Skip to content
Home » [NEW] เทคนิคการใช้ Tense ทั้ง 12 แบบ เข้าใจง่าย ถูกตามหลักการใช้เป๊ะ | tense ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

[NEW] เทคนิคการใช้ Tense ทั้ง 12 แบบ เข้าใจง่าย ถูกตามหลักการใช้เป๊ะ | tense ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

tense ภาษาอังกฤษ: คุณกำลังดูกระทู้

เชื่อเลยว่า เพื่อนๆ หลายคนจะต้องคิดว่าการเรียนภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่ยาก โดยเฉพาะการเรียนเรื่อง Tense ซึ่งมีทั้งหมด 12 แบบด้วยกัน แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่าถ้าเราสามารถจำเรื่อง Tense ได้ก็สบายไปครึ่งทางแล้ว เพราะมันเป็นสิ่งที่เราต้องนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน การเรียน การทำงาน และการสอบต่างๆ ดังนั้น ในบทความนี้ แคมปัส-สตาร์ ก็มี Tense ทั้ง 12 แบบมาให้เพื่อนๆ ได้เรียนรู้กัน ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย

Table of Contents

เทคนิคการใช้ Tense ทั้ง 12 แบบ

1. Present Simple Tense (ปัจจุบัน)

โครงสร้างประโยค

ประธาน + กริยาช่องที่ 1
ถ้าประธานเป็นบุรุษที่ 3 เอกพจน์ + กริยาช่องที่ 1 เติม s หรือ es

ตัวอย่างการใช้ 

I go… / You go… / He goes… / They go…

She sings a song. แปลว่า หล่อนร้องเพลง
He plays football. แปลว่า เขาเล่นฟุตบอล
She is not here. หรือ She isn’t here. แปลว่า หล่อนไม่อยู่ที่นี่
We are not drivers. หรือ We aren’t drivers. แปลว่า พวกเราไม่ใช่คนขับรถ

สำหรับ ประโยคปฏิเสธและคำถามเราจะใช้ Verb to do มาช่วย เช่น

You do not like apple. หรือ You don’t like apple.
She does not eat meat. หรือ She doesn’t eat meat.
Do you like it?
Does he like it?

หลักการเติม s ที่คำกริยา

เติม s หลังคำกริยานั้นๆ เช่น He eats. She sings. A tiger runs.

ถ้ากริยาลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, o, z, ss ให้เติม es เช่น

He teaches English.
She goes away.
She brushes her teeth.

ถ้ากริยาลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น

He tries to study.
She studies English.

** หมายเหตุ ถ้าหน้า y เป็นสระ ไม่ต้องเปลี่ยน y เป็น i ให้เติม s ได้เลย เช่น

play – plays = เล่น
pay – pay = จ่าย
destroy – destroys = ทำลาย

หลักการใช้ Present Simple Tense สรุปได้ดังนี้

1.1 แสดงลักษณะความจริงอยู่เสมอ ไม่ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปเท่าใดก็ตาม เช่น

The earth moves around the sun. แปลว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
The sun rises in the east and sets in the west. แปลว่า ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก
The earth is round. แปลว่า โลกกลม
Water freezes at 0 C. แปลว่า น้ำมีจุดเยือกแข็งที่ 0 องศาเซลเซียส

1.2 การกระทำที่เกิดขึ้นเสมอๆ เกิดขึ้นจนเป็นนิสัย มักจะมี adverb of frequency ประกอบในประโยค เช่น every day, usually, sometimes, frequently, always, naturally, generally, rarely, seldom, never etc. เป็นต้น ตัวอย่างการใช้มีดังนี้

She gets up at six o’clock. แปลว่า หล่อนตื่นนอน 6 โมงเช้า (ตื่นเวลานี้จนเป็นนิสัย)
He runs every morning. แปลว่า เขาวิ่งทุกๆ เช้า
John often drinks beer. แปลว่า จอห์นมักจะดื่มเบียร์
She never sits in front of the church. แปลว่า หล่อนไม่เคยนั่งข้างหน้าของโบสถ์เลย

1.3 แสดงเหตุการณ์หรือกิจกรรมต่างๆ ที่รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เช่น

I go to Chiangmai in the afternoon. แปลว่า ฉันจะไปเชียงใหม่ในตอนบ่าย
He starts to study in five minutes. แปลว่า เขาจะเริ่มเรียนภายใน 5 นาที
The concert begins at 1.30. แปลว่า คอนเสิร์ตเริ่มเวลา 1.30 นาฬิกา

1.4 ใช้กับสุภาษิต คำพังเพย เช่น

New brooms sweep clean. แปลว่า ไม้กวาดใหม่ย่อมกวาดสะอาดกว่า
Money makes friend. แปลว่า เงินทองอาจทำให้ท่านมีเพื่อนฝูงมาก
Health is wealth. แปลว่า ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ

2. Present Continuous Tense (ปัจจุบันกำลังจะทำ)

โครงสร้างประโยค 

I + am + กริยาช่องที่ 1 เติม ing
ประธานเอกพจน์ + is + กริยาช่องที่ 1 เติม ing
ประธานพหูพจน์ + are + กริยาช่องที่ 1 เติม ing

ตัวอย่างการใช้ 

She is running.
Is he playing football now?
I am not sleeping.
They are walking.

หลักการเติม ing

คำกริยาที่ลงท้านด้วย e ให้ตัด e ทิ้งเสียก่อนแล้วเติม ing เช่น

bite > biting
come > coming
arise > arising
write > writing
take > taking

กริยาที่ลงท้ายด้วย ee ให้เติม ing เลย เช่น

free > freeing
see > seeing
flee > fleeing
agree > agreeing

กริยาที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y แล้วเติม ing เช่น

lie > lying
die > dying
tie > tying

กริยาพยางค์เดียว มีสระตัวเดียวและมีตัวสะกดเป็นพยัญชนะตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดอีก 1 ตัวก่อน แล้วเติม ing เช่น

run > running
sit > sitting
hit > hitting
get > getting
dig > digging
rob > robbing

กริยาหลายพยางค์ลงท้ายด้วยพยัญชนะ 1 ตัว หน้าพยัญชนะ มีสระหนึ่งตัว ให้เพิ่มพยัญชนะเข้าไปอีก 1 ตัว แล้วเติม ing เช่น

forget > forgetting
admit > admitting

กริยามี 2 พยางค์ ซึ่งออกเสียงหนักที่พยางค์หลังมีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดเข้ามาอีกหนึ่งตัวก่อน แล้วเติม ing เช่น

offer > offerring
refer > referring
occur > occurring
begin > beginning

คำต่อไปนี้ ใช้ได้ 2 แบบ คือ trevel, quarrel เช่น

travel > traveling (แบบอเมริกัน)
travel > travelling (แบบอังกฤษ)
quarrel > quarreling (แบบอเมริกัน)
quarrel > quarrelling (แบบอังกฤษ)

กริยาตัวอื่นๆ เติม ing ได้เลย เช่น

hear > hearing
burn > burning
bend > bending
read > reading

หลักการใช้ Present Continuous Tense สรุปได้ดังนี้

2.1 แสดงการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะพูด และคาดว่าจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า มักมีคำเหล่านี้ คือ now, at the present time, at this moment etc. ตัวอย่างการใช้

She is eating.
Tom is running now.
We are walking.

2.2 แสดงการกระทำเริ่มก่อนพูดเป็นเวลานาน ขณะที่พูดนี้เหตุการณ์อาจไม่ได้ กำลังเกิดขึ้นจริงๆ มักมีคำว่า this week, this month etc. ตัวอย่างการใช้

I am working with my teacher this summer. แปลว่า ฉันกำลังทำงานกับครูของฉันในฤดูร้อนนี้ (ขณะที่พูดอาจทำ หรือไม่ทำอาการนี้ก็ได้)

Tom is working for an examination. แปลว่า ทอม กำลังดูหนังสือสำหรับการสอบในครั้งนี้ (ขณะพูดอาจจะไม่ได้ดูหนังสือก็ได้)

2.3 ใช้แทนอนาคตกำลังจะมาถึงในไม่ช้า หรืออนาคตอันใกล้ มักมี adverb of time (tomorrow, next week, next month etc.) ตัวอย่างการใช้

I am asking him tomorrow (= I will ask him tomorrow.) แปลว่า ฉันจะถามเขาพรุ่งนี้

He is leaving on Sunday (= He’ll leave on Sunday.) แปลว่า เขาจะออกเดินทางในวันอาทิตย์

2.4 กริยาที่ไม่นิยมใช้รูป Present Continuous Tense มีดังต่อไปนี้

กริยาแสดงความรู้สึกทางประสาททั้ง 5 ด้าน

see = เห็น/notice = สังเกต
smell = ดมกลิ่น
taste = ชิม
hear = ได้ยิน
recognize = จำได้

กริยาที่แสดงความรู้สึกทางอารมณ์ เช่น

love = รัก
like = ชอบ
dislike = ไม่ชอบ
adore = รักยิ่ง บูชา
forgive = อภัย
wish = ปรารถนา
ต้องการ care = เอาใจใส่
desire = ปรารถนา
hate = เกลียด
want = ต้องการ
refuse = ปฏิเสธ

กริยาแสดงความคิด เช่น

think = คิด
know = รู้
realize = ตระหนัก
recollect = จำได้
suppose = คิด
recall = นึกได้
expect = คาดหวัง
suppose = คิด
understand = เข้าใจ
mean = ตั้งใจ, หมายความ
believe = เชื่อ
forget = ลืม
trust = เชื่อ
remember = จำได้

กริยาอื่นๆ เช่น

seem = ดูราวกับว่า
hold = บรรจุ
belong = เป็นของ
own = เป็นเจ้าของ
contain = บรรจุ
possess = เป็นเจ้าของ
consist = ประกอบด้วย

3. Present Perfect Tense (ปัจจุบันสมบูรณ์)

โครงสร้างประโยค 

ประธาน + has,have + Past Participle

ตัวอย่างการใช้ 

We have eaten American foods.
She has not(hasn’t) eaten Thai foods.
Has he smoked cigarettes?

หลักการใช้ Present Perfect Tense สรุปได้ดังนี้

3.1 แสดงถึงการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต แล้วเหตุการณ์ยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน (ตอนพูด) และมีแนวโน้มว่าจะดำเนินต่อไปในอนาคต มักจะมีคำว่า since, for ตัวอย่างการใช้

Dr.Helen has lived in Bangkok since 1958. แปลว่า ดร.เฮเลน อยู่ที่กรุงเทพตั้งแต่ ค.ศ.1958
I have studied in America for four years. แปลว่า ฉันเคยเรียนที่อเมริกามาเป็นเวลา 4 ปี

3.2 แสดงการกระทำซึ่งเกิดขึ้นในอดีต และพึ่งเสร็จสมบูรณ์ไปไม่นาน มักมี adverb เช่น just, yet etc. ประกอบด้วย ตัวอย่างการใช้

I have just passed my friend’s house. แปลว่า ฉันพึ่งผ่านบ้านเพื่อนของฉันมา
They have already finished housework. แปลว่า พวกเขาทำงานบ้านเสร็จแล้ว

3.3 แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ผลของการกระทำนั้นยังคงมาถึงปัจจุบันขณะที่พูด ตัวอย่างการใช้

I have read this book before. แปลว่า ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว
He has opened the door. แปลว่าเขาได้เปิดประตูแล้ว (ผลของการกระทำยังอยู่คือประตูเปิด)

3.4 เหตุการณ์ที่เคยทำซ้ำๆ กันหลายหนแล้วในอดีต อาจจะทำต่อไปในอนาคต แต่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใด ไม่สามารถบอกเวลาการเกิดขึ้นได้ มักมี adverb of time เช่น many times, several times ในประโยคด้วย ตัวอย่างการใช้

I have been to America many times. แปลว่า ฉันได้ไปอเมริกาหลายครั้งแล้ว
She has read this book three times. แปลว่่า หล่อนเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ 3 ครั้งแล้ว
He has eaten Thai food several times. แปลว่า เขาเคยกินอาหารไทยหลายครั้งแล้ว

4. Present Perfect Continuous Tense (ปัจจุบันสมบูรณ์กำลังกระทำ)

โครงสร้างประโยค 

ประธาน + has, have + been + กริยาเติม ing

ตัวอย่างการใช้ 

I have been thinking. แปลว่า ฉันกำลังคิด
They have been talking. แปลว่า พวกเขากำลังพูดกัน
She has been living here for 2 weeks. แปลว่า หล่อนอาศัยอยู่ที่นี่มา 2 สัปดาห์แล้ว
He has been studying hard all year. แปลว่า เขาเรียนหนังสือหนักมาตลอดปี

หลักการใช้ Present Perfect Continuous Tense สรุปได้ดังนี้

4.1 ใช้แสดงการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต และดำเนินมาโดยไม่ขาดตอน เช่น

John has been living in America since 1984. แปลว่า จอห์นได้มาอยู่อเมริกาตั้งแต่ปี 1984

** หมายเหตุ Present Perfect Continuous Tense นี้ ใช้เหมือน Present Perfect ต่างกัน ตรงที่ว่า Present Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อต้องการเน้นย้ำว่าการกระทำติดต่อกันมาตลอด และกริยา ที่ใช้มักเป็นกริยาที่มีลักษณะต่อเนื่องได้ ปัจจุบันไม่ใคร่นิยมใช้มากนัก

5. Past Simple Tense (อดีตธรรมดา)

โครงสร้างประโยค 

ประธาน + กริยาช่อง 2

ตัวอย่างการใช้งาน 

She went home. แปลว่า เธอกลับบ้าน
I came here last night. แปลว่า ฉันมาที่นี่เมื่อคืน

หลักการใช้ Past Simple Tense สรุปได้ดังนี้

5.1 ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และจบสิ้นลงไปแล้วในอดีตเช่นกัน มักมีคำว่า once, ago, last night, last week, last year etc. ตัวอย่างการใช้

I got sick yesterday. แปลว่า ฉันป่วยเมื่อวานนี้
I lived in Phuket 3 years ago. แปลว่า ฉันอยู่ที่ภูเก็ตเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
She went to the university last week. แปลว่า หล่อนไปมหาวิทยาลัยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

5.2 แสดงเหตุการณ์ที่เป็นนิสัย ที่ทำประจำในอดีต (ปัจจุบันไม่ได้กระทำแล้ว) มักมี adverb ความถี่อยู่ด้วย เช่น always, every, frequently etc. ตัวอย่างการใช้

Chris walked every morning. แปลว่า คริสเดินทุกๆ เช้า (เป็นนิสัยในอดีต ปัจจุบันไม่ได้กระทำแล้ว)
He always woke up late last year. แปลว่า เขาตื่นนอนสายเสมอๆเมื่อปีที่แล้ว
When I was young. I listened to the radio every night. แปลว่า เมื่อฉันเป็นเด็ก ฉันฟังวิทยุทุกคืน

5.3 แสดงถึงการกระทำทั้งสองอย่างที่เกิดในเวลาเดียวกัน มักมีคำว่า as, while อยู่ด้วย ตัวอย่างการใช้

While she sang, I danced. แปลว่า ขณะที่หล่องร้องเพลง ฉันเต้นรำ
As she cooked, her son played football. แปลว่า ขณะที่หล่อนทำอาหาร ลูกชายของเธอก็เล่นฟุตบอล

6. Past Continuous Tense (อดีตกำลังกระทำ)

โครงสร้างประโยค 

ประธาน + was, were + กริยาเติม ing

ตัวอย่างการใช้ 

I was drinking a glass of water. แปลว่า ฉันกำลังดื่มน้ำ 1 แก้ว
They were playing football in the field. แปลว่า เขากำลังเล่นฟุตบอลอยู่ในสนาม

หลักการใช้ Past Continuous Tense สรุปได้ดังนี้

6.1 ใช้เมื่อเกิดเหตุการณ์ 2 อย่าง เกิดขึ้นในอดีต เหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นและดำเนินอยู่ก่อนแล้ว เราจะใช้ Past Continuous และมีเหตุการณ์ที่ 2 เกิดขึ้น จะใช้ Past Simple ตัวอย่างการใช้

While I was cooking, the telephone rang. แปลว่า ขณะฉันทำอาหารโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
We are walking along the street, it began to rain. แปลว่า พวกเรากำลังเดินไปตามถนนฝนก็เริ่มตก

6.2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในอดีต ตัวอย่างการใช้

He was sleeping in the class. แปลว่า ฉันกำลังหลับในห้องเรียน
He was running in the morning แปลว่า เขากำลังวิ่งในตอนเช้า

6.3 แสดงเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ในเวลาเดียวกัน มักมีคำว่า while ในประโยค ตัวอย่างการใช้

While I was watching T.V, my brother was reading a book. แปลว่า ขณะที่ฉันดูทีวี น้องชายของฉันอ่านหนังสือ
She was sleeping while he was talking with his friends. แปลว่า หล่อนกำลังนอนหลับ ขณะที่เขากำลังพูดคุยกับเพื่อนของหล่อน

7. Past Perfect Tense (อดีตสมบูรณ์)

โครงสร้างประโยค 

ประธาน + had + Past Participle (กริยาช่อง 3)

ตัวอย่างการใช้ 

She had slept. แปลว่า หล่อนได้นอนหลับแล้ว
He had not worked. แปลว่า เขาไม่ได้ทำงาน
I had eaten foods before you came. แปลว่า ฉันได้รับประทานอาหารก่อนที่คุณจะมา

หลักการใช้ Past Perfect Tense สรุปได้ดังนี้

7.1 แสดงเหตุการณ์ 2 อย่าง ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นก่อน เราจะใช้ Past Perfect Tense อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดทีหลัง เราจะใช้ Past Simple Tense ตัวอย่างการใช้

When I had finished my housework, I played T.V games. แปลว่า เมื่อฉันทำงานบ้านเสร็จฉันก็เล่น TV เกม (ทำงานบ้านเสร็จก่อนแล้วจึงเล่น)

7.2 ใช้เปลี่ยน Past Simple หรือ Present Perfect ให้เป็น Indirect Speech ตัวอย่างการใช้

Direct Speech : “I have stayed in America for 2 years.” แปลว่า หล่อนพูดว่า “ฉันเคยอยู่อเมริการมา 2 ปีแล้ว”
Indirect Speech : She said that she had stayed in America for 2 years. แปลว่า หล่อนพูดว่าหล่อนเคยอยู่อเมริกามา 2 ปีแล้ว
Direct Speech : He said “I worked in Bangkok many years.” แปลว่า เขาพูดว่า”ฉันเคยทำงานในกรุงเทพหลายปี”
Indirect Speech : He said that he had worked in Bangkok many years. แปลว่า เขาพูดว่าเขาเคยทำงานในกรุงเทพหลายปี

8. Past Perfect Continuous Tense (อดีตสมบูรณ์กำลังกระทำ)

โครงสร้างประโยค 

ประธาน + had been + กริยาเติม ing + กรรมหรือส่วนขยาย

ตัวอย่างการใช้ 

I had been sleeping. แปลว่า ฉันกำลังนอนหลับ
She had been waiting for two hours. แปลว่า หล่อนคอย 2 ช.ม. แล้ว
He had not (hadn’t) been walking before you came. แปลว่า เขาไม่ได้กำลังเดินก่อนคุณมา

หลักการใช้ Past Perfect Continuous Tense สรุปได้ดังนี้

8.1 ใช้คล้ายๆ กับ Past Perfect เราใช้ก็ต่อเมื่อเกิดมีเหตุการณ์ 2 อย่าง เกิดขึ้นในอดีต เพื่อเน้นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดตอน เราใช้ Past Perfect Continuous Tense แล้วเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น เราจะใช้ Past Simple Tense ตัวอย่างการใช้

She had been living in America before she moved to Bangkok. แปลว่า หล่อนอยู่อเมริการก่อนที่ย้านมาอยู่ที่กรุงเทพ
I had been waiting two hour before He arrived. แปลว่า ฉันคอยเป็นเวลา 2 ชั่วโมงก่อนที่เขามาถึง
She had been reading for several hours when I saw her. แปลว่า หล่อนกำลังอ่านหนังสือหลายชั่วโมง เมื่อฉันเห็นหล่อน

9. Future Simple Tense (อนาคต)

โครงสร้างประโยค 

ประธาน + will, shall(I,We), be going to + กริยาเติม ing

ตัวอย่างการใช้

I will go to see you tomorrow. แปลว่า ฉันจะไปพบคุณพรุ่งนี้
I shall go. แปลว่า ฉันจะไป
Mary will run. แปลว่า แมรี่จะวิ่ง

หลักการใช้ Future Simple Tense สรุปได้ดังนี้

9.1 ใช้แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำในอนาคต มักมี adverb of time อยู่ด้วย เช่น to night, tomorrow, next week, next month etc. ตัวอย่างการใช้

I will see the movie tomorrow. แปลว่า ฉันจะไปดูหนังพรุ่งนี้
She is going to see the doctor next week. แปลว่า หล่อนจะไปหาหมอสัปดาห์หน้า
The plane will arrive at the airport in a few minutes.แปลว่า เครื่องบินจะมาถึงท่าอากาศยานในอีก 2-3 นาที

การใช้ be going to แทน will, shall

ใช้ be going to + กริยาช่อง 1 เพื่อแสดงถึงความตั้งใจที่ได้คิดไว้ล่วงหน้าแล้วหรือเชื่อว่าเป็นจริง โดยไม่สงสัย ตัวอย่างการใช้

I am studying hard: I am going to try for scholarship. แปลว่า ฉันกำลังเรียนหนังสืออย่างหนัก ฉันพยายามเพื่อสอบชิงทุนการศึกษา
She is going to write to her parents. แปลว่า หล่อนตั้งใจว่าจะเขียนจดหมายถึงพ่อแม่ของเธอ
She has bought flour : She is going to make cake. แปลว่า หล่อนซื้อแป้งมาและจะทำเค้ก

ใช้ be going to + กริยาช่อง 1 เพื่อแสดงการคาดคะเน ตัวอย่างการใช้

I think it is going to rain. แปลว่า ฉันคิดว่าฝนจะตก (อย่างแน่นอน)

10. Future Continuous Tense (อนาคตกำลังกระทำ)

โครงสร้างประโยค 

ประธาน + will, shall(I,We) + be + กริยาเติม ing + กรรมหรือส่วนขยาย

ตัวอย่างการใช้ 

I shall be running. แปลว่า ฉันกำลังวิ่ง
I will be working tomorrow. แปลว่า ฉันกำลังจะทำงานพรุ่งนี้
We shall be drinking. แปลว่า เรากำลังจะดื่ม

หลักการใช้ Future Continuous Tense สรุปได้ดังนี้

10.1 แสดงเหตุการ์หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเหตุการณ์นั้นกำลังดำเนินอยู่ ตัวอย่างการใช้

-At ten o’clock tomorrow morning. I will be waiting my friend. แปลว่า เวลา 10 โมงเช้าพรุ่งนี้ ฉันจะกำลังรอเพื่อน
-I will be cooking at 5 o’clock tomorrow evening. แปลว่า ฉันจะทำอาหารตอน 5 โมงเย็นพรุ่งนี้
-He will be sleeping at 4 o’clock tomorrow morning. แปลว่า เขากำลังหลับตอน 4 โมงเช้าพรุ่งนี้

10.2 ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดก่อนใช้ Future Continuous Tense ส่วนเหตุการณ์หลังใช้ Present Simple Tense ตัวอย่างการใช้

-They will be playing football when you arrive at their house. แปลว่า เขาจะกำลังเล่นฟุตบอลอยู่ เมื่อคุณมาถึงบ้านของเขา (เล่นก่อนที่คุณจะถึงบ้าน)

-When he calls to you, she will be going to the market.แปลว่า เมื่อเขาโทรมาหาคณ หล่อนกำลังจะไปตลาด

11. Future Perfect Tense (อนาคตสมบูรณ์)

โครงสร้างประโยค 

ประธาน + will, shall + have + กริยาช่อง 3

ตัวอย่างการใช้ 

I shall have eaten. แปลว่า ฉันจะกินอยู่แล้ว
Sri will have gone. แปลว่า ศรีจะไปอยู่แล้ว
He will have finished his work. แปลว่า เขาจะเสร็จงานของเขาอยู่แล้ว

หลักการใช้ Future Perfect Tense สรุปได้ดังนี้

11.1 ใช้เมื่อคิดว่า เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต เหตุการณ์หรือการกระทำจะสิ้นสุดลง มักมีคำเหล่านี้ เช่น by that time, by then, by tomorrow, by next year, by next week, by at ten o’clock in two hours etc. ตัวอย่างการใช้

I will have slept in three hours. แปลว่า ฉันจะนอนเสร็จภายใน 3 ชั่วโมง
They will have finished the new road by next week. แปลว่า พวกเขาจะทำถนนใหม่เสร็จในสัปดาห์หน้า

11.2 ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน คาดว่าเมื่อถึงเวลานั้น เหตุการณ์หนึงจะเสร็จสมบูรณ์
เราจะใช้ Future Perfect Tense กับ เหตุการณ์นี้และจะเกิดเหตุการณ์ที่ 2 ตามมา เราจะใช้ Present Simple Tense กับประโยคนี้ ตัวอย่างการใช้

By the time you arrive, I will have finished homework. แปลว่า เมื่อเวลาที่คุณมาฉันก็ทำการบ้านเสร็จพอดี
She will have eaten foods before you came. แปลว่า หล่อนรับประทานอาหารเสร็จก่อนที่คุณจะมา
The movie will have started before we reach the theater. แปลว่า ภาพยนตร์เริ่มฉายก่อนที่พวกเราจะมาถึงโรงภาพยนตร์

12. Future Perfect Continuous Tense (อนาคตสมบูรณ์กำลังกระทำ)

โครงสร้างประโยค 

ประธาน + will, shall (I,We) + have + been + กริยาเติม ing + กรรมหรือส่วนขยาย

ตัวอย่างการใช้ 

I shall have been working. แปลว่า เราคงจะทำงาน (ติดต่อกัน)
He will have been running. แปลว่า เขาคงจะวิ่ง (ติดต่อกัน)

หลักการใช้ Future Perfect Continuous Tense สรุปได้ดังนี้

12.1 สำหรับ Tense นี้ เน้นให้เห็นถึงการต่อเนื่องของการกระทำว่าถึงเวลานั้นในอนาคต การกระทำนั้นยังคงดำเนินอยู่ และจะดำเนินต่อไปอีก (ยังไม่หยุด) ตัวอย่างการใช้

-By ten o’clock I shall have been working without a rest. แปลว่า ถึงเวลา 10 นาฬิกา ฉันได้ทำงาน (ติดต่อกันมา) โดยไม่พัก
-When you arrive, she will have waiting for three hours. แปลว่า เมื่อคุณมาถึง หล่อนคงจะได้รอคุณ (โดยไม่หยุดรอ) เป็นเวลา 3 ชั่วโมง

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.tonamorn.com

บทความแนะนำ

[Update] Tense ในภาษาอังกฤษสำหรับการฝึกสนทนา | tense ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

(Tenses for Conversation)
ในการพูดหรือเขียนแต่ละประโยคนั้น จะต้องมีกริยาอยู่ด้วยเสมอ และคำกริยานั้นจะบอกกาล (tense) ด้วย คือกริยาของประโยคจะบอกกาลด้วยเสมอว่าเป็นกาลอะไร ซึ่งแตกต่างจากภาษาไทยที่ดูกริยาไม่ทราบเลยว่าเป็นกาลอะไร จะต้องอาศัยกริยาวิเศษณ์มาช่วยในบางครั้ง จึงทราบได้ เพราะกาลมีความสำคัญในการใช้ภาษาดังกล่าวแล้ว ฉะนั้นในการฝึกสนทนาจึงได้นำเรื่องกาลมาเกี่ยวข้องด้วย นอกจากจะได้ทบทวนเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ไวยากรณ์โดยทั่วไปแล้ว ยังจะได้ทราบว่าในการสนทนาแต่ละเรื่องนั้น ควรใช้กาลอะไรเหมาะสมที่สุด ดังนั้น จึงได้จำแนกเนื้อหาหรือเรื่องราวที่ใช้สำหรับกาลนั้นๆ เพื่อฝึกสำหรับเหตุการณ์ต่างๆ กาลที่ใช้ฝึกในที่นี่มีดังนี้
1. Present Simple (V|)
2. Present Continuous (is/am/are + v-ing)
3. Present Perfect (has/have + v3)
4. Present Perfect Continuous (has/have + been + v-ing)
5. Past Simple ((V2)
6. Past Continuous (was/were + v-ing)
7. Past Perfect (had + V3)
8. Future Simple (will + infinitive)
9. Future Continuous (will be + v-ing)
10. Future Perfect (will have + V3)
กาลต่างๆ ใช้ในการสนทนาในหัวข้อเรื่องหรือเรื่องราวต่างกัน บาง กาลใช้ในสถานการณ์ต่างๆ มากมาย ส่วนบางกาลไม่ค่อยนิยมใช้นัก ในที่นี้ได้จำแนกกาลพร้อมสถานการณ์สำหรับสนทนาในกาลนั้นๆ ดังต่อไปนี้
1. Present Simple Tense ใช้สนทนาเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย จากการสนทนาในตัวอย่างต่างๆ ที่กล่าวมานั้นใช้กาลนี้เป็นส่วนมาก ฉะนั้นจึงเป็นกาลที่ใช้สนทนากันมากที่สุด เช่น เกี่ยวกับการทักทาย ถามสุขทุกข์ ขอร้อง ขออนุญาต หรือสถานการณ์ที่เป็นปัจจุบันอื่นๆ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
Are you hungry?
Is it very hot today?
How are you today?
Do you like tea or coffee?
It is cool today, isn’t it?
What’s your name?
Can you tell me the way to the airport, please?
May I turn the light off?
Where are you from?
Where’s the Grand Palace?
How far is the museum from here?
How many brothers and sisters do you have?
How do you find Thai food?
What language do you speak in your country?
2. Present Continuous Tense ใช้สนทนาเกี่ยวกับเรื่องราวหรือ เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นหรือดำเนินอยู่ในขณะนั้น เช่น กำลังทำอะไร กำลังไปไหน ดังตัวอย่างการสนทนาต่อไปนี้
What are you doing now?
Where are you going?
What are you looking for?
Who is speaking, please?
Whom am I speaking to?
What are you talking about?
What are you reading?
Whom are you waiting for?
Are you writing a letter?
Are you studying English at the OLA School?
How many students are taking class?
What subjects are you taking this semester?
What’s going on?
Who’s crying in the room?
3. Present Perfect Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเสร็จสิ้น ไปแล้ว แต่มีผลคงอยู่จนปัจจุบัน หรือเป็นเหตุการณ์ที่ยังดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน เป็นการกระทำที่ใช้เวลาหรือเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป กาลนี้มักใช้ในการสนทนาว่า ได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว หรือยังไม่ได้ทำ หรือทำมาจนกระทั่งปัจจุบัน ดังตัวอย่างการสนทนาต่อไปนี้
How have you been?
How long have you been here?
Where have you been?
Have you been to Chiang Mai?
Have you met Mr. Vichian?
Have you visited the Ancient City?
How long have you studied English?
Have you finished your work?
Has the train left?
Have you had lunch already?
Have you returned the book to the library?
Has the committee solved he problem yet?
You have written to her, haven’t you?
The problem has been dissolved already, hasn’t it?
4. Present Perfect Continuous Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน ดำเนินติดต่อกันมาและยังจะต่อไปในอนาคตด้วย ในการสนทนามักจะพูดคุยเกี่ยวกับการอยู่ การเรียน การทำงาน การรอคอย เป็นต้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
How long have you been living in Bangkok?
คุณอยู่กรุงเทพฯ มานานเท่าไรแล้ว
How long have you been studying English?
คุณเรียนภาษาอังกฤษมานานเท่าไรแล้ว
What have you been doing lately?
ระยะนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่
Since when have you been working in this office?
คุณทำงานอยู่ที่หน่วยงานนี้มาตั้งแต่เมื่อไร
Why have they been waiting for her?
ทำไมพวกเขาจึงรอเธออยู่
Where have you been working?
คุณกำลังทำงานอยู่ที่ไหนในระยะนี้
Whom has she been writing to?
เธอกำลังเขียนจดหมายถึงใครอยู่
Why has he been staying in bed for long?
ทำไมเขาจึงหมกอยู่บนที่นอนตั้งนานแล้ว
5. Past Simple Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วโดยทั่วไป ในการสนทนาอาจจะพูดถึงเรื่องราวในอดีต ถามถึงสิ่งที่ได้กระทำไปแล้ว ดังตัวอย่างการพูดคุยในประโยคต่างๆ ต่อไปนี้
What did you do yesterday?
What did she tell you last night?
What time did you get up today?
Where did you go last Sunday?
What subjects did you take last year?
When did you arrive in Bangkok?
When were you born?
When and where did you finish school?
Where did you stay last night?
How was the conference?
How long did you stay with him?
Did you take part in the party?
Did you work here for many years?
Where were you this morning?
Why didn’t you come with us to the party?
6. Past continuous Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดในเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต หรือพร้อมกับอีกเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งอาจเป็น Past Simple หรือ Past Continuous เหมือนกันก็ได้ ในการพูดคุยสนทนาอาจจะไม่ค่อยได้ใช้มากนัก ตัวอย่างการสนทนาสำหรับกาลนี้ มีดังต่อไปนี้
At this time last night, what were you doing?
เวลานี้เมื่อคืนที่แล้ว คุณกำลังทำอะไรอยู่
At eight in the morning, what course were you taking?
ตอน 8 โมงเช้านี้ คุณกำลังเรียนวิชาอะไรอยู่
While it was raining in the afternoon, where were you?
ขณะที่ฝนกำลงตกเมื่อตอนบ่ายนั้น คุณอยู่ที่ไหน
Who was teaching when he came in yesterday?
ใครกำลังสอนอยู่ เมื่อตอนที่เขาเข้ามาเมื่อวานนี้
Whom were you thinking of when I phoned last night?
เมื่อตอนที่ฉันโทรศัพท์มาเมื่อคืนนี้ คุณกำลังคิดถึงใครอยู่
Were you sleeping when the accident happened?
คุณกำลังนอนอยู่หรือ เมื่อตอนเกิดอุบัติเหตุ
What were you writing while she was cooking this morning?
คุณกำลังเขียนอะไร เมื่อตอนที่เธอทำอาหารอยู่เมื่อเช้านี้
7. Past Perfect Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสมบูรณ์แล้ว คือ ผ่านไปแล้วก่อนเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต หรือเกิดก่อนเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งในอดีต เหตุการณ์หนึ่งนั้นเป็น Past Simple ในการสนทนาอาจจะไม่ค่อยมีเรื่องราวจะพูดคุยในกาลนี้มากนัก ตัวอย่างประโยคสนทนามีดังนี้
Where had you been before you came here last night?
คุณอยู่ที่ไหนมา ก่อนที่คุณจะมาที่นี่เมื่อคืนนี้
When you reached the station, had the train left already?
เมื่อตอนที่คุณไปถึงสถานี รถไฟออกไปแล้วใช่ไหม
By three yesterday, had you finished class?
ตอนบ่าย 3 โมงเมื่อวานนี้ คุณเรียนเสร็จแล้วใช่ไหม
What had I told you before you left?
ฉันได้บอกอะไรคุณไปแล้ว ก่อนที่คุณออกไป
Had you completed your work at this time yesterday?
เมื่อวานนี้ ตอนเวลานี้ คุณเสร็จงานคุณแล้วใช่ไหม
8. Future Simple Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในการสนทนานั้น จะพูดคุยกันถึงแผนการในอนาคต โครงการต่างๆ ความตั้งใจหรือความหวังที่จะกระทำหรือจะเป็นในอนาคต ตัวอย่างการสนทนาดังนี้
What will you do tomorrow?
How long will you stay there?
After school today, where will you go?
When will you finish this work?
Will he be back tomorrow?
What subjects are you going to take?
Where will we hold the New Year party?
What are you going to do during holidays?
If he comes, what will you do?
What will we do to celebrate it?
When will you come to visit us?
Who will tell you about this?
How will you send this parcel to her?
Will you come with me to the party?
Will you or your brother be given the scholarship?
9. Future continuous Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต หรือพร้อมกับอีกเหตุการณ์หนึ่งในอนาคต ในการสนทนาอาจจะไม่ได้ใช้มากนัก ตัวอย่างประโยคในการสนทนาดังนี้
By this time tomorrow, what will you be doing?
I’ll be taking class, I think.
พรุ่งนี้ ในเวลาขณะนี้ คุณกำลังทำอะไรอยู่
คิดว่า คงกำลังเรียนอยู่
What will you be doing in this month next year?
We will be travelling in Japan.
ปีหน้าในช่วงนี้ คุณกำลังทำอะไรอยู่
เราคงกำลังเที่ยวอยู่ในญี่ปุ่น
What will you do tomorrow?
I’ll be working all day tomorrow.
พรุ่งนี้คุณจะทำอะไร
ฉันคงจะทำงานตลอดวันในวันพรุ่งนี้
At what time will she arrive tomorrow?
I think she’ll arrive while we’ll be taking class.
พรุ่งนี้ เธอจะมาถึงเวลาเท่าไร
ฉันคิดว่า เธอคงจะมาถึงตอนที่พวกเรากำลังเรียนอยู่
By ten o’clock tonight, where will you be?
I’ll be preparing for my final exams at home.
คืนนี้ 4 ทุ่ม เธอจะอยู่ที่ไหน
คงกำลังเตรียมสอบภาคปลายอยู่ที่บ้าน
10. Future Perfect Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านไปแล้ว ในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต หรือก่อนเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งในอนาคต กาลนี้ไม่ค่อยได้ใช้นัก ตัวอย่างในการสนทนาดังนี้
By this time tomorrow, what will you be doing?
I’ll have gone back home.
พรุ่งนี้ในเวลานี้ คุณกำลังทำอะไรอยู่
ฉันคงกลับบ้านไปแล้ว
By the end of this year, will you have finished your study?
I think so.
ในปลายปีนี้ คุณคงเรียนจบแล้วใช่ไหม
ฉันก็คิดเช่นนั้น
By three afternoon, will you be taking class?
No. We’ll have finished it already.
ในช่วงบ่ายสามโมง คุณคงกำลังเรียนอยู่ใช่ไหม
ไม่หรอก เราคงเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
How long have you worked here?
By next July, I’ll have worked here for ten years.
คุณทำงานอยู่ที่นี่นานเท่าไรแล้ว
เดือนกรกฎาคมหน้า ก็ทำมาได้ครบ 10 ปี
ที่มา:ดร.สวาสดิ์  พรรณา

(Visited 5,810 times, 1 visits today)


TCASครูสมศรี (เจาะลึกข้อสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ) GAT \u0026 9 วิชาสามัญ O-NET Admission สอบตรง By ครูสมศรี


มาเร๊ววววววววว
GRAMMAR by ครูสมศรี
(เจาะลึกข้อสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ) GAT \u0026 9 วิชาสามัญ ONET Admission สอบตรง
รีบคลิกชมเล้ยยยยยย
เด็กไทยต้องได้คะแนนอังกฤษดีขึ้น !!!!!
0:05:56 [ 1 ] Sentence structures
0:25:19 [ 2 ] Error Identification
4:18:21 [ 3 ] Sentence Completion
4:31:21 [ 4 ] Cloze test (Paragraph Completion)
เอกสารการเรียน ดาวน์โหลด ตาม link ด้านล่างจ้า
http://krusomsri.ac.th/new_details.php?id=144
ดาวน์โหลดเอกสารคำศัพท์ 9 วิชา สามัญ ได้ที่
http://krusomsri.ac.th/new_details.php?id=143
📚💻เรียนออนไนล์ ทุกที่ทุกวัน​24 ชั่วโมง📱
🏠จัดส่งเอกสารฟรี ทั่วประเทศ
💳 ชำระผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต ฟรีค่าธรรมเนียม
📌 เช็คคอร์สเรียนให้มั่นใจถึงสมัครเรียนนะคะสมัครเรียนแล้วหรือจัดส่งเอกสารแล้วไม่สามารถคืนได้ทุกกรณี
(ทดลองเรียนฟรีก่อนตัดสินใจสมัครเรียนจริง )
สมัครเล้ยยยยที่ https://bit.ly/3cNzg0o
Call Center :👉 026674317
ติดตามข่าวสารได้ที่ :: https://www.facebook.com/krusomsri

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

TCASครูสมศรี (เจาะลึกข้อสอบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ) GAT \u0026 9 วิชาสามัญ O-NET Admission สอบตรง  By ครูสมศรี

สรุป Tense แบบกระจ่าง เข้าใจใน 30 นาที!! โดย ครูพี่แอน


ถ้าไม่อยากพลาดคลิปการสอนเจ๋งๆจากครูพี่แอน อย่าลืม กดsubscribe และดกดกระดิ่งแจ้งเตือนช่อง YOUTUBE ของครูพี่แอนไว้ด้วยน้า (จะเป็นกำลังใจให้ครูพี่แอนได้มากที่สุดในโลกเลยยยย)
สนใจคอร์สเรียน Perfect English ของครูพี่แอน รีบแอดไลน์มารับโปรส่วนลด พร้อมเรียนทวนฟรีได้ตลอดชีพ!
สามารถติดต่อได้ที่ Line : @chula_tutor (มี @ ด้วยนะน้า) หรือคลิกที่ http://line.me/ti/p/@chula_tutor เพื่อติดต่อทางไลน์โดยตรงได้เลยค่ะ

เชื่อว่านักเรียนทุกคนเคยเรียน Tense กันมาตั้งแต่เด็กๆ
เรียนกันมานานหลายปี แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจจริงๆว่ามันคืออะไร
ใช้ยังไง แบบไหนเรียกว่าอะไร
ครูพี่แอนจะมาแจกสูตรลับเรื่องของ Tense ให้เข้าใจอย่างกระจ่าง!!
เปลี่ยนการเรียน Tense แบบเดิมๆ ที่เคยเรียนมา
หลักสูตรการสอนแบบ Speed up โดย ครูพี่แอน
ที่จะทำให้นักเรียนเข้าใจเรื่อง Tense ใน 30 นาที!!!

ติดตามครูพี่แอนได้ที่ช่องทาง
Perfect English : https://www.facebook.com/englishforfunbyann
IG : https://www.instagram.com/krupann.english/
twitter : https://twitter.com/englishbykruann
Tiktok : https://www.tiktok.com/@krupann.english
ครูพี่แอน KruPAnn ภาษาอังกฤษ OnlineEnglish คอร์สเรียนออนไลน์ เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์

สรุป Tense แบบกระจ่าง เข้าใจใน 30 นาที!! โดย ครูพี่แอน

Future Simple VS Future Continuous Tense ตอนที่ 10 ภาษาอังกฤษ ป.4 – ม.6


Future Simple VS Future Continuous Tense
ภาษาอังกฤษ ป.4 ม.6
มาตราฐาน ต 2.2
มาดูหลักการใช้และความแตกต่างระหว่าง Future Simple และ Future Continuous กับ Bobby และผองเพื่อนกัน
โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ DLIT (Distance Learning Information Technology)
http://www.dlit.ac.th

Future Simple VS Future Continuous Tense ตอนที่ 10 ภาษาอังกฤษ ป.4 - ม.6

ฝึกฟังประโยคภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน จาก 0 ถึง 100 ตั้งแต่เริ่มต้นจนฟังออก


ฝึกฟังประโยคภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน จาก 0 ถึง 100 ตั้งแต่เริ่มต้นจนฟังออก

เรียนรู้การออกเสียงภาษาอังกฤษด้วยวลีพื้นฐาน


มาเรียนรู้วลีพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ซึ่งใช้กันทั่วไปในการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน!
ติดตามเสียงภาษาไทยและเสียงภาษาอังกฤษจะเล่มตามมา
โดยการฟังเสียงที่ได้ยินซ้ำ ๆ หลายครั้ง วลีที่คุณได้เรียนรู้จะยังคงอยู่ในหัวของคุณต่อไป
คุณต้องการที่จะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องหรือไม่ หากต้องการแบบนั้นให้ลองอ่านออกเสียงไปพร้อม ๆ กับวิดีโอและเสียงที่ได้ยิน! หากคุณฝึกฝนซ้ำ ๆ วลีและคำศัพท์ต่าง ๆ ที่คุณจำได้จะเริ่มออกมาจากปากของคุณเองโดยธรรมชาติ
—————————————
600 วลีสำคัญในภาษาอังกฤษ
https://youtu.be/TfXHrAfVEQo
บ่งบอกตัวตนของคุณเป็นภาษาอังกฤษ
https://youtu.be/nAVk_KU_1Mw แบบฝึกพูดภาษาอังกฤษแบบช้าและง่าย

เรียนรู้การออกเสียงภาษาอังกฤษด้วยวลีพื้นฐาน

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆMAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ tense ภาษาอังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *