Skip to content
Home » [NEW] หลักการใช้ Verb to Do – Do, Does, Did และ Done ภาษาอังกฤษ ม.4 | แต่ง ประโยค why – NATAVIGUIDES

[NEW] หลักการใช้ Verb to Do – Do, Does, Did และ Done ภาษาอังกฤษ ม.4 | แต่ง ประโยค why – NATAVIGUIDES

แต่ง ประโยค why: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

กรณีที่ ใช้เป็น Past Participle : Done
Done คือ Past Participle (Verb 3) ของ Do (Past Participle คือคำกริยาช่อง 3 ที่ใช้ใน Prefect Tense)
I have done all the hard work. (ฉันทำงานหนักมาตลอด)
Tom has done the artwork.  (ทอมทำงานด้านศิลปะ)

การใช้ Auxiliary verb

Auxiliary Verb

         Auxiliary Verb คือ “กริยานุเคราะห์” ( บางครั้งก็เรียกกริยาช่วย ( Helping Verb ) บ้าง , กริยาพิเศษ ( Anomalous Verb ) เหตุที่ได้เรียกว่า เป็นกริยานุเคราะห์หรือกริยาช่วยนั้น ก็เพราะว่ากริยาเหล่านี้ ไปทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นเพื่อให้เป็นมาลา ( Mood ) วาจก ( Voice ) และกาล ( Tense )

Auxiliary Verb มีอยู่ทั้งหมด 24 ตัว คือ

Verb to be = is , am , are , was , were

Verb to do= need

Verb to have = has , have , had

Verb to do= dare

Verb to do = do , does , did

Verb to do= ought to

Verb to do = will , would

Verb to do= used to

Verb to do= shall , should

Verb to do= had better

Verb to do= can , could

Verb to do= would rather

Verb to do= have to ( 

ที่มีความหมายเท่ากับ 

must )

Verb to do= shoud ( 

ที่มีความหมายเท่ากับ 

ought to )

1. หน้าที่ของ Verb to be ใช้ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นได้ดังต่อไปนี้
1.1 วางไว้หน้ากริยาตัวที่เติม ing ทำให้ประโยคนั้นเป็น Continuous Tense ซึ่งแปลว่า “กำลัง” ทุกครั้ง เช่น
We are learning English
( เรากำลังเรียนภาษาอังกฤษ )
1.2 วางไว้หน้ากริยาช่อง 3 ( เฉพาะสกรรมกริยา ) ทำให้ประโยคนั้นเป็นกรรมวาจก ( Passive Voice ) แปลว่า “ถูก” เช่น
John was punished by the teacher yesterday.
( จอห์นถูกทำโทษโดยคุณครูเมื่อวานนี้ )
1.3 วางไว้หน้ากริยาสภาวมาลา ( Infinitive ) มีสำเนียงแปลว่า “จะ , จะต้อง” แสดงถึงหน้าที่ที่ต้องกระทำ , แผนการ , การเตรียมการ , คำสั่ง , คำขอร้อง หรือความเป็นไปได้ เช่น
He is to stay here till I come back.
( เขาจะต้องอยู่ที่นี่จนกว่าฉันจะกลับมา )
1.4 ประโยคคำสั่ง , อวยพร , ที่นำหน้าประโยคด้วย Adjective ( คุณศัพท์ ) ต้องใช้ Be นำหน้าเสมอ เช่น
Be quite. The baby is sleeping.
( เงียบหน่อย ทารกกำลังนอกหลับอยู่ )
1.5 ใช้นำหน้าสำนวน about to + Verb ช่อง 1 มีสำเนียงแปลว่า “กำลังจะ” แสดงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้เช่น
They are about to start their jouney this week.
( พวกเขากำลังจะออกเดินทางกันสัปดาห์นี้ )
1.6 ใช้ทำหน้าที่เป็นกริยาหลัก ( Principal Verb ) ในประโยคได้กรณีนี้ในประโยคนั้นจะไม่มี Verb ตัวอื่นเข้ามาร่วมอยู่กับ Verb to be เช่น 
Jean is always a good girl.
( จีนเป็นเด็กหญิงดีเสมอ ) 
การใช้ have to , have got to , had better

have to แปลว่า “ต้อง , จำเป็นต้อง” ( = must ) ใช้แสดงถึงพันธะหน้าที่ภารกิจจำเป็นที่ต้องกระทำ หลัง have to ต้องใช้กริยาช่อง 1 ตลอดไป เช่น
I have to leave now.
( ฉันจำเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้ )
George has to go to school from Monday to Friday.
( จอร์จจะต้องไปเรียนหนังสือตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ )
อนึ่ง ประโยคบอกเล่าที่มี have to เมื่อทำเป็นคำถามหรือปฏิเสธต้องใช้ Verb to do เข้ามาช่วย จะเอา have ( หรือ has ) ขึ้นไปไว้ต้นประโยคเมื่อเป็นคำถาม หรือเติม not หลัง have , has เมื่อต้องการให้เป็นปฏิเสธไม่ได้
ตัวอย่างเช่น :
ถูก : Do I have to leave now?
( ผมจำเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้หรือ )
ผิด : Have I to leave now?
ถูก : I don’t have to leave now.
( ผมไม่จำเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้ )
ผิด : I haven’t leave now.
ถูก : Does he have to go to work?
( เขาจะต้องไปทำงานหรือ? )
ผิด : Has he to go to work?
หมายเหตุ : have to ใช้ได้กับเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบันและอนาคตรูปอดีตของ have to คือ had to 
Have got to คำแปลเช่นเดียวกับ have to นำมาใช้ในภาษาพูดแทน have to คือ had to หรือ has เข้ากับสรรพนามเสมอ หรือย่อเข้ากับ not เมื่อประโยคนั้นเป็นปฏิเสธ กรณีทำเป็นคำถาม ให้เอา have หรือ has ในคำว่า have ( หรือ has ) got to ขึ้นไปไว้ต้นประโยคได้
ตัวอย่างเช่น :
Affirmative ( บอกเล่า )
He’s got to go.
I’ve got to do.
Negative ( ปฏิเสธ )
He hasn’t got to go.
I haven’t got to do.
Interrogative ( คำถาม ) 
Has he got to go?
Have I got to do?
had better ( ให้รวมถึง had rather, had sooner ) แปลว่า “ควรจะ…ดีกว่า” หลัง had better ตามด้วย Verb ช่อง 1( เป็น Infinitive Without “to” ) ใช้ในกรณีที่คิดว่าจะเป็นการดีที่จะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด หรือเหมาะสมที่จะประกอบกิจนั้น ๆ ในเวลานั้น แม้จะมีรูปเป็นอดีต ( Past ) แต่ความหมายเป็นปัจจุบัน ( Present ) โดยปกติเวลาพูดหรือเขียนมักจะย่อ had เป็น ‘d เข้ากับตัวประธานเสมอ ใช้ได้กับทุกพจน์และทุกบุรุษ
ตัวอย่างเช่น :
You had better start your trip tomorrow.
( = You’d better start your trip tomorrow. )
( คุณควรจะเริ่มการเดินทางของคุณวันพรุ่งนี้ดีกว่า )
I had better go home now.
( = I’d better to go home now. )
( ฉันควรจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ดีกว่า )
ข้อสังเกต : start และ go เป็น Infinitive Without “to”
ประโยคบอกเล่าที่มี had better นั้นเมื่อทำเป็นปฏิเสธให้เติม not หลัง better เท่านั้น อย่าวางหลัง had เป็นอันขาด ส่วนคำถามให้เอาเฉพาะ had ตัวเดียววางไว้ต้นประโยค
ตัวอย่างเช่น :
ประโยคบอกเล่า
ถูก : She had better stay home alone.
( หล่อนควรจะพักอยู่ที่บ้านตามลำพัง )
ประโยคปฏิเสธ
ถูก : She had had not stay home alone.
( หล่อนไม่ควรพักอยู่ที่บ้านตามลำพัง )
ผิด : She had not better stay home alone.
ประโยคคำถาม
ถูก : Had she better stay home alone?
( หล่อนควรจะพักอยู่ที่บ้านตามลำพังหรือ? )
ผิด : Did she have better stay home alone? 
3. หน้าที่ของ Verb to do Verb to do ได้แก่ do , does , did เมื่อนำมาใช้เป็นกริยาช่วย ( Helping – Verb ) ไม่มีสำเนียงแปล และเมื่อไปช่วยกริยาตัวใด Verb ที่ตามหลัง do , does , did ไม่ต้องมี to นำหน้า เพราะเป็น Infinitive Without “to” do , does ใช้กับการกระทำที่เป็นปัจจุบัน ( แต่ต่างพจน์กัน ) did ใช้กับการกระทำที่เป็นอดีต ( ได้กับทุกพจน์ทุกบุรุษ ) ซึ่งมีรายละเอียดของการใช้ช่วยหรือใช้จริงได้ดังต่อไปนี้
3.1 ช่วยทำประโยคบอกเล่า ( Affirmative ) ให้เป็นประโยคคำถาม ( Interrogative ) หรือประโยคปฏิเสธ ( Negative ) ในกรณีที่ประโยคเหล่านั้นต้องตรงตามหลักทฤษฎีที่ว่า
Verb to have ไม่มี
Verb to be ไม่อยู่
Verb to do มาช่วย
หรือมี will , would , shall , should , can , could , may , might , must อยู่แล้วก็ไม่ต้องใช้ Verb to do มาช่วย
Verb to do มี 3 ตัว จะนำมาใช้ต่างกัน เช่น
เอกพจน์ ใช้ does
พหูพจน์ ใช้ do
I , They , We , You ใช้ do เหมือนกัน
กริยาสำคัญไม่ต้องเติม s ( ed , ing )
ตัวอย่างใช้ do มาช่วย
ประโยคบอกเล่า : 
You speak Japanese to your friend.
( คุณพูดภาษาญี่ปุ่นกับเพื่อนของคุณ )
ประโยคคำถาม :
ถูก : Do you speak Japanese to your friend?
( คุณพูดภาษาญี่ปุ่นกับเพื่อนของคุณหรือ? )
ผิด : Are you speak Japanese to your friend?
ตัวอย่างใช้ does มาช่วย
ประโยคบอกเล่า :
He opens the door by himself.
( เขาเปิดประตูด้วยตนเอง )
ประโยคคำถาม :
ถูก : Does he open the door by himself?
( เขาเปิดประตูด้วยตัวเขาเองหรือ? ) 
ผิด : Is he opens the door by himself?
ประโยคปฏิเสธ :
ถูก : He doesn’t ( หรือ does not ) open the door by himself. 
( เขาไม่ได้เปิดประตูด้วยตัวเอง )
ผิด : He is not opens the door by himself.
ตัวอย่างใช้ did มาช่วย
ประโยคบอกเล่า :
She went to Hong Kong last week.
( หล่อนไปฮ่องกงสัปดาห์ที่แล้ว )
ประโยคคำถาม : 
ถูก : Did she go to Hong Kong last week?
( หล่อนไปฮ่องกงสัปดาห์ที่ผ่านมาหรือ? )
ผิด : Was she went to Hong Kong last week?
ประโยคปฏิเสธ :
ถูก : She didn’t ( หรือ did not ) go to Hong Kong.
( หล่อนไม่ได้ไปฮ่องกง )
ผิด : She wasn’t went to Hong Kong.
3.2 ใช้แทนกริยาตัวอื่นที่อยู่ในประโยคเดียวกัน เพื่อต้องการมิให้กริยาตัวเดิมนั้นซ้ำ ๆ ซาก ๆ เช่น 
Billy likes badminton and so does Tim.
( บิลลี่ชอบแบดมินตันและทิมก็ชอบเหมือนกัน )
You speak Thai and I do too.
( คุณพูดไทยและฉันก็เช่นกัน )
Linda worked yesterday but I didn’t.
( ลินดาทำงานเมื่อวานนี้ แต่ฉันไม่ทำ )
ข้อสังเกต : does , do didn’t ทั้ง 3 คำไปแทนกริยา likes, speak และ worked ตามลำดับ ทั้งนี้เพื่อต้องการมิให้ใช้กริยา 3 คำนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ
3.3 ใช้สนับสนุนกริยาตัวอื่น เพื่อให้เกิดความสำคัญกับกริยาตัวนั้นว่า จะต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ หรือเกิดขึ้นจริง ๆ โดยให้เรียงไว้หน้ากริยาที่มันไปเน้นอีกทีหนึ่งเช่น
I do go and see you tomorrow.
( ฉันจะไปพบคุณให้ได้วันพรุ่งนี้ )
Sam does write to me.
( แซมเขียนจดหมายถึงผมจริง ๆ )
They did live there two years ago.
( พวกเขาได้อยู่นั้นจริง ๆ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา )
Do come with us.
( ไปกับเราให้ได้นะ )
ข้อสังเกต : do , does , did เรียงไว้หน้ากริยาใดจะเน้นกริยาตัวนั้นให้มีน้ำหนักการกระทำขึ้นมาจริง ๆ 
3.4 ใช้แทนกริยาหลักในประโยคคำตอบแบบสั้น ๆ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้นำเอากริยาหลังในประโยคคำถามนั้น มากล่าวซ้ำในประโยคคำตอบ เช่น 
Do you smoke? Yes, I do
( คุณสูบบุหรี่หรือ? ) ( ใช่ ฉันสูบ )
Did he ride a bicycle to school? Yes, he did.
( เขาขี่จักรยานไปโรงเรียนหรือ? ) ( ใช่ เขาขี่ )
3.5 ใช้แทนกริยาหลักในประโยคทั้งที่เห็นด้วย ( agreement ) หรือไม่เห็นด้วย ( disagreement ) ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการนำเอากริยาหลักในประโยคนำกล่าวข้างหน้า มาพูดอีกเป็นครั้งที่ 2 เช่น
เห็นด้วย :
Tom speaks a lot. Yes, he does.
( ทอมพูดมากจัง ) ( ใช่ เขาพูดมาก )
She sang well. Yes, she did.
( หล่อนร้องเพลงได้ไพเราะดี ) ( ใช่ หล่อนร้องได้ไพเราะ )
ไม่เห็นด้วย :
You eat too much. No, I don’t.
( คุณกินมากเกินไป ) ( ไม่ ฉันไม่ได้กินมากเลย )
3.6 Verb to do ถ้านำมาใช้อย่างกริยาหลัก ( Principal Verb ) ทั่ว ๆ ไป จะแปลว่า “ทำ” ดังนั้น เป็นคำถามหรือปฏิเสธต้องเอา Verb to do ( ที่เป็นกริยาช่วย ) มาช่วย do ( ที่เป็นกริยาแท้อีกทีหนึ่ง ) ตามหลักทฤษฎีที่ว่า…
เมื่อ Do แปลว่า “ทำ” จะต้องนำ do มาช่วยเพื่อช่วยให้เป็นคำถามและปฏิเสธ เช่น
ประโยคบอกเล่า
You do your homework every day.
( คุณทำการบ้านทุก ๆ วัน )
ประโยคคำถาม
Do you do your homework every day?
( คุณทำการบ้านของคุณทุก ๆ วันหรือ? )
ข้อสังเกต : Do ตัวที่ 1 เป็นกริยาช่วย มาช่วยให้เป็นคำถามไม่มีคำแปล do ตัวที่ 2 เป็นกริยาแท้ กริยาใหญ่ กริยาหลัก จะเรียกอย่างไรได้ทั้งนั้น มีคำแปลว่า “ทำ”
ประโยคปฏิเสธ
You don’t do your homework every day.
( คุณไม่ได้ทำการบ้านของคุณทุก ๆ วันหรอก )
ข้อสังเกต : do ตัวแรก ( ในคำ don’t ) เป็นกริยาช่วย มาช่วยให้เป็นประโยคปฏิเสธไม่มีคำแปล do ตัวหลังเป็นกริยาแท้ แปลว่า “ทำ” ที่ควรระวังคือ เมื่อทำเป็นคำถามหรือปฏิเสธ อย่าได้นำ do ที่ปรากฏอยู่ในประโยคบอกเล่านั้นขึ้นไปไว้ต้นประโยคหรือเติม not ลงข้างหลัง do อย่างเด็ดขาด เช่น
I do my work in Bangkok.
ประโยคคำถาม
ผิด : Do I my work in Bangkok?
ถูก : Do I do my work in Bangkok?
ประโยคปฏิเสธ
ผิด : I do not my work in Bangkok. ( หรือ don’t )
ถูก : I don’t ( หรือ do not ) do my work in Bangkok.
ประโยคบอกเล่า
She does her homework. 
( หล่อนทำการบ้านของหล่อน )
ประโยคคำถาม
Does she do her homework?
( หล่อนทำการบ้านของหล่อนหรือ? )
ข้อสังเกต : อย่าใช้ Does she her homework? โดยการนำเอา does ที่เป็นกริยาขึ้นไปไว้ต้นประโยค
ประโยคปฏิเสธ
She doesn’t ( หรือ does not ) do her homework.
( หล่อนไม่ได้ทำการบ้านของหล่อน )
ข้อสังเกต : อย่าใช้ she does not her homework.
3.7 ใช้แทนกริยาแท้ในประโยคคำถามที่เป็น Tag Questions เช่น
Sam lives here, doesn’t he?
( แซมอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ใช่หรือ? )
ข้อสังเกต : อย่าใช้ Sam lives here, doesn’t he live here?
We don’t drink whisky, do we?
( พวกเราไม่ดื่มสุรา ใช่ไหม? )
ข้อสังเกต : We don’t drink whisky, do we drink whisky?
He ate rice, didn’t he?
( เขากินข้าว ไม่ใช่หรือ? )
ข้อสังเกต : อย่าใช้ He ate rice, didn’t he eat rice?
4. การใช้ Will, Would, Shall, Should
Will, Shall, Would, Should ใช้ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นได้ดังต่อไปนี้
4.1 Will แปลว่า “จะ” ใช้ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่น เพื่อบอกความเป็นอนาคตกาล ( Future Tense ) และใช้กับประธานที่เป็นบุรุษที่ 2 ( คือ you ) และบุรุษที่ 3 ( คือ He , She , It , They ) ตลอดถึงนามเอกพจน์ พหูพจน์ ทั่วไปที่มาเป็นประธานได้ทั้งนั้น เช่น
He will meet his friend at the train station.
( เขาจะไปพบเพื่อนของเขาที่สถานีรถไฟ )
4.2 Shall แปลว่า “จะ” ใช้ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่น เพื่อให้เป็นอนาคตกาล ( Future Tense ) เช่นเดียวกับ will และให้ใช้กับประธานที่เป็นบุรุษที่ 1 ( คือ I , We เท่านั้น ) เช่น
I shall start my journey tomorrow.
( ฉันจะออกเดินทางวันพรุ่งนี้ )
หมายเหตุ : will และ shall หากใช้สลับกันกับบุรุษที่กล่าวมาแล้ว นั่นคือใช้ will กับ I , We และใช้ Shall กับ he , she , it , they ตลอดถึงนามทั่วไปที่มาเป็นประธานแล้ว ย่อมมีความหมายพิเศษขึ้น ผิดไปจากการใช้แบบปกติ เพราะนั่นแสดงถึงความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะกระทำการนั้น ๆ แสดงถึงความมั่นสัญญา , แสดงการข่มขู่ แล้วแต่กรณีไป เช่น
I will try to do it again.
( ฉันจะพยายามทำอีกครั้ง ) ( แสดงความตั้งใจ )
If you work well, you shall have higher wages.
( ถ้าคุณทำงานดี คุณก็จะได้รับค่าจ้างสูงขึ้นอีก ) ( คำสัญญา )
ประโยคตัวอย่างข้างบนนี้ จะเห็นว่าใช้ will , shall สลับบุรุษกันทั้งนี้ก็เพื่อแสดงถึงความตั้งใจแน่วแน่, การให้คำมั่นสัญญา, การข่มขู่ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง
นอกจากนี้แล้วเฉพาะ Shall ยังใช้ได้กับทุกบุรุษอีกด้วย เมื่อไปเป็นกริยาพิเศษแสดงถึงวัตถุประสงค์ใน วิเศษณานุประโยค ( Adverb Clause of Purpose ) ที่มีคำสันธาน so that หรือ in order that เช่น 
John comes hers so that he shall see his father.
( จอห์นมาที่นี่ก็เผื่อว่าจะได้พบกับคุณพ่อของเขา )
4.3 Would แปลว่า “จะ” ใช้ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วยให้กับกริยาตัวอื่นได้ต่อไปนี้
( a ) ใช้เป็นอดีตของ will ในประโยคที่เปลี่ยนมาจาก
Indirect Speech เช่น
She said, “I will do it again.”
( หล่อนพูดว่า “ดิฉันจะทำอีกครั้ง” )
( b ) ใช้ในประโยคเงื่อนไข ( Conditional Sentence ) เช่น 
If I were you, I would try to do.
( ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะพยายามทำให้ได้ )
( c ) ใช้เป็นกริยาช่วยร่วมกับ like ในสำนวนการพูดเพื่อความสุภาพ ซึ่งมีความหมายว่า “อยากจะ, อยากให้” กรณีเช่นนี้ would ใช้ได้กับทุกพจน์และทุกบุรุษ และมีความเป็นปัจจุบันกาลด้วย อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นอดีต เช่น 
Jim would like to study music.
( จิมอยากเรียนวิชาดนตรี )
( d ) ให้ใช้ would ( แทน will ตลอดไป ) เมื่อผู้พูดไม่แน่ใจคือ ยังสงวนท่าทีเพื่อรอดูปฏิกิริยาของผู้ที่ตนพูดด้วยว่าจะเป็นหรือทำอย่างที่ชักนำหรือไม่ และตามกฎข้อนี้มักใช้ในคำถามเพื่อความสุภาพ เช่น
Would you have some cold drinks?
( คุณจะเอาเครื่องดื่มเย็น ๆ ไหม? )
( e ) ในประโยคคำถามที่มีกริยา mind , please เข้ามาร่วมเพื่อความสุภาพในการถามหรืออกคำสั่ง และเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่คู่สนทนาอีกโสดหนึ่ง ต้องใช้ Would นำหน้าคำถามหรือคำสั่งนั้น ๆ ตลอดไป เช่น
Would you mind if I smoke? Of course not.
( คุณจะรังเกียจไหมถ้าฉันจะสูบบุหรี่? )
( ไม่รังเกียจหรอก )
( f ) ใช้ในสำนวนการพูดว่า “ควรจะ…ดีกว่า , สมัครใจที่จะ…ดีกว่า” ควบกับ better หรือ rather ใช้ได้กับทุกพจน์ทุกบุรุษ เช่น
Which would you rather have, beer or coffee?
( คุณอยากจะดื่มอะไรมากกว่า เบียร์หรือกาแฟ? )
ข้อสังเกต : บางครั้งหลัง better หรือ rather จะมี than มาต่อท้ายอีกก็ได้ เช่น
She would rather walk than run.
( เธออยากจะเดินไปมากกว่าวิ่ง )
4.4 Should แปลว่า “จะ” มีหลักการใช้ดังต่อไปนี้
( a ) ใช้เป็นรูปอดีต ( Past Tense ) ของ Shall ในประโยค Indirect Speech เช่น
He said to me, “You will be able to do it.”
( เขาพูดกับฉันว่า “คุณจะต้องสามารถทำมันได้” )
( b ) ในประโยคที่เป็นอนาคตกาล ( Future Tense ) ถ้าผู้พูดยังมีความสงสัย ไม่แน่ใจ หรือยังเป็นการคาดหมายอยู่เกี่ยวกับเหตุการณ์หรือพฤติกรรมนั้น ต้องใช้ should ตลอดไป ( ไม่นิยมใช้ shall ) เช่น
They should be there by 3 o’clock, I think.
( ฉันคิดว่า พวกเขาจะต้องไปถึงที่นั่นในเวลาบ่าย 3 โมง )
( c ) should เมื่อแปลว่า “ควรจะ” คือเป็นปัจจุบันกาลใช้ได้กับทุกพจน์ทุกบุรุษ ใช้แสดงถึงหน้าที่ที่จะต้องกระทำการให้คำแนะนำ ( duty , obligation หรือ advice ) ซึ่งมีความหมายเท่ากับ ought to โดยเฉพาะภาษาพูดจะใช้ should แทน ought to เช่น
You should go on a diet.
( คุณควรลดอาหารบ้าง )
( d ) ใช้ should have + Verb ช่อง 3 กับอดีตกาลที่ไม่เกิดขึ้นจริง ซึ่งได้ผ่านพ้นมาแล้ว เช่น
John should have studied hard before the examination. ( but he didn’t. )
( จอห์นควรจะได้เรียนอย่างหนักก่อนที่จะสอบ )
( e ) ใช้ should แทน might กับทุกประธานได้ ในประโยคที่แสดงความมุ่งหมาย โดยมีสันธาน so that, in order that นำหน้าประโยคของมัน เช่น
I helped him very much so that he should ( might ) succed.
( ฉันได้ช่วยเขาอย่างมากทีเดียว ดังนั้นเขาควรสำเร็จ ) 
( f ) ใช้ should ในประโยคที่ตามหลัง lest , for fear that ตลอดไป เช่น
Bill studied harder lest he should fail.
( บิลเรียนหนักยิ่งขึ้น เผื่อว่าจะได้ไม่ต้องสอบตก )
4.5 Can แปลว่า “สามารถ” เป็นกริยา Anomalous Verb ( กริยาพิเศษ ) ได้เพียงอย่างเดียว รูปอดีตของ can คือ could กริยาตัวอื่นที่ตามหลัง can เป็น Infinitive Without “to” และนอกจากนี้แล้ว can ยังใช้ได้กับทุกประธานและทุกพจน์อีกด้วย ซึ่งมีวิธีใช้ได้ดังต่อไปนี้
( a ) ใช้แสดงความเป็นอิสระจากพันธะอื่น ๆ เช่น
I can see you tomorrow at 7 o’clock.
( พรุ่งนี้ฉันพบคุณได้เวลา 7 นาฬิกา )
( b ) ใช้แสดงภาวะการรับรู้ซึ่งมิอาจควบคุมได้ เช่น
I can see. ( hear , remember , etc.)
( ฉันสามารถเห็น ) ( ได้ยิน , จำได้ เป็นต้น )
( c ) ใช้แสดงถึงสิ่งที่ผู้พูดพูดนั้นเป็นความจริง หรือเป็นไปได้อย่างแน่นอน โดยปราศจากข้อสงสัย เช่น
This can be the answer, I think.
( ฉันคิดว่า นี่คือคำตอบที่ถูกต้อง )
( d ) ใช้แสดงถึงความสามารถหรือการอนุญาต เช่น
I can drive very far from here.
( ฉันสามารถขับรถไปได้ไกลจากที่นี่ )
( e ) ใช้แสดงถึงพละกำลัง การฝึกหัดและการเรียนรู้ เช่น
Can you lift that table?
( คุณสามารถยกโต๊ะตัวนั้นได้ไหม? )
4.6 Could แปลว่า “สามารถ” เป็นรูปอดีตของ can ใช้ได้กับทุกพจน์และทุกตัวประธาน กริยาตัวอื่นที่ตามหลังเป็น Infinitive Without “to” ซึ่งมีรายละเอียดของการใช้ดังต่อไปนี้
( a ) ใช้แสดงความเป็นอิสระจากพันธะอื่น ๆ ได้ แต่มีความแน่นอนน้อยกว่า Can เช่น
She could see me tomorrow at 7 o’clock, perhaps.
( พรุ่งนี้เวลา 7 นาฬิกา หล่อนจะพบผมก็ได้ )
( b ) ใช้เป็นอดีตของ Can ในประโยค Indirect Speech ( ที่เปลี่ยนมาจาก Direct Speech ) เช่น
Direct :
She said, “I can go there alone?”
( หล่อนพูดว่า “ดิฉันสามารถไปที่นั่นคนเดียวได้? )
She said that she could go there alone.
( หล่อนพูดว่าหล่อนสามารถไปที่นั่นคนเดียวได้ )
( c ) ใช้แสดงถึงความสามารถที่ได้กระทำในอดีต เช่น
I could speak Chinese perfectly ten years ago.
( ผมสามารถพูดภาษาจีนได้ดี เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา )
( d ) ใช้เพื่อขออนุญาตกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งกับคู่สนทนา ทั้งนี้เพื่อเป็นการให้เกียรติกับผู้ที่เราพูดด้วย เช่น
Could I borrow your pen, please?
( ฉันขอยืมปากกาของคุณหน่อยได้ไหมครับ? )
( e ) could ที่นำมาใช้ในรูป could + have + Verb ช่อง 3 เพื่อแสดงถึงความสามารถหรือความเป็นไปได้ในอดีตแต่ก็ไม่ได้ใช้ความสามารถนั้นเสีย เช่น
I could have lent you the money.
Why didn’t you ask me?
( ฉันสามารถให้คุณยืมเงินได้ ทำไมคุณจึงไม่ขอฉัน? )
5. หน้าที่ของ May สำหรับ May และ Might นั้นเป็นคำกริยาจำพวก Anomalous Verb ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น รูปอดีตของ May ก็คือ Might รูปปฏิเสธคือ may not ( mayn’t ) และ might not ( mightn’t ) และ may นำมาใช้เป็นกริยาช่วยได้ดังต่อไปนี้
5.1 ใช้เพื่อแสดงความมุ่งหมาย ( Purpose ) และจะอยู่หลัง so that หรือ in order that เสมอ เช่น
I study hard so that I may pass the test.
( ฉันเรียนอย่างหนัก เพื่อว่าจะสอบผ่าน )
5.2 ใช้เพื่อแสดงความปรารถนา ความหวัง หรือการอวยพรให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องประสงค์ ( may อยู่ต้นประโยคเสมอ ) เช่น
May you be happy for ever.
( ขอให้คุณประสบแต่ความสุขตลอดไป )
May he succeed in his new job.
( ขอให้เขาประสบความสำเร็จในงานใหม่ของเขา )
5.3 ใช้ช่วยเพื่อแสดงการอนุญาต หรือการขออนุญาต ( Permission ) ที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น 
May I use your dictionary? Yes, you may.
( ฉันขอใช้พจนานุกรมของคุณได้ไหม? ได้ เชิญเลย )
5.4 ใช้ช่วยเพื่อแสดงความคาดคะเนว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ เช่น
Linda may come next Sunday.
( ลินดาอาจมาวันอาทิตย์หน้า )
5.5 ใช้ช่วยเพื่อแสดงความสงสัยหรือไม่แน่ใจของผู้พูดที่มีต่อสิ่งนั้น ๆ เช่น
You may talk to everybody but you can’t force him to listen to you.
( คุณอาจจะพูดกับทุกคนได้ แต่คุณไม่สามารถบังคับให้เขาฟังคุณ ( ทุกครั้ง ) ไปได้ )
5.6 ใช้ช่วยเพื่อแสดงความเป็นไปได้ ( Possibility ) สำหรับการกระทำนั้น ๆ เช่น
It may rain this afternoon.
( ฝนอาจจะตกในตอนบ่ายนี้ )
6. Might มีวิธีใช้ดังต่อไปนี้
6.1 ใช้เป็นอดีตของ may ในประโยคที่เปลี่ยนมาจาก Direct Speech เช่น
Direct :
He said, “I may drive your car for you today.”
( เขาพูดว่า “ฉันอาจจะขับรถของคุณให้คุณวันนี้” )
Indirect :
He said that he might drive my car for me that day.
( เขาพูดว่าเขาอาจจะได้ขับรถของฉันให้ฉันวันนั้น )
6.2 ใช้ในกรณีที่ผู้พูดไม่แน่นอนใจว่า เขาจะทำอย่างนั้นอย่างนี้จริง ( แต่หากมั่นใจอย่างแน่นอนให้ใช้ may แทน ) เปรียบเทียบจากตัวอย่างประโยค 2 ประโยคนี้ เช่น
A : I don’t know where Jim is. He might be at his office.
B : I think Jim may be at his office.
ประโยคแรก : A ไม่ทราบว่าจิมอยู่ที่ไหนกันแน่ เพียงคาดการณ์ว่าเขาอาจจะอยู่ที่ทำงานของเขาก็ได้ เมื่อพูดออกไปโดยไม่แน่ใจเช่นนั้น จึงใช้ might มาเป็นกริยาช่วย
ประโยคที่สอง : B รู้แจ้งประจักษ์กับตัวเองอย่างเต็มที่ว่า จิมจะต้องทำงานอยู่ที่ทำงานไม่ได้ไปไหน เพราะเห็นมาด้วยตาตัวเองแล้ว จึงเกิดความมั่นใจ 100% ว่า จิมจะต้องอยู่ที่ทำงานของเขา จึงใช้ may มาเป็นกริยาช่วยอันแสดงถึงความมั่นใจ
6.3 might + have + Verb ช่อง 3 นำมาใช้เพื่อแสดงถึงความไม่แน่นอนใจขณะที่พูดถึงสิ่งที่เป็นอดีต เช่น
I can’t imagine why she was late. She might have been delayed by the traffic or she might have had an accident.
( ฉันก็ไม่คิดไม่ออก ( เหมือนกัน ) ว่า ทำไมหล่อนถึงมาสายหล่อนอาจมาสายเพราะการจราจรทำให้ล่าช้า หรือว่าหล่อนได้รับอุบัติเหตุ )
ข้อสังเกต : การคาดคะเนในลักษณะไม่แน่ใจถึงสิ่งที่เป็นอดีตเช่นนี้ ต้องใช้ might + have + Verb ช่อง 3 เพราะผู้พูดพูดไปในลักษณะวิเคราะห์เหตุการณ์ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ประจักษ์กับตัวเองแล้ว
7. การใช้ Must
Must เป็นกริยาจำพวก Anomalous Verb อย่างแท้จริง ไม่มีรูป Infinitive, Participle เช่นกริยาธรรมดาทั่วไป และไม่ต้องเติม s ถึงแม้ประธานจะเป็นบุรุษที่ 3 เอกพจน์ ซึ่งมีวิธีใช้ดังต่อไปนี้
7.1 ใช้เป็นกริยาที่แสดงคำสั่งหรือความจำเป็นที่จะต้องทำ ( Necessity ) เช่น
We must obey the laws of the country.
( เราจะต้องเชื่อฟังกฎหมายของประเทศ )
7.2 ใช้แสดงการบอกเล่าที่ต้องการเน้นให้หนักแน่น แต่ไม่ใช่แสดงความจำเป็น เช่น
You must know that my father is very busy.
( คุณจะต้องรู้ว่า พ่อของฉันยุ่งมาก )
7.3 ใช้แสดงความตั้งใจหรือความแน่ใจของผู้พูด เช่น
I must finish this before I go to bed.
( ฉันจะต้องทำสิ่งนี้สำเร็จก่อนที่จะเข้านอน )
7.4 ใช้แสดงการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับความต้องการของผู้พูด เช่น 
Every time I call on him, he must be busy.
( ฉันไปหาเขาทีไร เขาเป็นต้องไม่ว่างสักที )
7.5 ใช้แสดงเหตุการณ์หรือพฤติกรรมที่จะต้องเกิดขึ้นกับมนุษย์หรือกับสิ่งอื่นใด ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น
Man must die.
( คนเราต้องตาย )
7.6 ใช้แสดงการกระทำที่เป็นหน้าที่โดยตรง เช่น
We must pay taxes to our government
( เราจะต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลของเรา )
7.7 ใช้แสดงการขอร้อง ( ในสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ) เช่น
You must forgive me for that matter.
( คุณจะต้องให้อภัยฉันสำหรับเรื่องนั้น )
หมายเหตุ : must เป็น Present Tense ( ปัจจุบันกาล ) อย่างเดียว ไม่มีรูปอดีตหรืออนาคตเป็นของตนเอง แต่เมื่อต้องการใช้เป็นอดีตกาล ( Past Tense ) ให้ใช้ had to แทน หรือต้องการให้เป็นอนาคตกาล ( Future Tense ) ให้ใช้ will have to หรือ shall have to เช่น
ปัจจุบัน : I must study the American History.
อดีต : I has to study the American history.
อนาคต : I shall have to study the American history.
( ฉันต้องศึกษาประวัติศาสตร์อเมริกา )
8. การใช้ Need 
Need เป็นกริยา Anomalous Verb ที่ออกจะพิเศษอยู่นิดหน่อยนั้นคือ ใช้เป็นกริยาแท้ ( Finite Verb ) ก็ได้ ใช้เป็นกริยาช่วย ( Helping Verb ) ก็ได้ ดังจะได้อธิบายถึงรายละเอียดของการใช้ดังนี้
8.1 Need ใช้อย่างกริยาแท้
( a ) Need ถ้านำมาใช้อย่างกริยาแท้ทั่ว ๆ ไป ตามด้วยคำกริยารูป Infinitive With “to” และเมื่อประธานของ need เป็นเอกพจน์ ปัจจุบันกาล need ต้องเติม s และเมื่อเป็นอดีตให้เติม ed ที่ need ได้เลย เช่น
Linda needs to go to see a doctor when she is sick.
( ลินดาต้องไปหาหมอเมื่อหล่อนไม่สบาย )
( b ) need ที่ใช้อย่างกริยาแท้ ( Finite Verb ) เมื่อทำเป็นประโยคคำถามหรือปฏิเสธต้องใช้ Verb to do เข้ามาช่วย เช่น
ประโยคบอกเล่า :
He needs to work to earn his living.
( เขาจำเป็นต้องทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเขาเอง )
ประโยคปฏิเสธ :
He doesn’t need to work to earn his living.
( เขาไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพของเขา )
ประโยคคำถาม :
Does he need to work to earn his living?
( เขาจำเป็นต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพของเขาหรือ? )
8.2 Need ที่ใช้อย่างกริยาช่วย
( a ) Need ที่ใช้อย่างกริยาช่วย ( Helping Verb ) คำกริยาตัวอื่นที่ตามหลังต้องเป็น Infinitive Without “to” และเมื่อประธานเป็นเอกพจน์ ปัจจุบันกาล need ก็ไม่ต้องเติม s ( หรือ ed, ing อะไรทั้งนั้น ) เช่น
She need hardly do have work.
( เธอแทบจะไม่ได้ทำงานหนักเลย )
( b ) Need ที่ใช้อย่างกริยาช่วย ไม่นิยมนำไปแต่งประโยคหรือพูดในข้อความที่เป็นบอกเล่า ( Affirmative ) แต่นิยมนำมาใช้ในประโยคคำถาม ( Interrogative ) หรือประโยคปฏิเสธ ( Negative ) หรือในประโยคที่มีข้อความเป็นกึ่งปฏิเสธ ( Negative Implication ) เท่านั้นเช่น
ประโยคคำถาม :
Need you continue your studies abroad?
( คุณจำเป็นต้องเรียนต่อต่างประเทศหรือ? )
ประโยคปฏิเสธ :
They needn’t smoke.
( พวกเขาไม่จำเป็นต้องสูบบุหรี่ )
ประโยคคำถาม :
Need you marry her next month?
( คุณจำต้องแต่งงานกับหล่อนในเดือนหน้าหรือ? )
ประโยคกึ่งปฏิเสธ :
Sam need rarely go to see the movie.
( แซมแทบจะไม่ค่อยได้ไปดูหนังเลย )
9. การใช้ Dare
Dare แปลว่า “กล้า, ท้า” เป็นกริยา Anomalous Verb ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับ Need นั่นคือจะใช้อย่างกริยาแท้ ( Finite Verb ) ก็ได้หรือจะใช้อย่างกริยาช่วย ( Helping Verb ) ก็ได้ ซึ่งมีรายละเอียดการใช้ดังต่อไปนี้
9.1 ใช้อย่างกริยาแท้มีหลักดังนี้
( a ) Dare ที่ใช้อย่างกริยาแท้ กริยาตัวอื่นที่ตามหลังต้องเป็นรูป Infinitive With “to” และตัวกริยา dare นั้นหากประธานเป็นเอกพจน์ ปัจจุบันกาลต้องเติม s หรือเติม ed เมื่อเป็นอดีตกาล เช่น
I dare to swim across this river.
( ผมกล้าว่ายข้ามแม่น้ำสายนี้ได้ )
( b ) Dare ที่นำมาใช้อย่างกริยาแท้ เมื่อต้องการทำเป็นคำถามหรือปฏิเสธให้ใช้ Verb to do เข้ามาช่วย เช่น เดียวกับที่ไปช่วยกริยาแท้ตัวอื่น ๆ เช่น
ประโยคบอกเล่า
Sam dares to work hard every day.
( แซมกล้าทำงานหนักทุก ๆ วัน )
ประโยคคำถาม
Does he dare to work hard every day?
( เขากล้าทำงานหนักได้ทุกวันหรือ? )
ประโยคปฏิเสธ
He doesn’t dare to work hard every day.
( เขาไม่กล้าที่จะทำงานหนักได้ทุกวัน )
9.2 ใช้อย่างกริยาช่วยมีหลักดังนี้
( a ) Dare ใช้อย่างกริยาช่วย กริยาตัวอื่นที่ตามหลังเป็น Infinitive Without “to” และ dare ที่นำมาใช้ตามความหมายนี้ ไม่ต้องเติม s แม้ประธานจะเป็นเอกพจน์ปัจจุบันกาล เช่น
We dare walk to school without a bus.
( เรากล้าเดินไปโรงเรียนโดยไม่มีรถประจำทาง )
( b ) Dare ที่ใช้อย่างกริยาช่วย เมื่อทำเป็นประโยคคำถามหรือปฏิเสธให้เอา dare ขึ้นไปไว้ต้นประโยคได้เลย เช่น
ประโยคบอกเล่า
John dare go to be near a snake.
( จอห์นกล้าเข้าไปใกล้งูได้ )
ประโยคคำถาม
Dare John go to be near a snake?
( จอห์นกล้าเข้าไปใกล้งูได้หรือไม่? )
ประโยคปฏิเสธ
John daren’t go to be near a snake.
( จอห์นไม่กล้า เข้าไปใกล้งูหรอก )
10. วิธีการใช้ Ought to
Ought to แปลว่า “ควรจะ” เป็นกริยาช่วยอย่างเดียว และมีรูปเดียว ( ไม่มีรูป Past ) แต่ถ้าต้องการจะใช้ Past ต้องตามด้วย Perfect Infinitive ( คือ ought + to have +Verb ช่อง 3 อนึ่ง ought to จะใช้ should ( ที่แปลว่า “ควรจะ” ) แทนก็ได้ แต่ความหมายของคำว่า “ควรจะ” อ่อนกว่านิดหน่อย การใช้มีดังนี้
10.1 ใช้แสดงถึงการกระทำอันเป็นหน้าที่หรือสมควรที่จะกระทำ เช่น
You ought to start your job at once. ( Present )
( คุณควรจะเริ่มงานของคุณเดี๋ยวนี้ได้แล้ว )
You ought to have told me that yesterday. ( Past )
( คุณควรจะได้บอกเรื่องนั้นให้ฉันรู้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ )
10.2 ใช้แสดงความคาดคะเนว่า น่าจะเป็นเช่นนั้น ๆ ได้ เช่น
Our team ought to win the match for today.
( ทีมของเราควรจะชนะการแข่งขันสำหรับวันนี้ )
10.3 เมื่อทำเป็นประโยคคำถามหรือปฏิเสธให้เอา ought ขึ้นไว้ต้นประโยคและหรือเติม not ข้างหลัง ought ได้ เช่น
He ought to forgive me for my fault.
( เขาควรจะให้อภัยฉันสำหรับความผิดของฉัน )
11. การใช้ Used to 
Used to แปลว่า “เคย” มีรูปเป็น Past Tense เพียงรูปเดียวจะนำ used to มาใช้ก็ต่อเมื่อกล่าวถึงการกระทำที่เป็นปกตินิสัยอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ในอดีต แต่ปัจจุบันการกระทำที่กล่าวถึงนั้นมิได้กระทำหรือเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะฉะนั้น used to จึงต้องใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นอดีตเสมอ การใช้มีดังต่อไปนี้
11.1 ใช้ used to + Verb 1 เสมอ เมื่อกล่าวถึงการกระทำที่เคยทำในอดีต เช่น
There used to be a cinema hall on this street.
( เคยมีโรงหนังบนถนนสายนี้ )
11.2 Used to เมื่อต้องการทำเป็นประโยคปฏิเสธให้ใช้ did not use to , never used to หรือ used not to + Verb 1 ได้ทั้งนั้น

-ขอบคุณข้อมูล https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/61206/-laneng-lan-

[NEW] คำถามแบบใช้คำถาม(Wh – Question) พร้อมแบบฝึกหัด | แต่ง ประโยค why – NATAVIGUIDES

คำถามชนิดนี้ขึ้นต้นประโยคด้วยคำที่เป็นคำถาม (question words) แล้วตามด้วยกริยา ซึ่งมีหลักการใช้เช่นเดียวกับคำถาม yes/no ที่กล่าวแล้ว ยกเว้นคำถามที่ใช้เป็นประธาน (subject) และส่วนสมบูรณ์ (complement) คำถามต่างๆ มีดังนี้
Who ใคร Whom ใคร Whose ของใคร
What อะไร
Which อันไหน คนไหน
Where ที่ไหน
When เมื่อไร
Why ทำไม
How อย่างไร
คำเหล่านี้ใช้ถามโดยที่ผู้ถามไม่มีข้อมูลอะไรเลย อยากจะได้คำตอบมาแทนคำที่ใช้ถามนั้นๆ ลักษณะโครงสร้างสำคัญของคำถามชนิดนี้ก็คือ วางคำเหล่านี้ไว้ต้นประโยค ซึ่งจะได้กล่าวถึงในรายละเอียดเป็นลำดับไป
Who (ใคร) ใช้ถามถึงบุคคล ทำหน้าที่เป็นประธานหรือส่วนสมบูรณ์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปประโยค หรือคำกริยาใดๆ มีโครงสร้างเช่นเดียวกับ ประโยคธรรมดา
ตัวอย่าง
Who is that?
นั้นใคร
Who is your teacher?
ใครเป็นครูของคุณ
Who told you the news about him?
ใครบอกคุณเกี่ยวกับข่าวของเขา
Who can answer these questions?
ใครสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้
Who won’t go there tomorrow?
พรุ่งนี้ ใครจะไม่ไปที่นั่น
Who is speaking?
ใครกำลังพูด
Whom (ใคร) ใช้ถามถึงบุคคล ทำหน้าที่เป็นกรรม (Object) ทั้งของกริยาและคำบุรพบท (Preposition) ใช้กริยาเช่นเดียวกับประโยคคำถาม Yes/No
ตัวอย่าง
Whom do you want to see?
คุณต้องการจะพบใคร
Whom does she love?
เธอรักใคร
Whom will she marry?
เธอจะแต่งงานกับใคร
Whom would you like to speak to?
คุณต้องการจะพูดกับใคร
Whom are we waiting for?
เรากำลังคอยใคร
With whom will you stay in Bangkok?
คุณจะพักอยู่กับใครในกรุงเทพฯ
Whose (ของใคร) ใช้ถามถึงเจ้าของของสิ่งนั้น ๆ คือแสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive) เป็นได้ทั้งสรรพนาม (Pronoun) และคุณศัพท์ (Adjec¬tive) คือใช้โดยลำพังหรือใช้ขยายคำอื่นก็ได้
ตัวอย่าง
Whose is this car?
รถคันนี้ของใคร
Whose are those books?
หนังสือโน้นเป็นของใคร
Whose work won the first prize?
ผลงานของใครชนะรางวัลที่หนึ่ง
Whose car is the most expensive?
รถของใครราคาแพงที่สุด
Whose address do you want to know?
คุณต้องการจะทราบที่อยู่ของใคร
Whose name doesn’t appear in the list?
ชื่อของใครไม่มีในบัญชี
What (อะไร) ใช้ถามถึงสิ่งของ สามารถใช้โดยลำพังเป็นสรรพนาม หรือขยายคำอื่นเป็นคุณศัพท์ก็ได้ และเป็นได้ทั้งประธาน ส่วนสมบูรณ์ และกรรม
ตัวอย่าง
What is your name?
คุณชื่ออะไร
What makes you come here?
อะไรทำให้คุณมาที่นี่
What do you feel about that?
คุณมีความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่างไร
What would you like to know?
คุณอยากจะทราบเรื่องอะไร
What time is it?
เวลาเท่าไร
What subjects should we take this term?
เทอมนี้เราจะเรียนวิชาอะไรบ้าง
What province are you from?
คุณมาจากจังหวัดอะไร
Which (อันไหน) ใช้ได้ทั้งกับบุคคลและสิ่งของ เป็นการถามแยกแยะให้ชัดเจนลงไปว่าคนไหน สิ่งไหน เป็นได้ทั้งสรรพนามและคุณศัพท์ และใช้ได้ทั้งประธานและกรรม
ตัวอย่าง
Which is better?
อันไหนดีกว่า
Which would you like to take?
คุณตองการจะรับอันไหน
Which bus can I take to get to the station?
ฉันจะนั้งรถเมล์คันไหนไปสถานีได้
Which of these ones do you think is correct?
ในบรรดาทั้งหลายเหล่านี้ คุณคิดว่าอันไหนถูกต้อง
Which person will get this position?
คนไหนจะรับตำแหน่งนี้
Which party should we vote for?
เราควรจะเลือกพรรคไหน
Which one do you like? the red or the back one?
คุณชอบอันไหน อันสีแดงหรือสีดำ
Where (ที่ไหน) ใช้ถามถึงสถานที่ เป็นคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) อาจใช้เป็นส่วนสมบูรณ์ได้เช่นกัน
ตัวอย่าง
Where is your house?
บ้านของคุณอยู่ที่ไหน
Where is the nearest post office?
ที่ทำการไปรษณีย์ที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน
Where are you from?
คุณมาจากไหน
Where should we go after class?
หลังจากเลิกเรียนแล้วเราควรไปที่ไหนกัน
Where did you buy this book?
คุณซื้อหนังสือเล่มนี้ที่ไหน
Where have you been?
คุณไปไหนมา
When (เมื่อไร) เป็นคำกริยาวิเศษณ์ ใช้ถามถึงเวลา และใช้เป็นส่วนสมบูรณ์ได้เช่นเดียวกับ where เป็นการถามถึงเวลาอย่างกว้างๆ
ตัวอย่าง
When is your birthday?
วันเกิดของคุณเมื่อไร
When will she leave for Hong Kong?
เธอจะออกเดินทางไปฮ่องกงเมื่อไร
When will we meet again?
เมื่อไรเราจะพบกันอีก
When does the first train arrive and depart?
รถไฟขบวนแรกมาถึงและออกเมื่อไร
When were you born?
คุณเกิดเมื่อไร
Why (ทำไม) เป็นคำกริยาวิเศษณ์ ใช้ถามถึงเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ตัวอย่าง   
Why are you always late for class?
ทำไมคุณจึงมาเรียนสายเป็นประจำ
Why is his work very popular in this city?
ทำไมผลงานของเขาจึงเป็นที่นิยมมากในเมืองนี้
Why will we go to visit that place?
ทำไมเราจึงจะไปเยี่ยมชมสถานที่นั้น
Why did she speak to him like that?
ทำไมเธอจึงพูดกับเขาเช่นนั้น
Why don’t you come along with us?
ทำไมคุณจึงไม่ไปกับพวกเรา
Why weren’t they allowed to go into that house?
ทำไมพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบ้านหลังนั้น
How (อย่างไร) เป็นคำกริยาวิเศษณ์ ใช้ถามถึงอาการหรือวิธี (Manner) ว่าเกิดเหตุการณ์นั้นๆ ได้อย่างไร อาจจะใช้โดยลำพัง คือขยายกริยาได้เลย หรือใช้ขยายคำคุณศัพท์หรือกริยาวิเศษณ์ตัวอื่นก็ได้ ฉะนั้นการใช้ how จึงอาจแยกย่อยได้อีกดังนี้
(1) ใช้ขยายกริยา to be เป็นการถามถึงอาการ เช่น
How are you today?
วันนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง
How are your parents?
คุณพ่อคุณแม่ของคุณสบายดีหรือ
How is the weather today?
วันนี้อากาศเป็นอย่างไร
How was the conference yesterday?
การสัมมนาเมื่อวานนี้เป็นอย่างไร
How is your English?
ภาษาอังกฤษของคุณเป็นอย่างไร
(2) ใช้ขยายกริยาอื่น ถามถึงวิธีของการกระทำนั้นๆ เช่น
How do you get to work?
คุณเดินทางไปทำงานอย่างไร
How do you spell your surname?
คุณสะกดนามสกุลของคุณอย่างไร
How can I start this machine?
ฉันจะติดเครื่องนี้ได้อย่างไร
How should we go to that place?
เราควรจะไปที่นั้นกันอย่างไร
How did he contact you yesterday?
เมื่อวานนี้เขาติดต่อคุณอย่างไร
(3) ใช้ขยายคำอื่น ซึ่งอาจเป็นคำคุณศัพท์หรือกริยาวิเศษณ์ก็ได้ มี ความหมายว่าเท่าไร เช่น
How old are you?
คุณอายุเท่าไร
How far is the airport from here?
สนามบินไกลจากที่นี่เท่าไร
How much are these?
เหล่านี้ราคาเท่าไร
How often did he visit you last year?
ปีที่แล้วเขามาเยี่ยมคุณบ่อยไหม
How fast can she type in English?
เธอพิมพ์ภาษาอังกฤษได้เร็วเท่าไร
How well do you speak Thai?
คุณพูดไทยได้ดีแค่ไหน
How tall is he?
เขาสูงเท่าไร
How long will they stay here?
พวกเขาจะพักกันอยู่ที่นี่นานเท่าไร
(4) ใช้กับ much และ many ซึ่งขยายนามอีกทีหนึ่ง มีความหมายว่า มากเท่าไร มีการใช้แตกต่างกันดังนี้ How much ใช้กับนามนับไม่ได้ (un¬countable) How many ใช้กับนามนับได้ (countable) และเป็นพหูพจน์
ตัวอย่าง
How much water is left in the jar?
มีนํ้ามากเท่าไรเหลืออยู่ในโอ่ง
How much sugar do you want for your coffee?
คุณต้องการนํ้าตาลมากเท่าไรสำหรับกาแฟของคุณ
How much beer do you take a day?
คุณดื่มเบียร์มากเท่าไรต่อวัน
How much money is there in your pocket?
ในกระเป๋าคุณมีเงินอยู่เท่าไร
How many members are there in your family?
ในครอบครัวของคุณมีสมาชิกอยู่กี่คน
How many brothers and sisters do you have?
คุณมีพี่น้องด้วยกันกี่คน
How many books has he written?
เขาเขียนหนังสือได้กี่เล่มแล้ว
For how many days will we be there?
เราจะอยู่ที่นั้นกันกี่วัน
ประโยคคำถามที่สร้างด้วยคำถามเหล่านี้ (question words) บางคำ อาจใช้แทนกันได้ และมีความหมายเหมือนเดิม คือสามารถใช้คำถามที่เป็น สรรพนาม (pronoun) หรือคุณศัพท์ (adjective) คือ what, which แทน คำถามที่เป็นกริยาวิเศษณ์ (adverb) คือ where, when, why, how ได้ บางคำอาจจะทำให้ความหมายเจาะจงหรือชัดเจนยิ่งขึ้น ตัวอย่างการแทนกริยา วิเศษณ์ด้วยคำสรรพนามหรือคุณศัพท์ ดังต่อไปนี้
-Where ถามถึงสถานที่ในความหมายกว้างๆ แต่ถ้าจะให้แคบ เข้าหรือเจาะจงสถานที่นั้นๆ ใช้ which หรือ what ขยายสถานที่นั้นๆ แทน เช่น
Where do you live?
คุณอาศัยอยู่ที่ไหน
= In which area do you live?
คุณอาศัยอยู่บริเวณไหน
Where will we go to visit?
เราจะไปเยี่ยมชมที่ไหน
= What place will we go to visit?
เราจะไปเยี่ยมชมสถานที่ไหน
Where are you from?
คุณมาจากไหน
= What country are you from?
คุณมาจากประเทศอะไร
-When ถามถึงเวลาโดยกว้างๆ ถ้าเจาะจงเวลานั้นๆ ลงไป ใช้ which หรือ what ขยายคำนามบอกเวลานั้นๆ เช่น
When was Bangkok founded?
กรุงเทพฯ ตั้งขึ้นเมื่อไหร่
= In which year was Bangkok founded?
กรุงเทพฯ ตั้งขึ้นปีไหน
When will we leave for Had Yai?
เราจะออกเดินทางไปหาดใหญ่เมื่อไร
= On what date will we leave for Hard Yai?
เราจะออกเดินทางไปหาดใหญ่วันที่เท่าไร
When does the shop open and close?
ร้านค้านี้เปิดและปิดเมื่อไร
= At what time does the shop open and close?
ร้านค้านี้เปิดและปิดเวลาเท่าไร
-Why ถามถึงจุดมุ่งหมายหรือเหตุผลโดยทั่วไป สามารถใช้ what หรือ what reason แทนได้ เช่น
Why should we go there?
ทำไมพวกเราจึงควรไปที่นั่น
= For what should we go there?
เพราะอะไร พวกเราจึงควรไปที่นั่น
Why do you apply for this job?
ทำไมคุณจึงสมัครงานนี้
= For what purpose do you apply for this job?
เพราะจุดประสงค์อะไร คุณจึงสมัครงานนี้
Why don’t you want to come with us?
ทำไมคุณจึงไม่อยากไปกับพวกเรา
= For what reason don’t you want to come with us?
เพราะเหตุผลอะไร คุณจึงไม่อยากไปกับพวกเรา
-How เฉพาะที่ถามถึงวิธีหรืออาการ ซึ่งใช้โดยลำพังเท่านั้น สามารถ ใช้ which หรือ what มาคู่กับ manner หรือ way แทนได้ เช่น     How can we go there?
เราจะไปที่นั้นได้อย่างไร
= By which manner can we go there?
เราจะไปที่นั้นกันได้โดยวิธีไหน
How do you play this instrument?
คุณเล่นเครื่องดนตรีนี้อย่างไร
= In what way do you play this instrument?
คุณเล่นเครื่องดนตรีนี้โดยวิธีไหน
How can I meet her?
ฉันจะพบเธอได้อย่างไร
= By what way can I meet her?
ฉันจะพบเธอได้วิธีใด
How do you fix this machine?
คุณซ่อมเครื่องนี้อย่างไร
= In what manner do you fix this machine?
คุณซ่อมเครื่องนี้โดยวิธีใด
การตอบคำถาม Wh-question
คำถามชนิดนี้ต้องการคำตอบเพื่อมาแทนคำที่ใช้ถามนั้น ส่วนจะหาคำอะไรมาตอบนั้น ก็อยู่ที่ว่าคำถามนั้นๆ ถามเกี่ยวกับอะไร คำถามชนิดนี้ตอบด้วย yes หรือ no ไม่ได้ การตอบคำถามชนิดนี้อาจจำแนกออกตามคำที่ใช้ถามได้ ดังต่อไปนี้
ถ้าถามด้วย Who, Whom, Whose จะต้องตอบด้วยบุคคล โดย ทำหน้าที่เป็นประธาน (subject) กรรม (object) และแสดงความเป็นเจ้าของ (possessive) ตามลำดับ
ตัวอย่าง

คำถาม

 

คำตอบ

Who is your teacher?

ครูของคุณเป็นใคร

 

Somchai is my teacher.

สมชายเป็นครูของฉัน

Who told you the news?

ใครบอกข่าวนี้ให้คุณ

 

My sister (did).

น้องสาวของฉันบอก

 

Whom would you like to see?

คุณต้องการจะพบใคร

 

I’d like to see Vichian.

ต้องการจะพบวิเชียร

 

Whom are we waiting for?

เรากำลังคอยใคร

 

We’re waiting for Nikom.

กำลังคอยนิคม

 

With whom will he stay in Bangkok?

เขาจะพักอยู่กับใครในกรุงเทพฯ

 

He’ll stay with his friend.

จะพักกับเพื่อนของเขา

 

Whose are these books?

หนังสือเหล่านี้เป็นของใคร

 

They are Subin’s.

เป็นของคุณสุบิน

 

Whose car runs faster?

รถของใครวิ่งได้เร็วกว่ากัน

 

Virat’s does. (Virat’s car runs faster.)

รถของวิรัตน์

 

Whose work do you want to read?

คุณต้องการจะอ่านงานของใคร

 

I want to read Sharda’s work.

ฉันต้องการจะอ่านงานของคุณชาร์ดา

 

-ถ้าถามด้วย What ต้องตอบด้วยสิ่งของ หรือสิ่งอื่นที่ไม่ใช่บุคคล ซึ่งอาจจะเป็นประธานหรือกรรมก็ได้
ตัวอย่าง

คำถาม

คำตอบ

What is your name?

คุณชื่ออะไร

 

My name is Pin Panna.

ฉันชื่อปิ่น ปันนา

 

What do you want to drink?

คุณต้องการจะดื่มอะไร

 

I want beer.

ฉันต้องการเบียร์

 

What time is it?

เวลาเท่าไร

 

It’s three twenty. (3:20)

เวลา 3 โมง 20 นาที

 

What subjects would you like to take?

คุณต้องการเรียนวิชาอะไรบ้าง

 

I want to take Translation and Writing.

ต้องการเรียนการแปลและการเขียน

 

What makes you come again?

อะไรทำให้คุณกลับมาอีก

 

Your kindness does.

ความกรุณาของคุณนั้นเอง

 

-ถ้าถามด้วย Which ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งสิ่งของและบุคคล จึงตอบได้ทั้งสองอย่าง ส่วนจะเป็นอะไรก็ต้องดูที่ความหมาย บางครั้งอาจจะมีตัวเลือกไว้ให้ด้วยก็ได้ และอาจจะเป็นได้ทั้งประธานและกรรม

ตัวอย่าง

คำถาม

คำตอบ

Which is better?

อันไหนดีกว่า

 

The small one is.

อันเล็กดีกว่า

 

Which bus can I take to go there?

ฉันจะนั้งรถเมล์คันไหนไปที่นั้นได้

 

The red one.

คันสีแดง

 

Which person is suitable for the post?

คนไหนเหมาะสมกับตำแหน่งนี้

 

Thawee is.

ทวีเหมาะสม

Which one would you like?

The Seiko, the Rado or the Mido?

คุณต้องการยี่ห้อไหน ไซโก้ ราโด้ หรือมิโด้

 

The Mido.

ต้องการมิโด้

 

-ถ้าถามด้วย Where ต้องตอบด้วยสถานที่ ซึ่งเป็นกริยาวิเศษณ์
บอกสถานที่ (Adverb of Place)
ตัวอย่าง

คำถาม

คำตอบ

Where is your house?

บ้านของคุณอยู่ที่ไหน

 

It is on Ramintra Road, Bangkapi.

อยู่ถนนรามอินทรา บางกะปิ

 

Where do you live?

คุณอาศัยอยู่ที่ไหน

I live at 108/219 Ramintra Road, Minburi.

ที่บ้านเลขที่ 108/219 ถนนรามอินทรา มีนบุรี

 

Where did you buy this book?

คุณซื้อหนังสือเล่มนี้ที่ไหน

 

I bought it at the supermarket.

ซื้อที่ศูน์การค้า

 

Where are they from?

พวกเขามาจากไหน

 

They are from India.

มาจากอินเดีย

 

Where will we go today?

วันนี้ เราจะไปที่ไหนกัน

 

To the temple.

ไปวัด

 

-ถ้าถามด้วย When ด้องตอบด้วยเวลา ซึ่งเป็นกริยาวิเศษณ์บอก เวลา (Adverb of Time) จะตอบอย่างกว้างๆ หรือเวลาเจาะจงนั้น ก็อยู่ที่จุดมุ่งหมายของคำถามว่าเน้นอย่างไร

ตัวอย่าง

คำถาม

คำตอบ

When was the pagoda built?

เจดีย์องค์นี้สร้างเทื่อไร

It was built in the Ayuthya period.

สร้างสมัยอยุธยา

When will the show start and finish?

การแสดงจะเริ่มขึ้นเมื่อไรและเลิกเมื่อไร

It will start at three and finish at six.

จะเริ่มบ่าย 3 โมง และเบิกบ่าย 6 โมง

When did the accident take place?

อุบัติเหตุเกิดขึ้นเมื่อไร

It took place on July 25.

เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม

When do you plan to have a party?

คุณวางแผนจะจัดงานเลี้ยงเมื่อไร 

 

Next Sunday.

วันอาทิตย์หน้า

-ถ้าถามด้วย Why ต้องตอบด้วยเหตุผลหรือจุดประสงค์ของเหตุการณ์นั้นๆ โดยนำด้วย because (เพราะว่า) สำหรับบอกเหตุผล หรือนำด้วย to หรือ for (เพื่อ, สำหรับ) สำหรับบอกถึงจุดประสงค์

ตัวอย่าง

คำถาม

คำตอบ

Why will we go to visit that place?

ทำไมเราจึงจะไปเยี่ยมชมสถานที่นั้น

 

Because it is very intresting.

เพราะว่ามันน่าสนใจมาก

Why don’t you come with us?

ทำไมคุณจึงไม่ไปกับพวกเรา

Because I’m very busy.

เพราะฉันมีงานยุ่ง

Why did you come last night?

เมื่อคืนนี้คุณมาทำไม

I came to meet her.

ฉันมาเพื่อจะได้พบเธอ

Why was the ceremony held?

ทำไมจึงจัดงานขึ้น

To congratulate him.

เพื่อแสดงความยิยดีกับเขา

Why is she decorating her house?

เธอกำลังตกแต่งบ้านทำไม

For her birthday party.

            เพื่องานวันเกิดของเธอ

 

-ถ้าถามด้วย How ตอบได้หลายวิธี เพราะมีจุดประสงค์ในการถามแตกต่างกัน ซึ่งมีรูปประโยคต่างๆ กันดังกล่าวแล้ว ฉะนั้น การตอบจึงแตกต่างกันดังนี้
(1)ถ้าถามใช้ How โดยลำพังขยายกริยา to be มีความหมายถึง อาการหรือสภาพ ถ้าขยายกริยาอื่น ถามถึงวิธี ฉะนั้น ในการตอบ จะต้องบอกถึงสภาพอาการ หรือวิธีต่างๆ
ตัวอย่าง

คำถาม

คำตอบ

How are you today?

วันนี้คุณเป็นอย่างไร

I am very well.

ฉันสบายดี

How is his English?

ภาษาอังกฤษของเขาเป็นอย่างไร

It’s very good.

ดีมากเลย

How did the accident occur?

อุบัติเหตุเกิดขึ้นอย่างไร

The bus ran over the boy.

รถเมล์วิ่งทับเด็ก

How can I start the machine?

ฉันจะติดเครื่องนี้อย่างไร

Press this button.

กดปุ่มนี้

How do you go to school?

คุณไปโรงเรียนอย่างไร

I go by bus.

ไปโดยรถเมล์

(2) ถ้าใช้ How ขยายคำอื่นคือคุณศัพท์หรือกริยาวิเศษณ์ เป็นการถามถึงปริมาณหรือขนาด ฉะนั้นจะต้องตอบเป็นปริมาณหรือขนาด
ตัวอย่าง

คำถาม

คำตอบ

How old are you?

คุณอายุเท่าไร

 

I’m forty years old.

ฉันอายุ 40 ปี

 

How tall is she?

เธอสูงเท่าไร

 

She’s 1.50 m.

เธอสูง 1.50 เมตร

 

How much is the ticket?

ตั๋วราคาเท่าไร

 

It’s 100 baht.

ราคา 100 บาท

 

How long will you stay here?

คุณจะพักอยู่ที่นี่นานเท่าไร  

 

For about a week.

ประมาณ 1 สัปดาห์

 

How often do you visit the family?

คุณไปเยี่ยมครอบครัวบ่อยไหม

Once a year.

ปีละครั้ง

 

How much sugar do you want?

คุณต้องการนํ้าตาลมากไหม

 

Two spoons.

ต้องการ 2 ช้อน

 

How much salary does she have?

เธอมีเงินเดือนมากเท่าไร

 

10,000 baht.

หมื่นบาท

 

How many students are there in your class?

ในห้องเรียนของคุณมีนักเรียนกี่คน

 

About 70.

ประมาณ 70 คน

 

How many books have you written so far?

คุณเขียนหนังสือได้กี่เล่มแล้ว

 

More than 20.

มากกว่า 20 เล่มแล้ว

 

How many days did he work here?

เขาทำงานที่นี่กี่วัน

 

For nearly 20 days.

เกือบ 20 วัน

 

แบบฝึกหัด
จงสร้างประโยคคำถามแบบ Wh-question สำหรับคำตอบต่อไปนี้
ตัวอย่าง
It is a book, (what)
= What is it?
I want to borrow you 300 baht, (how much)
= How much do you want to borrow me?
1. He is my teacher, (who)
……………………………………………………………………..
2. I wrote a letter to my father last night, (whom)
……………………………………………………………………..
3. That car is Thawee’s. (whose)
……………………………………………………………………..
4. It belongs to me. (whom)
……………………………………………………………………..
5. She will take the red one. (which)
……………………………………………………………………..
6. Your word made her cry yesterday, (what)
……………………………………………………………………..
7. They are doing their exercises in the room, (what)
……………………………………………………………………..
8. They apply to study at Krirk. (where)
……………………………………………………………………..
9. The midterm examination will take place in August, (when)
……………………………………………………………………..
10. I came here to meet you. (why)
……………………………………………………………………..
11. We were very late because it rained, (why)
……………………………………………………………………..
12. We can go there by train, (how)
……………………………………………………………………..

13. This pen is 500 baht, (how much)
……………………………………………………………………..
14. He comes to take class four days a week, (how often)
……………………………………………………………………..
15. There are about 60 students in my class, (how many)
……………………………………………………………………..
ที่มา:ดร.สวาสดิ์  พรรณา

(Visited 358,821 times, 10 visits today)


แต่งประโยคคำถาม ภาษาอังกฤษ ด้วยคำว่า Why แปลว่า ทำไม


นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

แต่งประโยคคำถาม ภาษาอังกฤษ ด้วยคำว่า Why แปลว่า ทำไม

ฝึกแต่งประโยค | ไว้พูดเองในชีวิตประจำวัน | 12 ประโยคสำเร็จรูป 100 ประโยค | @เรียนง่ายภาษาอังกฤษ


เรียนภาษาอังกฤษ ฝึกพูดภาษาอังกฤษ เก่งภาษาอังกฤษ
ฝึกแต่งประโยคภาษาอังกฤษจาก 12 โครงสร้างประโยคสำเร็จรูปสามารถแต่งเองได้เป็น 100 ประโยคสอนละเอียดไปชัด

ฝึกแต่งประโยค | ไว้พูดเองในชีวิตประจำวัน | 12 ประโยคสำเร็จรูป 100 ประโยค | @เรียนง่ายภาษาอังกฤษ

การแต่งประโยค ป.1


สื่อการสอนเรื่อง การแต่งประโยค
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1

การแต่งประโยค ป.1

(Live)สอนแต่งประโยคเกาหลี+ทริค ! II ภาษาเกาหลีน่ารู้


เนื่องจากเป็น ไลฟ์สด (Live) สอนหน้าเพจนะคะ ดังนั้นจะมีการพูดคุยกับลูกเพจอยู่นะคะ ฉะนั้นใครที่ดูในนี้ ไม่อยากฟังช่วงที่คุย สามารถกดข้ามๆ ได้เลยจ้า
จำหน่ายหนังสือสรุปเกาหลี รับสอนภาษาเกาหลีคอร์สออนไลน์อยู่น้า (คอร์สเรียนไวยากรณ์ / ปูพื้นฐาน /คอร์สฝึกแต่งประโยค/ คอร์สติวสอบ / คอร์สฟังพูด (เปิดเป็นรอบนะคะ) )

🌟สนใจเรียนหรือสั่งซื้อหนังสือสรุปติดต่อได้ที่
Inbox เพจภาษาเกาหลีน่ารู้
Line : https://line.me/R/ti/p/%40koreanbypie​ / @koreanbypie (มี@)
Twitter : @pasakaoleenaru
Instagram : Pasakaoleenaru

🌟 รับสอนภาษาเกาหลีเริ่มต้น 5901,250 บาท
🌟 ผู้สอนจบเอกภาษาเกาหลีและโททางด้านเกาหลี
🌟 รีวิวนักเรียน : https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1822543627890182\u0026id=362306267247266

ไม่อนุญาตให้นำไปใช้เชิงพาณิชย์
ไม่อนุญาตนำรูปไปใช้รีโพสใหม่ในเพจอื่น
ไม่อนุญาตให้คัดลอก ดัดแปลง
PATเกาหลี​ ภาษาเกาหลี​ เรียนภาษาเกาหลี​ พูดเกาหลี

(Live)สอนแต่งประโยคเกาหลี+ทริค ! II ภาษาเกาหลีน่ารู้

ฝึกแบบนี้ พูดได้ไม่รู้ตัว!!!


You have to หรือ
You have to be
แต่งประโยค ใช้ยังไง?
พื้นฐานน้อยมาก อยากพูดเป็น ฝึกที่นี่ !
____________
➟ 🇬🇧 คอร์สภาษาอังกฤษ 🇬🇧 www.englishfitandfirm.net
➟ ตัวอย่างสไตล์การสอนครูส้ม
https://www.youtube.com/watch?v=bwu778BTcMw\u0026list=PLQDByO7h40Pr3mGPhfHzruLF2zQdmII5\u0026ab_channel=EnglishFitandFirm
➟ คลิปบทเรียนสั้นๆสไตล์ครูส้ม
⟿ ✨Facebook:
https://www.facebook.com/EnglishFitandFirm/
⟿ ✨IG:
https://www.instagram.com/eng_som_o/?hl=en
⟿ ✨YouTube:
https://www.youtube.com/channel/UCKoHHFMpTvk84IdG3GoNnfQ

ฝึกแต่งประโยค คิดภาษาอังกฤษ เรียนเพื่อสื่อสาร

ฝึกแบบนี้ พูดได้ไม่รู้ตัว!!!

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่MAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ แต่ง ประโยค why

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *