Skip to content
Home » [NEW] 10 สำนวนเพื่อการบ่นงานหนักอย่างมีสไตล์ | สำนวน ที่ เกี่ยว กับ การ พูด – NATAVIGUIDES

[NEW] 10 สำนวนเพื่อการบ่นงานหนักอย่างมีสไตล์ | สำนวน ที่ เกี่ยว กับ การ พูด – NATAVIGUIDES

สำนวน ที่ เกี่ยว กับ การ พูด: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

ที่เหล็กและไฟมาเกี่ยวกับปริมาณงานก็เพราะสำนวน Too many irons in the fire มีที่มาจากโรงตีเหล็ก และ iron ที่ว่านี้คือ เหล็กที่นำไปเผาไฟก่อนตี หากนำเหล็กไปเผาหลายชิ้นเกินไป ก็จะตีไม่ทันนั่นเอง

โอ๊ย งานถั่งเทถาโถมดั่งสึนามิ จำนวนงานนับด้วยนิ้วมือไม่ครบแล้ว ต้องอดหลับอดนอนนั่งทำงานถึงดึกๆ ดื่นๆ พระอาทิตย์ไม่ขึ้นอีกรอบหยุดทำงานไม่ได้ ซัดเครื่องดื่มผสมกาเฟอีนเพื่อถ่างตาจนแทบลืมรสน้ำเปล่าไปแล้ว พระมหาชนกหยุดว่ายน้ำไม่ได้ฉันใด เราก็หยุดทำงานไม่ได้ฉันนั้น

ถ้างานเยอะขนาดนี้ จะให้บ่นแค่ I’m very busy. หรือ I’ve been working very hard. ก็คงไม่ได้อารมณ์ ไม่ยุติธรรมต่อหยาดเหงื่อแรงกายหรือความลำบากแสนเข็ญที่เราเผชิญ

สัปดาห์นี้เราจะไปดูกันว่า ภาษาอังกฤษมีสำนวนเก๋ๆ อะไรให้เราหยิบมาใช้บ่นเรื่องงานได้บ้าง

โอ๊ย งานเยอะเหลือเกิน

สำนวนนี้หมายถึง มีงานมากเกินพออยู่แล้ว อาจใช้ในกรณีที่ต้องการปฏิเสธงาน เช่น I’m afraid I’ll have to pass on this one. I’ve already got a lot on my plate. ก็จะหมายถึง งานนี้คงต้องขอผ่าน ผมมีงานล้นมืออยู่แล้ว หรือถ้าจะบอกว่า อย่าไปกวนเขาเลย แค่นี้เขาก็มีเรื่องต้องรับผิดชอบมากพออยู่แล้ว ก็อาจพูดว่า Let’s not bother him. He’s got enough on his plate already.

ภาพของสำนวนนี้มาจากการกินอาหาร ถ้าในจานมีอาหารมากอยู่แล้ว ใครจะตักให้เพิ่มก็คงจะกินไม่ไหวนั่นเอง

 

สำนวนนี้ก็เป็นอีกสำนวนที่หมายถึง งานท่วมหัว ใช้เพื่อบอกว่ามีงานต้องสะสางอีกมากมาย เช่น I’m afraid I’m gonna have to bail on you guys. I’m still up to my eyes in work. ก็จะหมายถึง สงสัยต้องขอชิ่งนะ งานยังเหลืออีกตรึมเลย

ภาพของสำนวนนี้มาจากคำแปลตรงตัว ก็คือมีกองงานสุมกันสูงถึงลูกตาเลยทีเดียว ถ้าไม่พูดว่า up to my eyes in work ก็อาจจะพูดว่า up to my ears in work หรือมีงานกองสูงถึงหู ก็ได้เช่นกัน

โอ๊ย งานหลายอย่างไปไหน

สำนวนนี้หมายถึง ทำงานหลายอย่างเกินไป เช่น Please don’t say you’re taking on another project. You already have too many irons in the fire. ก็จะหมายถึงว่า อย่าบอกนะว่าจะรับโปรเจ็กต์เพิ่ม แค่นี้ก็ทำอยู่หลายอย่างเกินไปแล้วนะ

ที่เหล็กและไฟมาเกี่ยวกับปริมาณงานก็เพราะสำนวนนี้มีที่มาจากโรงตีเหล็ก iron ที่ว่านี้คือ เหล็กที่นำไปเผาไฟก่อนตี หากนำเหล็กไปเผาหลายชิ้นเกินไป ก็จะตีไม่ทันนั่นเอง

 

สำนวนนี้มีความหมายคล้ายสำนวนก่อนหน้า หมายถึง มีงานที่ต้องดูแลหลายพร้อมกันหลายงานเกินไป เช่น Years of keeping too many balls in the air have taken a toll on his health. หมายถึง การแบ่งร่างทำงานหลายอย่างเป็นเวลาหลายปีส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเขา

สำนวนนี้มีที่มาจากจำอวดที่โยนลูกบอลให้ลอยอยู่กลางอากาศหลายลูกพร้อมกันโดยไม่ตกพื้น ยิ่งลูกบอลมีจำนวนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเลี้ยงให้ไม่ตกถึงพื้นยากขึ้นเท่านั้น

 

สำนวนนี้เป็นอีกสำนวนที่เกี่ยวข้องกับอาหารการกิน ใช้หมายถึง รับงานมาเกินความสามารถ ไม่ว่าจะเพราะรับงานปริมาณมากเกินไปหรืองานที่รับมายากเกินกว่าจะทำได้ ตัวอย่างเช่น I may have probably bit off more than I could chew when I decided to take on the project all by myself. ก็จะหมายความว่า สงสัยที่ตัดสินใจรับทำงานชิ้นนี้คนเดียวจะเกินตัวไป

ใครที่เป็นสายกินโหดก็อาจเคยประสบเหตุการณ์ที่เป็นที่มาของสำนวนนี้ เพราะหากแปลตรงๆ สำนวนนี้จะหมายถึง กัดอาหารเข้าปากเยอะเกินจนเคี้ยวไม่ไหว ถ้าไม่คายออกมาก็ต้องอมค้างไว้ในปากอย่างนั้น เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเรื่องงานจึงหมายถึงรับงานเกินความสามารถของตัวเอง

 

สำนวนนี้ใช้เพื่อหมายถึง ทำงานหลายอย่างเกินไปจนดูแลไม่ทั่วถึง ทำงานได้ไม่เต็มศักยภาพ เช่น Don’t spread yourself too thin. It’s better to focus on a few things and do them well. ก็จะหมายความว่า อย่าโลภทำงานหลายอย่างเกินไปแต่ทำได้ไม่ดีสักอย่าง เลือกทำไม่กี่อย่างแต่ทำให้ดีจะดีกว่า

สำนวนนี้ให้ภาพเหมือนเวลาที่เรากำลังทาเนยลงบนขนมปัง ด้วยเนยปริมาณเท่ากัน หากยิ่งทาบนขนมปังแผ่นใหญ่ก็จะยิ่งทำให้เนื้อเนยบาง ยิ่งหากทาบนขนมปังแผ่นใหญ่มากๆ เข้าแล้วก็อาจทาได้ไม่ทั่วแผ่น กินเข้าไปก็ไม่อร่อยอีกเพราะแทบไม่เหลือรสเนยแล้ว

โอ๊ย ทำงานดึกดื่น

สำนวนนี้หมายถึง ทำงานจนถึงดึกดื่น เช่น The only way I can get this done is to burn the midnight oil. หมายถึง จะทำงานเสร็จได้มีวิธีเดียว คือต้องถ่างตาทำจนถึงดึกดื่น นอกจากจะใช้กับเรื่องการทำงานแล้ว สำนวนนี้จะใช้กับการเรียนหรือกิจกรรมอื่นก็ได้เช่นกัน

ที่น้ำมันมาเกี่ยวโยงกับการทำงานดึกๆ ดื่นๆ ได้ก็เพราะน้ำมันในที่นี้หมายถึง น้ำมันตะเกียง ที่ใช้กันก่อนที่จะมีหลอดไฟ ในสมัยนั้นถ้าจะทำงานหามรุ่งหามค่ำ ก็ต้องอาศัยไฟจากตะเกียงน้ำมัน จึงเรียกการทำงานดึกว่าเป็นการเผาน้ำมันตะเกียงนั่นเอง

 

สำนวนนี้ใช้พูดเพื่อบอกว่า คนคนนั้นยังหยุดทำงานไม่ได้ ยังมีงานมากมายต้องทำต่อไป เช่น Guess I’ll have to pull an all-nighter again. Well, there’s no rest for the wicked. หมายถึง ดูท่าแล้วสงสัยจะต้องโต้รุ่งอีกแล้ว คนมีกรรมก็ต้องก้มหน้าทำงานต่อไปเนอะ

สำนวนนี้มีที่มาจากคัมภีร์ไบเบิ้ล เดิมทีหมายถึง คนบาปย่อมไม่ได้พบสันติสุขในชีวิต ต้องทรมานไปตลอดกาลในนรก แต่ภายหลังเริ่มนำมาใช้ติดตลกว่าที่ต้องทำงานหัวไม่ได้วางหางไม่ได้เว้นก็เพราะเป็นคนบาป อย่างที่ใช้กันในปัจจุบัน

 

สำนวนนี้หมายถึง ทำงานหามรุ่งหามค่ำ เช่น หากหมู่นี้เราตื่นแต่ไก่โห่แล้วทำงานจนถึงดึกดื่นเพื่อทำงานให้เสร็จทันเวลา ก็อาจพูดว่า I’ve been burning the candle at both ends trying to finish this project in time.

คำว่า end ในที่นี้หมายถึง ส่วนปลายของเทียน แรกเริ่มเดิมทีแล้วสำนวนนี้เคยหมายถึงการล้างผลาญหรือใช้ของสิ้นเปลือง ปกติแล้วคนโบราณจะใช้เทียนประหยัดเพราะเป็นของมีค่า หากจุดเทียนทีเดียวทั้งสองปลายก็ยิ่งทำให้เทียนหมดเร็วและถือเป็นการสิ้นเปลือง ภายหลังนำมาใช้ในความหมายทำนองว่า ใช้ชีวิตหรือสุขภาพสิ้นเปลืองเพราะโหมงานหนักนั่นเอง

โอ๊ย ทำงานหักโหมจนเจ็บไข้

สำนวนนี้หมายถึง ทำงานหนักจนร่างกายไม่ไหว เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เช่น หากเราจะเตือนเพื่อน (หรือตัวเอง) ว่าถ้าไม่หลับไม่นอนร่างกายจะไม่ไหวเอา ก็อาจจะพูดว่า If you keep going without sleep like this, you’ll . ก็จะหมายถึง ถ้าขืนทำงานไม่หลับไม่นอนแบบนี้ เดี๋ยวร่างกายจะไม่ไหวเอานะ

สำนวนนอกจากจะพูดว่า run myself into the ground จะใช้กริยา work หรือ drive แทนก็ได้ ให้ภาพเหมือนของที่ถูกใช้งานหนักหรือรับแรงกดดันมากจนมีส่วนที่ถูกกดจมลงไปในดิน

บรรณานุกรม

  • Ammer, Christine.

    . Houghton Mifflin Harcourt: New York, 2013.

  • Ayto, John.

    . OUP: Oxford, 2009.

  • Brenner, Gail.

    . Wiley Publishing: Indianapolis, 2003.

  • Gulland, Daphne M., and Hinds-Howell, David.

    . Penguin Books: London, 2002.

  • Jack, Albert.

    . Metro Publishing: London, 2004.

  • Shorter Oxford English Dictionary

  • Speake, Jennifer.

    . Oxford University Press: Oxford, 2008.

Fact Box

ในภาษาอังกฤษมีสุภาษิตว่า All work and no play makes Jack a dull boy. หมายถึง คนที่ทำแต่งาน ไม่มีเวลาพักผ่อนหย่อนใจ จะกลายเป็นคนที่น่าเบื่อ ไร้ประกาย เพราะไม่ได้ไปพบเจออะไรใหม่ที่หล่อหลอมให้เป็นคนที่น่าสนใจ

,

Tags:

[Update] พูดจาภาษาดอกไม้! เปิดสตอรี่ 15 สำนวนภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ “ต้นไม้ & ดอกไม้” หยิบมาใช้ได้แบบเก๋ๆ | สำนวน ที่ เกี่ยว กับ การ พูด – NATAVIGUIDES

1.Barking up the wrong tree 

 

Barking up the wrong tree = to be wrong about the reason for something or the way to achieve something 
 

สำนวน Barking up the wrong tree หมายถึงการตั้งใจทำอะไรบางอย่างแต่มุ่งทำผิดจุด หรือให้ความสำคัญผิดเรื่องก็เลยไปไม่ถึงความสำเร็จที่ตั้งใจไว้ซักที ที่มาของสำนวนนี้มาจากการที่สุนัขล่าเหยื่อเข้าใจผิดคิดว่าเหยื่อที่เจอไปหลบบนต้นไม้ แต่จริงๆ คือเหยื่อกลับหนีไปซ่อนตัวที่อื่น งานนี้ต้องบอกว่าเสียเวลา “เห่าผิดต้น” อยู่นานเลยค่ะ
 

ตัวอย่างประโยค 

 

She thinks it’ll solve the problem, but I think she’s

barking up the wrong tree

.

เธอคิดว่ามันจะช่วยแก้ปัญหาได้ แต่ฉันว่าเธอยังแก้ไม่ถูกจุดนะ
 

2.Can’t see the forest for its trees 

 

Can’t see the forest for the trees = to be unable to get a general understanding of a situation because you are too worried about the details
 

สำนวน Can’t see the forest for the trees หมายถึง การไม่เข้าใจสถานการณ์โดยรวม เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับรายละเอียดยิบย่อยมากเกินไป เปรียบได้กับการมองไม่เห็นผืนป่ากว้างไกลสุดสายตา เพราะมัวแต่จดจ้องอยู่กับต้นไม้เพียงต้นเดียว 
 

ตัวอย่างประโยค 

 

The politician’s opponents claimed that she

couldn’t see the forest for the trees

, because she spent so much time trying to solve minor problems.

นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามอ้างว่า เธอแก้ปัญหาใหญ่ๆ ไม่ได้ เพราะมัวเสียเวลาไปกับการแก้ปัญหาเรื่องเล็กๆ ที่มีอยู่มากมาย
 

3. Comes up smelling of roses 

 

Comes up smelling of roses = to be in a better or stronger situation than before, after experiencing a difficult situation
 

Comes up smelling of roses สำนวนนี้แค่เห็นคำว่า roses ก็คงเดาว่าเกี่ยวกับดอกกุหลาบแน่นอน แต่ที่มาของสำนวนนี้มาจากนวนิยายอเมริกันที่บอกเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไปคลุกกองขยะมา แต่เนื้อตัวของเขากลับสะอาดสะอ้าน แถมยังไม่เหม็นอีกด้วย (เป็นไปได้ไงคะเนี่ย 555) สำนวนนี้เลยนำมาใช้กล่าวถึงการรอดพ้นจากเหตุการณ์ร้ายๆ และพลิกฟื้นกลับมาสู่สถานะที่ดีกว่าเดิมได้
 

ตัวอย่างประโยค 

 

I think our industry will

come out of this smelling of roses

.

ผมคิดว่าธุรกิจของเราจะสามารถกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง
 

4. Flowery speech

 

Flowery speech = full of lovely words but may well lack substance
 

Flowery speech เมื่อใช้ตามความหมายตรงตัวจะหมายถึง การใช้ถ้อยคำหรือสำนวนโวหารเพื่อสร้างความไพเราะทางภาษา แต่หากเป็นสำนวนจะมีความหมายโดยนัยสื่อถึง คนที่ใช้คำพูดสวยหรูดูดี แต่หาเนื้อหาสาระไม่ได้ ฟังดูก็คล้ายสำนวนไทยที่ว่า “น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง” เลยค่ะ
 

ตัวอย่างประโยค 

 

He spoke for perhaps ten minutes but it’s a very

flowery speech

.

เขาพูดมาประมาณ 10 นาทีได้แล้ว แต่ฟังดูมีแต่น้ำไม่มีเนื้อเอาซะเลย
 

5. Hit the hay

 

Hit the hay/sack = to go to bed in order to sleep
 

Hit the hay มีที่มาที่ไปมาจากวิถีชีวิตของคนสมัยก่อนที่มักนอนบนถุงกระสอบที่ยัดฟางเอาไว้ เมื่อถึงเวลาเข้านอนก็จะตีถุงกระสอบนั้น เพื่อให้ที่นอนของพวกเขานุ่มขึ้นจะได้หลับสบาย ดังนั้น สำนวนนี้เลยหมายถึง ไปนอนหรือเข้านอนค่ะ
 

ตัวอย่างประโยค 

 

I have a busy day tomorrow, so I think I’ll

hit the hay

.

พรุ่งนี้เป็นวันที่ฉันยุ่งมากๆ ก็เลยคิดว่าจะเข้านอนแล้วล่ะ
 

6. Knock on wood

 

Knock on wood (touch wood) = said in order to avoid bad luck, either when you mention good luck that you have had in the past or when you mention hopes you have for the future
 

สำนวน Knock on wood แปลตรงตัวได้ว่า เคาะไม้ ส่วนทำไมต้องเคาะไม้ด้วยก็น่าจะเป็นเพราะคนสมัยก่อนเชื่อว่า ตามต้นไม้จะมีเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ คนก็เลยเอามือแตะหรือเคาะตามต้นไม้เพื่อขอให้ท่านคุ้มครองเรา พอมาใช้เป็นสำนวนจึงหมายถึง การพูดเพื่อปัดเป่าโชคร้าย รวมถึงให้สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นอยู่แล้วเป็นอย่างนี้ต่อไป หรือจะใช้อวยชัยให้เกิดเรื่องดีๆ ในอนาคตก็ได้ค่ะ 
 

ตัวอย่างประโยค 

 

She’s never even been to the doctor’s,

touch wood

.

เธอไม่เคยต้องไปหาหมอเลยสักครั้ง ขอให้โชคดีอย่างนี้ตลอดไปนะ
 

7. Last straw

 

Last straw = the last in a series of unpleasant events that finally makes you feel that you cannot continue to accept a bad situation
 

สำนวน Last straw ใช้เปรียบเปรยถึงการอดทนกับเรื่องแย่ๆ มาตลอด จนสุดท้ายทนต่อไปไม่ไหว เลยต้องแตกหักกันไปข้างหนึ่ง ฟังดูเข้าทำนองฟางเส้นสุดท้าย ซึ่งเป็นสำนวนที่เราได้ยินกันบ่อยๆ อันที่จริง สำนวนนี้มีที่มาจากสุภาษิตอาหรับว่า the straw that breaks the camel’s back เนื่องจากแต่ก่อนเจ้าของอูฐชอบให้อูฐแบกของหนักมากถึงมากที่สุด พอของหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เลยถึงจุดที่ทำให้การวางฟางอีกแค่เส้นเดียวบนหลังอูฐนั้นทำให้มันหลังหักได้
 

ตัวอย่างประโยค 

 

Losing my job was bad enough, but being evicted was

the last straw

.

ลำพังแค่ตกงานก็แย่พออยู่แล้ว แต่ฟางเส้นสุดท้ายก็คือการถูกไล่ออกจากบ้านเช่า 
 

8. Late bloomer

 

Late bloomer = someone who becomes successful, attractive, etc., at a later time in life than other people
 

สำนวน Late bloomer มีความหมายตรงตัวหมายถึง ดอกไม้ที่ผลิบานหลังดอกอื่น แต่พอออกดอกกลับบานสะพรั่งสวยงามไม่แพ้กัน เมื่อนำมาใช้เป็นสำนวนจึงเป็นการเปรียบดอกไม้ที่จะบานเมื่อถึงเวลากับคนที่ประสบความสำเร็จหลังคนอื่นๆ แบบค่อยเป็นค่อยไปค่ะ  
 

ตัวอย่างประโยค 


 

She was a

late bloomer

as a writer.

เธอใช้เวลามากกว่าคนอื่นๆ กว่าจะประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียน 
 

9. Needle in a haystack


 

Cr.

https://unsplash.com


 

Needle in a haystack = something that is impossible or extremely difficult to find, especially because the area you have to search is too large
 

สำนวน Needle in a haystack หมายถึง การค้นหาของบางอย่างที่ยากเกินกว่าจะหาเจอ โดยเฉพาะการหาของเล็กๆ ในพื้นที่แสนกว้างใหญ่ ประหนึ่งหาเข็มในกองฟาง ซึ่งก็คล้ายกันกับสำนวนไทยที่ว่า งมเข็มในมหาสมุทร (หายากพอกันเลย TT)
 

ตัวอย่างประโยค 

 

Finding the piece of paper I need in this huge pile of documents is like looking for/trying to find

a needle in a haystack

.

การหาเอกสารสักแผ่นที่ต้องการในเอกสารกองโตพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทรเลยล่ะ
 

10. Nip (something) in the bud

 


Cr. https://unsplash.com 


 

Nip something in the bud = to stop something before it has an opportunity to become established
 

สำนวน Nip something in the bud หมายถึง การรีบยุติสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสียตั้งแต่แรก เทียบได้กับสำนวนไทยที่ว่าตัดไฟแต่ต้นลม สำนวนนี้เริ่มใช้ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 16 โดยมาจากการตัดยอดดอกไม้ก่อนที่มันจะบาน เพื่อเป็นการเร่งให้ต้นไม้โตเร็วขึ้น
 

ตัวอย่างประโยค 

 

If this problem isn’t

nipped in the bud

, it will soon get totally out of hand.

ถ้าเราไม่ตัดไฟแต่ต้นลม ปัญหานี้จะควบคุมไม่ได้
 

11. No bed of roses

 


Cr. https://unsplash.com 


 

No bed of roses = something is not always good or easy, something is not as pleasant as it seems
 

สำนวน No bed of roses นี้ หมายถึงการต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยความลำบากยากเย็น นอกจากนี้อาจใช้ในทำนองที่ว่า สิ่งที่วาดฝันไว้อย่างสวยหรูไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดก็ได้ค่ะ
 

ตัวอย่างประโยค 

 

Jane has observed that marriage is

not a bed of roses

.

เจนออกความเห็นว่า การใช้ชีวิตคู่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด
 

12. Out of the woods

 


Cr. https://unsplash.com 


 

Out of the woods = to no longer be in danger or difficulty
 

Out of the woods หลายคนคงเดาออกว่าสำนวนนี้ต้องเกี่ยวกับป่าแน่นอน ซึ่งที่มาก็คาดว่ามาจากเวลาที่คนพลัดหลงเข้าไปในป่าลึกก็ย่อมต้องเกิดความกลัว ดังนั้น การหาทางออกมาจากป่าได้จึงเหมือนกับการรอดพ้นจากอันตรายนั่นเอง สำนวนนี้ก็เลยหมายถึง ผ่านจุดอันตราย หรือผ่านพ้นความยากลำบากมาได้ซะที 
 

ตัวอย่างประโยค 

 

The project has been given funding for another year, but it’s not

out of the woods

yet.

โครงการได้รับเงินทุนต่ออีกปีหนึ่ง แต่ยังไม่พ้นจุดวิกฤตที่อันตราย
 

13.Pushing up the daisies 

 


Cr. https://unsplash.com 


 

Pushing up the daisies = to be dead
 

สำนวน Pushing up the daisies ความหมายแบบตรงๆ แปลว่า “ตาย” แต่บางครั้งก็อาจเลี่ยงใช้เป็นคำสุภาพ จะได้ไม่ชวนให้จินตนาการถึงภาพที่ไม่น่าดู คาดว่ามีที่มาจากดอกเดซี่ที่มักขึ้นบริเวณหลุมฝังศพ นอกจากนี้ ยังใช้ในภาษาพูดแบบไม่เป็นทางการหรือพูดติดตลกในทำนองที่ว่า ตายอย่างสงบศพจะได้กลายเป็นปุ๋ยช่วยให้ต้นเดซี่ได้เติบโตขึ้นมา
 

ตัวอย่างประโยค 

 

I’ll be

pushing up the daisies

long before the price of property goes down in our city.

กว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองจะปรับตัวลดลง ฉันคงตายอย่างสงบจนศพกลายเป็นปุ๋ยไปนานแล้ว 
 

14. Seed money

 


Cr. https://unsplash.com


 

Seed money = money that is given to someone to help them start a new business or project
 

สำนวน Seed money เป็นการนำคำว่า seed ที่แปลว่า เมล็ดพันธุ์มาเปรียบเปรยกับการจัดหาแหล่งเงินทุนมาใช้ลงทุนในช่วงริเริ่มก่อร่างสร้างธุรกิจ หรือโครงการต่างๆ 
 

ตัวอย่างประโยค 

 

As without

seed money

, it will be challenging to turn an idea into a reality.

หากไม่มีเงินทุนตั้งต้น คงเป็นเรื่องยากทีเดียวที่จะเปลี่ยนความฝันในการทำธุรกิจให้กลายเป็นความจริงได้
 

15.Shrinking violet

 


Cr. https://unsplash.com 


 

Shrinking violet = a person who is very shy or modest and does not like to attract attention
 

Shrinking violet หมายถึง คนที่ขี้อายมากๆ และไม่ชอบเป็นจุดสนใจ หลายคนอาจงงว่าดอกไวโอเล็ตไปเกี่ยวอะไรกับความเขิน แต่ที่มาของสำนวนนี้มาจากลักษณะของดอกไวโอเล็ตที่แลดูกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารัก แต่พอเวลาออกดอกกลับชอบไปซ่อนตัวอยู่หลังใบ สำนวนนี้จึงเปรียบคนที่มีบุคลิกขี้อายกับดอกไวโอเล็ตที่ไม่ค่อยยอมออกมาอวดโฉมความงาม >_<
 

ตัวอย่างประโยค 

 

He’s no

shrinking violet

when it comes to competition.

ถ้าพูดถึงเรื่องการแข่งขันแล้ว เขาไม่ใช่คนขี้อายเลย
 

         เป็นอย่างไรกันบ้างคะ หวังว่าสำนวนที่หยิบมาฝากกันในวันนี้จะเป็นประโยชน์กับน้องๆ ไม่แน่ว่าอาจจะพูดภาษาดอกไม้กันทั้งวันก็เป็นได้ 555 แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ ^^
 

Sources:

https://www.phrases.org.uk/meanings/barking-up-the-wrong-tree.htmlhttps://www.history.com/news/why-do-people-knock-on-wood-for-luckhttps://www.phrases.com/phrase/come-up-smelling-like-a-rose_44581https://www.bloomsbury-international.com/student-ezone/idiom-of-the-week/1395-the-last-straw/https://www.bloomsbury-international.com/student-ezone/idiom-of-the-week/1203-hit-the-sack/https://www.word-detective.com/2010/03/nip-it-in-the-bud/http://www.dailywritingtips.com/pushing-up-daisies-and-other-euphemisms-for-death/https://www.urbandictionary.com/define.php?term=pushing%20daisieshttps://idioms.thefreedictionary.com/pushing+up+daisieshttps://hotidioms.com/2015/04/01/shrinking-violet/


How to talk about CLIMATE CHANGE in English


👉 My complete online course IELTS SPEAKING SUCCESS Get a Band 7+ https://keithspeakingacademy.teachable.com/p/ieltsspeakingsuccessgetaband7?src=YTREC
😃 My online course FLUENCY for IELTS SPEAKING DISCOUNTED!
https://keithspeakingacademy.teachable.com/p/fluencyinenglish/

How do you talk about Climate Change in English and with confidence? …let’s find out. I am going to take you on a rather quick tour of the key language you need to talk about Climate Change.

Topics covered in this video:
00:00:00 Welcome
00:00:17 Introduction
00:01:01 Key terminology
00:05:29 Advanced Collocations
00:08:21 Useful verbs
00:11:46 Nice Phrasal Verbs
00:13:53 Idiomatic Expressions

Read this complete lesson here: https://keithspeakingacademy.com/vocabularyclimatechangeenglishieltsspeaking/
IMPROVE YOUR ENGLISH:
👍 Get get a complete Mock IELTS Test with TakeIELTS.net
https://takeielts.net/thepathtosuccessintheieltstest/
Get a 10% discount with the CODE: keith10
🎁 Download my free ebook: AVOID 10 MOST COMMON MISTAKES IN IELTS SPEAKING:
https://keithspeakingacademy.com/
😄 Practice IELTS speaking with italki:
https://promos.italki.com/ieltsspeakingsuccess/

Follow me on social media
Facebook Page: https://www.facebook.com/keithspeakingacademy
Facebook Group: https://www.facebook.com/groups/KeithIELTSMastermind/
Website: https://keithspeakingacademy.com/
IELTSSPEAKING IELTSgrammar IELTStips IELTS2021 keithspeakingacademy

If you are taking the IELTS test soon,
Best of luck!
Keith

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

How to talk about CLIMATE CHANGE in English

105D+2090957+ท+สำนวนเกี่ยวกับการพูด+thaip2+dl57t1+w17


105D+2090957+ท+สำนวนเกี่ยวกับการพูด+thaip2+dl57t1+w17

เปลี่ยนคำพูดธรรมดาให้มีคุณค่าทางใจ | Podcast #31


ชมคลิปนี้แล้วคุณจะรู้วิธีปรับคำพูดที่แสนธรรมดา ให้สามารถสร้างคุณค่าและความประทับใจให้คู่สนทนาได้เลยค่ะ เหมาะมาก ๆ กับคนที่ทำงานด้านบริการ ประสานงาน พูดคุยกับลูกค้า หรือแค่เราเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกเพื่อนมนุษย์ 🙂 ก็นำไปประยุกต์ใช้ได้ค่ะ
ติดตาม podcast ได้ที่:
https://go.auditorium.co.th/plearn

ออนไลน์คอร์สเทคนิคการนำเสนอและการพูด:
https://go.auditorium.co.th/pp
แอ๊ดเราเป็นเพื่อนใน Line เพื่อรับข่าวสารคอร์สอบรม
Line ID: @auditorium.co.th
https://go.auditorium.co.th/line

วิทยากร: จีนา จีนาฟู

เปลี่ยนคำพูดธรรมดาให้มีคุณค่าทางใจ | Podcast #31

สำนวนเกี่ยวกับการพูด – ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2


สำนวนเกี่ยวกับการพูด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
อ้างอิงหนังสือเรียนวรรณคดีลำนำ

สำนวนเกี่ยวกับการพูด - ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2

สำนวนและการพูด


จัดทำโดย กลุ่ม1 ม.6/4

สำนวนและการพูด

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ สำนวน ที่ เกี่ยว กับ การ พูด

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *