Skip to content
Home » [NEW] Eng Hero เรียนภาษาอังกฤษ ออนไลน์ ฟรี | กริยา 3 ช่อง wash – NATAVIGUIDES

[NEW] Eng Hero เรียนภาษาอังกฤษ ออนไลน์ ฟรี | กริยา 3 ช่อง wash – NATAVIGUIDES

กริยา 3 ช่อง wash: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

Post on 16 / 02 / 20

by: English Hero

1.5K viewed

Pronouns  (คำสรรพนาม)

เวลาเราจะเรียกหรือกล่าวถึงคนอื่น เราสามารถเรียกชื่อคนคนนั้นได้โดยตรง แต่หากต้องเรียกซ้ำหรือต้องกล่าวถึงโดยไม่รู้ชื่อหล่ะ จะทำอย่างไร จึงมีสิ่งที่เอาไว้เรียกแทนคน สัตว์ สิ่งของและสถานที่ แล้วเราเรียกสิ่งนี้ว่าคำสรรพนาม (Pronouns) โดย Pronouns ในภาษาอังกฤษสามารถแบ่งออกได้ถึง 7 กลุ่มด้วยกัน

 

Types (ชนิดของคำสรรพนาม)

Pronoun ( คำสรรพนาม )  คือคำที่ใช้แทนคำนามหรือคำเสมอนาม ( nouns- equivalent ) เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงซ้ำซาก หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูด ผู้ฟัง   หรือแทนสิ่งของที่ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร   คำสรรพนาม  (pronouns ) แยกออกเป็น  7 ชนิด คือ

 

  • 1. Personal Pronoun ( บุรุษสรรพนาม )  เช่น I, you, we, he , she ,it, they
  • 2. Possessive Pronoun ( สรรพนามเจ้าของ ) เช่น mine, yours, his, hers, its,theirs, ours
  • 3. Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง ) เป็นคำที่มี – self ลงท้าย  เช่น myself, yourself,ourselves
  • 4. Definite Pronoun ( หรือ Demonstrative Pronouns สรรพนามเจาะจง )  เช่น  this, that, these, those, one, such, the same
  • 5. Indefinite Pronoun ( สรรพนามไม่เจาะจง ) เช่น  all, some, any, somebody, something, someone
  • 6. Interrogative Pronoun ( สรรพนามคำถาม ) เช่น Who, Which, What
  • 7. Relative pronoun ( สรรพนามเชื่อมความ ) เช่น  who, which, that

 

 

 

1. Personal Pronouns (บุรุษสรรพนาม)

คือสรรพนามที่ใช้แทนบุคคลหรือสิ่งของในการพูดสนทนา มี 3 บุรุษคือ

 

บุรุษที่ 1
ได้แก่ตัวผู้พูด
I, we

บุรุษที่ 2
ได้แก่ผู้ฟัง  
you

บุรุษที่ 3
ได้แก่ผู้ ที่พูดถึง สิ่งที่พูดถึง
 he, she. it , they

 

รูปที่สัมพันธ์กันของคำสรรพนาม

รูปประธาน 

รูปกรรม

Possessive Form

Reflexive Pronoun

Adjective

Pronoun

 I

 me

my

 mine

 myself

we

us

our

ours

ourselves

you

you

your

yours

yourself

he

him

his

his

himself

she

her

her

hers

herself

it

it

its

its

itself

they

them

their

theirs

themselves

 

เช่น
I saw a boy on the bus. He seemed to recognize me.
ฉันเจอเด็กคนหนึ่งบนรถประจำทาง เขาดูเหมือนจะจำฉันได้  ( He ในประโยคที่สองแทน a boy และ me แทน I  ในประโยคที่หนึ่ง )
My friend and her brother like to swim. They swim whenever they can.
เพื่อนฉันและน้องชายของเธอชอบว่ายน้ำ พวกเขาไปว่ายน้ำทุกครั้งที่มีโอกาส (  they ในประโยคที่สอง แทน My friend และ her brother ในประโยคที่ 1 )

การใช้ Personal Pronouns ที่ทำหน้าที่เป็นประธานและเป็นกรรมมีหลักดังนี้
Personal Pronoun ที่ตามหลังคำกริยาหรือตามหลังบุพบท ( preposition ) ต้องใช้ในรูปกรรม เช่น

Please tell him what you want.   โปรดบอกเขาถึงสิ่งที่คุณต้องการ  ( ตามหลังดำกริยา tell )
Mr. Wilson talked with him about the project. 
คุณวิลสัน พูดกับเขาเกี่ยวกับโครงการ ( ตามหลังบุพบท with )

หมายเหตุ        ถ้ากริยาเป็น verb to be สรรพนามที่ตามหลังจะใช้เป็นประธานหรือเป็นกรรม ให้พิจารณาดูว่า สรรพนามใน ประโยคนั้นอยู่ในรูปผู้กระทำ หรือ ผู้ถูกกระทำ เช่น

It was she who came here yesterday.
เธอคนนึ้ ที่มาเมื่อวานนี้  ( ใช้ she เพราะเป็นผู้กระทำ )
It was her whom you met at the party last night.
เธอคนนี้ที่คุณพบที่งานเลี้ยงเมื่อคืนนี้ (ใช้ her เพราะเป็นกรรมของ   you met )

 

 

 

2. Possessive Pronouns (สรรพนามเจ้าของ) 

คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามเมื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ได้แก่คำต่อไปนี้
      mine,ours, yours, his, hers,its,theirs 

The smallest gift is mine. ของขวัญชิ้นที่เล็กที่สุดเป็นของฉัน
This is yours. อันนี้ของคุณ
His is on the kitchen counter. ของเขาอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว
Theirs will be delivered tomorrow. ของพวกเขาจะเอามาส่งพรุ่งนี้
Ours is the green one on the table . ของพวกเราคืออันสีเขียวที่อยู่บนโต๊ะ

possessive pronouns มึความหมายเหมือน    possessive adjectives แต่หลักการใช้ต่างกัน

This is my book.
นี่คือหนังสือของฉัน ( my ในประโยคนี้เป็น possessive adjective ขยาย book )
This book is mine
หนังสือนี้เป็นของฉัน (  mine ในประโยคนี้เป็น possessive pronoun  ทำหน้าที่เป็นส่วนสมบูรณ์ ( complement)  ของคำกริยา is )

 

 

 

3. Reflexive Pronouns (สรรพนามตนเอง)

คือสรรพนามที่แสดงตนเอง แสดงการเน้น ย้ำให้เห็นชัดเจน มักเรียกว่า -self form of pronoun  ได้แก่
    myself. yourself, yourselves, himself, herself, ourselves. themselves, itself  มีหลักการใช้ดังนี้

  • ใช้เพื่อเน้นประธานให้เห็นว่าเป็นผู้กระทำการนั้นๆ ให้วางไว้หลังประธานนั้น  ถ้าต้องการเน้นกรรม (object ) ให้วางหลังกรรม เช่น

    She

     herself doesn’t think  she’ll get the job.

    The film

     itself wasn’t very good but I like the music.
    I spoke to 

    Mr.Wilson

     himself.

  • วางหลังคำกริยา เมื่อกริยาของประโยคเป็นกริยาที่ทำต่อตัวประธานเอง
    They 

    blamed

     themselves for the accident.
    พวกเขาตำหนิตนเองในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ( ตามหลังกริยา blamed )
    You 

    are

     not yourself today.
    วันนี้คุณไม่เป็นตัวของคุณเอง ( ตามหลังกริยา are )
    I don’t want you to pay for me. I’ll 

    pay

     for myself
    ฉันไม่อยากให้คุณเป็นคนจ่ายเงินให้ ฉันจะจ่ายของฉันเอง
    Julia had a great holiday. She enjoyed herself very much.
    จูเลียมีวันหยุดที่ดี เธอสนุกมาก
    George cut himself while he was shaving this morning.
    จอร์จทำมีดบาดตัวเองขณะทีโกนหนวดเมื่อเช้านี้

หมายเหตุ  ปกติ จะใช้  wash/shave/dress โดยไม่มี myself

  • เมื่อต้องการจะเน้นว่า ประธานเป็นผู้ทำกิจกรรมนั้นเอง
    Who repaired your bicycle for you? Nobody, I repaired it myself.ใครซ่อมรถจักรยานให้คุณ. ไม่มีใครทำให้ฉันซ่อมเอง
    I’m not going to do it for you. You can do it yourself.
    ฉันจะไม่ทำ( อะไรสักอย่างที่รู้กันอยู่ ) ให้นะ คุณต้องทำเอง

    By myself หมายถึงคนเดียว มีความหมายเหมือน  on my own  เช่นเดียวกับคำต่อไปนี้

    on ( my/your/his/ her/ its/our/their ) own     มีความหมายเหมือนกับ
    by ( myself/yourself ( singular) /himself/ herself/ itself/ ourselves/ yourselves(plural)/ themselves )
    เช่น
    I like living on my own/by myself. ฉันชอบใช้ชีวิตอยู่คนเ้ดียว
    Did you go on holiday on your own/by yourself? เธอไปเที่ยววันหยุดคนเดียวหรือเปล่า
    Learner drivers are not  allowed to drive on their own/ by themselves.
    ผู้ที่เรียนขับรถไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถด้วยตัวเองคนเดียว
    Jack was sitting on his own/by himself in a corner of the cafe.
    แจ๊คนั่งอยู่คนเดียวทีีมุมห้องในคาเฟ

 

 

4. Definite Pronouns หรือ Demonstrative Pronouns (สรรพนามเจาะจง)

คือสรรพนามที่บ่งชี้ชัดเจนว่าใช้แทนสิ่งใด เช่น
 this, that, these, those, one, ones, such, the same, the former, the latter

That is incredible!    นั่นเหลือเชื่อจริงๆ  (อ้างถึงสิ่งที่เห็น)
I will never forget this.   ฉันจะไม่ลืมเรื่องนี้เลย (อ้างถึงประสบการณ์เมื่อเร็วๆนี้)
Such is my belief.  นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเชื่อ (อ้างถึงสิ่งที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ )
Grace and Jane ar good girls. The former is more beautiful than the latter.
  เกรซและเจนเป็นเด็กดีทั้งคู่ แต่คนแรก (เกรซ)จะสวยกว่าคนหลัง (เจน)

 

5.Indefinite Pronouns (สรรพนามไม่เจาะจง)

หมายถึงสรรพนามที่ใช้แทนนามได้ทั่วไป มิได้ชี้เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนั้น คนนี้ เช่น

everyone
everybody
everything
some
each

someone
somebody
all
any
many

anyone
anybody
anything
either
neither

no one
nobody
nothing
none
one

more
most
enough
few
fewer

little
several
more
much
less

Everybody loves somebody. คนทุกคนย่อมมีความรักกับใครสักคน
Is there anyone here by the name of Smith? มีใครที่นีชื่อสมิธบ้าง
One should always look both ways before crossing the street. ใครก็ตามควรจะมองทั้งสองด้านก่อนข้ามถนน
Nobody will believe him. จะไม่มีใครเชื่อเขา
Little is expected. มีการคาดหวังไว้น้อยมาก

We, you, they ซึ่งปกติเป็น personal pronoun จะนำมาใช้เป็น indefinite pronoun เมื่อไม่เจาะจง  โดยมากใช้ในคำบรรยาย คำปราศัย เช่น

We should prepare ourselves to deal with any emergency. เรา ( โดยทั่วไป) ควรจะเตรียมพร้อมไว้เสมอสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน)
You sometimes don’t know what to say in such a situation. บางครั้งพวกคุณก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น.

 

 

6. Interrogative Pronouns (สรรพนามคำถาม)

เป็นสรรพนามที่แทนนามสำหรับคำถาม ได้แก่  Who, Whom, What, Which  และ Whoever, Whomever,Whatever,Whichever   เช่น

Who want to see the dentist first? ใครอยากจะเข้าไปหาหมอฟันเป็นคนแรก? ( who ในที่นี้เป็นประธาน )
Whom do you think we should invite? เธอคิดว่าเราควรจะัเชิญใคร? (  whom ในที่นี้เป็นกรรม – object )
To whom do to wish to speak ? เธออยากจะพูดกับใคร? (  whom ในที่นี้เป็นกรรม – object )
What did she say?  เธอพูดว่าอะไรนะ? (  what เป็นกรรมของกริยา say )
Which is your cat ? แมวของเธอตัวไหน? ( which เป็นประธาน )
Which of these languages do you speak fluently? ภาษาไหนในบรรดาภาษาเหล่านี้ที่คุณพูดได้คล่อง? ( which เป็นกรรมของ speak )

หมายเหตุ   which และ  what  สามารถใช้เป็น  interrogative adjective   และ who, whom , which  สามารถใช้เป็น relative pronoun  ได้

 

 

7. Relative Pronouns (สรรพนามเชื่อมความ)

คือ สรรพนามที่ใช้แทนคำนามที่กล่าวมาแล้วในประโยคข้างหน้า   และพร้อมกันนั้นก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยคทั้งสอง ให้เป็นประโยคเดียวกัน   เช่นคำต่อไปนี้  who, whom, which whose ,what, that , และ indefinite relative pronouns เช่น whoever, whomever,whichever, whatever

Children who (that) play with fire are in great danger of harm.
The book that she wrote was the best-seller
He’s the man whose car was stolen last week.
She will tell you what you need to know.
The coach will select whomever he pleases.
Whoever cross this line will win the race.
You may eat whatever you  like at this restaurant.

 

 

 

เนื้อหาในบทความคำสรรพนามนี้ยาวอีกแล้ว อต่ก็อยากให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ และลองอ่านทบทวนหลายๆ รอบ เพื่อทำความเข้าใจดีๆ

 

 

กลับไปหน้า บทเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

[NEW] รูปแบบการใช้ Past Simple ในภาษาอังกฤษ | กริยา 3 ช่อง wash – NATAVIGUIDES

Past simple (พาสทฺ ซิมเพิล) หมายถึง “อดีตกาล” ใช้เพื่อกล่าวถึง เหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่จำเพาะเจาะจง (definite time) เช่น เมื่อวานนี้ (yesterday เยสเทอะเดย์), ปีที่แล้ว (last year ลาสทฺ เยียร์), เมื่อคืนที่แล้ว (last night ลาสทฺ ไน้ทฺ), ในปี 1990 (in 1990) เป็นต้น

ในเรื่อง Past simple นี้เกี่ยวข้องกับคำกริยาช่องที่ 2 กล่าวคือถ้าเป็น คำกริยาปกติ (regular verbs เรกิวเลอะ เวิบสฺ) สามารถเปลี่ยนเป็นช่อง 2 ด้วยการเติม -ed ข้างท้าย แต่ถ้าเป็นกริยาอปกติ (irregular verbs เออเรกิวเลอะเวิบสฺ) ก็จำเป็นต้องท่องจำหรือใช้ให้บ่อยครั้ง เช่น
กริยาปกติ                                 กริยาอปกติ
work worked (เวคทฺ)                     go went (เว้นทฺ)
live lived (ลิฟดฺ)                              build built (บิ้ลทฺ)
play played (เพลดฺ)                        see saw (ซอ)
ตัวอย่าง
Tony lives in London now. He lived in Manchester last year. ตอนนี้โทนี่อาศัยอยู่ในกรุงลอนดอน ปีที่แล้วเขาอาศัยอยู่ใน-
แมนเซสเตอร์
Tony stayed at home last night. He didn’t go out with his friend. เมื่อคืนที่แล้วโทนี่อยู่บ้าน เขาไม่ได้ออกไปข้างนอกกับเพื่อนของเขา

สังเกตได้ว่า รูปของคำกริยาในตัวอย่างที่เป็นการกระทำในอดีต จะเป็นช่อง 2 ฉะนั้นจึงควรจะทราบถึงรูปแบบ (forms) ของ Past simple ดังนี้

รูปของ Past simple
(1) Statement form (สเตทเม้นทฺฟอม) หรือในภาษาไทยเรียกว่า “รูป บอกเล่า” ประกอบด้วย
ภาคประธาน + กริยาแท้ช่อง 2 +ภาคกรรมหรือส่วนขยาย
กับ
ภาคประธาน + was/were + ภาคกรรมหรือส่วนขยาย
อธิบาย กริยาแท้ช่อง 2 มีอยู่สองแบบที่นักเรียนต้องเรียนรู้ นั่นคือ
ก. กริยาแท้ปกติ หรือภาษาอังกฤษเรียก regular verbs (เรทิวเลอะ เวิบสฺ) คำกริยาแท้ประเภทนี้เมื่อเปลี่ยนให้เป็นช่องที่ 2 กระทำได้โดย

1. เติม -ed ข้างท้าย เช่น
work – worked            walk – walked
wash – washed             watch – watched

2. หากคำกริยาแท้ปกติใดลงท้ายด้วย e อยู่แล้ว ให้เติม d ต่อไปข้าง
ท้าย เช่น
type – typed                   operate – operated
change – changed         smoke – smoked

3. ส่วนคำกริยาแท้ใดลงท้ายด้วย y และมีอักษรพยัญชนะอยู่หน้าอักษร y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วจึงเติม -ed เช่น
play – played            spray – sprayed
employ – employed        delay – delayed

ข. กริยาแท้อปกติ หรือภาษาอังกฤษเรียก irregulat verbs (อิเรกิวเลอะ เวิบสฺ) คำกริยาแท้ประเภทนี้ต้องอาศัยการจดจำ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปจากคำกริยาแท้ปกติเมื่อเป็นช่อง 2 เช่น
go – went        set – set
ring – rang    break – broke

หมายเหตุ สามารกหาซื้อหนังสือ กริยา 3 ช่อง ซึ่งได้รวบรวมคำกริยาแท้ปกติทั้ง 3 ช่องได้ตามร้านจำหน่ายหนังสือ หนังสือเล่มดังกล่าวจัดพิมพ์ โดยสำนักพิมพ์พัฒนาศึกษา กรุงเททมหานคร
ตัวอย่าง
I bought a new car three days ago.
ผมซื้อรถยนต์คันใหม่มาเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา
When I dropped my cup, the coffee spilled on my lap.
เมื่อผมทำถ้วยหล่น กาแฟได้หกราดบนหน้าตักของผม
Last night I went to the cinema.
เมื่อคืนดิฉัน ได้ไปชมภาพยนตร์

(2) Negative form (เนเกอทิฟวฺ ฟอม) หรือในภาษาไทยเรียกว่า “รูป ปฏิเสธ” ประกอบด้วย
ภาคประธาน + did not + กริยาแท้ช่อง 1 + ภาคกรรมหรือส่วนขยาย
กับ
ภาคประธาน + was/were not + ภาคกรรมหรือส่วนขยาย
กับ
ภาคประธาน + กริยาช่วยช่อง 2 + not + กริยาแท้ช่อง 1 + ภาคกรรม หรือส่วนขยาย
อธิบาย รูปย่อของ     did not = didn’t
was not = wasn’t
were not = weren’t
กริยาแท้ช่อง 1 หมายถึง กริยาแท้ที่ไม่มีการเติม -s, -es, -ed, -ing
ไม่ใช่กริยาแท้ช่อง 1     ใช่กริยาแท้ช่อง 1
works                work
broke                break
cleaning           clean
watches           watch

กริยาช่วยช่อง 2 หมายถึง กริยาช่วยอื่น นอกเหนือจาก did, was, were ได้แก่ could, might
รูปย่อของ could not = couldn’t ; might not = mightn’t
ตัวอย่าง
He wasn’t busy yesterday.
เขาไม่ได้มีธุระยุ่งเมื่อวานนี้
I didn’t sleep for eight hours last night.
ผมไม่ได้นอนหลับเป็นเวลาถึง 8 ชั่วโมงเมื่อคืนที่แล้ว
This year John can play badminton, but last year he couldn’t
(play it).
ปีนี้จอห์นเล่นแบดมินตันได้ แต่ปีที่แล้วเขาเล่นไม่ได้

(3) Yes-No question (เยส โน เควสเชิ่น) หรือในภาษาไทยคือ “คำถาม ที่ผู้ตอบจะตอบว่า Yes/No” ประกอบด้วย
กรณีที่ไม่มีกริยาช่วยอยู่ภายในประโยค
Did + ภาคประธาน + กริยาแท้ช่อง 1 + ภาคกรรมหรือส่วนขยาย
กรณีมีกริยาช่วยที่ไม่ใช่ was/were อยู่ภายในประโยค
กริยาช่วยช่อง 2 + ภาคประธาน + กริยาแท้ช่อง 1 + ภาคกรรมหรือส่วนขยาย
กรณีมีกริยาช่วยที่เป็น was/were
Was/Were + ภาคประธาน + ภาคกรรมหรือส่วนขยาย
ตัวอย่าง
Did you go to Bangkok yesterday?
เมื่อวานนี้คุณไปกรุงเทพฯ ใช่ไหม
Were you a student two years ago?
คุณเป็นนักเรียนใช่ไหมเมื่อสองปีที่แล้ว
Could you swim when you were five years old?
คุณว่ายน้ำได้ใช่ไหม เมื่อตอนที่คุณอายุห้าขวบ

(4) Wh-word question (ดับเบิลยู เอช เวิด เควสเชิ่น) หรือในภาษา ไทยคือ “คำถามที่ขึ้นต้นประโยคด้วย Wh-words ได้แก่ What, When, Where, Why, How long, … ฯลฯ” ประกอบด้วย
กรณีที่ต้องใช้กริยาช่วย did เพราะไม่มีกริยาช่วยอื่นใด
Wh-word + did + ภาคประธาน + กริยาแท้ช่อง 1 + ภาคกรรมหรือส่วนขยาย
กรณีมีกริยาช่วยช่อง 2 อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ was/were
Wh-word + กริยาช่วยช่อง 2 + ภาคประธาน + กริยาแท้ช่อง 1 + ภาคกรรม/ส่วนขยาย
กรณีมีกริยาช่วย was/were

Wh-word + was/were + ภาคกรรมหรือส่วนขยาย
ตัวอย่าง
How long was the film?
ภาพยนตร์มีความยาวเท่าไร
What did you do last night ?
เมื่อคืนที่แล้วคุณทำอะไร?
Where were you yesterday?
เมื่อวานนี้คุณอยู่ที่ไหน

การใช้ Past simple
1. ใช้แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นและจบสิ้นสมบูรณ์ในอดีต โดยปกติมักมีข้อความที่บ่งบอกเวลาที่เหตุการณ์นั้นๆ ได้เกิดขึ้นมาในอดีต อาทิ yesterday, last night, two days ago, in 1990, … ฯลฯ
ตัวอย่าง
I walked to school yesterday.
เมื่อวานนี้ผมเดินไปโรงเรียน
He bought a new car three days ago.
เขาซื้อรถยนต์คันใหม่เมื่อสามวันที่ผ่านมา

2. ใช้แสดงเหตการณ์หรือสถานการณ์ที่ยาวนาน หรือเหตุการณ์ซ้ำๆ ที่เกิดขึ้นและจบไปเรียบร้อยตั้งนานแล้วในอดีต
ตัวอย่าง
I spent all my childhood in Scotland.
ดิฉันใช้ชีวิตตลอดวัยเด็กในประเทศสกอตแลนด์
Regularly every summer, Jenny fell in love.
ทุกๆ ฤดูร้อน เจนนีตกอยู่ในความรัก

3. ถ้าในประโยคมีคำว่า when และมีรูปกริยาเป็นอดิต (past simple form) ทั้งสอง clauses จะถือว่าการกระทำใน when clause เกิดขึ้นก่อน
ตัวอย่าง
I Stood under a tree when it began to rain.
ผมยืนอยู่ใต้ต้นไม้เมื่อตอนฝนตก
When she heard a strange noise, she got up to investigate.
เมื่อเธอได้ยินเสียงแปลกๆ เธอได้ลุกขึ้นจากที่นอนไปตรวจดู
When I dropped my cup, the coffee spilled on my lap.
เมื่อผมทำแก้วหล่น กาแฟได้ราดลงบนหน้าตักของผม

4. ใช้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น เล่าเรื่องในอดีต
ตัวอย่าง
Once upon a time there was a beautiful princess who lived
with her father. One day the king decided
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเจ้าหญิงผู้เลอโฉมองค์หนึ่งอาศัยอยู่กับพระ ราชบิดา วันหนึ่งกษัตริย์ได้ตัดสินใจ…

ที่มา:รองศาสตราจารย์ทณุ  เตียวรัตนกุล

(Visited 35,746 times, 2 visits today)


ติว TOEIC ครูดิว : กริยา 3 ช่อง ท่องตั้งเเต่ประถม ไม่เคยจำได้!!


คะแนน TOEIC สร้างงาน สร้างเงิน ใครยังไม่รู้จะติวที่ไหนมาติวกับครูดิวได้นะคะ
✿ ถ้าพื้นฐานน้อย แนะนำหาคอร์สติวดีกว่าค่ะ! ✿
👉 ติว TOEIC กับครูดิวเลย (ทดลองติวฟรี!) ➡️ https://bit.ly/2wR4Gmu

Adverbs of Frequency คือ Adverb กลุ่มที่ใช้บอกความถี่ของการกระทำค่ะ เช่นพวก always, usually, often, sometimes, rarely เป็นต้น จะมีวิธีจำยังไงให้ง่ายๆ นะ? มาครูดิวไปดูกันค่ะ

✿ คอร์ส KruDew ติว TOEIC มีอะไรให้บ้าง? ✿
✅Grammar ที่ใช้สอบ TOEIC ให้ครบ เริ่มสอนจากพื้นฐาน เรียนได้ทุกคนแน่นอน
✅เทคนิคช่วยจำต่างๆ จำง่าย เอาไปใช้กับข้อสอบได้จริงๆ
✅เก็งศัพท์ TOEIC ออกข้อสอบบ่อยๆ ให้ครบ
✅ อัพเดทข้อสอบ New TOEIC ล่าสุด ครบ 200 ข้อ
✅สามารถสอบถามข้อหรือจุดที่สงสัยได้ตลอด
✅การันตี 750+ (ถ้าสอบแล้วไม่ถึง สามารถทวนคอร์สได้ฟรี)
📣 ถ้าไม่อยากพลาดคลิปดีๆแบบนี้ อย่าลืมกด ❤️ Subscribe ❤️กันนะคะ
ติวTOEIC สอบTOEIC

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

ติว TOEIC ครูดิว :  กริยา 3 ช่อง ท่องตั้งเเต่ประถม ไม่เคยจำได้!!

lingoni ENGLISH (6) – Simple present – A1


\”I eat, you eat, she eats.\” \”I walk, you walk, he walks.\” The simple present is a verb tense in English that is used very often. Learn how to form the simple present in this lesson with Brian and Emily!
Curious about what the lingoni app looks like and how it helps you learn a language?
Sign up NOW at 👉https://go.lingoni.com/englishtrial 👈 for our FREE 7Day Trial and check it out!
Each day, you will receive an email with either a lesson, vocabulary training, or a podcast for you to watch or listen to. Then, you’ll be able to practice what you’ve learned with our worksheets and interactive exercises! With this trial, you’ll get to try out the whole lingoni experience for FREE!
So, what are you waiting for? Give it a try and get a sneak peak of our app content – and we have a little surprise waiting for you too! 😉
See you at lingoni!
We are also on Social Media! Follow us on the following channels and enjoy additional learning content!
Facebook: https://www.facebook.com/lingoni.ENGLISH
Instagram: https://www.instagram.com/lingoni.english
Telegram: https://t.me/lingoni_english_ae

lingoni ENGLISH (6) - Simple present - A1

กริยา 3 ช่อง


กริยา 3 ช่อง

การออกเสียงกริยา 3 ช่อง หนังสือ New World ม 3 หน้า 109 จำนวน 180 คำ


การออกเสียงกริยา 3 ช่อง หนังสือ New World ม 3 หน้า 109 จำนวน 180 คำ

กริยา 3 ช่อง ( Irregular Verb ) ตอน E – K


กริยา 3 ช่อง ตอน EK
eat
fall
feel
fight
find
fly
forget
forgive
get
give
go
grow
hang
have
hear
hit
hide
hold
hurt
keep
know
จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้
ติดตาม Facebook และ Instagram : The Happy Time with Q
หากผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขออภัยมานะที่นี้ด้วยค่ะ 😀

กริยา 3 ช่อง ( Irregular Verb ) ตอน E - K

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ กริยา 3 ช่อง wash

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *