรือ พี่

น้อง เท่านั้นนะครับ ถ้าเป็นลูกพี่ลูกน้อง เป็นลุงป้าน้าอา แบบนี้ไม่ว่าในชีวิตจริงจะใกล้ชิดสนิทสนมแค่ไหน ก็ไม่ต้องใส่ไปนะครับ

***

ข้อมูลครอบครัวต่อ เป็นส่วนของข้อมูลคู่ครอง หรือคู่สมรส

นามสกุล

ชื่อ

[1]

,

วัน เดือน ปี เกิด

[2]

,

สัญชาติ

[3]

,

เมืองที่เกิด

[4]

,

ประเทศที่เกิด

[5]

ที่อยู่ หากเป็นที่อยู่เดียวกับเรา ก็เลือกได้เลย

[6]

แต่หากเป็นคนละที่ก็ต้องกรอกข้อมูล

*** สำหรับข้อมูลส่วนนี้จะไม่มีให้กรอก หากเราระบุสถานะโสด

(single)

ตั้งแต่แรก

***

ต่อไปเป็นส่วนของ ข้อมูลการทำงาน

/

การศึกษา

(

ตรงนี้แนะนำให้กรอกให้ละเอียดที่สุดนะครับ เพราะเป็นส่วนที่สำคัญในการพิจารณาวีซ่า

)

ข้อมูลอาชีพหลัก

(Primary Occupation)

[1]

หากใครที่มีหลายอาชีพ ผมแนะนำว่าเอาอาชีพที่เราใช้เวลากับมันมากที่สุดก่อน ถ้าหากใช้เวลาพอๆกัน ก็เลือกอาชีพที่สร้างรายได้หลักให้กับเรา

กรอกชื่อนายจ้าง หรือหากเรากำลังศึกษาอยู่

(

ระบุอาชีพเป็นนักเรียนนักศึกษา

)

[2]

จากนั้นกรอกที่อยู่

,

เบอร์โทร ให้เรียบร้อย

[3]

ต่อมาให้หน้าเดิม ระบุวันที่เริ่มงาน

[1]

รายได้ต่อเดือน

(

ในหน่วยเงินของเรา

)

[2]

และอธิบายรายละเอียดงานของเรา ตรงนี้ผมแนะนำให้เขียนให้ละเอียดที่สุดเท่าที่ทำได้

[3]

หากงานนี้ไม่ใช่งานแรกของเรา ก็ตอบ

Yes

[1]

เราสามารถกรอกข้อมูลงานที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ได้ด้วย

ใส่ชื่อที่ทำงานเก่า

[2]

และที่อยู่ เบอร์โทรให้ละเอียด

[3]

ในหัวข้อเดิม ต้องใส่ชื่อตำแหน่งงานนั้นของเรา

[1]

ใส่ นามสกุล

ชื่อ ของหัวหน้า

[2]

ใส่ วัน เดือน ปี ที่เริ่ม

[3]

และ วัน เดือน ปี ที่ทำงานวันสุดท้าย

[4]

รวมถึงเขียนอธิบายรายละเอียดของงานนี้เช่นกัน

[5]

ข้อต่อมา หากเราเคยเรียนในระดับมัธยมศึกษาขึ้นไป ก็ตอบ

Yes

[1]

แล้วเราก็ต้องกรอกข้อมูลสถานศึกษา

(

สูงสูด

)

ของเราด้วย

ชื่อ

ที่อยู่ของสถาบัน

[2]

หลักสูตรที่เราเรียน

[3]

วันที่เข้าเรียน

[4]

วันสุดท้ายของการเรียน

[5]

ส่วนต่อมา เป็นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การทำงาน

/

การศึกษา

เราเป็นชนกลุ่มน้อย หรือ ชนเผ่าไหนหรือไม่ ถ้าใช่ก็ตอบ

Yes

แล้วใส่ข้อมูล ถ้าไม่ เราก็ตอบ

No

[1]

เราพูดภาษาใดได้บ้าง ที่แน่ๆ เราต้องใส่ภาษาแม่ หรือภาษาหลักของเรา

[2]

ส่วนใครที่พูดได้มากกว่าหนึ่งภาษา ก็สามารถกด

+ Add Another

เข้าไปได้

[3]

ถัดมา หากเราเคยเดินทางไปประเทศไหน ในช่วง

5

ปีหลัง เราก็ตอบ

Yes

[1]

แล้วใส่รายละเอียดประเทศที่เราไปมา

[2]

หากไม่ได้ไปไหนเลย ก็ตอบ

No

ส่วนข้อต่อนี้ส่วนใหญ่ตอบ

No

ผมขออธิบายแค่คร่าวๆนะครับ

เราเคยอยู่ หรือทำงาน ในองค์กร เพื่อสังคม หรือไม่

No

[3]

เรามีความสามารถพิเศษ พวกทำระเบิด ทำนิวเคลียร์ หรืออาวุธเคมี หรือไม่

No

[4]

เราเคยรับราชการทหารหรือไม่

No

[5]

เราเคยอยู่ในกลุ่มกบฎใดๆ หรือไม่

No

[6]

***

ขออธิบายเพิ่มตรงนี้ว่า ชายไทยที่เกณฑ์ทหาร สามารถตอบ

Yes

แล้วเขียนอธิบายได้นะครับ แต่ที่ผ่านๆมาหลายคนก็ตอบ

No

ไปเพราะถือว่าไม่ได้เป็นทหารไปรบ หรือ เป็นแค่ทหารเกณฑ์ ไม่ได้รับผิดชอบในหน่วยงานทหารใดๆ ถือว่าไม่ได้มีผลต่อการพิจารณาวีซ่า ส่วนคนที่เรียน รด

.,

จับได้ใบดำ

,

หรือไม่ได้เกณฑ์ด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม อันนี้ตอบ

No

ชัดเจน

***

ส่วนต่อมา จะเป็นคำถาม เกี่ยวกับความมั่นคง และประวัติที่ผ่านมา

จะเป็นคำถามเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ คดีความ การกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ในการขอวีซ่าแทบทุกประเทศนะครับ เหมือนเป็นหลักสากล ที่เค้าต้องถาม เผื่อมีการเช็คย้อนหลัง เราจะไม่สามารถอ้างได้ว่าเราไม่เคยถูกถามคำถามพวกนี้

กรณีที่ใครมีปัญหาจริงๆ ควรตอบตามจริง และเขียนอธิบาย เพราะหลายเรื่องเป็นเรื่องร้ายแรง หากไม่กรอกไป แล้วเจ้าหน้าที่มารู้ทีหลัง จะกลายเป็นเราที่ให้ข้อมูลเท็จ

แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่เคยมีปัญหาอะไร ก็ตอบ

No

ให้หมดนะครับ

ข้อแรก คุณเป็นโรคติดต่อร้ายแรงหรือไม่

[1]

ถ้าใครเคยเป็น ก็ลองดูชื่อโรคเอานะครับ ว่าโรคที่เราเป็นอยู่ในลิสต์นี้รึเปล่า

คุณมีปัญหาด้านสมอง หรือร่างกาย ที่จะส่งผลต่อตัวเองและผู้อื่นหรือไม่

[2]

คุณเกี่ยวข้องกับสิ่งเสพติดหรือไม่

[3]

ส่วนต่อมาเป็นส่วนของคดีความ ผมอธิบายคร่าวๆ ส่วนใหญ่ก็ตอบ

No

นะครับ

เคยต้องคดีอาญาใดๆหรือไม่

[1]

เคยฝ่าฝืนการโดนบังคับคดีหรือไม่

[2]

มาเพื่อค้าประเวณีในอเมริกา หรือเคยเกี่ยวข้อง หรือไม่

[3]

เคยมีส่วนกับการฟอกเงินหรือไม่

[4]

ต่อจากส่วนที่แล้ว อันนี้จะเป็นเรื่องการค้ามนุษย์ ก็ตอบ

No

นะครับ

เคยเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์หรือไม่

[1]

เคยมีส่วนร่วมรู้เห็นกับการค้ามนุษย์หรือไม่

[2]

คู่ครอง หรือ บุคร เคยเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์หรือไม่

[3]

ถัดมา จะเป็นคำถามเกี่ยวกับการก่อการร้าย ก็ตอบ

No

เช่นกัน

คุณจะเข้ามาเพื่อหาจารกรรมหรือไม่

[1]

คุณจะหาโอกาสเข้าร่วม หรือเคยร่วมการก่อการร้ายหรือไม่

[2]

คุณเคยเจตนาให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายหรือไม่

[3]

คุณเป็นสมาชิกองค์กรก่อการร้ายหรือไม่

[4]

ยังเป็นคำถามที่ต้องดอบ

No

เหมือนเดิมนะครับ

เคยเกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธ์หรือไม่

[1]

เคยเกี่ยวข้องกับการทรมานมนุษย์หรือไม่

[2]

เคยเกี่ยวข้องกับการสั่งการ จ้างวานฆ่า หรือไม่

[3]

เคยเกี่ยวข้องกับการใช้งานทหารเด็กหรือไม่

[4]

ยังเป็นคำถามยากๆที่ตอบ

No

เหมือนเดิม

เคยทำงานที่เกี่ยวกับการคุกคามเสรีภาพทางศาสนาหรือไม่

[1]

เคยเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำแท้งผิดกฎหมายหรือไม่

[2]

เคยเกี่ยวข้องโดยตรงกับการซื้อขายอวัยวะหรือเซลล์ของมนุษย์หรือไม่

[3]

ต่อมา คุณเกี่ยวข้องหรือได้รับความช่วยเหลือให้ได้วีซ่าเพื่อเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการปลอมแปลง หรือทำผิดกฎหมายหรือไม่ ตอบ

No

[1]

3

ข้อสุดท้าย ก็ยังตอบ

No

นะครับ

เคยถือสิทธิ์ปกครองเด็กที่ถือสัญชาติอเมริกาที่อยู่นอกประเทศหรือไม่

[1]

เคยลงคะแนนสนับสนุนอะไรก็ตามที่แย้งกันกับกฎหมายสหรัฐฯหรือไม่

[2]

เคยสละสัญชาติอเมริกาเพื่อเลี่ยงภาษีหรือไม่

[3]

จบคำถามทั้งหมดแล้วนะครับ ก่อนที่จะไปในส่วนของการอัพโหลดรูป บางคนอาจจะสังเกต แต่บางคนอาจจะไม่ได้สังเกต เพราะกรอกเพลินๆ คือในส่วนซ้ายมือ ที่ผมเอากรอบสีเขียวครอบไว้ คือ ข้อมูลทั้งหมดที่เรากรอกมา ซึ่งเราสามารถคลิ๊กย้อนกลับไปดูได้

กรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้วก็จะเข้าในส่วนของการอัพโหลดรูป สามารถคลิ๊กด้านล่าง

[1]

ได้เลย

ส่วนด้านบนเป็นเหมือนหัวข้อ เราอยู่หัวข้อไหน แถบด้านบนก็จะแสดงสถานะ

การอัพโหลดรูป กรณีที่รูปของเราไม่ได้มาตรฐาน เราสามารถเข้าไปทำการตัดได้

[1]

หากพร้อมแล้วต้องการอัพโหลด ก็มาคลิ๊กเลือกไฟล์

[2]

แล็วก็กดอัพโหลดไฟล์ที่เราเลือก

[3]

เมื่อไฟล์รูปที่อัพไปใช้ได้ ภาพผ่านมาตรฐาน ก็จะขึ้นเป็นรูปที่เราอัพ

(

ในนี้ผมใช้กราฟฟิกมาปิดไว้เฉยๆนะครับ

)

ก็คลิ๊กใช้รูปนี้ แล้วไปต่อได้เลย

[1]

จากนั้นระบบจะให้เรายืนยันรูปอีกครั้งนะครับ ถ้าเราจะเปลี่ยนใจใช้รูปอื่น ก็เลือกเปลี่ยนรูปได้

[1]

แต่ถ้าเราไม่เปลี่ยน ก็คลิ๊ก

Next

ด้านล่าง เพื่อไปส่วนของการ

Review

ได้เลย

ในส่วนของการรีวิว ก็คือการเช็คข้อมูลที่เรากรอกไปทั้งหมดนะครับ

ควรเช็คดูอีกรอบ ว่าเรามีการกรอกอะไรผิดรึเปล่า โดยเฉพาะ ชื่อ วันเดือนปีเกิด หมายเลขพาสปอร์ต

ซึ่งตรงนี้สามารถกดปุ่ม

Edit

เพื่อย้อนกลับไปแก้ไขได้นะครับ

(ตรงนี้สามารถเลื่อนข้ามไปเร็วๆได้ครับ ใกล้เสร็จแล้ว)

ตรงนี้เป็นส่วนของสถานที่ยื่นวีซ่าของเรา ต้องดูให้ดีนะครับ ย้ำอีกทีว่าประเทศไทยจะเลือกได้

2

ที่ คือ

BANGKOK

กับ

CHIANG MAI

ขั้นตอนสุดท้าย จะเป็นการ

Sign and Submit

หรือ การเซ็นยืนยัน และ ยื่นแบบฟอร์ม ซึ่งกรณีนี้จะเป็นการเซ็นแบบอิเล็กทรอนิก หรือ

E-Sign

และ การยื่นออนไลน์ หรือ

Online Submission

ซึ่งระบบก็จะมีรายละเอียดเงื่อนไขต่างๆ ให้เราอ่านและยอมรับก่อน เช่น ให้เรายืนยันว่าเราให้ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง หรือให้เรายอมรับผลการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ อะไรประมาณนี้ ก็ต้องยอมรับไป

ก่อนจะยอมรับ จะมีคำถามอีกนิดนึง ว่ามีใครช่วยเราในการกรอกแบบฟอร์มรึเปล่า ถ้าไม่มีก็ตอบ

No

[1]

จากนั้นใส่หมายเลขหนังสือเดินทาง

[2]

แล้วก็ใส่

Code

ตามที่เห็น

[3]

แล้วก็คลิ๊กด้านล่าง เป็นอันเสร็จขั้นตอนการกรอกข้อมูล

หลังจากนี้ ระบบจะขึ้นหน้า

Confirmation

เพื่อยืนยันว่าเราได้ทำการยื่นใบสมัครออนไลน์แล้ว เราสามารถปริ๊นท์ตัวเอกสารต่างๆออกมาเก็บไว้ได้เลย แต่ต้องระวังด้วยนะครับ เพราะเอกสารบางตัวจะระบุว่าห้ามนำไปในวันสัมภาษณ์

สำหรับการกรอกใบสมัคร วีซ่าอเมริกา หรือ

DS-160

ก็คงจะมีเท่านี้ก่อนนะครับ

ขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า และขั้นตอนการทำนัดสัมภาษณ์ จะขอมาอธิบายต่อในคราวหน้าครับผม

สุดท้ายนี้หวังว่า ตัวอย่าง การกรอกแบบฟอร์ม วีซ่าอเมริกา ออนไลน์

(DS-160)

อันนี้จะมีประโยชน์กับคนที่กำลังจะยื่นขอ วีซ่าอเมริกา ไม่มากก็น้อยนะครับ

ขอบคุณครับ

#วีซ่า #วีซ่าอเมริกา #แบบฟอร์ม #ds160 #form #visa #usvisa #usa


บรรยากาศการทำงานที่อเมริกา 🇺🇸✨ 300บาทต่อชั่วโมงจริงมั้ย? | Khawwi


USA workandtravel
วันนี้ข้าวชวนเพื่อนมาแชร์ประสบการณ์ work and travel ที่อเมริกาง้าบบบบบ! 🇺🇸 เป็นประเทศในฝันของใครหลายๆคนเลย รวมถึงข้าวด้วย หวังว่าจะมีประโยชน์กับน้องๆทุกคนนะฮะ วันนี้จะแชร์เกี่ยวกับบรรยากาศการทำงานที่เมกานะคะ เงินเดือนเท่าไหร่ ค่าคลองชีพเป็นไง ไปดูกัน!
สามารถไปร่วมสนุกกับข้าวได้ที่ IG เลยนะคะ
มาติดตามข้าวกันได้ทางช่องทางนี้นะคะ 💖
IG khawwi.k
https://www.instagram.com/khawwi.k/
ฝากกดไลค์เพจ facebook เค้าด้วยย
https://www.facebook.com/Khawwi343291979568698/
📁For work
@Line ID : natcha_bunbun

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

บรรยากาศการทำงานที่อเมริกา 🇺🇸✨ 300บาทต่อชั่วโมงจริงมั้ย?  | Khawwi

เด็ดๆ ทั้งนั้น! ตลาดญี่ปุ่นในอเมริกา แคลิฟอร์เนีย ขายอะไร? #มอสลา | Tokyo Central Market in CA


ซุปเปอร์มาร์เก็ตอเมริกา ตลาดอเมริกา ค่าครองชีพอเมริกา
บุกตลาดญี่ปุ่นในอเมริกา ญี่ปุ่นเอาอะไรมาขายในอเมริกาบ้าง?
ส่องราคาของกิน ของใช้ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตญี่ปุ่นในอเมริกา รัฐแคลิฟอร์เนีย
ขอบคุณทุกคนที่กด Like กดติดตาม Subscribed ให้มอร์สด้วยนะคะ 🙂
Thank you for supporting me
📍ช่องทางติดตาม FOLLOW ME ON SOCIAL MEDIA
Facebook Page ➪https://www.facebook.com/Mossala101/
Instagram ➪ https://instagram.com/mossala101
Contact Email ➪ [email protected]

เด็ดๆ ทั้งนั้น! ตลาดญี่ปุ่นในอเมริกา แคลิฟอร์เนีย ขายอะไร? #มอสลา | Tokyo Central Market in CA

300,000 บาท – 1 เดือน? ทำงานในอเมริกา ครั้งแรกในชีวิต 🇺🇸 EP2 [เปื่อยDay]


รับกดสินค้าทุกชนิดในอเมริกา
http://bit.ly/Shopnama
ติดต่อโฆษณา
Facebook: เปื่อยday
Instagram: boring_shirt
แวะมาดูเสื้อวินเทจ ได้ที่
Instagram: boring_shirt
IG แก๊งเปื่อยday
@tumxpv
@top_ngernbundansuk
ส่งอาหาร
ทำงานในอเมริกา
อาชีพคนไทย

300,000 บาท - 1 เดือน? ทำงานในอเมริกา ครั้งแรกในชีวิต 🇺🇸 EP2 [เปื่อยDay]

เพลงหลับลึก ใน5นาทีที่ทำด้วยนักจิตบำบัด แก้นอนไม่หลับด้วย Delta waves คลื่นหลับลึก


เสียงคลื่น Delta waves ช่วยในการหลับลึก หลับสนิททั้งคืน โดยแต่ละคนอาจใช้เวลาสั้นยาวไม่เท่ากัน แต่จะหลับได้ง่ายขึ้นเมื่อหัดทำจิตใจให้ผ่อนคลายและดึงสติกลับมาทุกครั้งที่กำลังคิดไปถึงเรื่องอื่น กลับมาฟังเพลงนี้ซ้ำๆ ทุกคืนคุณจะนอนหลับได้เร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หากชื่นชอบและอยากสนับสนุนช่องของเรา คุณสามารถเลี้ยงกาแฟเราได้นะคะ
เราจะได้ตาสว่างยันเช้าเพื่อทำเพลงให้พวกคุณได้นอนหลับสบาย ^^
เลี้ยงกาแฟเราได้ที่นี่ค่ะ https://www.buymeacoffee.com/KateVP
เพลงนี้ทำโดยคุณ Loula Taylor นักจิตบำบัดที่มีใบรับรองในประเทศสหรัฐอเมริกา
Nice to meet you!
I’m a professional scriptwriter and a voice artist and I lead meditation as well as helpful hypnosis at The Awareness Center in Carborro North Carolina. I am a certified Hypnotist with a certificate in Regression Hypnosis.
เพลงกล่อมนอน เพลงกล่อมนอนผู้ใหญ่ เพลงหลับลึก

เพลงหลับลึก ใน5นาทีที่ทำด้วยนักจิตบำบัด แก้นอนไม่หลับด้วย Delta waves คลื่นหลับลึก

ทำงานครัวในอเมริกา,ตำแหน่งหน้าที่,รายได้หลักแสน100,000บาท😳Life in USA 🇺🇸 Ep.23


ทำงานครัวในอเมริกาคนไทยในอเมริการายได้ในอเมริกาNammy’sChannel
สวัสดีค่ะ มาดูนำ้ทำงานในครัวและกวาที่นำ้จะสามารถทำอาหารขายได้ต้องฝ่านงานมาแล้วกี่ขั้นตอน และรายได้เท่าไหร, ขอบคุณทุกการรับชมนะค่ะ🙏🥰

ทำงานครัวในอเมริกา,ตำแหน่งหน้าที่,รายได้หลักแสน100,000บาท😳Life in USA 🇺🇸 Ep.23

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆMAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ ทํา งาน ที่ อเมริกา

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *