Skip to content
Home » [NEW] เปลี่ยนวิธีคิดชีวิตก็เปลี่ยน เรื่องของ “Mindset” สิ่งสำคัญที่กำหนดเส้นทางชีวิตของแต่ละคน | read แปลว่า – NATAVIGUIDES

[NEW] เปลี่ยนวิธีคิดชีวิตก็เปลี่ยน เรื่องของ “Mindset” สิ่งสำคัญที่กำหนดเส้นทางชีวิตของแต่ละคน | read แปลว่า – NATAVIGUIDES

read แปลว่า: คุณกำลังดูกระทู้

คิดอยู่นานว่าบล็อกแรกของปีนี้จะเขียนเรื่องอะไรดี ช่วงนี้มีเรื่องอยากเขียนมากมายตามสไตล์คนเพิ่งหายป่วยและมีกำลังวังชา 555

ซึ่งก็นะ เราอยากให้นี่เป็นการเริ่มต้นปีที่ดีอย่างมีนิมิตหมาย สุดท้ายเราเลยเลือกเรื่องของ “การพัฒนาตัวเอง” มาเป็นบล็อกแรกของปีนี้ละกันนะ =D

เคยได้ยินคำพูดพวกนี้มั้ย

ชีวิตจะเป็นอย่างไร 10% ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เข้ามาในชีวิตอย่างควบคุมไม่ได้และอีก 90% ขึ้นอยู่กับว่าเราตอบโต้เจ้า 10% นั้นอย่างไร

ยิ่งดูดราม่ามากก็จะกลายเป็นคนบ้าดราม่าจนมองโลกในแง่ร้ายในที่สุด

คนเรายิ่งล้มเหลวก็จะยิ่งเก่งขึ้น

อย่าเอาแต่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

สื่อเป็นคนกำหนดนิสัยของคนในสังคม

แต่ละ Quote มันดูไม่เกี่ยวข้องกันเลยเนอะ แต่จริง ๆ ทุกประโยคล้วนโยงถึงสิ่งเดียวกันครับ สิ่งที่เรียกว่า “Mindset”

ความหมายอาจจะไม่ตรงกัน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นการกำหนดทิศทางของชีวิตด้วย “วิธีคิด” ทั้งนั้น ก่อนหน้านี้เราอาจจะฟังแล้วรับเอาความคิดเหล่านี้เข้าไปใช้ในชีวิตหรือบ้างก็ปฏิเสธมันไป พอมันเป็นเรื่องของความคิดมันเลยดูจับต้องไม่ได้ ทำให้บางทีก็กลับมาหลงทางได้ง่าย ๆ

แต่บล็อกนี้เราจะดึงความคิดเหล่านี้ให้กลายเป็นของที่จับต้องได้เพราะพอคุณเริ่มเห็นว่ามันมีตัวตน คุณจะพัฒนามันได้ง่ายขึ้นมาก ชีวิตคุณก็จะดีขึ้นมากตามลำดับ และในบล็อกนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องนี้กันโดยเฉพาะครับ เรื่องของ “Mindset”

หมายเหตุ: บล็อกนี้ไม่ได้จะพูดถึง Mindset ในเชิงวิทยาศาสตร์หรือวิชาการใด ๆ ทั้งสิ้น แต่จะเอาเรื่องราวที่เรียนรู้มาตลอดชีวิตมาเล่าให้ฟัง เผื่อว่าจะมีประโยชน์และสามารถใช้ในการพัฒนาตัวเองได้ครับ

Mindset คืออะไร? สำคัญอย่างไร?

เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินและรู้จักมันมาอยู่แล้ว แต่นิยามของมันนี่ลื่นไหลดิ้นได้มาก ๆ พูดเลยว่าแปลเป็นไทยยากมาก

บางคนก็บอกว่ามันคือ “กรอบความคิด” ก็อาจจะถูกก็ได้ แต่สำหรับเราเราไม่ชอบความหมายนี้ เพราะมันไม่สามารถสื่อความหมายและความสำคัญของ Mindset ได้เลย มันเป็นคำแปลที่ดูขัดใจอย่างบอกไม่ถูก เราว่ามันไม่ใช่กรอบอ่ะ มันลึกซึ้งกว่านั้น นี่มันเป็นถึง “ตัวตัดสินใจว่าชีวิตจะก้าวต่อไปอย่างไร” เลยนะ

ความหมายที่เราฟังแล้วรู้สึกว่ามันโอเคคือ

ทัศนคติ วิธีคิดและความเชื่อของคนแต่ละคน ที่ส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจของคนผู้นั้น

ถ้าไปเปิดนิยามใน Dictionary เมืองนอกก็จะเห็นว่ามีคำนิยามต่างกันเยอะแยะมากมายเช่นกัน แต่คำภาษาอังกฤษคำนึงที่เราชอบเป็นพิเศษคือ Thought Process หรือ วิธีคิด นี่แหละ เป็นคำที่สื่อความหมายได้ดียิ่ง มันไม่ใช่แค่ความคิดแต่เป็น “วิธีคิด” ในบทความนี้เราเลยขอนิยามคำว่า Mindset สั้น ๆ ว่า “วิธีคิด” นี่แหละนะ

หากถามว่าตัวตนของเราคืออะไร เรามองว่ามันประกอบด้วยสองส่วนที่ทำงานควบคู่กันไป “ร่างกาย” และ “วิธีคิด (Mindset)” ซึ่งสองสิ่งนี้แหละที่ขับเคลื่อนทิศทางของชีวิตเราไปจนนาทีสุดท้าย

ดังนั้น Mindset จึงสำคัญมากกกกกก ตัวตนของเราจะเป็นอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับ Mindset เป็นส่วนหลัก ๆ เลย

ความสำคัญของ Mindset

จากนิยามด้านบนก็จะเห็นว่า Mindset เป็นตัวกำหนดเลยว่าชีวิตจะก้าวต่อไปอย่างไรเมื่อมีสิ่งใด ๆ เข้ามาในชีวิตให้เราคิดและตัดสินใจ

หาก Mindset ดีก็จะส่งผลให้ตัดสินใจได้ดี ชีวิตก็จะดีและก้าวต่อไปอย่างมั่นคง หากตัดสินใจแย่ชีวิตก็พังได้ง่าย ๆ

และการตัดสินใจใด ๆ ก็จะส่งผลต่อก้าวต่อ ๆ ไปด้วย ก็เหมือนหมากรุกนั่นแหละ เราต้องเดินหมากไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ และ เรื่อย ๆ เพียงแต่กระดานที่เราเล่นอยู่คือโลกแห่งความจริง เจ็บก็เจ็บจริง ๆ สุขก็สุขจริง ๆ

เคยถามตัวเองมั้ยว่า “ชีวิตคุณมาอยู่จุดนี้ได้อย่างไร” ลองย้อนกลับไปดูสิว่าปีที่แล้วคุณเป็นยังไงและตอนนี้คุณมีอะไรต่างไปบ้าง …

และลองคิดเล่น ๆ ดูว่า มีมั้ยในปีที่ผ่านมาที่ทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าเกิดตอนนั้นเราไม่ได้ตัดสินใจแบบนั้น ๆ ๆ ๆ ๆ แล้วชีวิตเราตอนนี้คงจะเปลี่ยนเป็นอีกแบบเลย

นี่แหละ ผลของ Mindset หละ ดังนั้นพูดได้เลยว่า

ชีวิตจะดีจะร้ายก็ขึ้นอยู่กับ Mindset

คนหลาย ๆ คนอาจจะเริ่มจากจุดเดียวกัน แต่จบที่คนละจุดได้เสมอ เพราะ Mindset ของแต่ละคนต่างกัน ชีวิตจึงถูกขับเคลื่อนต่างกัน

คนมีปัญหาครอบครัวเหมือนกัน คนนึงอาจจะจบลงที่การเป็นด็อกเตอร์ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ในขณะที่อีกคนอาจจะติดยาและเป็นฆาตกรก็ได้เช่นกัน …

ก็จะเห็นว่า Mindset คือตัวกำหนดทิศทางและอนาคตของชีวิต และมันเป็นสิ่งที่อยู่กับตัวตนของเราตลอดเวลาในทุกวินาที ไม่ว่าจะตอนตื่น ตอนนอน หรือตอนทำกิจกรรมใด ๆ ชีวิตจะเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่กับ Mindset ของเราละ

นี่เป็นเหตุผลว่าปีที่แล้วทำไมเราถึงโฟกัสเรื่องการพัฒนา Mindset มากเป็นพิเศษ เพราะหาก Mindset ดี คน ๆ นั้นก็จะดีและเก่งขึ้นได้ด้วยตัวเอง ตรงกันข้าม ต่อให้เคี่ยวเข็ญแค่ไหนแต่ถ้า Mindset แย่ คน ๆ นั้นก็จะไม่มีทางดีขึ้นหรือเก่งขึ้นได้เลย

Mindset เปลี่ยนแปลงได้เรื่อย ๆ ทุกวินาที

Mindset (วิธีคิด) คนเราเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา ประสบการณ์ชีวิตจะค่อย ๆ หล่อหลอมให้วิธีคิดของคนนั้น ๆ เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลงก็ตาม

เคยพูดอยู่ประโยคนึง “คุณในวันนี้กับคุณในเมื่อวานนี้นั้นเป็นคนละคนกัน” ก็เพราะเหตุผลนี้แหละ Mindset คนเราเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ และเมื่อมันเปลี่ยน ตัวตนคุณก็จะเปลี่ยนไปด้วย

และเราควรจะเอาคุณสมบัตินี้มาทำให้เป็นประโยชน์กับตัวเรา

จงพัฒนา Mindset ให้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ วัน

และจะทำยังไงให้ดีขึ้นได้บ้าง ? … ต้องเข้าใจนิสัยของ Mindset ก่อนนิดนึงว่า …

Mindset เป็นสิ่งที่ติดต่อกันได้

ทุกสิ่งและทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเราล้วนส่งผลให้ Mindset เปลี่ยนได้ทั้งสิ้น

– เมื่ออยู่กับคนที่รู้จักประหยัดเงิน คุณจะค่อย ๆ ซึมซับและมี Mindset ของการใช้เงินเป็น

– เมื่อคุณอยู่กับคนที่เก่งขึ้นตลอดเวลา คุณจะมี Mindset ของความอยากเก่งขึ้นตลอดเวลาเช่นกัน

– เมื่ออยู่ในสังคมที่คนประณามผู้ล้มเหลว สุดท้ายคนก็จะมี Mindset ของการไม่กล้าออกไปทำอะไรใหม่ ๆ

– เมื่ออยู่ในสังคมที่คนไม่คิดจะต่อแถวกัน Mindset ทุกคนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นการแก่งแย่งอย่างบ้าคลั่ง

– เมื่อทุกคนพร้อมใจกันทิ้งขยะไม่เลือกที่ Mindset ของคนในสังคมนั้นก็จะทิ้งขยะกันเกลื่อนกลาด

– เมื่อทุกคนบอกว่าการพูดภาษาอังกฤษผิดเป็นเรื่องแย่มาก คนก็คิดว่าการพูดภาษาอังกฤษเป็นเรื่องน่าอายและจะกลัวไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษกัน

เมื่อเข้าใจ Nature ตรงนี้ของ Mindset แล้วก็จะรู้ละว่าทำไม “การเลือกคบเพื่อน” และ “การเอาตัวเองไปอยู่ในสังคมดี ๆ” ถึงสำคัญ เพราะเมื่อคนรอบตัวที่คุณสัมผัสล้วนเป็นคนดี มี Mindset ที่ดี เราก็จะได้รับสิ่งดี ๆ เข้ามาเสมอ และคุณก็จะกลายเป็นคนที่ดีขึ้น ตัดสินใจดีขึ้นไปโดยอัตโนมัติ

อยากให้เข้าใจเรื่องตรงนี้ไว้ตลอดเวลา

Mindset ติดต่อกันได้

เพราะสุดท้าย “เมื่อคุณเสพย์อะไรมาก ๆ คุณจะกลายเป็นสิ่งนั้น” หากคุณเอาตัวเองไปอยู่ในที่ดี ๆ เสพย์สิ่งดี ๆ คุณก็จะกลายเป็นคนที่ดีขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเอาตัวเองไปอยู่ที่แย่ ๆ เสพย์แต่สิ่งร้าย ๆ สุดท้ายคุณก็จะกลายเป็นคนที่เอาแต่กลัว ชีวิตแย่ลงเรื่อย ๆ และไม่มีทางเก่งขึ้นได้เลย

ประโยคที่ว่า “You are what you share on Facebook” ก็มาจากเรื่องนี้แหละ =)

รับพลังด้านบวกเรื่อย ๆ พร้อมปิดกันพลังด้านลบ

อย่างที่บอกด้านบน Mindset สามารถติดต่อกันได้ ดังนั้นถ้าอยากจะพัฒนา Mindset อย่างแรกที่ควรจะทำเลยคือ “ย้ายตัวเองไปอยู่ที่มีพลังด้านบวกเยอะ ๆ”

การย้ายตัวเองนี้ทำได้ทั้งทางโลกจริงและโลกเสมือนนะ

โลกจริงคือการไปอยู่ในสังคมที่ดี ส่วนโลกเสมือนก็เช่นพวก Social Network อย่าง Facebook ก็ต้องหันไป Follow คนที่มีความคิดดี ๆ แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้นจากการรับพลังด้านบวกครับ

ในขณะเดียวกัน การรับพลังด้านบวกอย่างเดียวก็ยังไม่พอ ต้องรู้จักปิดกั้นพลังด้านลบไม่ให้เข้ามาในชีวิตด้วย

ในโลกจริงก็เหมือนเดิม สังคมไหนไม่ดีก็อย่าเข้าไปร่วมสังคมด้วย ในโลกเสมือน … พวกเพจที่เน้นสร้างความเกลียดชังหรือแม้แต่เพื่อนที่ชอบโพสต์เรื่องลบ ๆ วันดีคืนดีก็เอาแต่โพสต์ด่ากราดคนอื่น เราแนะนำให้ควรเลิกติดตามเสีย

เพราะพลังด้านลบมักจะมีผลมากกว่าพลังด้านบวกเสมอ ถ้ายังติดตามคนพวกนี้และรับพลังลบ ๆ เข้าไป Mindset ก็จะพลอยลบไปด้วย แล้วพอถึงจุดนึงจะดึงกลับมาไม่ได้อีกเลย แล้วชีวิตคุณจะมีแต่แย่ลง ๆ ครับ

หยุดรับเรื่องดราม่า

ส่วนตัวเป็นคนที่ Anti ดราม่ามาตลอด เพราะตัวเองก็เคยเป็นคนติดอยู่ในหลุมดราม่า กว่าจะพาตัวเองออกมาได้นี่เหนื่อยมาก และพอออกมาจากหลุมแล้วก็เลยเข้าใจว่ามันแย่ยังไง

ดราม่าเป็นพลังด้านลบ คอยแต่จะสร้างความเกลียดชังให้กับผู้คน แรก ๆ ก็อาจจะยังโอเคอยู่ แต่เมื่อถึงวันนึงความดราม่าจะเข้าครอบงำและทุกอย่างจะกลายเป็นสิ่งเลวร้ายไปทั้งหมด จะมองไม่เห็นความดีของสิ่งต่าง ๆ อีกเลย และสุดท้ายก็จะสร้างเรื่องดราม่าได้เอง อะไรก็ดราม่าได้หมด

มีหลาย Sample แล้วที่สังเกตดูจากโพสต์บนเฟสบุ๊คของหลาย ๆ คน ที่ช่วงแรก ๆ ก็ยังดีอยู่ แต่สักพักก็เริ่มแชร์เรื่องดราม่ามากขึ้น ๆ และผ่านไป 1 ปีโพสต์บนเฟสบุ๊คของคนนั้นก็คือเรื่องดราม่าและการมองโลกในแง่ร้ายตลอดเวลา จนบางคนก็กลายเป็นคนกลัวทุกสิ่งอย่าง ไม่กล้าทำอะไรใหม่ ๆ และหยุดการพัฒนาตัวเองไปในที่สุด

ไม่ใช่แค่คนเดียว เยอะมากเลยที่เป็นแบบนี้

เหตุผลของการที่เราสนับสนุนให้เลิกรับหรือเสพย์ดราม่าก็คือเรื่องของ Mindset นี่แหละ เมื่อรับเรื่องดราม่ามาก Mindset คุณจะกลายเป็นแง่ลบ มองอะไรก็แย่ไปหมด อย่าให้อยู่ในภาวะนั้นเพราะกว่าจะทำให้กลับมาเป็น Mindset ที่ดีได้มันต้องใช้เวลานานมาก

ฉลาดเลือก Idol

และเนื่องจาก Mindset มันติดต่อกันได้ การเลือก Idol ที่ดีก็จะทำให้ Mindset ของคุณดีขึ้นได้เช่นกัน

ลองดูว่าคุณชื่นชอบการกระทำของใคร ชอบนิสัยของใคร ชอบวิธีคิดของใคร แล้วก็ติดตามเรื่องราวของคน ๆ นั้นซะ จากนั้น Mindset ของ Idol ผู้นั้นจะค่อย ๆ ไหลซึมมาสู่เราเองครับ

และคำเตือนนึงที่อยากจะบอกทุกคนไว้คือ

อย่าเลือกติดตาม Celebrity แต่จงเลือกติดตาม Idol

ไม่มีความหมายของความเก่งหรือความดีอยู่ในคำว่า Celebrity มันมีความหมายเดียวคือ “ความดัง” ซึ่งการโด่งดังตรงนี้อาจจะมาจากเรื่องอะไรก็ได้ไม่ว่าเรื่องดีหรือเรื่องเลวร้าย เห็นอยู่เยอะแยะมากมาย คนติดยาเอย คนโชว์นมเอย แล้วก็ยกย่องให้พวกนี้เป็น Idol

หารู้ไม่ว่า Idol ความหมายที่แท้จริงคือ “ผู้ที่น่าเอาเยี่ยงอย่าง” หากบอกว่าคนกลุ่มที่กล่าวมาข้างต้นน่าเอาเยี่ยงอย่าง ก็คงเห็นอนาคตของคนที่ติดตามแล้วว่าจะเป็นยังไง

ความจริงแล้วพวกนั้นคือคนดังครับ แต่จำกัดคำนิยามอยู่แค่ตรงนั้น “ดัง” ไม่ได้มากกว่านี้ ถ้าอยากจะติดตามคนดังก็ทำได้ แต่ขอให้เป็นคนดังที่เป็น Idol จริง ๆ … คือดังจากการเป็นคนดีและน่าเอาเยี่ยงอย่างนั่นเอง

แล้ว Mindset คุณจะดีขึ้นโดยไม่รู้ตัว และชีวิตคุณจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เองครับ =)

ผลของสื่อ/ละครกับคนในสังคม ก็เรื่องของ Mindset เช่นกัน

เคยได้ยินคำนี้กันมั้ย

สื่อเป็นคนกำหนดนิสัยของคนในสังคม

มันก็ไม่ใช่เรื่องไหนไกล … Mindset นี่แหละ

การที่สื่อคอยนำเสนอแต่เรื่องความงมงายก็ส่งผลต่อ Mindset ของคนในสังคมให้เชื่อเรื่องงมงาย

การที่สื่อคอยสำเสนอเรื่องการฆ่ากันตาย จำนวนคนฆ่ากันตายก็จะเยอะขึ้น

และเช่นเดียวกับละครซึ่งถือว่าเป็นสื่อแบบนึง การที่บอกว่าการข่มขื่นเป็นเรื่องที่พระเอกทำกัน ก็ส่งผลให้เกิด Mindset ของการข่มขืนในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น … เลือกอ่านสื่อและรับชมละครที่สร้าง Mindset ดี ๆ นะครับ เพราะมันไม่ใช่แค่สิ่งที่โลดแล่นอยู่บนจอ แต่มันคือชีวิตคุณหลังจากรับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เข้าไป

สื่อไหนหรือละครเรื่องไหนที่นำเสนอแต่เรื่องลบ ๆ ก็ควรเลิกสนับสนุนได้แล้วครับ

เนยแนะนำจากใจ

Fixed Mindset vs Growth Mindset

ทางด้านวิชาการมีความพยายามแบ่ง Mindset ออกมาเป็นกลุ่ม ๆ อยู่หลายแบบเหมือนกัน แต่ทฤษฎีนึงที่โด่งดังที่สุดคือทฤษฎีที่นำเสนอโดย Carol Dweck ที่บอกว่า Mindset ถูกแบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ Fixed Mindset และ Growth Mindset

Fixed Mindset

คือ Mindset ที่คนเชื่อว่าตัวเองไม่สามารถเก่งขึ้นได้ ความรู้ทั้งหลายเป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิดและไม่สามารถพัฒนาไปกว่านั้นได้

– พยายามหลีกเลี่ยงทุกปัญหา

– ยอมแพ้กับทุกสิ่งอย่างง่ายดาย

– รู้สึกว่าความพยายามเป็นสิ่งไร้ค่า

– เมื่อได้รับ Feedback ด้านลบของตัวเองก็จะปฏิเสธว่ามันไม่จริงและไม่สนใจใด ๆ

– รู้สึกว่าความสำเร็จของคนอื่นทำให้ชีวิตตัวเองห่อเหี่ยว

คนที่มี Mindset แบบนี้เป็นการสร้าง “กรอบ” ของความคิดของจริง คือตัวเองไม่สามารถออกจากกรอบนี้ได้และก็จะเป็นแบบนี้ไปจนตาย

ผลคือคนกลุ่มนี้มักจะไม่สามารถคว้าความสำเร็จในชีวิตไว้ได้ เนื่องจากโลกมันหมุนไปเรื่อย ๆ แต่คนกลุ่มนี้กลับปฏิเสธที่จะพัฒนาตัวเองนั่นเอง

Growth Mindset

คือ Mindset ของคนที่เชื่อว่าตัวเองเก่งขึ้นได้ตลอดเวลา และเชื่อว่าตัวเองสามารถเรียนรู้เรื่องใด ๆ ในโลกถ้าใส่ความพยายามลงไปมากพอ

– เมื่อชีวิตเจอปัญหาหรือความท้าทายจะเข้าลุย

– รู้สึกว่าความพยายามนี่แหละคือหนทางนำไปสู่ความเก่งความชำนาญและความเมพ

– เมื่อเจอคำวิจารณ์แย่ ๆ ก็จะเรียนรู้จากมันแทนการเพิกเฉย

– มองความสำเร็จของคนอื่นเป็นบทเรียนและแรงบันดาลใจ

คนกลุ่มนี้มักจะคว้าความสำเร็จได้มากกว่าคนกลุ่ม Fixed Mindset มากเพราะคนกลุ่มนี้จะพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีกรอบที่จำกัดตัวเองไว้ หากเจอปัญหาอะไรก็แก้ได้หมดและกลายเป็นคนที่มีค่ามากไปในที่สุด

ลองดูคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตระดับโลก Mark Zuckerberg งี้ Larry Page งี้ Steve Jobs งี้ ทุกคนล้วนแต่มี Growth Mindset ทั้งสิ้น เพราะเค้ารู้ว่าโลกมันไม่หยุดหมุน เราต้องเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ตามโลกด้วยนั่นเอง

ควรเป็นแบบไหน ?

ตอบไม่น่าจะยากป่ะ Growth Mindset สิ !

และเพื่อจะพาตัวเองไปให้ถึงจุดนั้น สิ่งที่ต้องทำก็มีไม่มาก … รับพลังจากคน Growth Mindset มาเยอะ ๆ เรียนรู้จากคนกลุ่มนี้เยอะ ๆ และ นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ครับ

มี Mindset ในกลุ่ม Growth อยู่หลายตัวที่แทบจะเป็น Fundamental เช่น

คนเรายิ่งล้มเหลวก็จะยิ่งเก่งขึ้น

แค่นี้ก็จะทำให้เราไม่กลัวการทำอะไรใหม่ ๆ อีกต่อไป และคุณก็จะเก่งขึ้นได้ด้วยตัวเองทุกวินาที

หาอ่านและเรียนรู้วิธีคิดแบบนี้ไว้เยอะ ๆ ครับ และนำไปปฏิบัติตามด้วยเพื่อให้มันกลายเป็น Mindset ของเราไปจริง ๆ ในที่สุด

หากคิดจะตั้งเป้าอะไรเพื่อตัวเองไว้สักอย่าง “เราจะมี Mindset แบบ Growth Mindset” ก็เป็นของขวัญให้ตัวเองที่มีมากอย่างหนึ่งครับ =)

Mindset ของเราทุกคนล้วนต่างกัน เราทุกคนล้วนแตกต่าง

จะที่พูดไว้ด้านบนโน้น จะเห็นว่าตัวตนของเราถูกกำหนดจาก ร่างกาย และ Mindset

และนี่คือเหตุผลว่าทำไมทุกคนในโลกล้วนต่างกัน … เพราะนอกจากร่างกายทุกคนจะไม่เหมือนกันแล้ว ทุกคนก็ยังไม่มีใครที่มี Mindset เหมือนกันเลย

คนเราแค่เกิดมาจากครอบครัวที่แตกต่างก็มี Mindset ที่ต่างกันแล้ว คนรวยกับคนจนก็มีวิธีคิดที่ต่างกันไป และหากคนจนฝืนเอา Mindset คนรวยมาใช้ก็อาจจะทำให้จนหนักกว่าเดิมได้

ดังนั้นไม่ต้องพยายามจะก็อปปี้ Mindset ของคนบางคนมากลายเป็นตัวเราครับ แค่เรียนรู้และปรับเอาวิธีคิดมาเพิ่มเติม Mindset ของเราให้เหมาะสมกับตัวเราที่สุด รวมถึงค่อย ๆ ทยอยตัด Mindset ที่จะทำให้ชีวิตเราแย่ลงทิ้งไปทีละอย่างสองอย่าง

ทุกคนมีข้อจำกัดในชีวิตต่างกัน เป้าหมายคือทำให้ตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น มีวิธีคิดที่ดีขึ้น โดยยังสามารถใช้ชีวิตในข้อจำกัดที่มีอยู่ได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งถ้า Mindset ดีขึ้นถึงระดับนึง เราก็อาจจะสามารถทำลายข้อจำกัดเหล่านั้นได้อีกต่างหาก

อย่าลืมนะ โลกหมุนได้เพราะทุกคนล้วนแตกต่างจ้า

ส่งท้าย

บล็อกนี้ไม่ได้มาสรุปว่า Mindset ที่ดีคืออะไร แต่เน้นบอกไปที่กระบวนการในการปั้น Mindset ของตัวเองให้ดีขึ้น ทั้งนี้เพราะ Mindset มันต้องปรับเปลี่ยนไปในแต่ละคน การเข้าใจกลวิธีได้มาซึ่ง Mindset ที่ดีน่าจะสำคัญกว่าและยั่งยืนกว่ามากครับ

หากจะมีอย่างนึงที่คุณจะตั้งใจทำในปีใหม่นี้เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น เราคงแนะนำให้เป็น “การพัฒนา Mindset” ครับ เพราะมันคือการเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืน อนาคตคุณจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวิธีคิดตรงนี้

วางแผนชีวิตดูว่าจะทำยังไงให้ Mindset ดีขึ้นได้บ้าง รวมถึงมีสติตลอดเวลาว่าสิ่งที่เข้ามาในชีวิตอันไหนที่ทำให้ Mindset เราแย่ลงบ้าง จะได้เรียนรู้ที่จะตัดทิ้งเสีย

แล้วสิ้นปีมาดูกันว่าชีวิตและความคิดของเราจะดีขึ้นแค่ไหนครับ ลองดูนะ =)

#รัก

[NEW] About Me เกี่ยวกับฉัน บทอ่านภาษาอังกฤษง่ายๆ แปลไทย – Reading Section | read แปลว่า – NATAVIGUIDES

2

SHARES

Facebook

Twitter

ขอแนะนำบทอ่านภาษาอังกฤษเหมาะสำหรับผู้เริ่มเรียน หรือ beginners นะครับ เป็นบทอ่านง่ายๆใช้คำศัพท์ธรรมดา และโครงสร้างประโยคง่ายๆ

บทอ่านภาษาอังกฤษง่ายๆ

Table of contents

About me

Hello, my name is Somchai Rakdee and I am 10 years old. I live in a small town in Chiangmai.
I am 4 feet and 2 inches tall and I weigh 69 pounds. I have blonde hair and blue eyes.
My mommy says I have a sweet smile that just melts her heart.

I have a lot of friends. My best friend is Jo. I like animals because I live on a farm with my granny and granddaddy while my mommy goes away to work. We have many animals there like, cows and pigs. We have horses and chickens and turkeys too! My granddaddy says they keep all the rats away so they will not eat the cow’s food.

I have a baby sister and her name is Somying; she is two years old and follows me everywhere since she learned how to walk. She is fun to play with and it is funny when she laughs because she giggles really loud.

I like to go to school and learn new things every day. I work really hard doing my homework to make good grades and make my family and teacher proud.

I am a good boy, so everybody loves me. I am good at football. I play football with friends every day after school.

คำแปล About Me

สวัสดี ชื่อของผมคือ สมชาย รักดี ผมอายุ 10 ปี ผมอาศัยอยู่ในอำเภอเล็กๆแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ผมสูง 4 ฟุต 2 นิ้ว และหนัก 69 ปอนด์ ผมมีผมสีบลอนด์และตาสีฟ้า แม่ของผมบอกว่าผมมีรอยยิ้มหวานๆที่ทำให้หัวใจของเธอละลายได้เลย

ผมมีเพื่อนเยอะแยะ เพื่อนที่ดีที่สุดของผมคือโจ ผมชอบสัตว์เพราะผมอาศัยอยู่ในฟาร์มกับตาและยายของผมตอนที่แม่ของผมไปทำงานไกลๆ พวกเรามีสัตว์หลายชนิดอยู่ที่นั่น เช่น วัวและหมู พวกเรามีม้า และไก่ และไก่งวงด้วย ตาของผมบอกว่าพวกท่านไล่หนูไปไกล เพื่อว่าพวกมันจะไม่มากินอาหารวัว

ผมมีน้องสาวคนเล็กหนึ่งคน และชื่อของเธอคือสมหญิง เธออายุ 2 ปี และตามผมไปทุกที่ตั้งแต่เธอเรียนรู้ที่จะเดิน เธอเป็นคนสนุกสนานที่จะเล่นด้วย มันก็ตลกดีเมื่อเธอหัวเราะ เพราะเธอหัวเราะคิกๆดังจริงๆ

ผมชอบไปโรงเรียน และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทุกวัน ผมทำการบ้านหนักมากเพื่อให้ได้เกรดดีๆ และทำให้ครอบครัวและครูของผมภูมิใจ

ผมเป็นเด็กดี ดังนั้นทุกคนจึงรักผม ผมเล่นฟุตบอลเก่ง ผมเล่นฟุตบอลทุกวันหลังเลิกเรียน

เกร็ดภาษา

town แปลว่าเมือง แต่ประเทศเราขอเรียกอำเภอแล้วกัน
go แปลว่า ไป go away แปลว่าไปไกล
keep away แปลว่า ไม่เข้าใกล้ หรือห้ามเข้าใกล้ ในที่นี้ขอแปลว่าไล่
baby แปลว่า เด็ก แต่นำมาเสริมกับพี่น้องจะแปลว่า เล็ก หรือสุดท้อง เช่น baby brother น้องชายคนสุดท้อง baby sister น้องสาวคนเล็ก
work hard แปลว่าทำงานหนัก แต่ถ้าเป็นการเรียนหมายถึง เรียนหนัก
4 foot 2 inches ประมาณ 125 ซม. เป็นการบอกความสูงแบบฝรั่ง สำหรับไทยจะพูดว่า I’m 125 centimeters tall. ผมสูง 125 เซนติเมตร

good at แปลว่า ทำได้เก่ง ทำได้ดี

แบบทดสอบ Reading Comprehension

ลองทำแบบทดสอบเสริมความเข้าใจจากเนื้อเรื่องที่อ่านกันนะครับ อย่างที่บอกไว้ครับว่าเป็นบทอ่านเบื้องต้น ถามอย่างไร ตอบอย่างนั้นครับ ไม่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์แต่ประการใด ใครอยากทำแบบทดสอบแบบว่าฉันจำได้หมดเลย ก็อย่ากลับไปอ่านเนื้อหานะครับ Good Luck

About Me (Somchai) – Reading Comprehension Beginner

คำแนะนำ 

 เริ่มทำข้อบสอบ คลิก START QUIZ 

ทำข้อสอบอีกครั้ง คลิก PLAY AGAIN

Facebook


Twitter


Pinterest

ขอ 5 ดาวให้บทเรียนด้วยครับผม…

คลิกดาวดวงที่ขวามือสุดเลยครับครับ…

Average rating 4.6 / 5. Vote count: 10

ยังไม่มีใครให้ดาว คุณคือคนแรก….


เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับสีต่างๆ วิธีออกเสียงที่ถูกต้องพร้อม ภาพตัวอย่าง พร้อมความหมาย


พาน้องๆ มาฝึกอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษเรื่องสีกันน่ะครับ คำศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐานที่น้องๆ ควรรู้
เยี่ยมชม Blog ของเรา: https://goo.gl/JthDFX
ติดตามช่องของเราได้ที่: https://goo.gl/Svd65u
============================================
แหล่งข้อมูลความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษสำหรับเด็กๆ เพิ่มเติม
============================================
แอพเรียนภาษาอังกฤษ: http://bit.ly/2nsZE7Y
วิธีนับเลขภาษาอังกฤษ: http://bit.ly/2nYNBAx
คำศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับอนุบาล: http://bit.ly/2nYJBA2
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ สัตว์ต่างๆ: https://goo.gl/o7LmPY
เพลงภาษาอังกฤษสำหรับอนุบาล: https://goo.gl/nxPQEj
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ รูปร่าง รูปทรงเรขาคณิต: https://goo.gl/qpbF3q
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ สี color: https://goo.gl/ZuE2YB
เกมส์ฝึกภาษาอังกฤษ: https://goo.gl/Z7uE8G

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับสีต่างๆ วิธีออกเสียงที่ถูกต้องพร้อม ภาพตัวอย่าง พร้อมความหมาย

Then แปลว่าอะไร ใช้งานอย่างไร


สนใน sponsor คลิปของอาจารย์อดัมติดต่ออีเมล [email protected] หรือโทร 02 612 9300
เรียนกับอดัม: http://www.facebook.com/hollywoodlearning
เรียนออนไลน์กับอดัม: http://www.ajarnadam.tv
FBของอดัม: http://www.facebook.com/AjarnAdamBradshaw
Twitter: http://twitter.com/AjarnAdam
FBของซู่ชิง: http://www.facebook.com/jitsupachin
YouTube ของซู่ชิง: http://www.youtube.com/user/jitsupachin
Twitter ซูชิง: http://twitter.com/Sue_Ching

Then แปลว่าอะไร ใช้งานอย่างไร

Billkin – โคตรพิเศษ OST แปลรักฉันด้วยใจเธอ [Official MV]


ติดตามชม LINE TV Original Series ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ’
บน LINE TV เท่านั้น
ศิลปิน : Billkin
เนื้อร้อง \u0026 ทำนอง : สุตเขต จึงเจริญ, อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์
เรียบเรียง : ศุภกิจ ฟองธนกิจ, ประทีป สิริอิสสระนันท์
Executive Producer : สุพล พัวศิริรักษ์, ประทีป สิริอิสสระนันท์
Producer: สุตเขต จึงเจริญ, อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์
Mixed \u0026 Mastered: ระวี กังสนารักษ์
Recorded at DBS Studio
————————————————————————
ไม่เคยมีใครเลย ทำฉันเป็นได้อย่างนี้
วันคืนที่น่าเบื่อ มีชีวิตขึ้นทันที
แค่มีเธอเข้ามา แค่นี้ก็รู้ว่า
เธอคือพรุ่งนี้ที่ฉันรอ
แววตาที่เธอมอง ทำหัวใจฉันสั่นไหว
แค่คำธรรมดาทำฉันเพ้อลอยหลุดไป
ทุกครั้งที่ต้องลา ทำใจฉันวุ่นวาย
ให้ถึงพรุ่งนี้เลยได้ไหม
ฝืนฉันฝืนไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าถ้าฉันคิดไปเกินกว่านี้จะผิดไหม
ยอมฉันยอมแพ้เธอไปแล้วไง
ก็ยอมรับว่าใจมันมีเพียงแค่เธอ
อยากสารภาพอยู่นะ แต่ต้องพูดว่าอะไร
ฉันก็ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า ใช่หรือเปล่า
อาการแบบนี้ มันแปลว่าอะไร
คงไม่จำเป็นที่เราต้องเข้าใจ
รู้แค่เพียงมันโคตรพิเศษเลย
ฉันเลือกที่จะเก็บแทนที่จะพูดออกไป
ฉันเลือกที่จะปิด ดีกว่าเห็นเธอเปลี่ยนไป
ความจริงที่ซ่อนอยู่ รู้ไหมยากเท่าไหร่
ที่ต้องเก็บไว้แค่คนเดียว
โคตรพิเศษBillkin
แปลรักฉันด้วยใจเธอ
NadaoMusic

Polish Subtitle : Uru
Polish Subtitle ProofReading : Akwamaryn45

Subscribe to Nadao Music :: https://bit.ly/325gEDZ
Follow Nadao Music…
Facebook: https://www.facebook.com/NadaoMusic
Facebook: https://www.facebook.com/NadaoContent
Facebook: https://www.facebook.com/NadaoBangkok
Instagram: https://www.instagram.com/nadaobangkok
Instagram: https://www.instagram.com/nadaomusic
Twitter: https://twitter.com/NadaoBangkok

Billkin - โคตรพิเศษ OST แปลรักฉันด้วยใจเธอ [Official MV]

about แปลว่าอะไรบ้าง


vid
1 about เกี่ยวกับ / เรื่อง
2 about ประมาณ
3 about ราวๆ
4 about to กำลังจะ
1 about เกี่ยวกับ
What is this book about?
หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร
I don’t know what you’re talking about.
ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร
2 about ประมาณ
There are about 5000 people at this show.
ม่ีประมาณห้าพันคนอยู่ที่การแสดงนี้
I spend about 300 baht a day on food.
ผมใช้จ่ายประมาณสามร้อยบาทต่อวันสำหรับค่าอาหาร
3 about ราวๆ
Let’s meet at the cinema about 5 o’clock.
ให้เราเจอกันที่โรงหนังราวๆ ห้าโมงเย็นดีไหม
It will take about 3 hours to get there.
มันจะใช้เวลาราวๆ สามชั่วโมงกว่าจะถึง
4 about to กำลังจะ
I am about to go eat dinner now, do you wanna come with me?
ฉันกำลังจะไปกินข้าวเย็น คุณอยากไปกับฉันด้วยไหม
Quick! The train is about to leave.
เร็วๆ หน่อย รถไฟกำลังจะออกแล้ว
สอบถาม/สั่งซื้อหนังสือได้จากแอดมินไลน์
LINE ID = @EnglishbyChris
WEBSITE
http://www.englishbychris.com/portfolioitems/about2/
FACEBOOK
https://www.facebook.com/Teacherchrischiangmai/

about แปลว่าอะไรบ้าง

ภาษาอังกฤษ : Reading Comprehension︱Click for Clever


ดูคอร์สเต็มเรื่อง ‘Reading Comprehension’ ได้ที่ https://goo.gl/mMWCsA

สำหรับน้องๆ ที่อยากเจาะลึกเนื้อหาเข้มข้น ติดตามกันต่อที่นี่เลย
Official website: http://www.clickforclever.com

สนใจสั่งซื้อคอร์สสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/clickforclever/
Line : @clickforclever หรือคลิก http://line.me/ti/p/%40drl4457d

ภาษาอังกฤษ : Reading Comprehension︱Click for Clever

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆMAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ read แปลว่า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *