Skip to content
Home » [NEW] หลักการใช้คอมม่า (Comma) ในภาษาอังกฤษ | เครื่องหมายมากกว่า ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

[NEW] หลักการใช้คอมม่า (Comma) ในภาษาอังกฤษ | เครื่องหมายมากกว่า ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

เครื่องหมายมากกว่า ภาษาอังกฤษ: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

คอมม่า (,) เป็นเครื่องหมายวรรคตอนที่ใช้บ่อยในภาษาอังกฤษ แต่ถึงแม้จะถูกใช้บ่อย หลายๆคนก็ยังคงสับสนอยู่ดี ว่าเราควรใช้คอมม่าตอนไหนและต้องใช้อย่างไรบ้าง

สำหรับคนที่สงสัย ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงเนื้อหาการใช้คอมม่าในภาษาอังกฤษ มาให้เพื่อนๆได้เรียนรู้กันได้อย่างง่ายๆแล้ว ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

Table of Contents

คอมม่าคืออะไร

คอมม่า (comma) เป็นเครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอังกฤษ ทำหน้าที่แยกคำ วลี หรือประโยค เพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านจับใจความได้ง่ายและถูกต้องมากขึ้น

ถ้าเปรียบเทียบคอมม่ากับเครื่องหมายจุด (.) ที่ใช้ปิดท้ายประโยค หรือที่เรียกว่า period เครื่องหมายทั้ง 2 ตัวนี้จะเป็นตัวบอกการเว้นจังหวะในการอ่านและพูดเหมือนกัน แต่เครื่องหมายคอมม่าจะเป็นตัวบอกจังหวะการเว้นที่สั้นกว่า

หลักการใช้คอมม่า

ใครที่มีข้อสงสัยว่าเราต้องใช้คอมม่าในกรณีไหนและต้องใช้ยังไงบ้าง ก็ไปดูหลักการใช้คอมม่าทั้ง 11 ข้อกันเลย

1. ใช้คอมม่าหน้าคำเชื่อมที่เชื่อม independent clause

Independent clause (ประโยคใจความสมบูรณ์) คือประโยคที่มีทั้งประธานและคำกริยา ตัวประโยคจะมีใจความสมบูรณ์ในตัวมันเอง เช่น

I am a student. (ฉันเป็นนักเรียน) – ถือเป็น independent clause เพราะมีทั้งประธานและคำกริยา
Feel good (รู้สึกดี) – ไม่ใช่ independent clause เพราะไม่มีประธาน
Big black cat (แมวสีดำตัวใหญ่) – ไม่ใช่ independent clause เพราะไม่มีคำกริยา

ส่วนคำเชื่อมในที่นี้จะต้องเป็น coordinating conjunction ซึ่งก็คือคำเชื่อมที่ให้น้ำหนักกับ 2 สิ่งที่ถูกเชื่อมเท่าๆกัน โดยอาจใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยคก็ได้ coordinating conjunction มีทั้งหมด 7 ตัวคือ for, and, nor, but, or, yet, so (เมื่อนำอักษรแรกมาต่อกันจะได้เป็น FANBOYS ใช้ช่วยให้ท่องจำได้ง่ายขึ้น)

หากเราเชื่อม independent clause 2 ประโยคด้วย coordinating conjunction เราจะต้องใช้คอมม่าหน้า coordinating conjunction

โครงสร้างการใช้

independent clause + , + coordinating conjunction + independent clause

ตัวอย่างประโยค

He didn’t speak to anyone, and nobody spoke to him.
เขาไม่ได้พูดกับใคร และก็ไม่มีใครพูดกับเขา

I wanted to stay home, but my wife wanted to go shopping.
ฉันอยากอยู่บ้าน แต่ภรรยาของฉันอยากไปช้อปปิ้ง

เราจะไม่ใช้คอมม่า ถ้าข้างหน้าหรือข้างหลัง coordinating conjunction ไม่ใช่ independent clause

She brushed her teeth and washed her face.
เธอแปรงฟันและล้างหน้า
(washed her face ไม่ใช่ independent clause)

I am not a writer but an editor.
ฉันไม่ใช่นักเขียน แต่เป็นบรรณาธิการ
(an editor ไม่ใช่ independent clause)

2. ใช้คอมม่าเมื่อขึ้นต้นประโยคด้วย dependent clause

Dependent clause คือประโยคที่มีใจความไม่สมบูรณ์ เวลาใช้จะต้องใช้ร่วมกับประโยคอื่น ในที่นี้เราจะแบ่งออกเป็น 3 กรณี

1. Participial phrase

เมื่อประโยคขึ้นต้นด้วยวลีจำพวก participial phrase ซึ่งก็คือวลีที่ขึ้นต้นด้วย v. + ing หรือ v. ช่อง 3 เราจะต้องใช้คอมม่าคั่นหลังวลีนั้น

โครงสร้างการใช้

participial phrase + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Being the only son in the family, his family have high hopes for him.
ด้วยการที่เขาเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัว ครอบครัวของเขาจึงตั้งความหวังกับเขาไว้สูง

Bitten by my own dog, I was very disappointed.
การโดนกัดโดยหมาของตัวเองทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังมาก

2. Adverbial phrase

แต่ถ้าประโยคขึ้นต้นด้วย adverbial phrase ซึ่งก็คือวลีที่ทำหน้าที่เป็น adverb เราอาจใช้คอมม่าหรือไม่ใช้ก็ได้ (ถ้า adverbial phrase ยาว หรือเราต้องการเน้น adverbial phrase นั้น เราจะนิยมใช้คอมม่า)

ตัวอย่าง adverbial phrase เช่น
At 6 o’clock
After the show
In the middle of Bangkok

โครงสร้างการใช้

adverbial phrase + (,) + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

In 2020 there is a pandemic affecting the world.
ในปี 2020 มีโรคระบาดที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก

When I was six, I lived in Chiang Mai with my mom.
ตอนฉันอายุหกขวบ ฉันอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่กับแม่ของฉัน

3. Sentence adverb

ถ้าประโยคขึ้นต้นด้วย sentence adverb ซึ่งก็คือคำจำพวก adverb ที่ทำหน้าที่ขยายทั้งประโยค เราจะใช้คอมม่าคั่นหลัง sentence adverb นั้น

โครงสร้างการใช้

sentence adverb + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Honestly, I am not angry.
ตรงๆเลยนะ ฉันไม่ได้โกรธ

Clearly, this plan isn’t working.
เห็นได้ชัดว่าแผนนี้ใช้ไม่ได้ผล

3. ใช้คอมม่าคั่นวลีหรือคำกลางประโยคที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม

เราจะใช้คอมม่าคั่นวลีหรือคำที่อยู่กลางประโยค ถ้าวลีหรือคำนั้นทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม แต่ไม่ได้จำเป็นสำหรับประโยค (แม้ตัดออกไป ใจความหลักของประโยคก็ยังเหมือนเดิม)

โครงสร้างการใช้

ประโยคส่วนที่ 1 + , + วลี/คำที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม + , + ประโยคส่วนที่ 2

ตัวอย่างประโยค

Tim, unlike Joe, is very polite.
ทิมเป็นคนสุภาพมาก ไม่เหมือนกับโจ

King Crab restaurant, which Anne recommended, is fantastic.
ร้านอาหารคิงแครบที่แอนแนะนำนั้นดีมาก

แต่ถ้าวลีหรือคำนั้นจำเป็นสำหรับประโยค ถ้าตัดออกแล้วใจความเปลี่ยน เราก็จะไม่ใช้คอมม่า

People who exercise regularly tend to be more happy.
คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอมักจะมีความสุขมากกว่า
(ถ้าตัด who exercise regularly ทิ้ง ความหมายจะเปลี่ยนเป็น “คนจะมีความสุขมากกว่า” ซึ่งมีใจความผิดไปจากเดิม)

The restaurant that Anne recommended is fantastic.
ร้านอาหารที่แอนแนะนำนั้นดีมาก
(ถ้าตัด that Anne recommended ทิ้ง ความหมายจะเปลี่ยนเป็น “ร้านอาหารดีมาก” ซึ่งมีใจความผิดไปจากเดิม คือเราจะไม่รู้ว่าหมายถึงร้านไหน)

วลีที่ขึ้นต้นด้วย that มักจะจำเป็นสำหรับประโยค เรามักจะไม่ใช้คอมม่าครอบส่วนนั้น

4. ใช้คอมม่าแยกรายการคำตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป

ถ้าเรามีรายการคำตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป เราจะต้องคั่นแต่ละรายการด้วยคอมม่า ยกเว้นรายการสุดท้าย เราจะคั่นด้วยคอมม่าหรือไม่ก็ได้

โครงสร้างการใช้

รายการหนึ่ง, รายการสอง(,) and รายการสุดท้าย

ตัวอย่างประโยค

He is tall, dark, and handsome.
หรือ He is tall, dark and handsome.
เขาทั้งสูง เข้ม และหล่อ

She needs salt, pepper, and other seasonings at the grocery store.
หรือ She needs salt, pepper and other seasonings at the grocery store.
เธอต้องการเกลือ พริกไทย และเครื่องปรุงอย่างอื่นที่ร้านขายของ

5. ใช้คอมม่าคั่นระหว่าง coordinate adjectives

Coordinate adjectives คือคำคุณศัพท์ที่ขยายคำนามคำเดียวกันและมีความสำคัญเท่าๆกัน สามารถสลับที่กันได้ ตัวอย่างเช่น

เราสามารถใช้ได้ทั้ง long, narrow path
และ narrow, long path
คำว่า long และ narrow ในที่นี้จะถือเป็น coordinate adjectives

เราสามารถใช้ big black bear
แต่ไม่สามารถใช้ black big bear
คำว่า big และ black ไม่ถือเป็น coordinate adjectives (การใช้ adjective ขนาดจะต้องมาก่อนสี)

โครงสร้างการใช้

coordinate adjective 1 + , + coordinate adjective 2 + คำนาม

ตัวอย่างประโยค

The happy, lively cat is playing with the ball.
แมวที่มีความสุขสดใสกำลังเล่นกับลูกบอล

My roommate is a cheerful, kind girl.
รูมเมทของฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่ร่าเริงและใจดี

ทั้งนี้ เราสามารถใช้ and เชื่อมระหว่าง coordinate adjectives แทนคอมม่าก็ได้เช่นกัน อย่างเช่น My roommate is a cheerful and kind girl.

6. ใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำพูดกับวลีที่กำกับ

ในภาษาอังกฤษ เวลาเราเขียนประโยคที่เป็นคำพูด เราจะใช้เครื่องหมาย “-” ครอบประโยคคำพูดนั้น อย่างเช่น Anne said, “I feel sick.” ซึ่งแปลว่า แอนพูดว่า “ฉันรู้สึกป่วย”

สังเกตว่า เราจะใช้คอมม่าคั่นระหว่างวลีที่เข้ามากำกับ ซึ่งก็คือ Anne said และประโยคที่เป็นคำพูด ซึ่งก็คือ “I feel sick.”

ทั้งนี้ วลีที่กำกับนั้นอาจจะอยู่หน้า อยู่กึ่งกลาง หรืออยู่หลังประโยคที่เป็นคำพูดก็ได้

โครงสร้างการใช้

  • วลีกำกับ, “ประโยคคำพูด”
  • “ประโยคคำพูด,” วลีกำกับ, “ประโยคคำพูด”
  • “ประโยคคำพูด,” วลีกำกับ

ตัวอย่างประโยค

He answered, “She is not here.”
เขาตอบ “เธอไม่ได้อยู่ที่นี่”

“I think,” she said, “Joe can help.”
“ฉันคิดว่า” เธอพูด “โจสามารถช่วยได้”

“It is raining,” Tim said.
“ฝนกำลังตก” ทิมพูด

ในกรณีที่วลีกำกับอยู่ข้างหลังประโยคคำพูด ถ้าประโยคคำพูดลงท้ายด้วยเครื่องหมายตกใจ (!) หรือเครื่องหมายคำถาม (?) เราจะไม่ต้องใช้คอมม่า

“Stop playing video game!” mom yelled.
“หยุดเล่นเกมได้แล้ว” แม่ตวาด

“Are you alright?” Ben asked.
“คุณโอเคมั้ย” เบ็นถาม

บางคนอาจสงสัยว่า เราต้องใส่คอมม่าไว้ในหรือนอกเครื่องหมาย “-” ทำไมบางทีเห็นแต่ละที่ใช้ไม่เหมือนกัน

คำตอบก็คือถ้าเป็น American English จะนิยมเอาไว้ข้างใน เช่น “It is raining,” Tim said. แต่ถ้าเป็น British English จะนิยมเอาไว้ข้างนอก เช่น “It is raining”, Tim said.

7. ใช้คอมม่าในการแยกวันที่และสถานที่

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างวันและปีเมื่อเราเขียนวันที่ในรูปแบบ เดือน-วันที่-ปี แต่ถ้าเราเขียนในรูปแบบ วันที่-เดือน-ปี เราจะไม่ต้องใช้คอมม่า

โครงสร้างการใช้

เดือน วันที่, ปี

ตัวอย่างประโยค

She was born on December 10, 1995.
เธอเกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1995

She was born on 10 December 1995.
เธอเกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1995

และใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำบอกสถานที่ที่ต่างกัน เช่น เมือง จังหวัด รัฐ ประเทศ

โครงสร้างการใช้

  • ชื่อตำบล, ชื่อเขต, ชื่อจังหวัด, ชื่อประเทศ
  • ชื่อเมือง, ชื่อรัฐ, ชื่อประเทศ

ตัวอย่างประโยค

I live in Bangkok, Thailand.
ฉันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย

He came from Chicago, Illinois.
เขามาจากเมืองชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์

8. ใช้คอมม่าหน้า question tag

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างประโยคหลักกับ question tag

โครงสร้างการใช้

ประโยคหลัก + , + question tag

ตัวอย่างประโยค

These flowers are beautiful, aren’t they?
ดอกไม้เหล่านี้สวยมาก ว่ามั้ย

You didn’t forget the key, did you?
คุณไม่ได้ลืมกุญแจใช่มั้ย

9. ใช้คอมม่าเมื่อเรียกบุคคลโดยตรง

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำเรียกบุคคลอื่นกับส่วนอื่นของประโยค เมื่อเราเรียกบุคคลนั้นโดยตรง

โครงสร้างการใช้

  • ประโยคหลัก + , + คำเรียกบุคคล
  • คำเรียกบุคคล + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Dad, where are you?
พ่ออยู่ไหน

See you later, John.
ไว้เจอกันใหม่นะจอห์น

10. ใช้คอมม่าหลังคำขึ้นต้นประโยค

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำขึ้นต้นประโยคกับประโยคหลัก อย่างเช่น คำทักทาย yes/no

โครงสร้างการใช้

  • คำทักทาย + , + ประโยคหลัก
  • yes/no + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Hello, how is it going?
สวัสดี เป็นยังไงบ้าง

Yes, I live by myself.
ใช่ ฉันอยู่คนเดียว

11. ใช้คอมม่าเพื่อป้องกันการสับสน

เราจะใช้คอมม่าในประโยคที่อาจก่อให้เกิดความสับสนหรือความเข้าใจผิดแก่ผู้อ่าน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายได้ถูกต้องมากขึ้น

ตัวอย่างประโยค

I waved at my friend who entered the canteen, and smiled.
ฉันโบกมือให้เพื่อนที่เข้ามาในโรงอาหาร และยิ้มให้เค้า
(คอมม่าทำให้เรารู้ว่าฉันเป็นคนยิ้ม ไม่ใช่เพื่อนยิ้ม)

เป็นยังไงบ้างครับกับหลักการใช้เครื่องหมายคอมม่า (comma) ในภาษาอังกฤษ ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจและสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องมากขึ้นแล้วนะครับ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time

[NEW] Eng Hero เรียนภาษาอังกฤษ ออนไลน์ ฟรี | เครื่องหมายมากกว่า ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

Post on 16 / 02 / 20

by: English Hero

748 viewed

Punctuation หรือ เครื่องหมายวรรคตอน เราก็พอรู้กันคร่าวๆว่าเครื่องหมายเหล่านี้มี หน้าที่เพื่อให้การแบ่งวรรคตอนหรือประโยคในภาษาอังกฤษไม่ให้สับสน

 

1.Full Stops (British English) หรือ Periods (American English) (.)

           เป็นเครื่องหมายที่เราคุ้นเคยกันที่สุด และน่าจะเป็นตัวแรกที่ทุกคนรู้จัก คือเอาไว้ใช้เวลาจบประโยคที่ไม่ใช้ เครื่องหมายคำถามหรือเครื่องหมายตกใจ ดังนั้น ทุกการขึ้นต้นประโยคใหม่หลัง Full Stop นั้น เราจะต้องใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ  เช่น

We are discussing this issue. (เรากำลังถกปัญหา นี้กันอยู่)  นอกจากนี้ เรายังใช้  .  สำหรับตัวย่ออีกด้วย เช่น

I have an appointment at 10 a.m. (ฉันมีนัดตอนสิบโมงเช้า)

 

  1. Question Marks และ Exclamation Marks (?) (!)

            Question Mark หรือเครื่องหมาย ? จะเอาไว้ใช้จบประโยคที่เราต้องการเขียน เพื่อให้รู้ว่าประโยค นี้เป็นประโยคคำถาม แทนตำแหน่งของ Full Stop เช่น

Do you really want to go there? (เธอต้องการไปที่นั่นจริงๆหรอ)

ในขณะที่ Exclamation Mark หรือเครื่องหมาย ! ใช้ในประโยคที่ไม่เป็นทางการมาก เพื่อเน้น การแสดงอารมณ์ที่รุนแรงมากกว่าปกติในประโยค ไม่ว่าจะเป็นตื่นเต้น ตกใจ แสดงถึงคำสั่งหรือ การตะโกน เช่น Don’t talk to me like that! (อย่ามาพูดแบบนั้นกับฉันนะ!)

 

  1. Commas (,)

           Comma หรือ เครื่องหมาย , เอาไว้ใช้ในการแบ่งวลีหรือคำ เพื่อให้อ่านง่ายขึ้น เช่น

I love singing, dancing, and playing guitar. (ฉันชอบร้องเพลง เต้น และเล่นกีต้าร์) หรือใช้ในการคั่นอนุประโยค (clauses) เช่น

If you were me, you would be upset too. (ถ้าเธอเป็นฉัน เธอก็ต้องกลุ้มเหมือนกันแหละ) นอกจากนี้ ยังใช้เวลาเขียน non-defining relative clause ที่บอกถึงข้อมูลเพิ่มเติมที่ไม่สำคัญ เช่น

The accident, which happened 5 minutes ago, was caused by that reckless driver. (อุบัติเหตุ ที่เกิดขึ้นเมื่อห้านาทีที่แล้ว เกิดขึ้นเพราะคนขับรถคนนั้นขับรถอย่างประมาท)

 

  1. Colons (:)

            Colon หรือเครื่องหมาย : มีไว้เพื่อขยายความของประโยคที่เขียนก่อนหน้า เช่น

I know why I failed this test: lack of preparation. (ฉันรู้ว่าทำไมฉันถึงสอบตก เพราะไม่ได้เตรียมตัวมากพอ) นอกจากนี้ ยังใช้ในการแสดงเวลาก็ได้ เช่น

The train leaves at 6:30 a.m. (รถไฟออกตอน หกโมงครึ่งในตอนเช้า) เป็นต้น

 

  1. Apostrophes (‘)

             Apostrophe หรือ เครื่องหมาย’ใช้เวลาลดรูปกริยาช่วยในภาษาอังกฤษ เช่น

did not เป็น didn’t  เช่น I didn’t mean to make you mad. หรือ

I will เป็น I’ll             เช่น I’ll handle this for you.

นอกจากนี้ ยังใช้เครื่องหมาย ’ ในการแสดงความเป็นเจ้าของโดยการใส่ ’s เข้าไป เช่น

We will hang out at John’s place. (เราจะไปนั่งเล่นที่บ้านของจอห์น) หรือถ้ามี s เป็นตัวสะกดอยู่แล้ว ก็ใส่แค่ ’ เช่น                              

 The princess’ dress looks so gorgeous. (ชุดของเจ้าหญิงสวยมากเลย)

 

  1. Semicolons (;)

             นับเป็นอันที่คนไม่ยอมใช้กันที่สุด เพราะหลายคนไม่รู้จะใช้ยังไง หน้าที่ของ Semicolons หรือ ; คือ การเชื่อมสองประโยคที่มีความเกี่ยวข้องกันมากๆเข้าด้วยกัน แทนที่จะใช้ Full Stop ก็ใช้ตัว นี้แทน เช่น

I don’t want to go back home now; the traffic is so bad. (ฉันไม่อยากกลับบ้าน ตอนนี้เลย เพราะรถมันติดเกินไป)

หรือใช้แทน Comma ในการเชื่อมวลีที่ซับซ้อนเข้าด้วยกันเพราะในวลีนั้นมี Comma อยู่แล้วเพื่อ ป้องกันความสับสน เช่น

I have two options for you; finish this before 2, and go to this meeting for me; or prepare yourself for this meeting, and drop everything you’re doing right now. (ฉันมีทางเลือกให้สองทาง: ทำนี่ให้เสร็จก่อนบ่ายสองแล้วเข้าประชุมแทนฉัน หรือ เตรียมตัวประชุมตั้งแต่ตอนนี้แล้วหยุดทุกอย่างที่กำลังทำอยู่)

 

 

  1. Hyphens และ Dashes (-) ( – )

              สองตัวนี้หน้าตาคล้ายกัน โดย Hyphens จะใช้เวลาเชื่อมคำสองคำเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดความ หมายใหม่ เช่น time-consuming ซึ่งเราสามารถตรวจสอบได้ในพจนานุกรมว่าคำใดบ้างที่ต้องมี Hyphen คั่น

 ในขณะที่ Dash จะใช้เวลาที่เราต้องการแยกคำ วลี ออกมาจากประโยค เพื่อให้ส่วน นั้นโดดเด่นยิ่งขึ้น โดยต้องเว้นวรรคหน้าหลัง dash ด้วย เช่น

She ignores all remarks – good or bad ones – which makes her seem like a self-righteous person. (เธอไม่สนใจข้อคิด เห็นใดๆเลย ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี และนั่นมันทำให้เธอดูเป็นคนมั่นใจว่าตัวเองถูกอยู่คนเดียว)

 

  1. Quotation Marks (“ ”)

                Quotation marks หรือเครื่องหมายคำพูด ซึ่งมีทั้งแบบ ‘เดี่ยว’ หรือแบบ “คู่” ในประเทศอังกฤษใช้ทั้งสองแบบ ในขณะที่ในอเมริกานิยมใช้แบบคู่ แต่ทั้งสองแบบสามารถปรากฏตัวร่วมกันได้ เช่น

Tommy asked, ‘Do you know where the “Tower Bridge” is?’ ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องหมาย คำถามแบบเดี่ยวได้เพื่อแสดงการพูดประโยคคำถาม และใส่เครื่องหมายแบบคู่ไปในส่วน ที่ต้องการเน้น เป็นต้น

 

  1. Brackets และ Parentheses ([ ]) (( ))

               แปลเป็นภาษาไทยก็คือ วงเล็บ นั่นเอง ความแตกต่างก็คือ Brackets คือเครื่องหมาย […] แบบ เหลี่ยม ในขณะที่ Parentheses คือวงเล็บ (…) แบบที่เราคุ้นเคย เราใช้วงเล็บเพื่อเพิ่มเติมข้อมูล เข้าไปในประโยค ที่ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก และใช้ในการเขียนที่ไม่เป็นทางการ เช่น

She will fly to New York (with two stopovers) and will come back at the end of the month. (เธอจะ บินไปนิวยอร์ค (โดยต้องเปลี่ยนเครื่องสองรอบ) และจะกลับมาตอนสิ้นเดือน)      ส่วน   Brackets   มักใช้เวลาที่ผู้เขียนเขียนข้อมูลเติมลงไปนอกเหนือจากข้อมูลต้นฉบับ เช่น

The pedestrian said he [the robber] escaped through this small alley.

 

 

 


เครื่องหมายมากกว่าและน้อยกว่า | Greater than and less than symbols


สนับสนุนการพากย์เสียงโดยมูลนิธิศักดิ์พรทรัพย์ http://www.kusol.org/
ลิ้งก์วิดีโอภาษาอังกฤษ: https://www.youtube.com/watch?v=nFsQA2Zvy1o
ลิ้งก์เว็บไซต์คานอะคาเดมี่: https://www.khanacademy.org/math/earlymath/ccearlymathplacevaluetopic/ccearlymathtwodigitcompare/v/greaterthanandlessthansymbols
พากย์เสียงโดยจือ มนัญชยา สุขสมทรง

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

เครื่องหมายมากกว่าและน้อยกว่า | Greater than and less than symbols

คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 500 คำ พื้นฐาน ในชีวิตประจำวัน สำหรับเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ ฝึกฟัง ฝึกพูด ด้วยตัวเอง


💖 ถ้าอยากให้กำลังใจ มาสมัครสมาชิกกันนะครับ 💖
กดตรงนี้ 👉 https://www.youtube.com/channel/UCaiwEWHCdfCi23EYN1bWXBQ/join
คำศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐาน 500 คำ พร้อมคำอ่าน คำแปล สำหรับฝึกฟัง ฝึกพูด ท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เหมาะกับผู้เริ่มเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง กดเพื่อไปยังคำศัพท์หมวดต่างๆ ดังนี้
0:00 คำศัพท์ภาษาอังกฤษ พื้นฐาน 500 คำ ในชีวิตประจำวัน
0:45 คำศัพท์ ในชั้นเรียน ห้องเรียน
8:32 คำศัพท์วัน เดือน ปี และการพูดถึงวันต่างๆ
13:36 คำศัพท์ สีต่างๆ
16:22 คำศัพท์ข้าวของเครื่องใช้
19:09 คำศัพท์สิ่งของในห้องนอน
21:52 คำศัพท์ของใช้ในห้องน้ำ
24:10 คำศัพท์เสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย
31:19 คำศัพท์ครอบครัว
36:41 คำศัพท์ที่ใช้บรรยายลักษณะของคน
43:30 คำศัพท์ร่างกาย
48:54 คำศัพท์พูดถึงอาการบาดเจ็บ
52:49 คำศัพท์สำหรับบอกตำแหน่งที่ตั้ง ทิศทาง
ซึ่งเป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษน่ารู้ ที่ควรรู้ สามารถเปิดฟังก่อนนอน หรือเปิดฟังเพื่อเป็นการเรียนภาษาอังกฤษขณะนอนหลับได้ เปิดฟังขณะอยู่บนรถหรือกำลังขับรถได้ เป็นการท่องศัพท์ เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษแบบธรรมชาติ จำคำศัพท์ได้ดี
วิดีโอ ฝึกพูด 100 ประโยคพื้นฐานภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน
https://youtu.be/lv9kTysYoIw
เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ฟรี! คลิก: https://www.tonamorn.com/
แจกศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐาน 1,000 คลิก: https://www.tonamorn.com/vocabulary
สอน การแต่งประโยคภาษาอังกฤษ
https://www.tonamorn.com/learnenglish/writesentences/
เรียนภาษาอังกฤษ จากภาพสวยๆ บนอินสตาแกรม
https://instagram.com/ajtonamorn

คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 500 คำ พื้นฐาน ในชีวิตประจำวัน สำหรับเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ ฝึกฟัง ฝึกพูด ด้วยตัวเอง

ศัพท์อังกฤษ อาหาร Food


ศัพท์อังกฤษ อาหาร Food
คำศัพท์ ภาษาอังกฤษ Food

ศัพท์อังกฤษ อาหาร Food

18 คำศัพท์พื้นฐาน | ทางคณิตศาสตร์ | ภาษาอังกฤษพื้นฐาน | เรียนง่ายภาษาอังกฤษภาษาอังกฤษ


วิดีโอนี้เกี่ยวกับ คำศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐาน เครื่องหมายทางคณิตสาตร์

18 คำศัพท์พื้นฐาน | ทางคณิตศาสตร์ | ภาษาอังกฤษพื้นฐาน | เรียนง่ายภาษาอังกฤษภาษาอังกฤษ

EP. 9 | บวก ลบ คูณ หาร สมการ super hero [พรีเซนต์งานภาษาอังกฤษ]


ถ้าเราอยากจะนำเสนองานเป็นภาษาอังกฤษ การใช้คำ “บวก ลบ คูณ หาร” ให้ถูกคำ ก็สำคัญนะตัวเธอ!
เพื่อให้ฝรั่งประทับใจ มาดูกันเลยค่ะว่าเราควรจะพูดยังไงดี 📊📌
Website ของเรา
https://www.onelaeng.com/
Facebook Fanpage Onelaeng
https://www.facebook.com/OnelaEng

EP. 9 | บวก ลบ คูณ หาร สมการ super hero [พรีเซนต์งานภาษาอังกฤษ]

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ เครื่องหมายมากกว่า ภาษาอังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *