Skip to content
Home » [NEW] หลักการใช้คอมม่า (Comma) ในภาษาอังกฤษ | เครื่องหมายในภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

[NEW] หลักการใช้คอมม่า (Comma) ในภาษาอังกฤษ | เครื่องหมายในภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

เครื่องหมายในภาษาอังกฤษ: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

คอมม่า (,) เป็นเครื่องหมายวรรคตอนที่ใช้บ่อยในภาษาอังกฤษ แต่ถึงแม้จะถูกใช้บ่อย หลายๆคนก็ยังคงสับสนอยู่ดี ว่าเราควรใช้คอมม่าตอนไหนและต้องใช้อย่างไรบ้าง

สำหรับคนที่สงสัย ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงเนื้อหาการใช้คอมม่าในภาษาอังกฤษ มาให้เพื่อนๆได้เรียนรู้กันได้อย่างง่ายๆแล้ว ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

Table of Contents

คอมม่าคืออะไร

คอมม่า (comma) เป็นเครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอังกฤษ ทำหน้าที่แยกคำ วลี หรือประโยค เพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านจับใจความได้ง่ายและถูกต้องมากขึ้น

ถ้าเปรียบเทียบคอมม่ากับเครื่องหมายจุด (.) ที่ใช้ปิดท้ายประโยค หรือที่เรียกว่า period เครื่องหมายทั้ง 2 ตัวนี้จะเป็นตัวบอกการเว้นจังหวะในการอ่านและพูดเหมือนกัน แต่เครื่องหมายคอมม่าจะเป็นตัวบอกจังหวะการเว้นที่สั้นกว่า

หลักการใช้คอมม่า

ใครที่มีข้อสงสัยว่าเราต้องใช้คอมม่าในกรณีไหนและต้องใช้ยังไงบ้าง ก็ไปดูหลักการใช้คอมม่าทั้ง 11 ข้อกันเลย

1. ใช้คอมม่าหน้าคำเชื่อมที่เชื่อม independent clause

Independent clause (ประโยคใจความสมบูรณ์) คือประโยคที่มีทั้งประธานและคำกริยา ตัวประโยคจะมีใจความสมบูรณ์ในตัวมันเอง เช่น

I am a student. (ฉันเป็นนักเรียน) – ถือเป็น independent clause เพราะมีทั้งประธานและคำกริยา
Feel good (รู้สึกดี) – ไม่ใช่ independent clause เพราะไม่มีประธาน
Big black cat (แมวสีดำตัวใหญ่) – ไม่ใช่ independent clause เพราะไม่มีคำกริยา

ส่วนคำเชื่อมในที่นี้จะต้องเป็น coordinating conjunction ซึ่งก็คือคำเชื่อมที่ให้น้ำหนักกับ 2 สิ่งที่ถูกเชื่อมเท่าๆกัน โดยอาจใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยคก็ได้ coordinating conjunction มีทั้งหมด 7 ตัวคือ for, and, nor, but, or, yet, so (เมื่อนำอักษรแรกมาต่อกันจะได้เป็น FANBOYS ใช้ช่วยให้ท่องจำได้ง่ายขึ้น)

หากเราเชื่อม independent clause 2 ประโยคด้วย coordinating conjunction เราจะต้องใช้คอมม่าหน้า coordinating conjunction

โครงสร้างการใช้

independent clause + , + coordinating conjunction + independent clause

ตัวอย่างประโยค

He didn’t speak to anyone, and nobody spoke to him.
เขาไม่ได้พูดกับใคร และก็ไม่มีใครพูดกับเขา

I wanted to stay home, but my wife wanted to go shopping.
ฉันอยากอยู่บ้าน แต่ภรรยาของฉันอยากไปช้อปปิ้ง

เราจะไม่ใช้คอมม่า ถ้าข้างหน้าหรือข้างหลัง coordinating conjunction ไม่ใช่ independent clause

She brushed her teeth and washed her face.
เธอแปรงฟันและล้างหน้า
(washed her face ไม่ใช่ independent clause)

I am not a writer but an editor.
ฉันไม่ใช่นักเขียน แต่เป็นบรรณาธิการ
(an editor ไม่ใช่ independent clause)

2. ใช้คอมม่าเมื่อขึ้นต้นประโยคด้วย dependent clause

Dependent clause คือประโยคที่มีใจความไม่สมบูรณ์ เวลาใช้จะต้องใช้ร่วมกับประโยคอื่น ในที่นี้เราจะแบ่งออกเป็น 3 กรณี

1. Participial phrase

เมื่อประโยคขึ้นต้นด้วยวลีจำพวก participial phrase ซึ่งก็คือวลีที่ขึ้นต้นด้วย v. + ing หรือ v. ช่อง 3 เราจะต้องใช้คอมม่าคั่นหลังวลีนั้น

โครงสร้างการใช้

participial phrase + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Being the only son in the family, his family have high hopes for him.
ด้วยการที่เขาเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัว ครอบครัวของเขาจึงตั้งความหวังกับเขาไว้สูง

Bitten by my own dog, I was very disappointed.
การโดนกัดโดยหมาของตัวเองทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังมาก

2. Adverbial phrase

แต่ถ้าประโยคขึ้นต้นด้วย adverbial phrase ซึ่งก็คือวลีที่ทำหน้าที่เป็น adverb เราอาจใช้คอมม่าหรือไม่ใช้ก็ได้ (ถ้า adverbial phrase ยาว หรือเราต้องการเน้น adverbial phrase นั้น เราจะนิยมใช้คอมม่า)

ตัวอย่าง adverbial phrase เช่น
At 6 o’clock
After the show
In the middle of Bangkok

โครงสร้างการใช้

adverbial phrase + (,) + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

In 2020 there is a pandemic affecting the world.
ในปี 2020 มีโรคระบาดที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก

When I was six, I lived in Chiang Mai with my mom.
ตอนฉันอายุหกขวบ ฉันอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่กับแม่ของฉัน

3. Sentence adverb

ถ้าประโยคขึ้นต้นด้วย sentence adverb ซึ่งก็คือคำจำพวก adverb ที่ทำหน้าที่ขยายทั้งประโยค เราจะใช้คอมม่าคั่นหลัง sentence adverb นั้น

โครงสร้างการใช้

sentence adverb + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Honestly, I am not angry.
ตรงๆเลยนะ ฉันไม่ได้โกรธ

Clearly, this plan isn’t working.
เห็นได้ชัดว่าแผนนี้ใช้ไม่ได้ผล

3. ใช้คอมม่าคั่นวลีหรือคำกลางประโยคที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม

เราจะใช้คอมม่าคั่นวลีหรือคำที่อยู่กลางประโยค ถ้าวลีหรือคำนั้นทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม แต่ไม่ได้จำเป็นสำหรับประโยค (แม้ตัดออกไป ใจความหลักของประโยคก็ยังเหมือนเดิม)

โครงสร้างการใช้

ประโยคส่วนที่ 1 + , + วลี/คำที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม + , + ประโยคส่วนที่ 2

ตัวอย่างประโยค

Tim, unlike Joe, is very polite.
ทิมเป็นคนสุภาพมาก ไม่เหมือนกับโจ

King Crab restaurant, which Anne recommended, is fantastic.
ร้านอาหารคิงแครบที่แอนแนะนำนั้นดีมาก

แต่ถ้าวลีหรือคำนั้นจำเป็นสำหรับประโยค ถ้าตัดออกแล้วใจความเปลี่ยน เราก็จะไม่ใช้คอมม่า

People who exercise regularly tend to be more happy.
คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอมักจะมีความสุขมากกว่า
(ถ้าตัด who exercise regularly ทิ้ง ความหมายจะเปลี่ยนเป็น “คนจะมีความสุขมากกว่า” ซึ่งมีใจความผิดไปจากเดิม)

The restaurant that Anne recommended is fantastic.
ร้านอาหารที่แอนแนะนำนั้นดีมาก
(ถ้าตัด that Anne recommended ทิ้ง ความหมายจะเปลี่ยนเป็น “ร้านอาหารดีมาก” ซึ่งมีใจความผิดไปจากเดิม คือเราจะไม่รู้ว่าหมายถึงร้านไหน)

วลีที่ขึ้นต้นด้วย that มักจะจำเป็นสำหรับประโยค เรามักจะไม่ใช้คอมม่าครอบส่วนนั้น

4. ใช้คอมม่าแยกรายการคำตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป

ถ้าเรามีรายการคำตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป เราจะต้องคั่นแต่ละรายการด้วยคอมม่า ยกเว้นรายการสุดท้าย เราจะคั่นด้วยคอมม่าหรือไม่ก็ได้

โครงสร้างการใช้

รายการหนึ่ง, รายการสอง(,) and รายการสุดท้าย

ตัวอย่างประโยค

He is tall, dark, and handsome.
หรือ He is tall, dark and handsome.
เขาทั้งสูง เข้ม และหล่อ

She needs salt, pepper, and other seasonings at the grocery store.
หรือ She needs salt, pepper and other seasonings at the grocery store.
เธอต้องการเกลือ พริกไทย และเครื่องปรุงอย่างอื่นที่ร้านขายของ

5. ใช้คอมม่าคั่นระหว่าง coordinate adjectives

Coordinate adjectives คือคำคุณศัพท์ที่ขยายคำนามคำเดียวกันและมีความสำคัญเท่าๆกัน สามารถสลับที่กันได้ ตัวอย่างเช่น

เราสามารถใช้ได้ทั้ง long, narrow path
และ narrow, long path
คำว่า long และ narrow ในที่นี้จะถือเป็น coordinate adjectives

เราสามารถใช้ big black bear
แต่ไม่สามารถใช้ black big bear
คำว่า big และ black ไม่ถือเป็น coordinate adjectives (การใช้ adjective ขนาดจะต้องมาก่อนสี)

โครงสร้างการใช้

coordinate adjective 1 + , + coordinate adjective 2 + คำนาม

ตัวอย่างประโยค

The happy, lively cat is playing with the ball.
แมวที่มีความสุขสดใสกำลังเล่นกับลูกบอล

My roommate is a cheerful, kind girl.
รูมเมทของฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่ร่าเริงและใจดี

ทั้งนี้ เราสามารถใช้ and เชื่อมระหว่าง coordinate adjectives แทนคอมม่าก็ได้เช่นกัน อย่างเช่น My roommate is a cheerful and kind girl.

6. ใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำพูดกับวลีที่กำกับ

ในภาษาอังกฤษ เวลาเราเขียนประโยคที่เป็นคำพูด เราจะใช้เครื่องหมาย “-” ครอบประโยคคำพูดนั้น อย่างเช่น Anne said, “I feel sick.” ซึ่งแปลว่า แอนพูดว่า “ฉันรู้สึกป่วย”

สังเกตว่า เราจะใช้คอมม่าคั่นระหว่างวลีที่เข้ามากำกับ ซึ่งก็คือ Anne said และประโยคที่เป็นคำพูด ซึ่งก็คือ “I feel sick.”

ทั้งนี้ วลีที่กำกับนั้นอาจจะอยู่หน้า อยู่กึ่งกลาง หรืออยู่หลังประโยคที่เป็นคำพูดก็ได้

โครงสร้างการใช้

  • วลีกำกับ, “ประโยคคำพูด”
  • “ประโยคคำพูด,” วลีกำกับ, “ประโยคคำพูด”
  • “ประโยคคำพูด,” วลีกำกับ

ตัวอย่างประโยค

He answered, “She is not here.”
เขาตอบ “เธอไม่ได้อยู่ที่นี่”

“I think,” she said, “Joe can help.”
“ฉันคิดว่า” เธอพูด “โจสามารถช่วยได้”

“It is raining,” Tim said.
“ฝนกำลังตก” ทิมพูด

ในกรณีที่วลีกำกับอยู่ข้างหลังประโยคคำพูด ถ้าประโยคคำพูดลงท้ายด้วยเครื่องหมายตกใจ (!) หรือเครื่องหมายคำถาม (?) เราจะไม่ต้องใช้คอมม่า

“Stop playing video game!” mom yelled.
“หยุดเล่นเกมได้แล้ว” แม่ตวาด

“Are you alright?” Ben asked.
“คุณโอเคมั้ย” เบ็นถาม

บางคนอาจสงสัยว่า เราต้องใส่คอมม่าไว้ในหรือนอกเครื่องหมาย “-” ทำไมบางทีเห็นแต่ละที่ใช้ไม่เหมือนกัน

คำตอบก็คือถ้าเป็น American English จะนิยมเอาไว้ข้างใน เช่น “It is raining,” Tim said. แต่ถ้าเป็น British English จะนิยมเอาไว้ข้างนอก เช่น “It is raining”, Tim said.

7. ใช้คอมม่าในการแยกวันที่และสถานที่

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างวันและปีเมื่อเราเขียนวันที่ในรูปแบบ เดือน-วันที่-ปี แต่ถ้าเราเขียนในรูปแบบ วันที่-เดือน-ปี เราจะไม่ต้องใช้คอมม่า

โครงสร้างการใช้

เดือน วันที่, ปี

ตัวอย่างประโยค

She was born on December 10, 1995.
เธอเกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1995

She was born on 10 December 1995.
เธอเกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1995

และใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำบอกสถานที่ที่ต่างกัน เช่น เมือง จังหวัด รัฐ ประเทศ

โครงสร้างการใช้

  • ชื่อตำบล, ชื่อเขต, ชื่อจังหวัด, ชื่อประเทศ
  • ชื่อเมือง, ชื่อรัฐ, ชื่อประเทศ

ตัวอย่างประโยค

I live in Bangkok, Thailand.
ฉันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย

He came from Chicago, Illinois.
เขามาจากเมืองชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์

8. ใช้คอมม่าหน้า question tag

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างประโยคหลักกับ question tag

โครงสร้างการใช้

ประโยคหลัก + , + question tag

ตัวอย่างประโยค

These flowers are beautiful, aren’t they?
ดอกไม้เหล่านี้สวยมาก ว่ามั้ย

You didn’t forget the key, did you?
คุณไม่ได้ลืมกุญแจใช่มั้ย

9. ใช้คอมม่าเมื่อเรียกบุคคลโดยตรง

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำเรียกบุคคลอื่นกับส่วนอื่นของประโยค เมื่อเราเรียกบุคคลนั้นโดยตรง

โครงสร้างการใช้

  • ประโยคหลัก + , + คำเรียกบุคคล
  • คำเรียกบุคคล + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Dad, where are you?
พ่ออยู่ไหน

See you later, John.
ไว้เจอกันใหม่นะจอห์น

10. ใช้คอมม่าหลังคำขึ้นต้นประโยค

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำขึ้นต้นประโยคกับประโยคหลัก อย่างเช่น คำทักทาย yes/no

โครงสร้างการใช้

  • คำทักทาย + , + ประโยคหลัก
  • yes/no + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Hello, how is it going?
สวัสดี เป็นยังไงบ้าง

Yes, I live by myself.
ใช่ ฉันอยู่คนเดียว

11. ใช้คอมม่าเพื่อป้องกันการสับสน

เราจะใช้คอมม่าในประโยคที่อาจก่อให้เกิดความสับสนหรือความเข้าใจผิดแก่ผู้อ่าน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายได้ถูกต้องมากขึ้น

ตัวอย่างประโยค

I waved at my friend who entered the canteen, and smiled.
ฉันโบกมือให้เพื่อนที่เข้ามาในโรงอาหาร และยิ้มให้เค้า
(คอมม่าทำให้เรารู้ว่าฉันเป็นคนยิ้ม ไม่ใช่เพื่อนยิ้ม)

เป็นยังไงบ้างครับกับหลักการใช้เครื่องหมายคอมม่า (comma) ในภาษาอังกฤษ ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจและสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องมากขึ้นแล้วนะครับ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time

[NEW] การใช้ Such as, E.g., I.e., For example, For instance และ Ex เพื่อยกตัวอย่างในภาษาอังกฤษ | เครื่องหมายในภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

การเขียนบทความ เรื่องราว จดหมาย ข้อความ หรือเรื่องประเภทอื่น ๆ  หลายครั้งที่เราต้องยกตัวอย่างขึ้นมาประกอบ เพื่อให้เข้าใจความหมายได้ดียิ่งขึ้น ในภาษาอังกฤษ มีคำที่ใช้เพื่อบอกว่าตัวอย่างของสิ่งที่เรากล่าวไปแล้วข้างต้นนั้น มีตัวอย่างอะไรบ้าง ความหมายของคำเหล่านี้จะหมายถึง ตัวอย่างเช่น เช่น ได้แก่ นั่นคือ กล่าวคือ บทความนี้จะกล่าวถึงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่ใช้เพื่อในประโยคที่ต้องการยกตัวอย่างมาประกอบ ได้แก่คำว่า

  • Such as
  • E.g
  • I.e.
  • For example
  • For instance
  • Ex.

Such as

  • Such as หมายถึง ได้แก่ หรือ ตัวอย่างเช่น
  • ใช้ในประโยคภาษาอังกฤษ เมื่อต้องการยกตัวอย่าง

ตัวอย่างเช่น

English is spoken in many countries, such as England, Australia and Canada.
ภาษาอังกฤษใช้พูดกันในหลายประเทศ ตัวอย่างเช่น ประเทศอังกฤษ ออสเตรเรีย และแคนาดา

Foods such as noodles and curry are my favorite meals.
อาหาร เช่น ก่วยเตี๋ยวและแกงกะหรี่ เป็นอาหารที่ฉันชื่นชอบ

Countries such as Sweden have a long record of welcoming refugees from all over the world.
ประเทศ เช่น สวีเดน มีประวัติอันยาวนานในการรับผู้ลี้ภัยจากทั่วโลก

I like tropical fruits, such as durians, jackfruits and mangoes
ฉันชอบผลไม้เมืองร้อน เช่น ทุเรียน ขนุน และมะม่วง

รูปแบบการใช้

1. ใช้ในประโยคภาษาอังกฤษเมื่อต้องการยกตัวอย่าง
2. Such as + noun (Such as ตามด้วยคำนาม หรือกลุ่มคำ(วลี))
3. หลังคำว่า such as ไม่ต้องมีเครื่องหมายคอมม่า
4. ก่อนหน้าคำว่า such as ในบางประโยคต้องมีเครื่องหมายคอมม่า บางประโยคไม่ต้องมี เป็นเรื่องของ Restrictive Clause

4.1 ประโยคที่ไม่ต้องมีเครื่องหมายคอมม่าก่อนหน้าคำว่า such as
ถ้า such as ใช้อธิบายคำนาม หรือสรรพนาม ซึ่งมักจะเป็นคำเดี่ยว ๆ กรณีนี้ไม่ต้องมี คอมม่าก่อนหน้าคำว่า such as

ตัวอย่างประโยค

Foods such as noodles and curry are my favorite meals.
อาหาร เช่น ก๋วยเตี๋ยว และแกงกระหรี่ เป็นมื้อโปรดของฉัน

จากตัวอย่าง such as noodle and curry are my favorite meals. ใช้เพื่ออธิบายคำว่า “foods” ซึ่งเป็นคำนามเพียงคำเดียว ในกรณีนี้ไม่ต้องมีเครื่องหมายคอมม่าก่อนหน้าคำว่า such as

4.2 ประโยคที่ต้องมีเครื่องหมายคอมม่าอยู่หน้า such as
การใช้ such as ในรูปแบบนี้เป็นการใช้ sush as เพื่อยกตัวอย่างประกอบประโยคที่กล่าวไปข้างต้น ไม่ใช่ คำนามเดี่ยว ๆ

ตัวอย่างประโยค

English is spoken in many countries, such as England, Australia and Canada.
ภาษาอังกฤษใช้พูดกันในหลายประเทศ ตัวอย่างเช่น ประเทศอังกฤษ ออสเตรเรีย และแคนาดา

จากตัวอย่าง such as England, Australia and Canada ใช้ยกตัวอย่างประกอบ ประโยคที่กล่าวไปข้างต้นคือ English is spoken in many countries

ป.ล. ควรศึกษาเรื่อง Restrictive Clause เพิ่มเติม

E.g.

  • E.g. หมายถึง เช่น หรือ ตัวอย่างเช่น
  • E.g. เป็นตัวย่อจากภาษาละตินของคำว่า ‘exempli gratia’ ซึ่งความหมายตรงกับภาษาอังกฤษกับคำว่า “for example”
  • ใช้เพื่อยกตัวอย่าง สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นว่ามีอะไรบ้าง

ตัวอย่างเช่น

I love to eat vegetables, e.g., carrots, morning glory, and broccoli.
ฉันชอบกินผัก ตัวอย่างเช่น แครอท ผักบุ้ง และบล็อกโคลี่

In this building, you’re allowed to have pets, e.g. cats and dogs.
ในตึกนี้ คุณได้รับอนุญาติให้เลี้ยงสัตว์ได้ เช่น แมว และ หมา

You should eat more food that contains a lot of fiber, e.g., vegetables, fruit, and whole grains
คุณควรทานอาหารที่มีไฟเบอร์เยอะ ๆ ตัวอย่างเช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช

รูปแบบการใช้

  1. วางอยู่ตรงกลางประโยค เพื่อใช้เชื่อมประโยค
  2. E.g. + noun (e.g. ตามหลังด้วยคำนาม หรือกลุ่มคำ(วลี))
  3. ก่อน e.g. ต้องมีเครื่องหมาย , คั่นหลังจบประโยคก่อนหน้า
  4. หลัง e.g. ถ้าใช้เป็น e.g., (มีเครื่องหมายคอมม่าตาม) เป็นการเขียนแบบอเมริกัน
    – They sell computer components, e.g., motherboards, graphic cards, CPUs.
  5. หลัง e.g. ถ้าไม่มีเครื่องหมายคอมม่าตาม ใช้เป็น e.g. เป็นการเขียนแบบอังกฤษ
    – They sell computer components, e.g. motherboards, graphic cards, CPUs.

I.e.

  • i.e. หมายถึง นั่นคือ กล่าวคือ ซึ่งก็คือ หรือ เรียกอีกอย่างว่า
  • i.e. เป็นคำย่อจากภาษาละติน id est หรือมีความหมายในภาษาอังกฤษว่า “in other word” (เรียกอีกอย่างว่า) หรือ “that is” (นั่นคือ)
  • ใช้เมื่อต้องการอธิบายประโยคที่กล่าวไปแล้วเพิ่มเติม โดยใช้คำว่า นั่นคือ กล่าวคือ หรือ ซึ่งก็คือ ในการเชื่อมประโยค

ตัวอย่างเช่น

I am a vegetarian, i.e., I don’t eat meat.
ฉันเป็นคนกินอาหารมังสวิรัติ นั่นคือ ฉันไม่กินเนื้อ

The hotel is closed during low season, i.e., from April to October.
โรงแรมปิดทำการในช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว ซึ่งก็คือ จากเดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม

I like Japanese food, i.e., sushi.
ฉันชอบกินอาหารญี่ปุ่น ซึ่งก็คือ ซูชิ

Consistent exercise is necessary to maintain health, i.e., three to four times per week.
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมีความจำเป็น เพื่อบำรุงรักษาสุขภาพ นั่นคือ สามถึงสี่ครั้งต่อสัปดาห์

รูปแบบการใช้

1. วางอยู่ตรงกลางประโยค เพื่อใช้เชื่อมประโยค
2. i.e. + noun (i.e. ตามหลังด้วยคำนาม หรือกลุ่มคำ(วลี))
3. ก่อน i.e. ต้องเครื่องหมายคอมม่า คั่นหลังจบประโยคก่อนหน้า
4. หลัง i.e. ถ้าใช้เป็น i.e., (มีเครื่องหมายคอมม่าตาม) เป็นการเขียนแบบอเมริกัน
– I like Japanese food, i.e., sushi.
5. หลัง i.e. ถ้าไม่มีเครื่องหมายคอมม่าตาม เขียนเป็น i.e. เป็นการเขียนแบบอังกฤษ
– I like Japanese food, i.e. sushi.

For example

  • For example หมายถึง ตัวอย่างเช่น
  • มีความหมายที่มีความชัดเจนอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว เมื่อต้องการยกตัวอย่าง ก็คือการใช้คำว่า for example
  • โดยมากมักใช้ในการขึ้นต้นประโยค แต่ก็สามารถใช้วางอยู่กลางประโยคเพื่อเชื่อมประโยคได้เช่นกัน

ตัวอย่างเช่น

Children should eat less fast food. For example, they should avoid eating burgers and chips.
เด็ก ๆ ควรกินอาหารฟาสฟูดส์น้อยลง ตัวอย่างเช่น พวกเขาควรหลีกเลี่ยงการกินเบอเกอร์และมันฝรั่งทอด

Our app has several features you will love. For example, you can use voice commands.
แอพของเรามีฟีเจอร์หลายอย่างที่คุณจะต้องชอบ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถสั่งงานด้วยเสียงได้

Calcium is in green leafy vegetables, for example, broccoli, kale and spinach.
แคลเซียมมีอยู่ในผักใบเขียว ตัวอย่างเช่น บล็อกโคลี่ คะน้าใบหยิก และผักโขม

I like water sports, for example, swimming, scuba diving, and jet skiing.
ฉันชอบกีฬาทางน้ำ เช่น ว่ายน้ำ ดำน้ำ และเจ็ตสกี

วิธีใช้

1. For example + subject + verb (For example + ประธาน + กริยา)
2. For example + noun (For example + คำนาม)
3. สามารถใช้ได้ทั้ง ขึ้นต้นประโยค และวางอยู่ตรงกลางเพื่อเชื่อมประโยคได้
4. ถ้าใช้ขึ้นต้นประโยค ต้องมีคอมม่า คั่นอยู่ข้างหลัง For example
5. ถ้าวางอยู่ตรงกลางประโยค ประโยคก่อนหน้าต้องมีเครื่องหมายคอมม่าคั่นเมื่อจบประโยค และหลังคำว่า for example ต้องมีคอมม่าคั่นอีกที

For instance

มีวิธีการใช้เหมือน for example สามารถใช้แทน For example ได้เลย

มีวิธีการใช้เหมือน for example สามารถใช้แทน For example ได้เลย

Ex.

  • Ex. ไม่ใช่ตัวย่อของคำว่า example แต่พบเห็นการใช้ ex. ในการยกตัวอย่างได้บ่อยครั้ง ควรหลีกเลี่ยงการใช้
  • Ex. หลายคนมักเข้าใจผิด คิดว่าเป็นคำย่อของคำว่า example  แต่ที่จริงแล้ว เป็นคำย่อของคำว่า excercise ซึ่งแปลว่าแบบฝึกหัด

ตัวอย่างเช่น

See ex. 2.
ดูที่แบบฝึกหัดที่ 2

Please refer to ex. 3.
กรุณาอ้างอิงแบบฝึกหัดที่ 3


ชุด Signs and Notices


สื่อภาษาอังกฤษ ชุด Signs and Notices เป็นสื่อวีดีทัศน์ประกอบหนังสือคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของกลุ่มนิเทศติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา ของ สพป.กาญจนบุรี เขต 2

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

ชุด Signs and Notices

สัตว์ ภาษาอังกฤษ Animals


สัตว์ ภาษาอังกฤษ Animals
ภาษาอังกฤษ คำศัพท์ สัตว์

สัตว์ ภาษาอังกฤษ Animals

💟 รวมเพลงภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก |เพลงสำหรับอนุบาล🤸‍♂️


เพลงสำหรับเด็ก เพลงเด็ก เพลงภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก kidsongs

💟 รวมเพลงภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก |เพลงสำหรับอนุบาล🤸‍♂️

Signs (ป้ายสัญญาณต่าง ๆ) – สื่อการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษ ป.4


สื่อการเรียนการสอน วิชา ภาษาอังกฤษ ระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4
เรื่อง Signs (ป้ายสัญญาณต่าง ๆ)
ท่านสามารถติดตาม สื่อการเรียนการสอน
\”ครูโอ๋ สื่อการเรียนการสอน\” ได้อีกหลายช่องทาง
webpage : http://www.kruao.com (ครูโอ๋)
fanpage : https://goo.gl/O22C3X
google+ : https://goo.gl/OBu7ia
youtube : https://goo.gl/bZlYwE
twitter : https://goo.gl/yHzunt
ฝากติดตามเพจ channel website ด้วยครับเพื่อพบกับ
สื่อการเรียนการสอน ที่เราอัพเดทให้ใหม่ๆ ตลอดฟรีๆ
สื่อการเรียนรู้ การสอนชุดนี้ ถูกนำไปใช้ใน การเรียนการสอนให้กับนักเรียนทั่วประเทศ ท่านอาจเห็น สื่อที่ครูโอ๋ นำมาเผยแพร่นี้ ผ่านทาง การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เพื่อนำมาช่วยในการ สอนนักเรียนให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยในการอธิบาย ทำให้ผู้สอน หรือครูง่ายในการจัดการเรียนการสอนมากขึ้น สื่อนี้อาจไม่ได้ดี 100% หรือดีที่สุด แต่หากมีผู้สนับสนุน นักเรียน ให้ลูกหลานท่าน ดูไปด้วย ท่านก็ช่วยเพิ่มเติมความรู้ไปด้วย จะเป็นประโยชน์ต่อตัวบุตรหลานของท่านอย่างมาก ท่านอาจไม่ต้องให้ดูเยอะ ให้ดูวันละ 1 คลิป 1 วีดีโอ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ดู เพิ่มเติมเลย
ในมุมมองของครูนั้น หากบางจุด สอนยาก หรืออธิบายยาก ท่านลองมาหาใน ครูโอ๋ แชนแนล ดูว่ามีวีดีโอไหน ที่ช่วยให้ท่านนำไปใช้ สอนได้ง่ายขึ้น ท่านอาจไม่ต้องเปิดทั้งวีดีโอ แต่เลือกส่วนที่สำคัญ ที่จะสานต่อการสอนของท่านให้ตรงเป้าหมาย ตรงตามตัวชี้วัด ของท่าน ทำให้ท่านสอนนักเรียนได้ง่ายขึ้น นักเรียนเห็นภาพการ์ตูน ภาพตัวอย่าง ก็เข้าใจมากขึ้น
สื่อการสอนนี้นำมาจาก
โครงการแท็บเล็ตพีซีเพื่อการศึกษาไทย
(OTPC : One Tablet Per Child)
จัดทำโดยสำนักงานเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เรียนภาษาอังกฤษ สื่อการสอนอังกฤษ ครูโอ๋ สื่อการเรียนการสอน
เรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง ฝึกพูดอังกฤษ สื่อการสอนป4

Signs (ป้ายสัญญาณต่าง ๆ) - สื่อการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษ ป.4

คำศัพท์ธุรกิจภาษาอังกฤษ Business English Vocabulary เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์กับESE


คำศัพท์ธุรกิจภาษาอังกฤษ Business English Vocabulary เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์กับESE รวบรวมคำศัพท์ธุรกิจที่ใช้ได้จริงเวลาทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ ในคลิป วีดีโอนี้เราจะมาดูคำศัพท์ต่างๆ พร้อมคำแปล การอ่านออกเสียงที่ถูกต้อง เพื่อเวลาพูดกับชาวต่าวชาติจะได้ไม่งง ลิปวีดีโอเดียว มีครบทุกอย่าง ดูจบคลินนี้ได้รู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนแน่นอน
เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์กับESE
เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ครบทุกหลักการใช้งานในคลิปเดียวแบบเต็มสูบทั้งหมด
หากสนใจมาเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว กับทางESE สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ทางช่องทางเหล่านี้นะครับ
อย่าลืมกดติดตามเราทางช่องทางอื่นๆด้วยนะครับ
Follow us on Facebook: https://www.facebook.com/easyandsimpleenglish/
Follow us on Instagram: https://www.instagram.com/ese_stagram_th/
Visit our website: http://easysimpleenglish.com/
Contact: Tel: 0863537300

คำศัพท์ธุรกิจภาษาอังกฤษ Business English Vocabulary เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์กับESE

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ เครื่องหมายในภาษาอังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *