[NEW] Dek-D Recommended! แนะนำ 13 หนังดี ที่คนแอบรักต้องดู! | เปลี่ยน ไป รัก คน ที่ รัก ฉัน – NATAVIGUIDES

          ไม่ว่าจะผ่านมากี่วาเลนไทน์ แต่ก็ยังไม่เคยได้ดอกไม้ ไม่เคยมีของขวัญ ไม่มีแฟนกับเค้าซักที ทำได้แค่แอบรักไปวันๆ โถ…ใครมีอาการแบบนี้บ้างคะ ยกมือขึ้น! ถ้าเป็นแบบนี้พี่แพมขอให้มาทางนี้ด่วนๆ เลยค่ะ เพราะวันนี้พี่แพมจะแนะนำ 13 หนังดี ที่คนแอบรักต้องดู! ไม่แน่นะคะ ถ้าน้องๆ ชาว Dek-D ดูจบแล้วอาจจะกล้าเดินไปสารภาพรักก็ได้ ^^

 

ตุ๊กแกรักแป้งมาก

 

         (ภาพจากโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องตุ๊กแกรักแป้งมาก)

 

          

เห็นชื่อแบบนี้อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าเป็นสารคดีเพื่อนรักสัตว์โลกนะคะ แต่ตุ๊กแกรักแป้งมากเป็นเรื่องราวของ “เด็กชายตุ๊กแก” ที่แอบชอบเพื่อนร่วมห้องอย่าง “แป้ง” มาตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ต้องห่างไกลกันไป พอโตขึ้นแป้งกลายเป็นดาราสาวชื่อดัง ไม่ใช่แป้งคนเดิมที่ตุ๊กแกเคยรู้จัก ด้วยความรักทำให้ตุ๊กแกพยายามเปลี่ยนแป้งให้กลับมาเป็นแป้งคนเดิมของเค้า ถึงแม้ว่ามันอาจจะทำให้แป้งต้องเกลียดเค้าก็ตาม

 

         ถึงแม้ว่ารายได้ของหนังเรื่องนี้จะน้อยจนน่าใจหาย แต่กระแสจากนักวิจารณ์กลับดีจนน่าปลื้มใจ ถ้าถามว่าดีจริงๆ อย่างที่ว่าไหม น้องๆ ต้องไปพิสูจน์เองค่ะ

 

2538 อัลเทอร์มาจีบ

 

         (ภาพจากโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง 2538 อัลเทอร์มาจีบ)

 

          “ก้อง” เด็กไทยยุคไอที ที่ไม่ค่อยเข้าใจความรักของพ่อกับแม่เท่าไหร่ อยู่มาวันหนึ่งเค้าดันได้ย้อนเวลากลับไปในปี พ.ศ. 2538 ย้อนไปสมัยพ่อกับแม่ยังเป็นวัยรุ่น และเค้าก็ดันไปเจอเข้ากับ “ส้ม” สาวสวยที่เป็นปัญหาค้างคาใจของพ่อกับแม่ของเค้ามาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นก้องก็เลยต้องทำให้ต้องทำทุกทางให้ความรักของพ่อกับแม่สมหวัง แต่ช่วยไปช่วยมาก้องดันไปตกหลุมรักส้มเข้าอย่างจัง ความรักที่ผิดที่ผิดทาง ผิดเวลา ผิดสถานทที่แบบนี้จะลงเอยยังไง ไปหาคำตอบได้ใน 

2538 อัลเทอร์มาจีบเลยค่ะ 

 

          ปีพ.ศ. 2538 ตอนนั้นน้องๆ อายุเท่าไหร่กันบ้างเอ่ย น้องๆ บางคนก็ยังไม่เกิดเลยใช่มั้ยล่ะค่ะ หนังเรื่องนี้จะพาเราย้อนเวลากลับไปในยุคนั้น ไปดูกันซิว่าในสมัยที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟน ไลน์ เฟซบุ๊ก คนยุคนั้นเค้าจีบสาวกันยังไง บางทีถ้าน้องๆ เอาเทคนิคแบบคลาสสิคเหล่านี้ไปใช้ เค้าคนนั้นอาจจะชอบก็ได้ ใครจะไปรู้

 

Love Rosie
เพื่อนรักกั๊กเป็นแฟน

 

(ภาพจากโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง Love Rosie)

 

          “โรซี่” และ “อเล็กซ์” เป็นเพื่อนที่สนิทกันม๊ากมากมาตั้งแต่เด็กๆ และทั้งคู่ก็แอบมีใจให้กันแต่ไม่กล้าพูดออกไป เพราะไอ้คำว่าเพื่อนสนิทมันค้ำคออยู่ ต่างคนต่างไปเจอคนใหม่ๆ และมองหาคนที่คิดว่าดีกว่ามาทดแทน โดยที่หารู้ไม่ว่า ถึงจะเป็นใคร ดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถลบล้างความรักที่ทั้งคู่มีต่อกันอยู่ดี งานนี้เพื่อนรักจะเปลี่ยนมาเป็นคนรักได้ยังไง ต้องไปดูเลยค่ะ
 

          อีกหนึ่งหนังแอบรักแนวเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ รักแต่ไม่กล้าบอกจน (เกือบ) สายเกินไป นอกจากเรื่องความรักของหนุ่มสาวแล้ว  เรืองนี้ยังสอดแทรกเรื่องราวของความรัก ความผูกพันภายในครอบครัว โดยเฉพาะการท้องในวัยรุ่น พี่แพมดูเรื่องนี้แล้วได้ข้อคิดดีๆ เพียบเลย

 

seasons change

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

 

(ภาพจากโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง seasons change)

 

          “ป้อม” เด็กนักเรียนที่แอบหนีพ่อมาสอบเข้าเรียน ม.ปลาย ที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ตาม “ดาว” สาวสวยนักไวโอลินที่แอบปิ๊ง ป้อมตามดาวเข้าร่วมวงออร์เคสตราของโรงเรียน ทั้งๆ ที่เค้าชอบตีกลองชุดมากกว่า ในวงป้อมได้เจอกับ “อ้อม” เพื่อนสนิทที่ป้อมเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่เวลาที่อยู่ด้วย สุดท้ายแล้วป้อมจะเลือกใคร สาวในดวงใจหรือเพื่อนสนิทต้องไปลุ้นกันเอาเองค่ะ
 

          การเอาความรักมาเป็นแรงบันดาลใจ ในการพยายามทำอะไรบางอย่างให้ประสบความสำเร็จแบบป้อม ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะคะ แต่ถ้าเราต้องฝืนตัวเองเพื่ออยากทำให้เค้ามาสนใจ มันจะมีความสุขจริงๆ มั้ย ถามใจตัวเองดู

 

What If

รักได้ไหม ถ้าหัวใจแอบรัก

 

(ภาพจากโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง What if)

 

          เมื่อ “วอลเลซ” ดันไปตกหลุมรักเพื่อนสนิท “ซานทรี” ที่มีเจ้าของหัวใจอยู่แล้ว แต่จะทำยังไงได้ ก็เค้ารักไปแล้ว แถมจะมองมุมไหนเธอก็ดูใช่ไปหมดทุกอย่าง งานนี้พระเอกของเราก็เลยทำได้แต่แอบมอง แอบชอบ แอบรักต่อไป
 

          เหมือนจะเศร้านะคะ ที่ไปรักคนที่ไม่สมควรรัก แค่พอดูเรื่องนี้แล้วพี่แพมก็รู้สึกว่า การแอบรักมันก็มีความสุขดีเหมือนกันนะ 

ความรักบางทีก็ไม่ได้ต้องอะไรมากมาย แค่ได้มอบความรู้สึกดีๆ ให้กับคนหนึ่ง แค่นี้ก็แฮปปี้แล้ว

 

The Perks of Being a Wallflower

วัยป่วนหัวใจปึ้ก

 

(ภาพจากโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง The Perks of Being a Wallflower)

 

          เมื่อเด็กเก็บตัวและกลัวโลกอย่าง “ชาร์ลี” ได้เจอกับ “แพททริค” เพื่อนใหม่ที่ตรงกันข้ามกับตัวเค้าแบบสุดๆ และไปตกหลุมรัก “แซม” สาวสวยสดใสที่ภายนอกดูร่าเริง แต่กลับดูเหมือนว่ามีอะไรในใจจตลอดเวลา งานนี้ชาร์ลีจะก้าวข้ามความกลัวของตัวเองได้ไหม และจะเอาชนะใจเพื่อนสาวอย่างแซมได้อย่างไร ต้องไปลุ้นกันเอาเองค่ะ
 

          เห็นหนังเรื่องนี้แล้วแว็บแรกพี่แพมแอบนึกว่าเป็น เฮอร์ไมโอนี่ฟีทเจอร์ริ่งเพอร์ซี่ แจ็คสัน 555+ แต่จริงๆ แล้วเป็นคนละแนวเลย ใครอยากเห็นภาพใหม่ๆ แม่มดน้อยกับลูกเทพหนุ่ม พร้อมกับได้เรียนรู้ความรักดีๆ จะพลาดเรื่องนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด

 

เมย์ไหนไฟแรงเฟร่อ

 

(ภาพจากโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง เมย์ไหนไฟแรงเฟร่อ)

 

         เรื่องราวการแอบรักแบบหมามองเครื่องบินของ “ป๋อง” เด็กไร้ตัวตนในโรงเรียนที่ดันไปแอบชอบ “มิ้ง” สาวฮอตนักกิจกรรมตัวท็อป ป๋องได้รู้จักกับ “เมย์ไหน” เด็กเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร เพราะกลัวว่าไฟฟ้าในร่างกายของตัวเองจะไปช็อตคนอื่นเข้า ก็เลยต้องเป็นคนไร้ตัวตนในโรงเรียน ไม่มีสนใจ ไม่มีใครจำได้ ถ้ามีใครพูดถึงเธอ ก็ต้องมีคำถามตามมาว่า “เมย์ไหนวะ?” ประเด็นคือเมย์ไหนดันไปแอบชอบ “พี่เฟม” นักกีฬาหนุ่มรูปหล่อที่เป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั้งโรงเรียน
 

          เมื่อเด็กไร้ตัวตนทั้ง 2 คนรู้ความลับของกันและกัน ก็เลยเกิดการร่วมมือร่วมใจ ไฝว้เพื่อความรักขึ้น น้องๆ ชาว Dek-D คนไหนที่แอบรักรุ่นพี่ รุ่นเพื่อนหรือรุ่นน้องอยู่ต้องไปหาเรื่องนี้มาดูเลยค่ะ รับรองว่าโดนใจวัยรุ่น

 วัยใสแน่นอน

 

Paper Towns
เมืองกระดาษ

 

(ภาพจากโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง Paper Towns)

 

          เรื่องราวของ “เควนติน” ที่แอบหลงรักเพื่อนสาวตรงข้ามบ้าน “มาร์โก้” มาตั้งแต่เด็กๆ แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ 2 คนนี้แตกต่างกันแบบสุดๆ มาร์โก้เป็นสาวฮอตดาวโรงเรียน ที่เท่ เก๋ มีสไตล์ใครๆ ก็ชอบ ส่วนเควนตินก็เป็นเด็กเนิร์ดๆ คนหนึ่งที่ไม่มีใครสนใจ อยู่มาวันหนึ่งมาร์โก้ก็หายตัวไปแต่ได้ทิ้งปริศนาอะไรบางอย่างไว้ เควนตินและผองเพื่อนจึงออกเดินทางตามหา ระหว่างการเดินทางเควนตินก็ได้ค้นพบอะไรหลายๆ อย่างที่มีค่ามากมาย ยิ่งกว่าคำว่ารักเสียอีก
 

          นอกจากเรื่องความรักระหว่างเควนตินและมาร์โก้แล้ว Paper Town ยังอบอวลไปด้วยเรื่องราวของมิตรภาพ การก้าวผ่านความเป็นวัยรุ่นไปสู่วัยผู้ใหญ่ การเรียนรู้ที่จะก้าวออกจากกรอบ และการค้นพบตัวเอง และที่พีคที่สุดคือความมีเสน่ห์ของแม่สาวคิ้วดก คาร่า เดอเลอวีญ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเควนตินถึงหลงรัก ขนาดพี่แพมดูยังแอบเคลิ้มเลยค่ะ ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ สวยจริงอะไรจริง><

 

SNAP

แค่…ได้คิดถึง

 

(ภาพจากโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง Snap แค่…ได้คิดถึง)

 

          บางคนผ่านมาแต่ไม่เคยผ่านไป  เหมือนกับ “บอย” และ “ผึ้ง” เพื่อน (แอบ) รักสมัยมัธยมได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง หลังจากที่ต้องห่างกันไปนานถึง 8 ปี มาเจอกันคราวนี้มันก็ทำให้ทั้งคู่ได้รู้ว่า ความรู้สึกดีๆ มันไม่เคยหายไปไหน แต่ถ่านไฟเก่าจะร้อนขึ้นมาอีกครั้งได้หรือไม่ เพราะทั้งคู่ก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว
 

          ความรักก็เหมือนกับการถ่ายรูป ที่ต้องใช้จังหวะในการลั่นชัตเตอร์ บางภาพก็ออกมาแสงสีสวยพอแบบดิบพอดี บางทีก็อาจจะพลาดไป น้องๆ ทีมแอบรักคนไหน ชอบถ่ายรูป แต่งรูปลงเฟซบุ๊ก ไอจี จะพลาดเรื่องนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด!

 

แฟนฉัน

 

(ภาพจากโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง แฟนฉัน)

 

          เรื่องราวของเด็กชาย “เจี๊ยบ” ที่มีเพื่อนสนิทที่สุดคือ “น้อยหน่า” เพื่อนสาวข้างบ้าน วันหนึ่งเจี๊ยบได้ไปเจอกับเพื่อนกลุ่มใหม่ เป็นแก๊งเด็กผู้ชายล้วนซึ่งไม่ยอมรับเจี๊ยบเข้ากลุ่ม เพราะเห็นว่าเจี๊ยบอยู่แต่กับเด็กผู้หญิง งานนี้เจี๊ยบก็เลยพยายามทำให้เพื่อนๆ ยอมรับ ถึงแม้ว่าจะต้องทำให้น้อยหน่าเสียใจก็ตาม ทั้งคู่ค่อยๆ ห่างเหินกันไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ วันหนึ่งน้อยหน่าก็ต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น แล้วเจี๊ยบจะทำยังไงเมื่อเพื่อนรักคนแรกของเค้าต้องจากไปซะแล้ว
 

          ดูเหมือนจะเป็นความรักแบบเด็กๆ นะคะ แต่พี่แพมเชื่อว่าเรื่องราวความรักที่บริสุทธิ์ของเจี๊ยบกับน้อยหน่า ต้องไปกระแทกใจของคนแอบรักหลายๆ คนแน่นอน 

 

สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก

 

(ภาพจากโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก)

 

          การแอบรักของคนส่วนใหญ่มักเริ่มต้นจากวัยเรียนทั้งนั้น เช่นเดียวกับ “น้ำ” เด็กหญิงเฉิ่มๆ ที่แอบกรี๊ด “พี่โชน” รุ่นพี่นักกีฬาสุดหล่อ แต่ประเด็นคือไม่ได้มีแค่น้ำคนเดียวที่ชอบพี่โชนนี่สิ ไม่ว่าจะเป็นดาวโรงเรียน นางรำ ดรัมเมเยอร์ ใครๆ ก็แอบเล็งพี่โชนอยู่ทั้งนั้น งานนี้น้องน้ำก็เลยยอมไม่ได้ ลงทุนเมคโอเวอร์ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตัวเองทุกอย่างให้สวยขึ้น เริ่ดขึ้น เพื่อให้พี่โชนหันมาสนใจ สุดท้ายแล้วน้องน้ำจะสมหวังหรือไม่ ต้องไปติดตามค่ะ
 

          อาจจะดูเป็นเรื่องความรักของเด็กๆ รักแบบป๊อปปี้เลิฟ แต่พี่แพมเชื่อเลยว่าน้องๆ หลายคนต้องเคยมีอารมณ์แบบน้องน้ำแน่นอน แต่จะมีซักกี่คนคะ ที่กล้าสู้เพื่อรักอย่างนางเอกบ้าง ถ้าการแอบรักแล้วไม่ได้บอก สุดท้ายมันก็เป็นแค่การแอบรัก แต่ถ้าได้พูดออกไป สุดท้ายมันอาจจะกลายเป็นความรักจริงๆ ก็ได้ ใครจะไปรู้ ><

 

เพื่อนสนิท

 

(ภาพจากโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง เพื่อนสนิท)

 

          “แกมาทำอะไรเอาตอนนี้” ประโยคเจ็บจี๊ด ได้ยินแล้วรวดร้าวทรวงในเป็นที่สุดเลยค่ะ เมื่อ “ไข่ย้อย” มาสารภาพรักกับเพื่อนสนิทอย่าง “ดากานดา” ในวันที่มันสายเกินไป ถ้าเค้ากล้าที่จะบอกไปก่อนหน้านี้เรื่องก็คงจะแฮปปี้เอนดิ้ง มีความสุขไปตามระเบียบ แต่ๆ เพราะช้าเกินไปก็เลยต้องรับประทานแห้ว ต้องไปรักษาแผลใจไกลถึงปักษ์ใต้ แต่ก็ได้ไปเจอกับพยาบาลสาวแสนดี งานนี้คนที่ใช่กับคนที่ชอบ ไข่ย้อยจะเลือกใครกันนะ
 

          คนที่แอบรัก โดยเฉพาะรักเพื่อนสนิทของตัวเอง ถ้าไม่ดูเรื่องนี้ถือว่าผิด! ถ้าแอบรักใคร แล้วมัวแต่เก็บเงียบ ไม่ยอมบอกออกไปให้เค้าได้รู้ ระวังจะสายเกินไปเหมือนนายไข่ย้อยไม่รู้ด้วยนะ!!!

 

500 Days of Summer

ซัมเมอร์ของฉัน 500 วัน ไม่ลืมเธอ

 

          

(ภาพจากโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง 500 days of summer)

 

          เรื่องราวความรักภายใน 500 วัน ของ “ทอม” หนุ่มที่เชื่อในพรหมลิขิต เชื่อในรักแท้และเชื่อหมดใจว่า “ซัมเมอร์” คือคนที่ใช่สำหรับเขา แต่ซัมเมอร์เองกลับคิดว่าความรักเป็นเรื่องเพ้อฝัน ความเห็นไปคนละทางขนาดนี้จะลงเอยกันได้ยังไง ความรักครั้งนี้จะไปกันรอดไหม ต้องติดตามค่ะ
 

          ถ้าน้องๆ คนไหนที่กำลังแอบรัก และกลัวที่จะสารภาพรัก กลัวที่จะผิดหวังหรือเสียใจ พี่แพมขอให้ดูเรื่องนี้ด่วนๆ เลยค่ะ จริงๆ แล้วเรื่องของความรักและความรู้สึกมันเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ถ้าสมมติว่าสารภาพรักไปแล้วต้องผิดหวังหรือเสียใจ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องผิดหวังไปตลอดชีวิตซักหน่อย จริงมั้ย? 

 

          ดูหนัง 13 เรื่องนี้จบแล้ว น้องๆ ทีมแอบรักพอจะมีแรงฮึด กล้าเดินเข้าไปสารภาพความในใจรึเปล่าเอ่ย?

หรือว่าชีวิตรักน้องๆ ชาว Dek-D คนไหนตรงกับหนังเรื่องใด ก็เอามาแชร์กัน ข้างล่างนี้ได้เลย ^^ 

 

หากมีคนถามคุณว่าคุณรักแฟนของคุณไหม คงตอบได้ง่ายๆ เลยว่ารักสิ

หากเขาถามต่อว่าคุณรักเพื่อนสนิทของคุณไหม แน่นอนว่าคุณรักพวกเขาอยู่แล้ว

แต่ถ้าเขาถามว่า “แล้วคุณรักตัวเองหรือเปล่า?”

Advertisements

หลายๆ คนอาจใช้เวลาคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตอบกลับอย่างไม่แน่ใจนัก

“รักสิ..”

ถ้าถามถึงคนในครอบครัว สัตว์เลี้ยงหรือคนอื่นๆ เรามีคำตอบให้อยู่แล้วแบบไม่ต้องคิดเยอะ ตั้งแต่รักมาก รัก ไม่รัก หรือเฉยๆ ตราบใดที่เป็นคนอื่นเราตอบได้เสมอ แต่เมื่อไหร่ที่เป็นเรื่องของตัวเราเอง เราอาจตอบไม่ได้เต็มปาก เพราะเราก็ไม่ค่อยได้มานั่งคิดเหมือนกันว่าจริงๆ แล้วเรารักตัวเองไหม 

แล้วถ้าหากว่าคำถามถูกเปลี่ยนเป็นแบบนี้จะตอบง่ายขึ้นไหม

“คุณแคร์ความรู้สึกคนอื่นมากกว่าตัวคุณเองหรือเปล่า”

“คุณกังวลว่าคนอื่นจะไม่ชอบคุณไหม”

“คุณเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นบ่อยๆ ไหม”

ถ้าตอบว่าใช่ทุกข้อ บางทีนี่อาจจะถึงเวลาแล้วที่คุณต้องรักตัวเองให้มากกว่านี้อีกหน่อย

บอกรักตัวเองครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

การบอกรักตัวเองไม่ใช่การยืนส่องกระจกแล้วพูดว่า “รักนะ” เสมอไป

การรักตัวเอง (Self-love) อาจหมายถึงการปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความเคารพและอ่อนโยน 

อาจหมายถึงการดูแลร่างกายและจิตใจให้ดี เช่น การออกกำลังกาย การอ่านอะไรดีๆ เป็นอาหารสมอง หรือการเลิกเล่น Instagram สักพัก เพราะชีวิตดีๆ ของคนอื่นทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง

อาจหมายถึงการมีจุดยืนที่ชัดเจน (Healthy Boundary) อย่างการรู้จัก ‘ปฏิเสธ’ เวลามีคนชวนไปไหนแต่เราไม่อยากไป หรือการตัดคนแย่ๆ ออกไปจากชีวิต

หรืออาจหมายถึงการเลิกพูดกับตัวเองในแง่ร้าย เช่น เปลี่ยนจากคำว่า ‘ฉันไม่เก่งอะไรสักอย่าง’ เป็น ‘ฉันยังมีอะไรอีกหลายอย่างให้เรียนรู้’

ความรักที่เรามอบให้ตัวเองมีหลายรูปแบบ อย่างเช่น การไม่ปล่อยให้คนอื่นเอาเปรียบ การให้อภัยตัวเองเวลาทำพลาด และการยอมรับว่าเราไม่สมบูรณ์แบบ เป็นต้น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะกำหนดมันอย่างไร

คำถามที่ตามมาสำหรับหลายๆ คนคือ “รักตัวเองแล้วดีอย่างไร”

ในทางวิทยาศาสตร์ Self-love หรือ Self Compassion มีข้อดีอยู่มากมาย อย่างเช่น

1) ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น

หากพูดว่า ‘รักตัวเอง’ หลายคนอาจคิดถึงแต่การสปอยล์ตัวเอง กินอะไรที่อยากกิน ทำอะไรที่อยากทำ ทั้งๆ ที่จริงไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป การรักตัวเองยังหมายถึงการ “มีวินัย” และไม่ตามใจตัวเอง (Self-indulgent) จนเกินไปอีกด้วย

สมมุติว่าเป็นคนที่ชอบเล่นเกม แต่ก็มีความใฝ่ฝันว่าอยากเป็นนักเขียน บางครั้งเราก็อยากยอมแพ้ต่อความสุขตรงหน้าและนั่งเล่นเกมต่อไป แต่ถ้าเรารักตัวเองมากพอ เราจะบังคับตัวเองให้ฝึกเขียนสัก 2-3 ชั่วโมง เพราะเรารู้ดีว่าความฝันนั้นสำคัญกับเรามากแค่ไหน 

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะต่อสู้กับความต้องการของตัวเอง แต่เพราะ Self-love ที่เรามีให้ตัวเองนั่นแหละได้ทำให้เราเข้มแข็งขึ้นทั้งกายและใจ ซึ่งพลังนี้แหละจะนำไปสู่สิ่งดีๆ ในชีวิตเราวันใดวันหนึ่ง

2) ทำให้เราเรียนรู้ได้ดีกว่า

ในชีวิตของคนเรา ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเราเอาแต่วิพากษ์วิจารณ์ตัวเองทุกครั้งที่ล้มเหลว ด้วยคำพูดอย่าง ‘ทำไมเราไม่เก่ง’ หรือ ‘ทำไมแค่นี้ถึงทำไม่ได้’ เราคงรู้สึกแย่กับตัวเองมากกว่าเดิม อาจยอมแพ้เและหลีกเลี่ยงการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ

ในทางกลับกัน หากเราใจดีกับตัวเองหน่อย เราจะมองความผิดพลาดเป็น ‘บทเรียน’ และนำไปพัฒนาตัวเองต่อไป

3) ทำให้เราเครียดน้อยลง

การพูดจาเชิงติเตียนตัวเองมีส่วนในการกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติกให้และปล่อยฮอร์โมนส์แห่งความเครียดออกมา ในขณะเดียวกัน หากเราพูดจากับตัวเองดีๆ หรือกอดตัวเองบ้าง (Self-hugging) การกระทำเช่นนี้จะช่วยให้เราสงบ รู้สึกปลอดภัยและสบายใจขึ้นมาได้

Advertisements

อย่างไรก็ตาม บางคนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจสงสัยว่า Self-love ส่งผลต่อ Productivity และ Personal Growth เท่านั้นหรือ แล้วถ้าเราไม่ได้สนใจอยากจะพัฒนาตนเองล่ะ ที่เป็นอยู่เราก็มีความสุขแล้ว หากเป็นเช่นนั้นความรักต่อตัวเองยังจำเป็นอยู่ไหม

จริงๆ แล้ว การรักตัวเองไม่ได้ช่วยแค่เรื่องพัฒนาตนเอง แต่รวมถึง ‘ความสุขโดยรวม’ ในชีวิตเราด้วย

เราจะพาคุณไปรู้จักกับชีวิตสมมุติๆ ของ ‘เจน’ ที่จะช่วยให้คุณจินตนาการได้ง่ายขึ้นว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากเราไม่รักตัวเอง

ในกลุ่มเพื่อน เจนเป็น People Pleaser คอยเอาใจคนอื่นตลอด และพูดว่า ‘ไม่เป็นไร’ บ่อย จนคนไม่ค่อยเกรงใจ แม้จะโดนแซวแรงๆ เธอก็ไม่กล้าโมโห เพราะกลัวโดนมองว่า ‘จริงจัง’ เกินไป

ในด้านความสัมพันธ์ ความสุขของเจนผูกอยู่กับแฟน เธอคาดหวังให้เขาเข้าอกเข้าใจทุกอย่างแบบไม่มีเงื่อนไข และรู้สึกผิดหวังเมื่อเขาทำไม่ได้ (อย่าลืมว่าเขาก็เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง) ทั้งคู่เลยทะเลาะกันเป็นประจำ

เจนจับได้ว่าแฟนโกหกอยู่บ่อยๆ เธอไม่โอเคที่เขาทำเช่นนั้น แต่เธอก็ไม่กล้าเดินออกมาเพราะจินตนาการโลกที่ไม่มีเขาไม่ออก

ทีนี้เรามาดูกันว่า หากเราเปลี่ยนให้เจนรักตัวเองล่ะ ผลลัพธ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร

เจนเลิกตามใจผู้อื่นจนลืมนึกถึงความรู้สึกตัวเองและกล้าที่จะบอกเพื่อนตรงๆ ว่า ‘ไม่โอเค’ เวลาถูกทำอะไรแย่ๆ ผลที่ตามมาคือเธอมีความสุขมากขึ้น เพราะเพื่อนหลายคนเข้าใจและคำนึกถึงความรู้สึกเธอมากขึ้น

แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อนทุกคนที่จะเข้าใจ บางคนถามกลับว่า “แซวแค่นี้ไม่ได้เลยหรือไง”

เจนจึงเลือกถอยห่างออกมาจากคนเหล่านั้นเพื่อความสบายใจ

เธอรู้ดีว่าบางความสัมพันธ์ก็ไม่ได้มีค่าให้เราต้องอดทนถึงขนาดนั้น

ส่วนในด้านความรัก เจนเลิกผูกความสุขของเธอไว้กับแฟน วันไหนที่เขาไม่ว่างเธอก็หาความสุขให้ตัวเองได้โดยการทำกิจกรรมที่ชอบ ทั้งคู่ทะเลาะกันน้อยลงอีกด้วยเพราะเจนไม่ได้คาดหวังให้เขาเข้าใจทุกอย่าง จึงไม่ค่อยผิดหวังเท่าไร 

อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมโกหกของเขาไม่หายไปไหน เธอจึงเลือกยุติความสัมพันธ์เพราะเธอสมควรได้เจอคนที่ซื่อสัตย์กับเธอ

แน่นอนว่า เจนเสียใจมากแต่ก็ไม่ได้ถึงกับสูญสลาย เพราะเธอรู้ดีว่าสุดท้ายยังเหลือคนคนหนึ่งที่รักเธอเสมอ ซึ่งก็คือตัวเธอเอง

พอจะนึกภาพออกกันแล้วใช่ไหม ว่าความรักที่เรามีต่อตัวเองเป็นพื้นฐานของความสุขโดยรวมในชีวิตได้อย่างไร

ถ้าหากเราอยากรักตัวเองให้มากขึ้นต้องทำอย่างไร

John C. Maxwell ได้พูดไว้ในหนังสือ The 15 Invaluable Laws of Growth ว่า 

“…ร่างกายของเราเติบโตโดยอัตโนมัติ เมื่อเวลาผ่านไป เราสูงขึ้น แข็งแรงขึ้น ทำอะไรได้หลายอย่างและรับมือกับความท้าทายได้หลายรูปแบบ ผมคิดว่าหลายคนเข้าใจอยู่ลึกๆ ว่าพอด้านร่างกายเติบโตแล้ว ด้านจิตใจ จิตวิญญาณ อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดจักเติบโตตามเช่นกัน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้น  สิ่งเหล่านี้เราต้องตั้งใจพัฒนาด้วยตนเอง”

เช่นเดียวกับทักษะด้านอื่นๆ ในชีวิต รักที่มอบให้ตัวเองก็เป็นรักที่ต้อง ‘ฝึกฝน’ เพราะในหลายๆ ครั้ง เราอาจต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน อย่างการตัดความสัมพันธ์เป็นพิษ (Toxic Relationship) ออกจากชีวิต การเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ หรือการเรียนรู้ที่จะมีความสุขด้วยตัวเองในวันที่ไม่มีใคร

รักตัวเองเป็นทักษะที่ยาก แต่คุ้มค่าแก่การฝึกฝนอย่างแท้จริง

เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ

– มีความสุขกับชีวิตได้ในทุกๆ วัน เพียงยอมรับ ‘ความจริง 10 ข้อ’ นี้ >> https://missiontothemoon.co/inspiration-happiness-10-truths/

– มาเรียนรู้วิธีปรับความคิดให้ใช้ชีวิตแบบ ‘ไม่เกลียดตัวเอง’ กันเถอะ >> https://missiontothemoon.co/inspiration-selfimprovement-self-hatred/

อ้างอิง

https://bit.ly/3jnFzM0

https://bit.ly/3rWhGiw

https://bit.ly/3Cq3Gmf

#missiontothemoon

#missiontothemoonpodcast

#inspirational

ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/

Advertisements