Skip to content
Home » [NEW] สัทศาสตร์เพื่อการสื่อสารภาษาอังกฤษ Phonetics for English Communication Pages 1 – 50 – Flip PDF Download | นส ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

[NEW] สัทศาสตร์เพื่อการสื่อสารภาษาอังกฤษ Phonetics for English Communication Pages 1 – 50 – Flip PDF Download | นส ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

นส ภาษาอังกฤษ: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

No Text Content!

สัทศาสตร์เพอ่ื การส่ือสารภาษาองั กฤษ Phonetics for English Communication (1531121) Pongthep BunruengFaculty of Humanities and Social Sciences Loei Rajabhat University

คำอธิบำยรำยวิชำ ลักษณะของเสียงในภาษาอังกฤษ มีแขนงย่อยอีก 3 สาขาคือ สรีรสัทศาสตร์ (Articulatoryphonetics) กลสัทศาสตร์ (Acoustic phonetics) และโสตสัทศาสตร์ (Auditory phonetics) การฝึกออกเสียงพยัญชนะ ระดับคา การเน้นพยางค์ ทานองเสียง กลไกการเปล่งเสียง การจาแนกหน่วยเสยี งในภาษาองั กฤษและการนาเสียงในภาษาอังกฤษมาวิเคราะห์อย่างมหี ลักเกณฑ์ Description of sound spoken language, there are three sub-areas of branches:articulatory phonetics, acoustic phonetics, and auditory phonetics. Training ofintonation stress syllable, tone, consonants, sound and accent mechanism. Theclassification of phonemes in English and the voice navigation in English analyzedscientifically. Teaching planWeek Topic Teaching aids Assessment Pretest1 Introduction – – Quiz2 Speech production PPP/web Quiz Quiz3 Speech production PPP Quiz4 Consonant sound PPP/web Quiz Quiz5 Consonant sound PPP Posttest7 Consonant sound PPP8 Consonant sound PPP9 Vowel sound PPP/web10 Vowel sound PPP11 Vowel sound PPP12 Supra-segmental features PPP/web13 Supra-segmental features PPP14 Supra-segmental features PPP15 Summary : a comparative PPPstudy between Thai andEnglish16 Conclusion PPPGrading system by t-score

Contentบทนำ สัทศาสตร์และสรวิทยา หนา้ 1บทท่ี 1 การสรา้ งเสยี งพูดในภาษา (Speech Sound production) 5 5อวัยวะในการออกเสยี ง (Organs of speech) 10 11การเกดิ ของเสียง (Speech sound) 12 15สรุป 16 17แบบฝกึ หัด 17 20เอกสารอ้างอิง 27 28บทท่ี 2 เสยี งพยัญชนะในภาษาองั กฤษ (English consonant sounds) 30 31การแบ่งตามตาแหน่งท่เี กิดเสียง (Points of articulation) 31 33การแบ่งตามลักษณะของการอกเสียง (Manners of articulation) 34หน่วยเสียงพยัญชนะ (Consonant sounds) 40 43สรุป 44 50แบบฝกึ หัด 51 51เอกสารอา้ งอิง 56 59บทท่ี 3 หนว่ ยเสียงสระในภาษาอังกฤษ 60 66เสียงสระมาตรฐาน (Cardinal vowels) 69 70เสียงสระในภาษาองั กฤษ (English vowel sounds) 72 73เสียงสระเด่ยี ว (Monophthongs)เสยี งสระประสม (Diphthongs)สรปุแบบฝกึ หัดเอกสารอา้ งองิบทท่ี 4 สัทสมั พนั ธ์การเน้นเสยี ง (Stress)การเช่อื มคา (Linking sounds)จงั หวะ (Rhythm)ทานองเสียง (Intonation)ระดับเสียง (Pitch)สรปุแบบฝึกหดัเอกสารอา้ งองิ `บทท่ี 5 บทสรปุ การเปรียบเทียบระหวา่ งภาษาไทยและภาษาองั กฤษ

1 บทนำ สัทศำสตรแ์ ละสรวทิ ยำ (Phonetics and Phonology) ภาษาศาสตร์เป็นวิชาที่เก่ียวข้องกับวิชาต่าง ๆ ท้ังท่ีเป็นเน้ือหาด้านวิทยาศาสตร์ เช่นสรีรวิทยา สรวิทยา สัทศาสตร์ คอมพิวเตอร์ และไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เช่นสังคมศาสตร์ ปรัชญาจติ วิทยาเป็นต้น การเกยี่ วข้องนน้ั เก่ยี วข้องในลักษณะท่ีเนื้อหาเก่ียวข้องสัมพันธ์กัน ดังนั้นการศึกษาภาษาศาสตรจ์ ึงศกึ ษากันแยกยอ่ ยออกไปเป็นสาขาตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1. ภำษำศำสตรท์ ว่ั ไป (General Linguistics) เปน็ การศกึ ษาลักษณะท่วั ไปของภาษาทใ่ี ช้พดู อยู่ในปัจจุบนั การศึกษาน้ันมีวิธกี ารประกอบด้วยการเก็บข้อมูล การวเิ คราะหข์ ้อมลู ตลอดจนการนาเสนอผลการศึกษาทแี่ ตกต่างกนั ไปเปน็ พวก ๆ ได้แก่  ภำษำศำสตร์ท่วั ไปวรรณนำ (Descriptive Linguistics) คอื การศึกษาภาษาโดยอาศยั ขอ้ ความตัวอย่างหรือข้อมูลเป็นหลัก เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลตามตัวอยา่ งที่เกบ็ มาไดน้ ้ันแล้วก็นาตงั้เป็นกฎเกณฑห์ รอื ทฤษฎแี ลว้ เขียนบรรยายไว้ โดยปกตกิ ารศกึ ษาในแนวภาษาศาสตร์วรรณนา มักจะศึกษาในเรอ่ื งตอ่ ไปนี้ 1) สรวิทยำ (Phonology) หรือการศึกษาหาระบบเสยี งของภาษาใดภาษาหน่ึงทใี่ ช้พูดกนัอยู่ในปัจจบุ นั และการที่จะศึกษาหาระบบเสียงของภาษาใดภาษาหน่ึงน้ันต้องศึกษาในส่งิ ตา่ ง ๆต่อไปนี้ดว้ ย ได้แก่ ก. สทั ศำสตร์ (Phonetics) เป็นวชิ าท่ศี ึกษาเกย่ี วกับเสียงในภาษาโดยศกึ ษาดวู า่การทมี่ นุษย์เปล่งเสียงใดเสียงหนึง่ ออกมานั้นมนษุ ย์ใช้อวัยวะใดบ้างในการผลติ เสียง เสยี งทีเ่ ปล่งออกมามีลักษณะทางกายภาพอยา่ งไร และหทู างานอย่างไรเพ่ือรับรู้และเข้าใจเสยี ง การศกึ ษาในวิชาสทั ศาสตรจ์ ึงแบง่ ย่อยออกไปได้อีกเปน็ (1) สรีรสทั ศาสตร์ (Articulatory Phonetics) เป็นการศึกษาว่าในการผลติ เสียงในภาษาน้ัน มีอวัยวะใดเกี่ยวข้องบา้ ง เกยี่ วขอ้ งอย่างไร (2) กลสทั ศาสตร(์ Acoustic Phonetics) ศึกษาลักษณะทางกายภาพของเสียงที่เปลง่ ออกมาโดยใชเ้ คร่ืองมือทางวิทยาศาสตร์ เชน่ Sound Spectrogram และ Laryngoscope (3) โสตสทั ศาสตร์ (Auditory Phonetics) ศึกษาเกีย่ วกับการรับรู้ของหู สมองการเข้าใจภาษา และการตอบโตห้ รือส่อื สาร ข. สรศำสตร์ (Phonemics) เก่ียวข้องกับการศึกษาหาหน่วยเสียง (Phonemes)ศึกษาวา่ เสียงในภาษาเสียงใดท่ีเป็นเสียงสาคัญที่สามารถทาให้ความหมายของคาแตกต่างกันได้ก็จัดว่าหน่วยเสียง ตัวอย่างคาว่า [mob] และ [mop] มีเสียงพยัญชนะสะกดต่างกัน และมีความหมายต่างกัน ดังนั้นการหาหน่วยเสียงนั้นก็คือการนาเสียงในภาษามาวิเคราะห์อย่างมีหลักเกณฑ์ เพ่ือดูว่าเสยี งในภาษาใดทาให้คามคี วามหมายแตกต่างกนั ได้ 2) ไวยำกรณ์ (Grammar) เป็นการศึกษาหาหลกั เกณฑ์ตา่ งๆ ในภาษาตั้งแต่ระดับคา วลีประโยค ขอ้ ความหนึ่งย่อหนา้ หรอื ปริเฉท (Paragraph) ไปจนถงึ ระดบั ข้อความ (Discourse)การศึกษาภาษาในด้านไวยากรณ์อาจศึกษาเร่ืองต่อไป

2 ก) ระบบคำ (Morphology) เป็นการศึกษาหากฎเกณฑว์ า่ ในภาษาที่กาลังศกึ ษานน้ั หน่วยคาประกอบกันเปน็ คาได้อย่างไร ข) ระบบกล่มุ คำ (Syntax) ศึกษาการประกอบคาเขา้ เป็นวลี การประกอบวลีเขา้ประโยค การประกอบประโยคเขา้ เปน็ ขอ้ ความหนงึ่ ย่อหน้าหรอื อนุเฉท และการประกอบข้อความหนึง่ ยอ่ หน้าเป็นเร่ืองราวหรือ (Discourse) 3) อตั ถศำสตร์ (Semantics) เปน็ การศึกษา “ความหมาย” ในภาษาซ่งึ รวมทง้ั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งภาษา ความคดิ และพฤตกิ รรม (วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ : 2527)  ภำษำศำสตร์เพมิ่ พนู (Generative Grammar) เปน็ การศึกษาภาษาทุกระดบัตง้ั แตว่ ากยสัมพันธ์ วจวี ภิ าค สรวิทยา และความหมาย นกั ภาษาศาสตร์กลุ่มนี้ถือวา่ ประโยคและความหมายสาคัญท่ีสุด ส่วนคาและเสียงสาคัญรองลงมา จึงศึกษาเร่ืองประโยคก่อน ทฤษฎีที่สาคญัคือทฤษฎปี ริวรรต 2. ภำษำศำสตรเ์ ชงิ ประวัติ (Historical Linguistics) ศึกษาภาษาใดภาษาหนง่ึ ในสมัยที่ต่างกัน การศึกษาภาษาศาสตรส์ าขาน้ที าให้เกดิ ภาษาศาสตรเ์ ปรยี บเทียบ (ComparativeLinguistics) การศึกษาวิธีน้ที าให้ทราบถึงการเปลย่ี นแปลงของภาษาในดา้ นต่าง ๆ เช่น เสยี ง คา วลีประโยค 3. ภำษำศำสตร์ประยุกต์ (Applied Linguistics) ศกึ ษาถึงการนาผลการวเิ คราะห์ภาษาไปใชป้ ระโยชน์ในการเรียนการสอนภาษา เชน่ ถ้าจะสอนภาษาอังกฤษแก่เด็กไทยผสู้ อนจะตอ้ งทาการวิเคราะห์หรือศกึ ษาผลการวเิ คราะห์เรื่อง เสียง คา วลี ประโยค ท้ังของภาษาไทยและภาษาองั กฤษ แลว้ เปรียบเทียบดคู วามเหมือนหรือแตกต่างระหว่างทั้ง 2 ภาษาน้ันก่อน สงิ่ ทีแ่ ตกตา่ งนนั้ แหละคือปญั หาของนักเรียนไทย ดว้ ยวิธีน้ีผสู้ อนจะมองเหน็ ปญั หาได้ง่าย และหาหนทางแก้ไขปัญหาได้ไม่ยากเชน่ เดียวกนั 4. ภำษำศำสตร์เชงิ สงั คมวิทยำ (Sociolinguistics) ศึกษาภาษาในแง่ที่เก่ยี วข้องกับสังคมเช่น ภาษาที่ใชใ้ นสงั คมต่างๆ การเปลย่ี นแปลงของภาษาอนั เนื่องมาจากสังคม หน้าท่ีของภาษาลักษณะการใชภ้ าษาในสงั คมต่าง ๆ ศึกษาลักษณะการใชภ้ าษาในกลุ่มชนท่มี ฐี านะทางเศรษฐกจิอาชีพ ความเปน็ อยู่ที่ตา่ งกนั ศึกษาการใชภ้ าษาในแตล่ ะท้องท่ี เป็นต้น 5. ภำษำศำสตร์เชิงจิตวิทยำ (Psycholinguistics) ศึกษาภาษาในด้านความสัมพันธ์กับองค์ประกอบต่างๆ ตามหลักจิตวิทยา เช่น ศึกษาว่า คนเรียนรู้ภาษาอย่างไร เด็กมีพัฒนาการทางภาษาอย่างไร มีการเรียนรู้ภาษาอย่างไร สติปัญญา ความสามารถในการจาหรือการลืม มีผลต่อความสามารถทางภาษาอย่างไร 6. ภำษำศำสตร์เชิงคณิตศำสตร์ (Mathematical Linguistics) ศกึ ษาภาษาโดยใชเ้ ครอ่ื งมอืคอมพวิ เตอร์ เชน่ ใช้เคร่ืองมือเปน็ เคร่อื งชว่ ยในการอา่ นหนังสือ หรือ บันทึกคาพูดหรือแปลภาษาเปน็ ต้น 7. ภำษำศำสตรเ์ ชิงมำนษุ ยวิทยำ (Anthropological Linguistics) ศึกษาความสมั พนั ธข์ องภาษากับขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม ซง่ึ สามารถศึกษาได้หลายด้าน เชน่ ศึกษาเรือ่ งชาติพนั ธ์ุ ขนบธรรมเนยี มประเพณตี า่ งๆ มาเปรียบเทยี บ เพ่ือหาความสัมพันธข์ องมนุษยชาติ เชน่ คนไทยกบั คนอินโดนเี ซยี คนจีนกบั คนไทย เพ่ือนาผลการวิเคราะห์ไปสนบั สนุนหรือโตแ้ ย้งทฤษฎีตา่ งๆ

3ในภาษาศาสตรท์ ว่ั ไป หรือภาษาศาสตรท์ ว่ั ไป หรือภาษาศาสตร์เชงิ ประวัติ เช่น การจัดกลมุ่ ตระกูลภาษา เป็นต้น ดงั ท่ไี ดก้ ลา่ วถงึ ทฤษฏขี องภาษาศาสตร์มาข้างต้นซึ่งเป็นการศึกษาเร่ืองตัวภาษา (The Studyof Language) ภาษามีองค์ประกอบดังนี้ ภาษาประกอบด้วยเสียง ถึงแม้ว่าบางกลุ่มยังไม่มีระบบตวั เขยี นใช้ แตก่ ถ็ อื ว่าเปน็ ภาษาเช่นภาษาไทเลย หรือไทอีสาน เพราะผู้คนเหล่าน้ีสามารถสื่อสารได้ในชุมชนของเขาเอง ส่วนตัวเขียนนั้นเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ที่คิดข้ึนแทนเสียงหรือคาพูด ท่ีคนพูดต้องการบอกให้ผู้อ่นื ทราบอกี ต่อหนึ่ง เพราะฉะน้ัน เสียงหรือคาพูด จึงถือว่าเป็นส่วนประกอบท่ีสาคัญของภาษา วชิ าสทั ศาสตร์ (Phonetics) น้ศี กึ ษาเกีย่ วกับเสียงพูดของภาษาต่าง ๆ ทุกภาษา โดยไม่จากัดว่าจะเปน็ ภาษาใด ๆ ในโลกน้ี โดยศกึ ษาท่ีเกิดของเสียง การออกเสียง ลักษณะของเสียง อวัยวะต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับการออกเสียง รวมถึงสัญลักษณ์ท่ีใช้แทนการออกเสียงด้วย ส่วนวิชาสรวิทยา(Phonology) เป็นสาขาหน่ึงของภาษาศาสตร์วรรณนา (Descriptive Linguistics) ซ่ึงศึกษาเฉพาะโครงสร้างของภาษาจากข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ โดยวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ มีการจดบันทึก สรุปกฎเกณฑ์และพิสูจน์หลักเกณฑ์ต่าง ๆเกี่ยวกับโครงสร้างและลักษณะของภาษา โดยผู้เก็บรวมรวมข้อมูลต้องมีความรูพ้ ้ืนฐานทางวิชาสัทศาสตร์เสียก่อน มิฉะนนั้ จะเกบ็ ขอ้ มลู มาวเิ คราะห์ไม่ได้

4 เอกสำรอำ้ งองิเทียนมณี บุญจุน (2548) ระบบเสียงในภำษำอังกฤษและภำษำไทย. สานักพิมพ์ิโอเดียนสโตร์ : กรงุ เทพมหานคร.วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ (2527) ภาษาและภาษาศาสตร์. มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. กรุงเทพมหานคร.ปรารมภ์รัตน์ โชติกเสถียร (2544) กำรออกเสียงสระและพยัญชนะในภำษำอังกฤษ. สานักพิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. กรุงเทพมหานคร.อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์ (2513) ภาษาศาสตร์เบื้องต้น. สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคาแหง. กรงุ เทพมหานคร.http://www.wisegeek.com/what-is-phonetics.htmhttp://encyclopedia.kids.net.au/page/de/Descriptive_linguistics

5 Unit 1 : กำรสรำ้ งเสยี งพูดในภำษำ (Speech Sound Production)วัตถุประสงค์ 1. สามารถบอกอวัยวะตา่ งๆ ในการออกเสียงได้ 2. สามารถอธิบายกลไกการเกิดเสียงได้ 3. สามารถบอกลักษณะและตาแหนง่ การเกิดของเสียงได้บทนำ เสียงท่ีมนุษย์เปล่งออกมาเพื่อส่ือความหมายระหว่างมนุษย์ด้วยกันและเพ่ือสนองความต้องการต่าง ๆเช่น ขอความช่วยเหลือแสดงความรู้สึกรัก เกลียด โกรธ ชอบ ไม่ชอบ พอใจ ไม่พอใจ ฯลฯ เกิดจากการสนั่ สะเทอื น และส่งิ ท่ที าใหอ้ วยั วะท่ีใช้ในการออกเสยี งเกดิ การส่นั สะเทือน คือลมจากปอดหรือลมหายใจ ดังน้ันสว่ นสาคัญทเี่ ปน็ บอ่ เกดิ ของเสียงจงึ ได้แก่ลมหายใจหรือกระแสลมทผี่ ่านเข้าออกปอด1. อวัยวะท่ใี ชใ้ นกำรออกเสียง อวัยวะท่ีใช้ในการออกเสยี งประกอบด้วยสว่ นสาคัญ 3 สว่ น ดังน้ี 1.1 จุดเรม่ิ ต้น (Initiation or air-streammechanism ) คือส่วนท่ที าให้เกิดความเคลอื่ นไหวของลมไดแ้ ก่ ปอด (Lungs) กระบงั ลม (Diaphragm) กลา้ มเน้ือชว่ ยหายใจ (Respiratory Apparatus) และกระดูกซ่โี ครง เสยี ง คืออากาศท่ถี ูกผลกั ดันใหเ้ คล่อื นที่และถูกดดั แปลงหรือแปรใหเ้ ปน็ เสยี งประเภทต่าง ๆ โดยการทางานของฐานกรณต์ ่าง ๆ ถา้ ไม่มีอากาศก็จะไม่มีเสียงเกิดขน้ึ การขับเคลื่อนกระแสอากาศมีตน้ กาเนดิ พลังงานจากตาแหน่งท่ีตา่ งกัน เสยี งท่เี กิดขน้ึ จงึ แตกต่างกันไปแหลง่ พลังงาน มี 3 แหลง่ ด้วยกันคอื แหล่งพลังงานจากปอด แหลง่ พลังงานจากกล่องเสยี ง และแหล่งพลังงานจากเพดานอ่อน 1.2 การออกเสียง (Phonation ) คือเสียงเกิดข้ึนได้อย่างไรหรืออวัยวะท่ีทาให้เกิดการแปรคุณภาพเสียง ได้แก่ กล่องเสียง (Larynx) และเส้นเสียงท่ีอยู่ในกล่องเสียง (Vocal Cords) การเกิดเสียงพูดน้ีจะเกี่ยวข้องกับการทางานของเส้นเสียงโดยตรงน่ันคือ การจะเกิดเสียงแบบต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับการดัดแปลงรูปแบบการส่ันของเส้นเสียง โดยปกติภาษามีเสียง 2 ประเภท คือ เสียงก้อง (voiced sound) จะเกิดข้ึนโดยมีการสั่นของเสน้ เสียงร่วมดว้ ย และเสียงไมก่ ้อง (Voiceless sound) จะเกดิ ข้ึนโดยไมม่ ีการส่นั ของเสน้ เสยี ง 1.3 การเปลย่ี นแปลงลักษณะของเสียง (Articulation) คืออวัยวะที่ทาให้เสียงที่เปล่งออกมามีลักษณะท่ีต่างกันออกไป ได้แก่ ช่องคอ (Pharynx) ช่องปาก (Oral Cavity) หรือช่องจมูก (Nasal Cavity)การท่ีเสียงจะต่างกันไปอยู่กับการเปลี่ยนรูปและขนาดของช่องปากและทางท่ีลมออกไปสู่จมูก เมื่อกระแสอากาศจากปอด เคลอ่ื นข้ึนสกู่ ล่องเสยี ง และถกู ดดั แปลงคณุ ภาพเสียงใหแ้ ตกตา่ งไปตามรูปแบบการทางานแบบต่าง ๆ ของเสน้ เสียง แล้วตอ่ มาอากาศกจ็ ะเดินทางเขา้ สู่ช่องปาก ซึง่ ประกอบดว้ ยอวัยวะแปรเสียงหรือฐานกรณ์

6มากมาย ซ่ึงทาหน้าท่ีในการกล่อมเกลาเสียงให้ออกมามีคุณลักษณะแตกต่างกัน ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับลักษณะวิธีออกเสยี งด้วย โดยอวัยวะในสว่ นนแ้ี บง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คอื (1) อวยั วะทเี่ คล่ือนท่ีไม่ได้ในระหว่างการสรา้ งเสียง (Passive Articulators) เรยี กวา่ ฐาน ได้แก่ รมิฝปี ากบน (Upper lip) ฟนั บน (Upper teeth) ปุ่มเหงือก (Alveolar ridge) เพดานแขง็ (Hard palate)เพดานออ่ น (Soft palate หรอื velum) ล้นิ ไก่ (Uvula) อวัยวะชน้ิ นีแ้ ม้จะถูกจัดอยใู่ นกลุ่มทเ่ี รียกวา่ อวัยวะที่อยูส่ ่วนบนของช่องปากกต็ าม แต่ก็เป็นอวยั วะท่ีสามารถเคลอื่ นท่ไี ด้ (2) อวัยวะที่เคล่ือนที่ได้ระหว่างการสร้างเสียง (Active Articulators) เรียกว่า กรณ์ ได้แก่ ริมฝีปากล่าง (Lower lip) ฟันล่าง (Lower teeth) ล้ิน (Tongue) การเกิดเสียง กระแสอากาศจะต้องถูกกักก้ันในลักษณะใดลักษณะหน่ึง การกักกั้นกระแสอากาศก็จะทาได้โดยอวัยวะกลุ่มท่ีเคลื่อนที่ได้ จะเคล่ือนที่เข้าไปหาหรอื เข้าไปใกล้ หรอื เข้าไปชดิ อวัยวะกลุ่มที่เคล่ือนที่ไม่ได้ ก่อให้เกิดเสียงพยัญชนะประเภทต่าง ๆ ท่ีแตกต่างกันไป ริมฝีปำกทั้งสอง (Lips) ริมฝีปากมีหน้าที่ในการปิดช่องปาก (Oral cavity) ในขณะท่ีกาลัง ทาเสียงพยัญชนะอยู่ ริมฝีปากทั้งสองคู่น้ีอาจอยู่ในลักษณะ “ริมฝีปากห่อกลม” ขณะกาลังออกเสียงพยัญชนะบางตัวคาทีอ่ ยใู่ นรูปคุณศัพท์ คอื Labial (ในภาษาละติน labia แปลว่า ริมฝีปาก) เมื่อใดก็ตามท่ีมีการใช้ริมฝีปากท้ังคู่เป็นฐานกรณ์ เราจะเรยี กเสียงนนั้ วา่ Bilabial sound ฟัน (Teeth) ฟันก็เป็นอวัยวะอีกช้ินหน่ึงท่ีมีบทบาทในการทาให้เกิดเสียงพูด เสียงที่เกิดท่ีฐานฟันเรียกว่า dental sounds (ในภาษาละติน dentesแปลว่า ฟัน) ส่วนมากในการทาให้เกิดเสียงในภาษานั้นฟันบนจะมบี ทบาทมากกว่าฟันลา่ ง ล้ิน (Tongue) ลิ้นเป็นอวัยวะออกเสียงท่ีมีความอ่อนพร้ิวมากท่ีสุดในบรรดาอวัยวะออกเสียงท้ังหมดคาว่าtongue นใ้ี นหลายๆ ภาษามคี วามหมายว่า “ภาษา” เนื่องจากล้ินเป็นอวัยวะที่มีความยืดหยุ่นตัวสูงจังทาให้ลิ้นเป็นต้นกาเนิดเสียงพูดจานวนมาก ท้ังน้ีก็เน่ืองจากการใช้ตาแหน่งต่างๆ และการจัดท่าต่างๆ ของลิ้นนัน่ เอง เราวสามารถแบ่งล้นิ ออกเปน็ ตาแหน่งต่างๆ ไดอ้ ย่างครา่ วๆ ดังน้ี คือ – ปลายลิ้นหรอื ลิ้นส่วนปลาย (Tip of the tongue) – ส่วนต่อจากปลายลนิ้ (Blade of the tongue) – ลน้ิ สว่ นหน้าหรือลนิ้ ส่วนตน้ (Front of the tongue) – ลนิ้ ส่วนกลาง (Center of the tongue) – ล้ินส่วนหลงั (Back of the tongue) – โคนลิ้น (Root of the tongue)คาคุณศัพทข์ องคาว่า ลิน้ คือ Lingual, ส่วนคาคุณศัพทข์ องคาว่า tip และ blade คอื apical และ laminalตามลาดบั ปุ่มเหงือก (Alveolar ridge หรือ Gum ridge) คือส่วนทีอ่ ยู่ต่อจากฟนั บน รปู คุณศัพทข์ องคาๆ นค้ี อืalveolar เพดำนแข็ง (Hard palate) คาน้ีมาจากภาษาละตินว่า Palatum โดยทั่วไปถ้ากล่าวถึง Palate เฉยๆมักจะเป็นที่เข้าใจกันโดยท่ัวๆ ไปว่าหมายถึง เพดานแข็ง หรือ Hard palate แต่ถ้าจะหมายถึงเพดานอ่อน(Velum) จะตอ้ งกล่าวเตม็ รูปว่า Soft palate เสมอ บริเวณที่เรียกว่า เพดานแข็งเร่ิมต้นจากส่วนปลายสุดของปุ่มเหงอื กมายงั ส่วนต้นของเพดานอ่อน รปู คาทเี่ ปน็ คาคุณศพั ท์ของคาๆ นี้ คอื Palatal เพดำนอ่อน (soft palate มาจากภาษาละตินว่า Velum) เพดานอ่อนคือส่วนของเพดานปากท่ีอยู่ต่อจากเพดานแข็ง หน้าที่ของเพดานอ่อนในเรื่องภาษาหรือการพูดมี 2 อย่าง คือเพดานอ่อนอาจทาหน้าท่ีเป็น

7Passive articulator ให้ลิ้นส่วนหลัง เลื่อนเข้ามาใกล้หรือเลื่อนมาชิดเพ่ือให้เกิดเสียงในกรณีน้ีเราเรียก เสียงท่ีเกิดขึน้ วา่ Velar sound กรณี 2 เพดานออ่ นสามารถท่ีจะเลอ่ื นข้นึ หรอื ลงได้ ถ้าเพดานอ่อน ลดระดับลงมาก็จะทาใหม้ รช่องทางของอากาศส่โู พรงจมูก ทาใหเ้ กดิ เสยี งนาสกิ (Nasal sound) แต่ถ้าเพดานอ่อนยกตัวขึ้นไปก็จะไปปดิ กน้ั ทางเดินของอากาศท่ีจะเขา้ สู่โพรงจมูกทาให้อากาศระบายออกทางช่องปากได้ทางเดียว ทาให้เกิดเป็นเสียงพยัญชนะท่ีเรียกว่าเสียงช่องปาก (Oral sound) และถ้ามีลมระบายออกทางปาก และจมูกพร้อมๆกัน ก็อาจเกิดเปน็ พยัญชนะ หรอื สระแบบท่มี ีเสียงขึ้นจมูก (Nasalized sound) เสียงที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของลิ้นส่วนหลัง สู่เพดานอ่อนเรียกว่า Velar Sounds ส่วนปลายสุดของเพดานอ่อนท่ีเป็นต่ิงห้อยลงมาคือล้ินไก่(Uvular) และเสียงทลี่ ิ้นไก่ทาหนา้ ทเ่ี ป็นส่วนฐานกรณ์ จะมีชือ่ ว่า Uvular sound ชอ่ งปำก (Oral cavity) ช่องปากนเ้ี ป็นอวยั วะอีกสว่ นหน่งึ ที่มีความสาคัญในการพูด กล่าวคือ ช่องปากจะทาหน้าที่เป็น Resonance chamber ซึ่งมีบทบาทมากในการสั่นสะท้อนเสียงท่ีเดินทางผ่านมาถึงบริเวณนี้ท้ังนี้เพราะชอ่ งปากสามารถจะเปล่ียนแปลงเป็น Resonance chamber รูปร่างต่างๆ กัน เน่ืองจากรูปร่างของมันแปรผันไปตามการจัดท่าของลิน้ ริมฝีปาก และขากรรไกร โพรงจมูก (Nasal cavity) คุณสมบัตหิ รอื ลักษณะของเสยี งพดู ท่ีเกดิ ข้นึ จะแปรผันไปตามการปิดเปดิของชอ่ งทางออกของอากาศที่จะออกสโู่ พรงจมูก ซึง่ เปน็ ผลมาจากการยกขน้ึ หรือเลอ่ื นลงของเพดานออ่ น ช่องคอ (Pharynx) ช่องคอคือช่องทางเดินของอากาศ ท่ีอยู่ด้านหลังของโคนลิ้น ทาหน้าที่เป็นresonance chamber อีกอันหน่ึง ในบางภาษารูปร่างของช่องคอน้ีจะแปรผันไปเพ่ือให้คุณภาพเสียงที่เปล่งออกมามลี ักษณะต่างๆ เช่นในภาษาอาหรับ จะมีเสียงประเภทหน่ึงที่เรียกว่า Emphatic sounds เป็นกลุ่มของเสียงทม่ี ีการตีบช่องคอ โดยการเคล่ือนโคนลิ้นเข้าหาผนังช่องคอทางด้านหลังร่วมกับการทางานของฐานกรณ์ที่ทาให้เกดิ เสยี งนน้ั โดยตรง หลอดลม (Trachea) เป็นช่องทางเดินของอากาศที่เชื่อมโยงระหว่างกล่องเสียงไปยังปอด โดยการเช่ือมโยงของท่อลมเล็กๆ ในปอด (Bronchi) ขณะท่ีมีการกินอาหารหรือการกลืนอาหาร ช่องทางเข้าหลอดลมจะถูกปิดโดย Epiglottisหรือบางท่านเรียกล้ินกล่องเสียง ซ่ึงจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการสาลัก อันเนือ่ งมาจากอาหารตกลงไปในหลอดลม นอกเหนือจากอวยั วะออกเสียงทก่ี ลา่ วมาแล้ว ยังมีอวัยวะท่ีมบี ทบาทสาคัญอย่างย่ิงในการผลติ เสยี งพูดซ่งึ จะกลา่ วถึงในรายละเอยี ดให้มากเป็นพิเศษอีก 2 ส่วน คือ ปอด และกล่องเสียง กล่องเสียง (Larynx) กล่องเสียงเป็นอวัยวะท่ีอยู่ตอนบนสุดของหลอดลมมีความซับซ้อนภายในตัวกล่องเสียงประกอบด้วยกระดูกอ่อนหลายช้ินจัดตัวเรียงกันอยู่ในลักษณะช่วงบนกว้าง ช่วงล่างแคบ ยึดติดกันโดยเอ็น พงั ผืด กล้ามเน้อื และข้อตอ่ กระดูกชิน้ สาคัญๆ ทป่ี ระกอบกันเปน็ กลอ่ งเสยี งมี 4 ชิ้น คือ – Hyoid bone เป็นขอบเขตบนสดุ ของกลอ่ งเสียง และเป็นทเ่ี กาะของกล้ามเนอ้ื ล้ิน – Thyroid cartilage อยทู่ างดา้ นหนา้ ส่วนหน่งึ คือบรเิ วณที่เรยี กวา่ ลูกกระเดือก (Adam’s apple) – Cricoid cartilage เปน็ กระดกู อ่อนทีเ่ ล็ก แตห่ นาและแขง็ แรงมาก อยู่ในระดับตา่ ท่ีสุดในกลอ่ งเสียงทาหน้าทเี่ ปน็ ฐานของกลอ่ งเสียง – Arytenoid cartilage เปน็ กระดูกอ่อนชิ้นเลก็ ๆ 2 ชิ้น รปู ร่างคล้ายปริ ามิด อยู่ติดกับผิวดา้ นหลงัตอนบนของ cricoid cartilage เราสามารถจะสัมผัสบางส่วนของกล่องเสียงได้โดยวางทาบนิ้วมือไปท่ีลาคอส่วนหน้า ซึ่งจะสัมผัสกับสว่ นหนา้ ของกลอ่ งเสยี งซ่ึงเป็นสว่ นของกระดูกอ่อน Thyroid และจะหาได้ง่ายมากในเพศชาย โดยจับที่บริเวณทีเ่ รียกวา่ ลกู กระเดือก ซ่ึงเป็นมุมประมาณ 70 องศา อย่างไรก็ตามในเพศหญิงก็สามารถคลาหากระดูกอ่อนช้ินน้ีได้ไม่ยาก โครงสร้างภายในของกล่องเสียงจะเหมือนกันหมดทั้งเพศหญิงและเพศชาย ส่วนท่ีต่างกันก็คือ

8ขนาดของกล่องเสยี ง ผู้ชายจะใหญ่กว่าผหู้ ญงิ ด้านบนของกลอ่ งเสียงจะอยู่ต่อขากโคนล้ิน ส่วนด้านล่างจะเชื่อมติดกันกับกระดูกวงแหวนข้อแรกของหลอดลม ทางด้านหลังจะสัมผัสกับช่องคอ (Pharynx) ตรงบริเวณที่เปิดเข้าสู่หลอดอาหาร (Esophagus) ภายในกล่องเสียงจะมีอวัยวะที่ทาหน้าท่ีสาคัญมากในการพูดคือ เส้นเสียง(Vocal cords) วางพาดอยู่ เส้นเสียง (Vocal cords, Vocal folds, vocal bands, vocal lips, true vocal folds) เส้นเสียงมีชื่อทางกายวิภาคว่า Plicae มีบทบาทมากในการทาให้เกิดเสียงพูดในภาษา มีลักษณะท่ีเป็นกล้ามเนื้อคู่พิเศษซึ่งประกอบด้วยแผ่นเน้ือเยื่อ (Tissue) และเอ็น (Ligament) วางพาดอยู่ในแนวนอน แถบช่วงกลางของกล่องเสียง ซงึ่ ไม่มบี ทบาทในการเปลง่ เสยี งพูดตามปรกติ แตส่ ามารถเปดิ ปดิ ได้ เพอ่ื กนั ไมใ่ ห้อากาศออกจากหลอดลม กล้ามเนอื้ ทปี่ ระกอบเป็นเสน้ เสยี งท้ังคู่จะเริ่มจากผิวทางด้านหลังของกระดูก Thyroid ตรงมุมหลังด้านใน โดยรวมเป็นจุดร่วมจุดเดียวแล้วแยกห่างออกจากกันมาเกาะท่ีปุ่มกระดูก Arytenoids ซึ่งอยู่ด้านหลังของกล่องเสียง ผิวด้านในของกล่องเสียงเป็นบริเวณท่ีเปิด ไม่ได้ยึดติดกับอะไร เส้นเสียงจะเปิดและปิดโดยการทางานของกระดูกอ่อน Arytenoids ซึ่งจะดึงกล้ามเนื้อเส้นเสียงให้ลู่เข้าหากันหรือแยกออกจากันจะมีช่องว่างระหว่างเส้นเสียงเกิดข้ึน มีช่ือว่า glottis หรือ Rimaglottidis ซ่ึงสามารถจะเปล่ียนแปลงขนาดและรูปร่างออกไปได้หลายแบบข้ึนอยู่กับการทางานของกระดูกอ่อน Arytenoids นอกจากนี้การตึงตัวของเส้นเสียงยัง

9ปรับเปลี่ยนได้ตามการเปล่ียนแปลงของกระดูกอ่อน Thyroid ทั้งนี้เม่ือเส้นเสียงวางตัวอยู่ตามปรกติจะมีลักษณะมน แตเ่ มื่อถกู ดึงให้ตงึ จะมลี กั ษณะเป็นสัน เส้นเสียงจะทางานในรูปแบบต่างๆ กัน ทาให้เกิดเสียงต่างๆ โดยท่ัวๆ ไปการทางานของเส้นเสียงจะขึ้นอยู่กับรปู แบบของการสัน่ (Vibrate) ของเส้นเสยี งเปน็ สาคัญ ท้ังน้ีการส่ันของเส้นเสียงยังจะข้ึนกับขนาดของเส้นเสียงด้วย เปรียบเหมือนเคร่ืองสายลักษณะต่างๆ ทาให้เกิดเสียงดนตรีท่ีแตกต่างกันไปและขนาดของเส้นเสียงท่ีว่านี้จะแตกต่างกันตามอายุ เพศ และพัฒนาการทางกายภาพของแต่ละบุคคลอีกด้วย ตรมปรกติ เด็กและผู้หญิงจะมีเส้นเสียงท่ีส้ันและเล็กกว่าผู้ชาย กล่าวคือ โดยท่ัวๆ ไปเสียงเด็กจะสูงกว่าเสียงผู้หญิง และเสียงผู้หญงิ จะสูงกว่าเสยี งผูช้ าย ปอด (Lungs) เป็นอวัยวะท่ีสาคัญอีกชิ้นหน่ึงในการผลิตเสียงพูด เป็นต้นกาเนิดใหญ่ของพลังงานที่ทาใหเ้ กิดเสียง ปอดตง้ั อยใู่ นบรเิ วณทรวงอก (Thoracic cavity) ลกั ษณะภายนอกของปอด เป็นเนื้อเย่ือชนิดพิเศษมีลักษณะนิ่มคล้ายฟองน้า ไม่มีกล้ามเน้ือหรือกระดูกประกอบอยู่ โดยปรกติมีสีชมพูเรื่อๆ ได้รับการห่อหุ้มป้องกันโดยกระดูกซ่ีโครง ซ่ึงอ้อมจากทางด้านหลังมาทางด้านหน้าเชื่อมกับกระดูกอก (Sternum) ยกเว้นกระดูกซ่ีโครงสองคู่ล่างสุด ซึ่งไม่ได้เชื่อมติดกับกระดูกอก ภายในปอดประกอบด้วยถุงลมเล็กๆ (Alveoli)มากมาย ซึ่งทาหน้าท่ีฟอกโลหิต และในถุงลมเล็กๆ นี้จะประกอบด้วยหลอดลมฝอยจานวนมากซ่ึงรวมกันเป็นหลอดลมแขนงใหญ่ 2 หลอด เรยี กวา่ Bronchi ซ่งึ จะเชอื่ มตวั กบั หลอดลมอีกทหี น่งึ ปอดมี 2 ข้าง แต่ละข้างจะมีจานวนกลับไม่เท่ากัน คือ ปอดข้างขวาจะมี 3 กลีบ และปอดข้างซ้ายจะมีกลีบ 2 กลีบ บริเวณที่ใต้ปอดจะเป็นกระบงั ลม (Diaphragm) ซ่ึงมีลักษณะคล้ายโดมหรือฝาชีคว่า ตัวปอดเคล่ือนไหวไม่ได้ แต่เนื้อเย่ือของปอดยืดหยุ่นได้ด้วยการทางานของอวัยวะอื่นๆ เช่น กล้ามเน้ือระหว่างกระดูกซ่ีโครง (Intercostal muscle) และกระบงั ลม

102. กำรเกิดของเสียง (Speech sound) เสียงเกิดจากลมหายใจออก จึงถือได้ว่า \”ปอด\” เป็นต้นกาเนิดของเสียง โดยกระบวนการออกเสียงเร่ิมขึ้นเมื่ออากาศออกจากปอดผ่านไปทางเส้นเสียง และเม่ือเส้นเสียงสั่นก็จะเป็นเสียงประเภทหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากเสียงที่ผ่านเส้นเสียงแล้วไม่มีการสั่นสะเทือนเกิดข้ึน จากน้ันเสียงจะผ่านเข้าสู่ช่องคอ และถ้าเสียงออกจากตัวผพู้ ูดทางจมกู (ปากปิด) ก็นับเป็นเสียงนาสิก (Nasal) ซ่ึงต่างจากเสียงที่ออกทางปาก(Oral) และนอกจากน้ี\”ล้ิน\” ก็นับเป็นอวัยวะสาคัญที่ทาให้เกิดเสียงต่างๆ เมื่อล้ินสัมผัสเพดานในจุดต่างๆ ช่องปากก็จะเกิดเป็นห้องเสยี งรปู ต่างๆซ่ึงทาให้เกดิ เสียงท่ีตา่ งกันไป เชน่ ถา้ ลิ้นสัมผสั เพดานสว่ นหน้าและเสียงออกจากปาก (เช่น น,ด,ล)ก็จะมีลักษณะที่ต่างจากเสียงท่ีโคนลิ้นปิดกั้นอยู่ที่เพดานอ่อน (เช่น ก,ข,ค) เสียงที่เกิดจากฟันบนขบริมฝีปากล่าง (เช่น ฝ,ฟ) และเม่ือริมฝีปากบนและล่างแตะกัน ก็เกิดเป็นเสียงที่ต่างออกไปอีก (เช่น บ,พ) สรุปก็คือนอกจากเส้นเสียงท่ีทาให้เกิดเสียงในเบ้ืองต้นแล้ว ยังมีอวัยวะอ่ืนๆ เช่น ล้ิน ฟัน ริมฝีปาก และเพดานปากก็มีสว่ นทาให้ เกิดเสยี งลกั ษณะต่างๆ ไดเ้ ช่นกนั

11 ลม ไมส่ น่ัปอด เส้นเสยี ง ชอ่ งคอ สน่ั จมกู เสยี งนาสิกปาก ล้นิ ฟัน เสียงต่างๆ รมิ ฝปี าก เพดาน สรุป เสยี งพูดในภาษา เกดิ จากการเคลื่อนไหวของล้นิ และรมิ ฝปี ากในลักษณะตา่ งๆ มนษุ ย์สามารถสื่อสารได้โดยใช้เสียงในการพูด และการเคลอ่ื นไหวของลิ้นและรมิ ฝีปากในรูปแบบต่าง ๆ ทาให้เราได้ยินเสียงต่าง ๆ และเกดิ ความเข้าใจในการสื่อสารได้ ในบทน้ีจะกล่าวถึงวิธีการสร้างเสียงพูด โดยเสียงพูด เกิดจากการสั่นสะเทือนเป็นลมหายใจที่ผ่านออกจากปอด เม่ือกระแสลม (Airstreams) ที่ผ่านปอด ถูกปิดก้ัน หรือถูกบีบจากอวัยวะภายในปาก ลมท่ีจะออกไปในทิศทางท่ีต่างกัน จึงทาให้เกิดเสียงท่ีแตกต่างกันไป โดยปกติคนเราจะเปล่งเสยี งพดู ขณะทห่ี ายใจออก กระบวนการออกเสียงนั้นประกอบด้วยสว่ นสาคัญ 3 สว่ น ดงั น้ี ส่วนเร่ิมต้นท่ีทาให้เกิดกระแสลม (Initiation) ได้แก่ช่วงลาตัว ท่ีมีอวัยวะสาคัญคือปอด (Lungs) กระบังลม (Diaphragm) กล้ามเน้ือช่วยหายใจ (Respiratory Apparatus) และกระดูกซี่โครงที่ทาหน้าท่ีส่งลมออกมาจากปอด ส่วนท่ีทาให้เกิดเสียง (Phonation) คืออวัยวะท่ีทาให้เกิดการแปรคุณภาพเสียง ไดแก่กล่องเสียง(Larynx) ซ่ึงภายในกลอ่ งเสียงจะประกอบดว้ ยเส้นเสียง (Vocal Cords) ที่มีแผ่นเอ็นบาง ๆ สองเส้นวางขนานอยู่ในแนวนอน เส้นเสียงน้ีสามารถยืดหยุ่นและเคล่ือนไหวได้ตามกระแสลมในขณะหายใจออก หรือเม่ือออกเสยี งพยัญชนะประเภทกอ้ ง (Voiced) กับไมก่ ้อง (Voiceless) ส่วนท่ีเปลี่ยนแปลงลักษณะของเสียง (Articulation) คืออวัยวะที่ทาให้เสียงที่เปล่งออกมาน้ัน มีลักษณะแตกต่างกัน ได้แก่ช่องคอ (Pharynx) ช่องปาก (Oral Cavity) หรือช่องจมูก (Nasal Cavity) ท้ังสามส่วนน้ีเรียกว่าช่องทางเดินของเสียง (Vocal Tract) โดยท่ีเสียงเปล่งออกมาน้ันแตกต่างกันเน่ืองจากการเคล่ือนไหวของอวัยวะภายในปาก

12 แบบฝกึ หัด1. คำส่ัง จงโยงเส้นเพื่อจบั คู่อวยั วะตอ่ ไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ ง ริมฝีปากทัง้ สอง Diaphragm ฟัน Lungs ล้ิน Glottis Vocal cords ปลายลิน้ Adam’s apple โคนลิน้ Cricoid cartilage ปมุ่ เหงือก Larynx เพดานแข็ง Trachea เพดานออ่ น Pharynx ชอ่ งปาก Nasal cavity โพรงจมูก oral cavity ชอ่ งคอ uvular หลอดลม soft palate กลอ่ งเสียง the palate ลกู กระเดือก alveolar ridge ฐานกลอ่ งเสียง root of the tongue เสน้ เสยี ง tip of the tongue tongue ปอด teeth กระบงั ลม lipsช่องว่างระหวา่ งเส้นเสียง ลนิ้ ไก่

132. คำสงั่ จงเขยี นศพั ท์เฉพาะ (Technical terms) ของอวัยวะในการออกเสยี งให้ถูกต้อง

143. คำสั่ง จงตอบคาถามให้ถูกตอ้ ง1. อวัยวะท่ีมบี ทบาทในการทาใหเ้ กดิ เสยี งพูด เสียงทเ่ี กดิ เรียกว่า dental sounds คือ …………………………….2. อวัยวะออกเสยี งที่มคี วามอ่อนพลิว้ มากทีส่ ุดในบรรดาอวัยวะออกเสยี งท้ังหมด คือ …………………………….3. ส่วนของเพดานที่สามารถเลอื่ นขนึ้ หรอื ลงได้ คือ …………………………….4. ส่วนปลายสดุ ของเพดานอ่อนทเี่ ป็นต่งิ ห้อยลงมา คือ …………………………….5. ช่องทางเดินของอากาศ ท่ีอยู่ด้านหลังของโคนล้ิน คอื …………………………….6. ขณะที่มกี ารกนิ อาหารหรือการกลนื อาหาร ชอ่ งทางเข้าหลอดลมจะถูกปดิ โดย ……………………..7. อวยั วะท่อี ยตู่ อนบนสดุ ของหลอดลม คือ …………………………….8. เสยี งทอี่ อกจากตวั ผู้พูดทางจมูก คือ …………………………….9. อวยั วะที่มีลกั ษณะนม่ิ คลา้ ยฟองน้า คือ …………………………….10. อวัยวะที่ไม่สามารถเคล่อื นไหวได้ คือ …………………………….

15 เอกกำรอำ้ งองิเทยี นมณี บุญจุน (2548) ระบบเสียงในภำษำองั กฤษและภำษำไทย. สานักพมิ พิ์โอเดยี นสโตร์ : กรุงเทพมหานคร.วิไลวรรณ ขนษิ ฐานันท์ (2527) ภาษาและภาษาศาสตร.์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร.์ กรุงเทพมหานคร.ปรารมภ์รตั น์ โชติกเสถียร (2544) กำรออกเสียงสระและพยัญชนะในภำษำองั กฤษ. สานักพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร.อดุ ม วโรตมส์ ิกขดติ ถ์ (2513) ภาษาศาสตรเ์ บื้องตน้ . สานักพมิ พม์ หาวิทยาลยั รามคาแหง. กรงุ เทพมหานคร.Catford L.C., (2001) A Practical Introduction to Phonetics. Oxford University Press.Pongthep Bunrueng. (2017) English Phonetics and Phonology. n.p.

16 Unit 2 : เสียงพยญั ชนะในภำษำองั กฤษ (English Consonant Sounds)วตั ถปุ ระสงค์ 1. สามารถออกสยี งพยัญชนะตน้ คาและทา้ ยคาในภาษาองั กฤษได้ 2. สามารถบอกลักษณะการออกเสยี งพยัญชนะภาษาองั กฤษไดต้ ้อง 3. สามารถเขียนสญั ลกั ษณ์ทางสทั ศาสตร์ของเสียงพยญั ชนะได้บทนำ เสียงพยัญชนะคือเสียงที่เกิดจากการทางานและความสัมพันธ์ของระบบในร่างกาย เร่ิมตั้งแต่กระแสลมออกจากปอด ถกู ดันออกมาทางหลอดลม ผ่านเส้นเสียงและกล่องสียง มาถูกอวัยวะท่ีอยู่ต้ังแต่ช่วงลาคอทาการปดิ กกั แล้วปลอ่ ยให้กระแสลมผา่ นออกมาทางช่องปากหรอื ช่องจมูก จุดประสงค์สาคัญของการส่ือสารภาษาอังกฤษในปัจจุบัน คือ การเน้นให้ ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาส่ือความหมายได้ทั้งการพูดและการเขียน หรือ มีครบท้ัง 4 ทักษะ คือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนนกั ศกึ ษาจาเป็นต้องเรียนรู้ทักษะดังกล่าวเป็นอย่างมาก อีกท้ังนักศึกษาเรียนวิชาเอกภาษาจีน อังกฤษ เป็นผู้รู้2 ภาษา ทาให้สามารถเทยี บเสียงและถ่ายโอนความสามารถทางภาษาองั กฤษสลับกบั ภาษาจีนได้ ตามหลักภาษาศาสตร์ส่ิงแรกท่ีครคู วรรู้จัก คอื เรื่องเสียง เพราะเสียงเป็นสว่ นประกอบทส่ี าคัญของภาษา และในแตล่ ะภาษาก็ยอมจะมีระบบเสียงของตนโดยเฉพาะ ดังนั้น การศกึ ษาถงึ เรื่องที่เกดิ ของหน่วยเสียง(Phonemes) หนว่ ยเสยี งตา่ ง ๆ ทงั้ สระและ พยัญชนะ การเนน้ คา และการลงจงั หวะต่าง ๆ จงึ เปน็ สิง่ จาเป็นสาหรบั นกั ศึกษาเป็นอย่างมาก ภาพประกอบต่อไปนแี้ สดงสัญลกั ษณ์ทางสทั ศาสตร์ของหนว่ ยเสียงพยญั ชนะในภาษาอังกฤษ ภำพประกอบ สญั ลักษณท์ างสัทศาสตรข์ องหนว่ ยเสยี งพยัญชนะ เสยี งในภำษำอังกฤษแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1. เสยี งพยัญชนะ (Consonant Sounds) 2. เสียงสระ (Vowel Sounds)1. เสยี งพยัญชนะ (Consonant Sounds)

17เสยี งพยัญชนะในภาษาอังกฤษมี 24 เสียง และแบ่งเปน็ 3 ชนดิ คอื 1. แบ่งตามตาแหน่งทีเ่ กิดเสียง (Points of Articulation) 2. แบ่งตามลกั ษณะการออกเสียง (Manners of Articulation) 3. แบ่งตามการสน่ั หรือไมส่ ั่นของเสน้ เสยี งในการเปล่งเสยี งของพยัญชนะ (Voicing)1.1 กำรแบง่ ตำมตำแหนง่ ที่เกดิ เสียง (Points of Articulation) ในการออกเสยี งพยัญชนะต่าง ๆ เราควรรถู้ งึ ทเี่ กิดและอวยั วะทท่ี าใหเ้ กดิ เสียงนั้น ๆและถา้ จะแบ่งตามตาแหน่งท่ีเกดิ เสยี ง จะแบ่งไดด้ ังต่อไปนี้ 1. เสยี งทเ่ี กดิ จากริมฝปี ากบนและล่าง (bilabial sounds) ไดแก่ เสยี ง /p/, /b/, /m/ และ /w/ 2. เสียงที่เกิดจากริมฝีปากและฟัน (labio-dental sounds) ไดแก่ เสยี ง /f/ และ /v/ 3. เสยี งที่เกดิ ระหว่างฟัน (interdental sounds) ไดแกเ่ สียง / θ /และ /ð/ 4. เสยี งทเี่ กิดจากป่มุ เหงือก (alveolar sounds) ไดแก่ เสยง /t/, /d/, /s/, /z/, /l/,และ /n/ 5. เสยี งทเ่ี กิดหลังปุม่ เหงือก (post-alveolar sounds) ไดแ้ ก่ เสียง / ʃ /, / ʒ / 6. เสยี งทีเ่ กิดจากเพดานแข็ง (palatal sound) ได้แก่เสยี ง /j/, /t/, / dʒ /, /r/ 7. เสียงทเี่ กิดจากเพดานออ่ น (velar sounds) ไดแ้ ก่เสียง /k/, /g/ และ / ŋ / 8. เสยี งทเ่ี กดิ จากช่องระหวา่ งเส้นเสียง (glottal sound) ไดแ้ ก่เสยี ง /h/1.2 กำรแบง่ ตำมลักษณะของกำรออกเสียง (Manners of Articulation) การแบง่ ตามลักษณะการออกเสียง แบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ ดังน้ี 1. เสยี งกักหรือเสียงระเบิด (plosive sounds) เป็นลักษณะของเสยี งที่เกิดจากคฐู่ านกรณค์ ใู่ ดคู่หนง่ึ ปิดก้ันทางลมไว้สนทิ สักครู่แล้วปลอ่ ยให้ลมพุ่งออกมาในลกั ษณะระเบิดมีทง้ั หมด 6 เสยี งไดแ้ ก่ เสียง /p/,/b/, /t/, /d/, /k/, /g/ 2. เสียงกักเสียดแทรก (affricate sounds) เปน็ เสียงที่ไม่มใี นภาษาไทย ลกั ษณะการออกเสียงจะคล้ายการออกเสยี งกัก คือกกั ลมไว้ก่อนแลว้ ค่อยปล่อยลมเสยี ดแทรกออกมา จะไม่ปลอ่ ยระเบิดออกทเ่ี ดยี วเสียงกักเสยี ดแทรกเส้นเสียงจะไมส่ ั้นหรือไม่ก้อง ได้แก่เสยี ง / tʃ /, /dʒ/ 3. เสียงเสียดแทรก (fricative sounds) เปน็ ลักษณะของการเกดิ เสียงเมอื่ อวัยวะทัง้ สองเคล่อื นเขา้ หากนั เพอ่ื ใหล้ มได้พุ้งเสยี ดแทรกออกมา อาจเปน็ การเสียดแทรกผ่านริมฝปี ากและฟนั บน หรือฟันและลิน้เป็นต้น เกิดได้ท้ังเส้นเสียงส่ันและเสยี งไมส่ นั่ ไดแ้ กเ่ สยี ง /f/, /v/, / θ /, /ð/, /s/, /z/, / ʒ /, /h/, / ʃ / 4. เสียงนำสิก (nasal sounds) การออกเสยี งพยญั ชนะกลุม่ นาสิก คลา้ ยกบั การออกเสยี งกัก(plosive) ในขณะออกเสยี งนาสกิ ลน้ิ ไกจ่ ะไม่เคลื่อนไปแตะทีผ่ นังชอ่ งคอ เชน่ กลมุ่ เสียงกกั เพราะจะปลอ่ ยลมให้เคล่ือนส่โู พรงจมูก และมลี ักษณะเส้นเสียงสัน่ หรอื เสยี งก้องท้งั หมด ไดแ้ ก่เสยี ง /m/, /n/, / ŋ / 5. เสียงข้ำงล้นิ (lateral sound) คือลมที่ออกจากปากทางดา้ นข้างของล้ิน เม่อื ลมที่ผา่ นเส้นเสียงขึ้นมาถึงช่องปาก ใหล้ ้ินกดเพดานตรงแนวชอ่ งกลางล้ินไวแ้ ล้วปลอ่ ยใหล้ มออกทางดา้ นขา้ งๆไดแ้ ก่เสียง /l/ 6. เสยี งกระดกล้ิน (Tap or flap) เกิดจากการยกปลายล้ินใหอ้ ย่สู ่วนหลงั เพดานปากส่วนหน้า

18แล้วค่อยลดปลายลิน้ ลง ไดแ้ ก่เสยี ง /r/ สาเนยี งอังกฤษมักไม่ออกเสยี ง /r/ ทีท่ ้ายคา แตอ่ เมริกนั จะออกเสียงดังกล่าว 7. เสียงก่ึงสระ (semi-vowel sounds) เกดิ รมิ ฝปี ากทั้งสอง ออกเสียงคล้าย ว ในภาษาไทยเสยี งนเี้ กดิ ี่ต้นคาหรือระหว่างคาเทา่ น้นั ไดแ้ ก่เสยี ง /w/, /y/1.3 กำรแบง่ ตำมกำรส่นั หรอื ไม่ส่นั ของเส้นเสียงในกำรเปลง่ เสียงพยัญชนะ (Voicing) เสียงพยญั ชนะในภาษาอังกฤษ แบง่ เปน็ 2 ลกั ษณะ คอื 1. เสยี งพยญั ชนะทีเ่ ปน็ เสียงโฆษะ/เสียงสน่ั (voiced) จานวน 15 เสียง ได้แก่ /b/, /d/, /g/, /v/, /ð/, /z/, /dʒ/, /ʒ/, /m/, /n/, /ŋ/, /l/, /r/, /w/, /y/ 2. เสยี งพยญั ชนะที่เป็นเสียงอโฆษะ/เสียงไม่สน่ั (voiceless) จานวน 9 เสยี ง ไดแ้ ก่ /p/, /t/, /k/, /f/, /θ/, /s/, / tʃ /, /ʃ/, /h/

19 ตำรำงแสดงกำรแบง่ หนว่ ยเสยี งพยัญชนะในภำษำองั กฤษลกั ษณะกำรออก ตำแหนง่ กำรเกิดเสยี ง (Points of Articulation)เสียง (Mannerof Articulation) ริม ริมฝปี าก- ฟนั ปมุ่ เหงอื ก หลังปุ่ม- เพดาน เพดาน ช่องคอ ฝปี าก ฟัน (inter- (alveolar) เหงือก แขง็ อ่อน (glottal) (bilabi (labio- dental) (Post- (palatal) (velar) al) dental) alveolar)เสียงระเบิดหรือกกั voiceless /p/ /t/ /k/(Plosive/stop) /d/ /g/ voiced /b/เสยี งกึ่งเสยี ด voiceless /tʃ/ แทรก voiced /dʒ/(Affricate)เสียงเสยี ดแทรก voiceless /f/ / θ/ /s/ / ʃ/ /h/ (Fricative) /v/ /ð/ /z/ / ʒ/ voicedเสียงนำสิก voiced /m/ /n/ /ŋ/(Nasal)เสียงกระดกลิน้ voiced /r/(Tap or Flap)เสยี งข้ำง voiced /l/ ลน้ิ(Lateral)เสยี งกงึ่ voiced /w/ /j/สระ(Semi-vowel)

20 Consonant Sounds1. เสียงพยญั ชนะ /p/, /b/, /m/ (Bilabial stops) เสยี งพยัญชนะ /p/, /b/ เปน็ เสียงท่ีเกิดทรี่ ิมฝปี าก ลมทผ่ี ่านจากปอดจะถูกกักไว้ ขณะหนง่ึ ในขณะทรี่ ิมฝปี ากบนและล่างปิดสนทิ แล้วจึงปลอ่ ยลมออกมา เสียง /p/ และ /b/ จะต่างกันคือเสยี ง /p/ เป็นเสียงไม่ก้อง คือเส้นเสียงไมส่ ่ัน แตเ่ สียง /b/ จะเปน็ เสยี งกอ้ ง เสน้ เสยี งส่นั เสยี ง /p/ ท่ีเกิดในตาแหนง่ ต้นคา pin pat pan pie เสยี ง /b/ ท่เี กิดในตาแหนง่ ต้นคา bee bought buy bread เสียง /p/ ทเ่ี กิดในตาแหนง่ ท้ายคา tip top tap trip เสยี ง /b/ ท่เี กิดในตาแหนง่ ท้ายคา cab sob lab job เสยี งพยัญชนะ /m/ (Voiced bilabial nasal) เปน็ เสยี งพยญั ชนะนาสิกที่เกิดข้นึ ท่รี ิมฝปี าก ปากจะปดิ แน่นเพื่อกักลมจากปอด และลมจะออกจากปอดโดยผา่ นช่องจมกู และ ออกมาทางรูจมูก เสียง /m/ จงเป็นเสียงกอ้ ง เสน้ เสียงจะสนั่ เสยี ง /m/ ท่ีเกิดในตาแหน่งต้นคา mean mill moss meet เสียง /m/ ท่เี กดิ ในตาแหนง่ ท้ายคา dim hum roam sum2. เสียงพยญั ชนะ /t/, /d/, /n/ (Alveolar stops) เสยี งพยญั ชนะ /t/, /d/ เปน็ เสยี งท่เี กิดขน้ึ ท่ีปุ่มเหงือก โดยปลายล้นิ จะยกขึน้ แตะปุ่มเหงือก และกักลมไวช้ ั่วขณะหนง่ึ แล้วจึงปลอ่ ยลมออกมาทางชอ่ งปาก ในขณะท่ีออกเสียง /t/ จะเปน็ เสียงไม่กอ้ ง คอื เสน้ เสยี งไม่สั่น แต่ถา้ ออกเสยี ง /d/ เส้นเสียงจะสั่น และมีลักษณะเป็นเสยี งก้อง เสียง /t/ ทเี่ กิดในตาแหน่งต้นคา

21 tip talk taxi tab teach เสียง /t/ ท่เี กดิ ในตาแหน่งท้ายคา cat pet best boat get เสียง /d/ ท่เี กดิ ในตาแหนง่ ต้นคา din dip dim dam doll deep เสยี ง /d/ ทเ่ี กดิ ในตาแหน่งท้ายคา old bad had add เสยี งพยญั ชนะ /n/ (Voiced alveolar nasal) เปน็ เสยี งพยัญชนะนาสิกที่เกิดที่ปมุ่ เหงือกโดยปลายลิ้นจะแตะท่ปี มุ่ เหงือกเพ่อื กกลมชั่วขณะหนึ่ง แล้วจงึ ระเบิดออกมาโดยลมผา่ นเขา้ ไปในช่องจมูกและออกมาทางรูจมกู เสยี งพยญั ชนะ /n/ จะเปน็ เสียงก้อง เส้นเสียงส่นั เสยี ง /n/ ทเ่ี กดิ ในตาแหน่งต้นคา now name next เสยี ง /n/ ทเี่ กิดในตาแหนง่ ทา้ ยคา ban won fine3. เสียงพยญั ชนะ /k/, /g/, / ŋ / (Velar stops) เสียงพยญั ชนะ /k/, /g/ เปน็ เสียงท่ีเกดิ ทเ่ี พดานอ่อน ลนิ้ ส่วนหลังจะยกขน้ึ แตะ เพดานอ่อน ลมที่ ออกมาจากปอดจะถูกกักอยชู่ ่ัวขณะหนงึ่ เม่ือปล่อยลิน้ ลมจะถกู ปล่อย ออกมาอยา่ งเร็ว เสยี ง /k/ และ /g/ จะต่างกนั คอื เสียง /k/ จะเปน็ เสยี งไม่ กอ้ ง สว่ นเสียง /g/ จะเป็นเสียงกอ้ ง เสยี ง /k/ ท่เี กิดในตาแหน่งต้นคา come keep count kite could kill เสียง /g/ ที่เกดิ ในตาแหนง่ ต้นคา

22gift good guygoal give gabเสียง /k/ ท่ีเกิดในตาแหนง่ ทา้ ยคาpick dick hook lookเสียง /g/ ทเี่ กดิ ในตาแหนง่ ท้ายคาdig pig tag bag เสยี งพยัญชนะ / ŋ / (Voiced velar nasal) เป็นเสยี งทเี่ กดิ ทเี่ พดานออ่ น ลิ้นส่วนหลงัจะแตะอย่ทู ี่เพดานอ่อน เม่ือเพดานอ่อนลดระดับลง ลมจะออกผา่ นมาทางช่องจมูก โดยมลี ักษณะเป็นเสียงพยญั ชนะนาสิกและเป็นเสยี งกอ้ ง เสียง / ŋ / ออกเสียงเหมอื นเสยี งทีส่ ะกดดว้ ยอกั ษร “ง” ในภาษาไทยตาแหนง่ ซึ่งจะ เกดิ ในตาแหนง่ ตน้ คา กลางคา และทา้ ยคา แต่เสียงพยัญชนะ / ŋ / ในภาษาอังกฤษจะเกิด เฉพาะในตาแหน่งกลางคา และทา้ ยคาเท่านัน้ เสียง / ŋ / ท่ีเกิดในตาแหน่งกลางคา banging jungle finger เสยี ง / ŋ / ท่ีเกดิ ในตาแหน่งท้ายคา ring sung thing 4. เสียงพยัญชนะ /f/ และ /v/ (Labio-dentalfricatives) เสียงพยัญชนะ /f/, /v/ เป็นเสียงพยัญชนะเสียดแทรก เกิดจากฟนั บนและริมฝปี ากล่างคือ ริมฝปี ากล่างเคล่ือนขนึ้ สัมผสั กับขอบฟันบน ลมจากปอดจะแทรกผา่ นช่องแคบๆ ระหว่างรมิฝปี ากลา่ งและฟันบน เสยี ง /f/ และ /v/ จะแตกตา่ งกันทเี่ สียง /f/ เปน็ เสียงไม่ก้อง เสน้ เสียงจะไม่ส่ัน แต่เสยี ง /v/ เปน็ เสียงก้อง เสน้ เสยี งจะสัน่ เสยี ง /f/ ที่เกิดในตาแหนง่ ต้นคา fin first fan ferry feel final เสียง /f/ ทเ่ี กิดในตาแหน่งท้ายคา loaf life wife beef off cough

23เสียงพยญั ชนะ /f/ ที่ปรากฏในตาแหนง่ ทา้ ยคา มักจะเปน็ ปญั หาสาหรับคนไทย เนอื่ งจากเสยี งพยัญชนะ /f/ จะไมเ่ กดิ ท้ายคาในภาษาไทย คนไทยจึงมักออกเสยี งคล้ายกับเสยี งที่สะกดด้วยตัวอักษร “w” หรือ “ป” ในภาษาไทย เสยี ง /v/ ทีเ่ กดิ ในตาแหน่งต้นคา van vowel vine vain view value เสียง /v/ ทเ่ี กดิ ในตาแหน่งท้ายคา solve give cave behave believeเสยี งพยญั ชนะ /v/ เป็นเสียงที่เป็นปญั หาสาหรับคนไทย เพราะเสียง /v/ นี้จะไมม่ ี ในภาษาไทย คนไทยจงึ มกั ใช้เสยี ง /w/ในตาแหน่งต้นคา ซึ่งจะคลา้ ยกบั ตวั “ว” ใน ภาษาไทย และใช้ตวั “บ” แทน “v” ท่ีปรากฏในตาแหน่งท้ายคา5. เสียงพยญั ชนะ /θ/ และ /ð/ (Interdental fricatives) เสยี งพยัญชนะ /θ/ และ /ð/ เป็นเสยี งพยญั ชนะเสยี ดแทรก ปลายลน้ิ จะอยตู่ รง ขอบฟนั บน ลมจากปอดจะแทรกผ่านช่องลมแคบ ๆ ระหวา่ งปลายลนิ้ กับขอบฟนั บน ออกมา เสยี ง/ θ/ และ /ð/ จะแตกตา่ งกนั คือ เสยี ง / θ/ จะเปน็ เสียงไม่กอ้ ง แต่เสียง /ð/ จะ เปน็ เสียงกอ้ งเสยี ง / θ/ ท่ีเกิดในตาแหนง่ ต้นคาthin theme thick thigh thing thoughtเสียง / θ/ ท่เี กดิ ในตาแหน่งทา้ ยคาteeth path north bath math bothเสยี ง /ð/ ทเ่ี กดิ ในตาแหนง่ ต้นคาthat their though those thee themเสียง /ð/ ทเี่ กิดในตาแหนง่ ท้ายคาbathe soothe mouth smooth loathe see theเสยี งพยัญชนะ / θ/ และเสียง /ð/ เป็นเสียงทเ่ี ป็นปญั หาสาหรบั คนไทย เพราะไม่มสี องเสียงนใี้ นภาษาไทย ดงั น้ัน คนไทยจึงมักใชเ้ สียงในภาษาไทยทีใ่ กล้เคียงแทน เช่นใชเ้ สียง /t/ แทน/ θ// และเสียง /d/ แทน /ð/

246. เสียงพยัญชนะ /s/ และ /z/ (Alveolar fricatives) เสียงพยัญชนะ /s/ และ /z/ เป็นเสียงพยัญชนะเสียดแทรกที่เกิดขนึ้ ใกล้กับปมุ่ เหงือก ปลายล้ินจะข้ึนไปใกล้กบั ปุ่มเหงือก แต่ไม่แตะปุ่มเหงือก และส่วนกลางของลนิ้ จะมี ลักษณะคลา้ ยรองลงไป ลมจากปอดจะสอดแทรกผา่ นรองมาและเกดิ เป็นเสยี งขนึ้ เสยี ง /s/ และ /z/ จะต่างกนั คือ เสยี ง /s/ จะเป็นเสียงไม่กอ้ ง และเสยี ง/z/ จะเป็นเสยี งกอ้ ง เสียง /s/ ที่เกิดในตาแหนง่ ต้นคา sink sip sue เสยี ง /s/ ทเี่ กดิ ในตาแหน่งท้ายคา bus close this เสยี ง /z/ ทเี่ กดิ ในตาแหน่งตน้ คา zip zoo zeal zero เสยี ง /z/ ท่เี กิดในตาแหนง่ ทา้ ยคา7. เสยี ง rose eyes quiz พยัญชนะ / ʃ /, / ʒ /, / dʒ /, / tʃ / เสียงพยัญชนะ / ʃ / และ / ʒ / (Post-alveolarfricatives) เปน็ เสียงพยัญชนะเสียดแทรก ลิ้นด้านหนา้ จะเคลื่อนไปใกลก้ ับเพดานแข็งบริเวณที่อยหู่ ลังปมุ่เหงอื ก แต่ไม่แตะ สว่ นใดของเพดานปาก ฟันบนและฟนั ลา่ งจะอยู่ในรปู ท่เี กือบแตะกนั ริมฝีปากห่อและยื่นออกไปเล็กนอ้ ย ลมจากปอดจะแทรกผ่านช่องแคบ ๆ ในปากออกมา เสยี ง / ʃ / และ / ʒ / จะตา่ งกนั คือเสียง / ʃ / เปน็ เสียงไมก่ ้อง และเสียง / ʒ / เป็นเสยี งก้อง นักเรยี นไทยมกั จะมีปญั หาในการออกเสียง / ʃ /เพราะไม่มเี สยี งน้ใี นภาษาไทย และมักจะออกเสยี งคลายตวั “ฉ” “ช” แทน เสยี ง / ʃ / ท่เี กดิ ในตาแหน่งต้นคา shy shape shut เสยี ง / ʒ / ท่เี กดิ ในท้ายคา beige garage prestige8. เสยี งพยัญชนะ /h/ (Voiceless glottal fricative) เสียงพยญั ชนะ /h/ เป็นเสียงพยัญชนะเสียดแทรก เม่ือเส้นเสียงเคลือ่ นทเี่ ข้าหากัน ทาให้เกดิ ช่องแคบ ๆ ระหว่างเสยี ง และลมจากปอดแทรกผา่ นเส้นเสยี ง จงเกดิ เปน็ เสยี ง /h/ ข้ึน เสียงน้ีไม่เป็นปญั หาสาหรบั คนไทยในการออกเสียง เพราะจะมีการออกเสยี งคลา้ ยกับเสยี งท่ีสะกดด้วยตัวอักษร “ห” หรอ “ฮ” ของภาษาไทย

25 เสียง /h/ นีจ้ ะเป็นเสียงท่ีเกิดเฉพาะในตาแหน่งตน้ คาและกลางคาเทา่ นนั้ จะสงั เกตได้วา่คาในภาษาองั กฤษบางคาจะมีตัวอักษร h ในส่วนตาแหนง่ ท้ายคา แต่ตัวอักษร h น้ันก็จะไมถ่ ูกออก เสียง เชน่ oh /o/ เปน็ ต้น เสียง /h/ ในตาแหนง่ ตน้ คา home hill hum เสียง /h/ ตาแหนง่ กลางคา ahead behold 9. เสียงพยัญชนะ /l/ (Voiced alveolar lateral) เสียงพยญั ชนะ /l/ เปน็ เสียงพยัญชนะข้างลิ้นซึ่งเกิดขน้ึ ท่ปี ่มุ เหงอื กในการออกเสียง /l/ปลายลน้ิ จะยกข้ึนแตะปุ่มเหงือก และด้านข้างของลน้ิ จะลดลงโดยไมแ่ ตะกับส่วนใดในปากเลยลมจากปอดจะผา่ นออกมาทางด้านขา้ งของลิ้น ดังนัน้ เสยี งพยัญชนะ /l/ จงึ เป็น เสยี งกอ้ ง คลา้ ยกบัเสยี ง “ล” ในภาษาไทย เสียง /l/ ตาแหน่งตน้ คา let latch lean เสียง /l/ ตาแหน่งท้ายคา fool call tail3.10 เสียงพยัญชนะ /r/ (Voiced post-alveolar semi-vowel เสยี งพยัญชนะ /r/ เปน็ เสียงก่ึงสระ เกิดบรเิ วณใกลก้ ับปุ่มเหงอื ก ปลายลน้ิ จะถกู ยกขน้ึ ไปใกลก้ บั เพดานแข็งบริเวณด้านหลงั ปุ่มเหงอื ก แตไ่ ม่แตะกับปุ่มเหงอื ก เสียงพยัญชนะ /r/ ตาแหนง่ ต้นคา ride rich road raw เสยี งพยัญชนะ /r/ ตาแหน่งท้ายคา fire repair four fair

2611. เสียงพยญั ชนะ /w/ และ /y/ เสียงพยญั ชนะ /w/ (Voiced bilabial semi-vowel) เป็นเสยี งกงึ่ สระ ลน้ิ จะอยใู่ นตาแหนง่ ของเสยี งสระ /u/ ริมฝีปากจะย่ืนและห่อ เสยี งพยัญชนะ /w/ ตาแหน่งต้นคา wash wet waist way เสยี งพยัญชนะ /y/ (voiced palatal semi-vowel) เป็นเสยี งกง่ึ สระ ในการออกเสยี งนี้ ล้ินส่วนหนา้ จะถกูยกขึ้นใน ระดับของเสยี งสระ /i/ ลมจากปอดผ่านชองปากออกไปเสียง /y/ เปน็ เสียงก้อง และออกเสยี งคล้ายกับตวั “ย” ในภาษาไทย เสียงพยญั ชนะ /y/ ในตาแหน่งตน้ คา young yard yacht yarn yeast yellow

27 สรปุ พลังงานทจี่ ะแปรเปน็ เสยี งคือลมจากปอดในขณะทห่ี ายใจออก ลมหายใจออกตามธรรมดาจะเงยี บ ถ้าจะใหไ้ ด้ยนิ ต้องทาใหเ้ กดิ การสนั่ สะเทอื น ซ่ึงอาจจะเกิดข้นึ โดยไมร่ ้สู ึกตวั เชน่ เวลากรน แต่เวลาออกเสียงพูดโดยจงใจทาให้ลมหายใจออกเกิดการสนั่ สะเทือน โดยทาให้เส้นเสียงเคล่ือนไหว ขณะท่ีพูด ลมทีอ่ อกจากปอดขึ้นมาจากหลอดลม ผา่ นกล่องเสยี งเขา้ สู่ช่องคอชอ่ งจมูกและชอ่ งปาก แตว่ า่ เพดานอ่อนจะกระดกขึน้ ปดิ ทางเช่ือมระหวา่ งชอ่ งคอกับช่องจมูก เสียงท่ีเกดิ จากลมท่ีออกมาจากปอดผ่านเสน้ เสยี ง หากเส้นเสียงแคบลมก็จะไมส่ ามารถผา่ นออกมาได้โดยสะดวก ต้องดันเส้นเสียงออกมา ทาใหเ้ ส้นเสยี งสนั สะเทอื นเสียงท่ีออกมาจงึ ก้อง เชน่ เสียง /z/ เซอะ, /j/เจอะ, /m/ เมอะ เรียกว่าเสียงก้อง (Voiced Sound) วธิ ีการสังเกตเวลาเราออกเสียง สระหรอื พยัญชนะลองเอาน้วิ มือแตะบรเิ วณข้างๆ ลาคอเราจะรับรถู้ งึ แรงสน่ั ของเส้นเสยี ง ส่วนเสียงเปดิ กวา้ ง ลักษณะการเกดิเสียงเหมอื นแบบ Voiced แต่ลมจะออกมาได้สะดวกไม่กระทบเสน้ เสยี ง เสน้ เสียงจงึ ไมส่ ่ัน เชน่ เสียง /k/ เคอะ,/t/ เทอะ , /n/ เนอะ เรียกวา่ เสยี งไมก่ ้อง (Voiceless Sound) ความแตกตา่ งระหวา่ งเสยี งกอ้ งและเสียงไม่ก้อง อยู่ทีภ่ าพการสั่นของเส้นเสียง ถา้ เสน้ เสียงอยู่ชดิ กนั ลมทอ่ี อกจากปอดขน้ึ มาตามหลอดลมถูกกัก ทาให้เกิดแรงดันซ่ึงมีผลทาใหเ้ สน้ อ้าปล่อยให้ลมผา่ นออกมา เม่อื แรงดันลดลงเส้นเสียงก็จะกลับไปปดิ อย่างเดิม เสยี งทเี่ กิดจากลมผา่ นเส้นเสยี งทเ่ี ปิดหรือปิดอยู่และถูกสกัดกนั้ เรียกวา่ เสยี งพยญั ชนะ (Consonants) เสียงพยญั ชนะในภาษาอังกฤษ ประกอบดว้ ย เสียงหยดุ หรอื กกัก /p/,/b/,/t/,/d/,/k/,/g/ เสยี งเสยี ดแทรก /f/,/v/,/θ/,/ð/,/s/,/z/,/ ʃ /,/ ʒ /,/h/ เสยี งกกั เสียดแทรก /tʃ/,/dʒ/ เสียงนาสิก /m/,/n/,/ŋ/ เสยี งกระดกล้นิ /r/ เสียงขา้ งลน้ิ /l/ และเสียงกงึ่ สระ /w/,/j/

28 แบบฝึกหดั1. จงเลอื กคำตอบที่ถูกต้องท่ีสดุ1. เสียงกกั (Stop) มีทงั้ หมดกี่เสียงa. 4 เสียง b. 5 เสียงc. 6 เสยี ง d. 7 เสยี ง2. กลุ่มเสียงในข้อใดประกอบด้วยเสียงกัก (Stop) ท่ีมีลักษณะเสน้ เสยี งไมก่ ้องทั้งหมดa. /p/, /t/ ,/k/b. /g/, /t/ ,/f/c. /c/, /g/ ,/t/d. /b/, /d/, /p/3. กลุ่มเสยี งในข้อใดประกอบด้วยเสียงกัก (Stop) ที่มลี ักษณะเส้นเสียงก้องทั้งหมดa. /g/, /t/, /s/b. /b/, /d/, /f/c. /b/, /d/, /g/d. /b/, /t/ ,/s/4. คาใดต่อไปนเ้ี กดิ เสยี งกัก (Stop) ทต่ี ้นคาa. the b. teenc. seek d. how5. คาใดต่อไปน้ีเกิดเสยี งกกั (Stop) ทที่ ้ายคาa. pen b. kingc. with d. look6. คาใดต่อไปน้เี กิดเสียงกกั (Stop) แบบเสน้ เสยี งก้องเกิดที่ตน้ คาa. bin b. peepc. king d. come7. คาใดต่อไปน้ีเกดิ เสียงกกั (Stop) แบบเสน้ เสียงไมก่ ้องเกดิ ท่ีทา้ ยคาa. pen b. teenc. bread d. part

298. คาใดต่อไปน้ีไม่มีเสยี งกัก (Stop) เป็นสว่ นประกอบของคาa. then b. icec. earth d. bad9. คาใดต่อไปน้ีมเี สียงกัก (Stop) เปน็ สว่ นประกอบทง้ั ต้นคาและท้ายคาa. pork b. kingc. queen d. seed10. คาในข้อใดมเี สยี งข้ึนตน้ ตา่ งจากพวกa. pen b. comec. ten d. zoo2. บอก Same or Different เมือ่ ไดฟ้ งั ค่เู ทยี บเสยี ง ต่อไปนี้toy toil vow vowelfee feel my mileray rail coy coilyou yule too toolrow roll go goa3. จงเขยี นสญั ลักษณ์สัทศำสตรข์ องคำต่อไปนีใ้ ห้ถูกต้อง1. large lemon2. lamp leader3. goal meal4. deal coil5. feel fin4. จงอ่ำนออกเสียงประโยคต่อไปนใ้ี หถ้ ูกตอ้ ง 1. Wayne went to Wales to watch walruses. 2. Which wristwatch is a Swiss wristwatch? 3. While we were walking, we were watching window washers wash Washington’s windows with warm washing water. 4. You know New York. You need New York. You know you need unique New York. 5. We will learn why her lowly lone, worn yarn loom will rarely earn immoral money.

305. จงวงกลมคำที่เปน็ (semivowels)wet it itch axe vile write low few yornvary wer they town cow employer flower sunny knownow when wash hurry yell obey white sorrowallow lower westplay yore uniformwin narrow no wrist เอกสำรอ้ำงอิงนนั ทนา รณเกยี รต.ิ (2555). สทั ศำสตรเ์ พอ่ื กำรสอนกำรออกเสยี งภำษำองั กฤษ. พิมพ์ครง้ั ท่ี1. กรุงเทพ: สานักพมิ พม์ หาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.กรองแกว้ ไชยปะ. (2548). สัทศำสตร์องั กฤษและสรวทิ ยำเบ้ืองต้น. พิมพค์ ร้ังท่3ี . เลย: โรงพิมพร์ งุ่ เเสง.ประกอบ ผลงามและพชั รนิ ทร์ ดวงศร.ี (2558). สัทศำสตร์ภำษำอังกฤษเพื่อกำรใช.้ เลย: มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเลยพงษเ์ ทพ บุญเรือง. (2560). สัทศำสตร์และสรวทิ ยำภำษำอังกฤษ. เลย: มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เลย

31 Unit 3 : หนว่ ยเสียงสระในภำษำอังกฤษ (English Vowel Sounds)วัตถุประสงค์ 1. สามารถบอกลกั ษณะการออกเสียงสระภาษาอังกฤษได้ 2. สามารถออกสยี งสระเดีย่ วและสระประสมในภาษาองั กฤษได้ 3. สามารถเขยี นสัญลักษณท์ างสทั ศาสตร์ของเสยี งสระเดี่ยวและสระประสมได้บทนำ เสยี งสระหมายถึงเสียงท่เี ปลง่ ออกมาจากลาคอโดยตรง ไม่ถกู สกดั กนั้ ณ ทใ่ี ดทหี่ น่งึ ในช่องทางเดนิของลมเลย โดยเสียงน้ีกระทบเสน้ เสยี งท้ัง 2 ข้าง เกดิ เป็นเสยี งสน่ั สะเทือน มีเสียงก้องกังวานและออกเสยี งได้ยาวนานกวา่ เสยี งพยัญชนะ ในการเปลง่ เสยี งสระ จะต้องคานึงถึงลักษณะของริมฝีปากและความสงู ตา่ ของลิ้นเปน็ หลักสาคญั ความสูงต่าของลนิ้ หมายถึง ขณะท่ีเปล่งเสียงนั้นๆ ลิน้ ส่วนต่างๆ จะมรี ะดับของการยกสูงหรือตา่ ตา่ งกนั ของปลายล้ิน กลางล้ิน หรอื หลังล้นิ ส่วนลักษณะของรมิ ฝปี าก เชน่ มีการห่อปาก หรือเหยยี ดรมิฝปี าก ตารางแสดงสญั ลกั ษณ์ทางสทั ศาสตร์ของหน่วยเสียงสระ เสียงสระเป็นเสียงท่ีประกอบด้วย ระดับเสียงสูงต่าต่างๆ ประสมประสานกัน ซึ่งรวมระดับเสียงที่เป็นความถ่ีของการเปิดปิดของเส้นเสียงขณะท่ีออกเสียงสระน้ันๆ และระดับเสียงของเสียงสองเสียง(Overtone pitches) คอื เสียงแรก (เสยี งทสี่ ูงกว่า) จะมีคุณสมบัติที่ลดต่าลงไป เช่น heed, hid, head, had,hod, hawed, hood, who’d ซึ่งสัมพันธ์กับความเป็นหน้าหลังของสระ ส่วนเสียงที่สองคือเสียงที่ต่าสาหรับสระท่ีมีตาแหน่งยกลิ้นสูง และมีเสียงสูงสาหรับสระท่ีมีตาแหน่งล้ินยกลงต่า โดยมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับความสูงตา่ ของสระในแง่ของการออกเสยี ง1. เสียงสระมำตรฐำน (Cardinal vowels) เนื่องจากการศึกษาเร่ืองสระเป็นการศึกษาท่ียาก และมีรายละเอียดมาก Daniel Jonesนักภาษาศาสตร์ชาวอังกฤษ จึงได้สร้างมาตรฐานของเสียสระเพื่อถือเป็นมาตรฐานในการศึกษาเร่ืองนี้ โดยได้

32คิดค้นแผนผังท่ีเกิดขึ้นของเสียงสระ แสดงให้เห็นตาแหน่งของเสียงสัตว์ต่าง ๆ ภายในช่องปากและกาหนดเกณฑด์ งั นี้ ลิ้น (Tongue) แบ่งตามหน้าท่ีการทางานเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนหน้า (Front) ส่วนกลาง (Central)ส่วนหลัง (Back) ชอ่ งปาก (Oral cavity) แบ่งตามการปิดเปิดการยกระดับสูงต่าของขากรรไกรและล้ินทาให้ช่องต่างๆหรือติดในระดับต่างกันแบ่งเป็น 4 ระดับคือ อ้า (Open) กึ่งอ้า (Half-open) กึ่งปิด (Half-close) ปิด(Close) ลักษณะริมฝีปาก (Lip position) แบ่งกล้องกว้างเป็น 2 ลักษณะคือ ริมฝีปากห่อ (Rounded)ไม่ห่อ (Unrounded) หมายเหตุ Daniel Jones ได้แบ่งลักษณะริมฝีปากไว้กว้างๆเพียง 2 ลักษณะเท่านั้น คือ Roundedและ Unrounded นักภาษาศาสตร์ที่ทาการศึกษาเร่ืองเสียงต่อๆมา ได้วิเคราะห์และจาแนกลักษณะของริมฝึปากในการผลิตเสียงสระเปน็ สระเปน็ หลายลกั ษณะกวา่ นนั้ แผนภมู ิของ Cardinal Vowels ตำมเกณฑข์ อง Daniel Jones ระยะหา่ งระหว่างล้ินกับเพดาน 1. Closed หมายถึง ลิ้นอย่ใู นระดับสูงสุด ใกล้กับ เพดานปากมาท่ีสุด 2. Half – closed หมายถึง ลนิ้ อยู่ในระดบั กลาง ค่อนข้างสงู ขึ้นไปทางเพดานปาก 3. Half – open หมายถึง ล้ินอยู่ในระดับกลางค่อนต่าลงสู่พนื้ ลา่ งของช่องปาก 4. Open หมายถงึ ลนิ้ อยู่ในลักษณะต่าสดุ ราบกับพื้นช่องปาก

33 แผนภูมเิ สยี งสระ ลักษณะริมฝปี ากเวลาออกเสียง (1) ลกั ษณะริมฝปี ากเหยียด (Spread) คล้ายเวลาย้ิม พูดออกเสยี ง /iː/ (2) ลักษณะริมฝีปากห่อแคบ (Rounded) ทาปากเป็นรูปวงกลมพูดออกเสียง /uː/ (3) ลักษณะริมฝีปากระหวา่ งเหยยี ดและทาปากห่อ (Neutral) พดู ออกเสียง /ə/ (4) ลักษณะริมฝีปากห่อกวา้ ง (Rounded) ทาปากเป็นรูปวงกลมพดู ออกเสียง /əː/ ภาพแสดงลกั ษณะของรมิ ฝปี าก2. เสียงสระในภำษำอังกฤษ (English vowel sounds) การจาแนกเสียงสระในภาษาองั กฤษ จาแนกได้ดงั ต่อไปนี้ 1) จาแนกตามความสัมพันธร์ ะหวา่ งลน้ิ กบั เพดานปากตามแนวนอนและแนวต้งัสามารถแบง่ สระออกได้เปน็ 3 ประเภทคือ สระหนา้ (Front) ได้แกเ่ สยี ง /ɪː, ɪ, e, æ/ สระกลาง(Central) ได้แก่ เสียง/ɑː, ɒ, ɔː, ʊ, uː/ สระหลงั (Back) ได้แกเ่ สยี ง /ʌ, ɜː, ə/ 2) จาแนกตามลักษณะของริมฝีปาก แบง่ เสยี งสระได้เป็น 3 ประเภทคือ สระสูง (High) ได้แก่ เสยี ง / ɪː, ɪ, ʊ, uː/ สระกลาง (Mid) ไดแ้ กเ่ สียง /e, ə, ɜː, ɔː/ สระต่า (Low) ไดแ้ ก่ เสียง /æ, ʌ, ɑː, ɒ/

34 3) จาแนกตามการเกร็งของกลา้ มเน้อื บรเิ วณลิ้น ปากและใบหน้า ได้แก่ริมฝปี ากห่อ ริมฝีปาก เหยียด (Unrounded Vowels) ไดแ้ ก่เสียง /ɪː, ɪ, e, ə, ʌ, ɒ, ɜː, ɑː, æ/ รมิ ฝปี าก หอ่ (Rounded Vowels) ได้แก่เสยี ง /ʊ, uː, ɔː/ สระในภาษาองั กฤษแบง่ ออกได้เป็น 2 ประเภท คือสระเด่ยี ว (Single Vowel or Monophthongs) และสระประสม (Diphthongs or Glided Vowels)2.1 เสียงสระเดี่ยว (Single vowel sounds or Monophthongs) สระเดย่ี ว หมายถึงสระท่ีเปล่งเสียงเดียว โดยท่อี วัยวะทีเ่ ปล่งเสียง คอื ลน้ิ และริมฝีปากอยู่ในทางเดียว ไม่มีการเคลอื่ นไปสู่ตาแหนง่ อ่ืนอันจะทาให้ลกั ษณะของเสยี งเปลีย่ นไป สญั ลักษณ์ทีใ่ ช้ ใช้สญั ลกั ษณ์ตวั เดียว แต่อาจจะมเี คร่อื งหมายแสดงความยาวของเสยี ง ดังน้ี [ː] ได้แก่/ ɪː / read / ɪ / sit / e / men/ æ / cat / ʌ / but / ɑː / part/ ɒ / not / ɔː / sort / ʊ / book/ uː / too / ɜː / word / ə / America หน่วยเสียง /ɪː/ ลกั ษณะการเปล่งเสยี งน้ี ใหล้ ิ้นส่วนหนา้ ยกขน้ึ สูง เกือบจดเพดานปากส่วนหน้า ใหร้ มิ ฝปี ากเหยียด ลนิ้ ดึงใหท้ ัง้ สองขา้ งสมั ผสั กับแนวกรามบน ตัวอย่างเสยี งนม้ี ีรูปแบบ เช่นee see, meet, sheet, and sheepe be, he, compete, Peter, peopleea sea, beat, seat, heatie field, believe, piece,movieei receive, seize,ceilingey, eo key, peoplei police, machine ski จากตัวอยา่ งคาที่ออกเสียงด้วยเสยี งสระ /ɪː/ จะเหน็ ไดช้ ดั ว่าเสยี งสระนมี้ วี ิธีการสะกดตัวอกั ษรทแ่ี ตกต่างกนั หลากหลายวธิ ี ดังน้ันจงึ เห็นไดช้ ดั ว่าตัวสะกดไม่ได้เออ้ื ตอ่ การออกเสยี งแต่อย่างใดดงั นัน้ การที่เข้าใจเรื่องสทั อกั ษรเป็นส่ิงที่ช่วยในเร่อื งการออกเสยี งเป็นอย่างมาก ลกั ษณะการที่เสียงสระหน่งึเสยี งสระสะกดดว้ ยอักษรหลายรูปแบบนั้น ปรากฏให้เห็นในสระอ่ืนๆด้วย วิธกี ารออกเสียง /ɪː/ คล้ายกับการออกเสียงสระ-อ-ี ในภาษาไทย ดังน้ันจึงไม่เปน็ ปญั หาสาหรับคนไทย นอกจากจะต้องระมดั ระวังวา่ เสียงสระ/ɪː/ นคี้ อ่ นขา้ งยาวเมื่อปรากฎในพยางค์เปิดท่ีไมม่ เี สียงสะกด เชน่ ในคาวา่ see, fee, key หรือในพยางค์ปดิ ท่ีลงท้ายด้วยเสยี งกอ้ ง เชน่ seed, seen, feed, fees แตเ่ สียงสระจะสน้ั ลงเมื่อเกิดในพยางคท์ ่สี ะกดหรือลงทา้ ย

35ด้วยเสยี งไม่ก้อง เชน่ seat, feet, piece, leaves, beef, reach ซงึ่ จะสงั เกตเหน็ ความแตกต่างของสระ /ɪː/ที่ยาวและเสยี งสระ /ɪː/ ท่สี ั้นกวา่ ในคเู่ ทยี บเสยี งท่ีมเี สยี งพยญั ชนะสะกดเป็นเสียงพยัญชนะเสยี งก้องและเสียงไม่ก้องตวั อย่างคาเมื่อความยาวของเสียงหายไปเมื่อตามดว้ ยเสียงพยัญชนะเสียงไม่ก้อง /ɪː/ /ɪ/ beat bit leave leaf seize cease หน่วยเสียง /ɪ/ ลักษณะการเปล่งสยี งน้ี ให้ล้นิ ส่วนหนา้ ยกขึ้น แต่ต่ากว่าการเปล่งเสยี ง /ɪ/ให้กลา้ มเนื้อล้นิ ไมต่ ึง และให้ทง้ั สองข้างสัมผัสกบั แนวกรามบน คนไทยค่อนข้างจะมีปญั หาในการออกเสียงน้ีโดยจะยกล้ินขึ้นสงู เกนิ ไปเหมือนกบั กาลังออกเสยี ง-อิ-ในภาษาไทย การออกเสยี งจะตอ้ งให้หย่อนลน้ิ ลงเลก็ นอ้ ยในขณะท่ีออกเสยี ง จึงจะทาให้คลา้ ยคลึงกบั เสียงในภาษาอังกฤษ เสยี งสระน้ีมีการสะกดหลายรปู แบบเชน่ i sit, bit, ship, chipy Kym, symbol, city, happye excuse, except, prettyie cities, ladies, cookiesu busy,bury, build, guitara village, private นอกจากนี้ควรฝกึ ให้สามารถเเยกแยะความแตกตา่ งระหวา่ งเสยี งสระ /ɪ:/ และ /ɪ/ โดยฝกึ ออกเสียงค่เู ทียบเสยี ง ดงั น้ีbead – bid each – itch deep – dipseen – sin feet – fit meal – mill หน่วยเสียง /e/ ลักษณะการเปล่งเสยี งน้ี ใหล้ น้ิ ส่วนหน้ายกข้นึ ในระดับระหว่าง Half-closeและ Half-open ใหร้ ิมฝปี ากเหยยี ดเลก็ นอ้ ย ช่องปากกว้างกวา่ เสยี ง/ɪ/ ล้นิ อยู่ในลกั ษณะตงึ ให้มากกวา่ /ɪ/และใหท้ ง้ั สองข้างสมั ผัสกบั แนวกรามบน- เสยี งนีม้ ีการสะกดหลายรูปแบบ เช่นe bet, set desk, wentea dead, head, breath, deafa any, many, Thames

36 ue,eo guess, leopard ie,ei,ai friend,leisure,said,againเสียงนี้มีลักษณะการออกเสียงคล้ายกับเสียงสระ-เอะ-และ-เอ- ในภาษาไทยมีข้อสังเกตคือ เสียงน้ีปรากฏในคาภาษาอังกฤษท่ีสะกดหลากหลายแบบ และหลายแบบที่สะกดด้วยตัวอักษร 2 ตัว เช่น deadfriend again jeopardy ทาให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่ายว่าเป็นเสียงสระเลื่อน แต่ท่ีจริงเเล้วต้องออกเสียงด้วยเสยี งสระเดีย่ วนอกจากนคี้ วรมกี ารฝึกออกเสยี งเปรียบเทียบระหว่างเสยี ง /ɪ/และเสยี ง /e/ โดยฝึกจากการออกเสยี งคเู่ ทียบเสียงข้างล่างน้ี ตัวอย่างดังกลา่ วน้ีจะเเสดงใหเ้ หน็ ไดช้ ัดวา่ เสยี ง /ɪ/ นน้ั ยกลิ้นขึน้ สงู กว่าตัวอยา่ งคาเสียงสระ /ɪ/- /e/bill – bell rich – wretch fill – fell chick – checkrid – red wit – wet knit – net lid – led หน่วยเสียง /æ / ลกั ษณะการเปลง่ เสยี งนี้ ริมฝีปากจะเปิดกว้างมากกว่าเสยี ง /e/ ใหล้ ้ินสว่ นหน้ายกข้นึ ในระดับระหว่าง Half-open และให้ทัง้ สองข้างสัมผสั กับแนวกรามหลัง ริมฝปี ากไม่หอ่ ไม่เหยียด (Natural) เปลง่ เสยี งส้ัน เสยี งสระน้ีจะไม่เกิดกบั พยางป์ ดิ ซ่งึ เป็นพยางคส์ ุดท้ายของคา เช่น a sat, bat, hat, land, pack ai plaid, plait ua guaranteeนอกจากนี้ควรฝึกการออกเสียงสระ /e/ และเสยี งสระ /æ / เพือ่ เปรยี บเทยี บการยกล้ินท่รี ะดับต่างกันตัวอย่างคา /e/ – /æ /ten – tan bet – bat mesh – mash pen -panmet – mad head – had merry – marry ken – can หน่วยเสียง /ʌ/ ลักษณะการเปล่งเสยี งน้ี ริมฝีปากไม่ห่อกลมและไมเ่ หยยี ด ลิ้นสว่ นกลางยกขนึ้ เล็กน้อย ใหล้ ้นิ ไมแ่ ตะส่วนใดๆของแนวกรามบน และเปล่งเสียงสนั้ เสียงนค้ี ลา้ ยกบั เสียงสระ-อะ- และสระ-อา-ในภาษาไทย เเต่เสยี งนีจ้ ะมปี ัญหาในการออกเสยี งของคนไทยเพราะมักจะออกเสยี งสระ-อะ- จงึ ใชล้ ้นิส่วนทีค่ อ่ นขา้ งมาดา้ นหน้ามากไป ควรจะยกลิ้นในระดับตา่ ลิ้นด้านขา้ งไม่สัมผสั กบั ฟันบนด้านข้าง เช่น u sun, run, mull o son, Monday, onion, monkey, mother, among, one ou country, couple, young, southern oo blood, flood oe does

37 หน่วยเสียง /ɑː/ ลกั ษณะการเปล่งเสยี งน้ี รมิ ฝปี ากไม่ห่อกลมและไม่เหยยี ด ล้ินสว่ นกลางและส่วนหลงั อยใู่ นระดบั Open มากทส่ี ุด ให้ล้นิ ไม่แตะส่วนใดๆของแนวกรามบน และเปลง่ เสียงยาว เชน่ a pass, after, tomato, bath ar part, car, march, large, farm ea heart er clerk, sergeant al calm, palm, half au aunt, laugh หน่วยเสียง /ɒ/ ลักษณะการเปล่งเสียงน้ี ริมฝีปากเปดิ กว้างและห่อเล็กน้อย ลิ้นส่วนหลงั อยู่ในลกั ษณะ Open มากท่สี ุด ใหล้ น้ิ ไมแ่ ตะสว่ นใดๆของแนวกรามบน และเปล่งเสียงสั้น เสยี งสระน้ใี ช้ลน้ิ ส่วนหลังในการออกเสยี งและลิน้ จะยกข้นึ สงู กวา่ ระดับต่าสดุ ของสระหลกั เลก็ น้อย รมิ ฝปี ากห่อเลก็ นอ้ ย ขากรรไกรเปิดกว้าง ลนิ้ ดา้ นขา้ งจะไมส่ มั ผสั กับฟันบนดา้ นข้างเลย เชน่ o not, hot, dog, sorry, holiday a was, what, want, watch ou, ow cough, rough, knowledge au because, sausage, cauliflower, Austria หนว่ ยเสียง /ɔː/ ลักษณะการเปล่งเสียงน้ี รมิ ฝีปากหอ่ มากกว่าหนว่ ยเสียง /ɒ/ ลิ้นส่วนหลงัยกขึ้นในระดบั ระหวา่ ง Half-open และ Half-close ใหล้ ิ้นไมแ่ ตะส่วนใดๆของแนวกรามบน และเปลง่ เสียงยาว เชน่ or born, sword, horse, cord aw saw, yawn, jaw, law ou bought, ought, sought au daughter, caught, taught, because a all. Talk, chalk, salt, water, war ore more, before oor floor, door oar oar, board

38our court, four คนไทยมักจะสับสนการออกเสยี งสระ/ɒ/ และเสยี งสระ /ɔː/ ดงั นั้นจงึ ต้องเรียนรทู้ ่จี ะเเยกเเยะโดยจะตอ้ งยกลิ้นเสยี งสระ /ɔː/ ใหส้ งู กวา่ และลากเสียงยาวมากกว่า ดังตวั อย่างต่อไปนี้not – nought cod – cord pot – portfox – forks wad – wards shot – shortหมายเหตุ หน่วยเสียง /ɔː/ เมือ่ มีเสยี งพยญั ชนะไม่ก้องตามมา ความยาวของเสียงจะลดลง/ɔː/ /ɔ/saw sortwar wartboard boughtsaws sauce หน่วยเสียง /ʊ/ ลักษณะการเปลง่ เสยี งน้ี รมิ ฝปี ากห่อมากกว่าหน่วยเสียง /ɔː/ ใหล้ นิ้ ยกขน้ึในระดบั เหนือ Half-close เล็กน้อย กล้ามเน้ือลิ้นไมต่ ึง ใหล้ นิ้ สองข้างแตะแนวกรามฟันเล็กน้อย และเปลง่เสยี งสน้ัu put, sugar, butcher, fullo woman, wolfoo good, wood ,wool, book, tookou could, should, would ปญั หาของคนไทยในการออกเสียงสระน้คี ือ มักจะออกเสยี งเป็นสระเสยี งยาว โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในคาทส่ี ะกดด้วย oo เชน่ wool, wood, หรอื สะกดดว้ ย ou เช่น could, should เพราะเหน็ ตัวสะกดเป็นอกั ษร 2 ตัว จงึ ทาใหเ้ ข้าใจผิดว่าเปน็ สระเสียงยาว หน่วยเสียง /uː/ ลักษณะการเปลง่ เสยี งน้ี เปน็ เสยี งสระท่ีเกิดจากล้นิ ส่วนหลัง ใหล้ ิ้นยกข้ึนในระดับเหนือ Close กล้ามเน้อื ลน้ิ ตึง ริมฝปี ากหอ่ มากกว่าเสียง /ʊ/ และเปล่งเสียงยาว ลกั ษณะคล้ายกับเสียงสระอใู นภาษาไทยoo food, moon, spoon, pool, soono move, do, loseou group, soup, wound, through

39 u rude, June eu feud, neutral, pneumonia ew new, threw, chew, sewer ue blue, true, due, avenue ui fruit, juice, suit, bruise เสยี งน้ีเมือ่ เกิดขึน้ ในพยางคเ์ ปิด คือพยางคท์ ่ีไม่มีตวั สะกด เช่น ในคาวา่ blue, two, shoeหรอื เมือ่ เกดิ ในพยางคป์ ดิ ท่ีมีตัวสะกดเป็นเสียงพยญั ชนะเสยี งก้อง เชน่ ในคาว่า food, move, wood จะออกเสียงยาว แต่ถา้ ตัวสะกดเป็นพยัญชนะเสียงไม่กอ้ ง เชน่ ในคาวา่ hoop เสยี งจะสัน้ ลงแตไ่ ม่สนั้ เท่าเสียงสระ/ʊ/ ทีก่ ลา่ วมาแลว้ ตัวอย่างดังน้ี use (v.) – use (n.) Jews – juice rude – roof lose – loose หน่วยเสียง /ɜː/ ลกั ษณะการเปลง่ เสยี งนี้ ให้ลน้ิ สว่ นกลางยกขนึ้ ในระดับระหว่าง Half-closeและ Half-open ลนิ้ ไมส่ ัมผสั กบั แนวฟนั กรามบน ริมฝีปากเหยยี ดเลก็ น้อย เสียงนี้คลา้ ยคลงึ กับเสียงสระเออในคาว่าเธอ เจอ ในภาษาไทย แตเ่ สยี งภาษาไทยจะใชส้ ้ินส่วนหลังในการออกเสียง มันจึงดแู ปลก ดงั น้นั ควรระมัดระวังเวลาออกเสียง คือ จะต้องออกเสยี งน้ีใหเ้ ปน็ เสยี งยาว ตัวอยา่ งคาเสียงสระ /ɜː/ เช่น ir bird, first, girl er her, serve ear earth, heard, earl ur turn, church, nurse, curl or word, world, work, worse our journey, courtesyหมายเหตุ หน่วยเสียง /ɜː/ เมอื่ มีเสยี งพยญั ชนะไม่กอ้ งตาม ความยาวของเสยี งจะลดลง /ɜː/ /ɜ/ fur first serve surf cur curt หนว่ ยเสียง /ə/ ลกั ษณะการเปล่งเสียงนคี้ ล้ายกบั เสยี ง /ɪ/ ใหล้ ิ้นถอยหลงั ลดลง มีกฎการใช้ดงั นี้

40 1) เมอื่ มีสระท่ีอย่ใู นคามากกว่าหน่งึ พยางค์ เสยี ง /ə/ จะไมล่ ดเสยี ง เชน่ i possible e gentlemen a woman o oblige u suppose ar particular er mother or doctor ou famous our colour ure figure 2) เสียง /ə/ อาจใช้แทนเสียง /ɪ/ ในคาพยางค์ท่ีมเี สียง /ɪ/ เช่น excuse, except, effect, Raises, roses, wanted3) เสียง /ə/ จะปรากฏในรปู แบบท่ไี ม่เน้นเสยี ง (Unaccented form) เชน่ a, an, the, to, for, but, and, shall2.2 เสยี งสระประสม (Diphthongs) สระประสม หมายถึงสระทเ่ี ล่อื นจากจดุ หนงึ่ ไปยังจดุ หน่ึง โดยจดุ แรกเป็นจุดเริม่ ตน้ จุดที่เลอื่ นไปเป็นจุดจบของเสียงสระน้ัน เสียงสระประสมท้ังสองจุดรวมกนั เปน็ 1 หน่วยเสยี ง ซง่ึ การออกเสยี งสระสองเสียงตอ่ เน่ืองกัน โดยการเล่อื นลนิ้ ไปยังตาแหน่งทตี่ า่ งกัน มีผลทาให้ลกั ษณะรปู ปากเปล่ยี นไปจากเดิม จึงเป็นเสียงยาวและเปน็ เสยี งเกร็งกล้ามเนื้อทุกเสยี ง เสยี งสระประสมในภาษาอังกฤษมีอยู่ 2 ประเภทประเภทแรกเปน็ การเล่ือนจากเสียง/e, ɔ,ɒ, ə, ɑ/ ไปสูเ่ สยี ง /ɪ, ʊ/ ประเภททสี่ องเปน็ การเลื่อนจากเสยี ง /ɪ, e, ʊ / ไปสเู่ สยี ง /ə/ประเภทแรกได้แกเ่ สยี ง ดังต่อไปน้ี/ eɪ / day, made, game, eight, late, face, safe/ ɑɪ / my, cry, write, high, die, either, buy/ ɔɪ / boy, toy, noise, toil, point, moist/ əʊ / go, so, old, soap, toe, road, coat, home/ ɑʊ / how, allow, round, sound, house, cow, town

41ประเภทสองได้แกเ่ สียง ดังต่อไปนี้/ ɪə / hear, here, cheer, year, idea, museum, real/ eə / wear, bear, care, share, scare, chair, pear, fair/ ʊə / tour, moor, poor, sure, endureเสียงสระประสมมีอยู่ 8 เสียง ดังนี้1) เสียง / eɪ / เริม่ โดยการออกเสยี ง/e/ แลว้ คอ่ ยๆเลอ่ื นลน้ิ ให้สูงขึ้น ผลที่เกดิ ข้นึ ก็คือ ปากท่ีอา้ ไว้พอสมควรสาหรับเสียง /e/ จะเหยยี ดมากขน้ึ เปน็ เสียง /ɪ/ คนไทยมักเกดิ ความสับสนในการออกเสยี งสระ/e/ และเสยี งสระ / eɪ / โดยจะออกเสยี งสระทงั้ คู่เปน็ เสียงเดยี วกัน ซึ่งจาเป็นต้องฝกึออกเสียงเทยี บคดู่ ังน้ี bet – bait less – lace let – late chess – chase2) เสียง / eə / เปน็ เสยี งยาว เรม่ิ ด้วยการออกเสยี งคล้ายเสียงสระ “แ-” ในภาษาไทย แต่เหยยี ดมมุ ปากน้อยกว่า ต่อไปใหข้ ยับปากขึน้ เสยี งสระน้มักจะสะกดดว้ ยรปู อักษร r ดงั นน้ั หากออกเสยี งสาเนียงองั กฤษ ก็ไม่ต้องออกเสียง r แต่ถา้ ออกเสยี งสาเนียงอเมริกัน ให้ออกเสียงพยญั ชนะ r ดว้ ยเช่น where, care, fair3) เสียง / əʊ / เป็นเสยี งยาว เริ่มตน้ ด้วยการห่อปากเล็กน้อยแลว้ ยกคางหรอื ขากรรไกรข้ึนใหป้ ากห่อมากเข้า มกั จะออกเสยี งเป็นสระ “โ-”ในภาษาไทยตวั สะกดสาหรับเสยี งนส้ี ่วนใหญแ่ ล้วมี “o”รวมอยดู่ ว้ ย เชน่ so, toe, bowl4) เสียง / ʊə / เป็นเสยี งยาวออกเสียงไดโ้ ดยเร่มิ ด้วยเสยี ง “ออ”หรอื / ɔː / แลว้ เลื่อนล้ินไปข้างหนา้ เล็กน้อยพร้อมทัง้ ปล่อยปากทีห่ ่อออกให้เปดิ กวา้ งเล็กนอ้ ยก็จะไดเ้ สียง / ʊə / เสยี งน้ีเปน็ เสยี งยาวคล้ายการออกเสยี ง “อัว” ในภาษาไทย จงึ ไมเ่ ป็นปัญหาสาหรับคนไทยนัก แต่ในสาเนียงอังกฤษ มักจะเกิดพยางค์ท่ีมเี สียง /j/ เป็นเสยี งพยัญชนะตัวที่สองในเสยี งควบกล้า ซงึ่พบวา่ คนไทยจะไม่ออกเสียง /j/ ในเสียงควบกลา้ ซ่งึ ไม่ถูกต้องดงั นั้นจึงต้องพยายามออกเสียงควบกลา้ /j/ใหไ้ ด้ เสียงสระ/ ʊə / มกี ารสะกดด้วยตัวอกั ษรแตกตา่ งกัน เช่น poor, tour,sure, endure5) เสียง / ɪə / เป็นเสียงยาว คลา้ ยสระ เอีย ในภาษาไทย สระนีเ้ ปน็ สระปากเหยียดออกเสยี งโดยการเคล่ือนล้นิ จาก /ɪ/ ไปยงั /ə/ ข้อควรระมัดระวังสาหรบั คนไทยคือ หากสระเสียงนีเ้ กดิ หนา้พยญั ชนะตัวสะกดที่เป็เสยี งข้างลิน้ เช่น real หรอื เสียงเสียดเเทรก เชน่ ในคาวา่ fierce จะต้องออกเสียงพยัญชนะตัวสะกดด้วย ไม่เชน่ น้ันจะทาให้คนฟังไมเ่ ข้าใจ6) เสียง / ɑɪ / เปน็ เสียงยาวคลา้ ยสระ อาย ในภาษาไทย ตวั สะกดสาหรับเสียงน้ีมีแตกต่างกนัออกไป เช่น time, bite, fine ในคาทม่ี ตี ัวสะกดคนไทยจะมักไม่ออกเสียงตัวสะกด ดังน้นั จงึจาเปน็ ตอ้ งฝึกให้ออกเสยี งตวั สะกดดว้ ย นอกจากน้ีควรตะหนกั ถึงว่า เสยี งสระนีถ้ ้าเกิดในพยางค์ที่ไมม่ ีตัวสะกดหรอื พยางคท์ ่ีมตี ัวสะกดเปน็ พยัญชนะเสียงก้อง เสยี งสระจะยาวข้นึ แต่ถา้ ตัวสะกดเป็นเสียงพยญั ชนะ ไมก่ อ้ ง เสียงสระจะสน้ั ลง7) เสียง / ɔɪ / เป็นเสยี งยาวคล้ายเสยี งสระ ออย ในภาษาไทย ตัวสะกดสาหรับเสยี งนีม้ ักมีตัว “o”

42 รวมอย่ดู ว้ ยเสมอ เช่น voice, noise, joy ปญั หาการออกเสียงของคนไทยคอื ไม่ออกเสียง ตัวสะกด ซ่งึ จะเปน็ ปญั หาในด้านความหมาย จึงจาเปน็ ต้องฝกึ ออกเสยี งสระน้ีในคาที่มีตวั สะกด เช่น coin,loin, foil, boil8) เสียง / ɑʊ / เป็นเสียงยาวออกเสยี งคล้ายสระ อาว ในภาษาไทยขอ้ ควรระวังคือ เมื่อพยญั ชนะ สะกดท้ายคา ต้องออกเสียงพยญั ชนะท้ายคาด้วยเสมอ ในการสะกดมักจะมีสระ “o” รวมอยู่ด้วย เสมอ เช่น sound, cow, townเสยี งสระประสมเพม่ิ เติม เสียง / ju /เรมิ่ จากการดนั ลน้ิ ส่วนกลางข้นึ ไปขา้ งหน้าในตาแหน่ง /i/ หอ่ ริมฝีปากจีบแคบกระชับเข้าพร้อมกับหดลนิ้ ดึงลนิ้ สว่ นหลงั ขึ้นไปยังตาแหน่งเสียง /u/ เสยี งนี้พบสะกดด้วย ew, eu หรือ iew ew – dew, new, jew iew – view ue – due, fuel, tuesday u-e – cute, muteMonophthong Diphthongs s(ภาพประกอบ: เสียงสระเดี่ยวและสระประสมภาษาอังกฤษ)

43 สรปุ เสียงสระหมายถึงเสียงที่เปล่งออกมาจากลาคอโดยตรง ไม่ถูกสกัดกั้น ณ ท่ีใดท่ีหน่ึงในช่องทางเดินของลมเลย โดยเสียงนี้กระทบเส้นเสียงท้ัง 2 ข้าง เกิดเป็นเสียงส่ันสะเทือน มีเสียงก้องกังวานและออกเสียงได้ยาวนานกว่าเสียงพยัญชนะ คุณสมบัติและลักษณะท่ีแตกต่างกันของเสียงสระข้ึนอยู่กับตาแหน่งของล้ินและลักษณะของริมฝีปากเป็นสาคัญ ส่วนเส้นเสียงนั้นอยู่ในลักษณะสั่นสะเทือนเหมือนกันทุกตัวสระ สาหรับการบังคับกระแสลมทุกตัวเหมือนกันหมดเช่นกัน คือ อยู่ในลักษณะกลางๆ กระแสลมจะพุ่งผ่านช่องปากออกมาตรง ๆ เหนอื สว่ นกลางของล้ิน การเปลง่ เสียงสระเสยี งเดีย่ ว ต้องศกึ ษาลักษณะของริมฝีปากและความสูงต่าของล้ินเป็นหลักสาคัญในการทจี่ ะเปล่งเสยี งสระใหแ้ ตกตา่ งกัน ลกั ษณะของริมฝีปากหมายถึง ลักษณะการห่อริมฝีปาก เมื่อใดมีลักษณะหอ่ รมิ ฝีปาก เม่อื ใดมกี ารเหยยี ดริมฝปี ากหรือการเปลง่ เสยี งใดท่รี ิมฝีปากไมห่ ่อ ลักษณะของเสียงสระ คือเป็นเสียงท่ีเปล่งได้ดังโดยเส้นเสียง (Vocal cords) เปิดกว้าง เสียงสระทุกเสียงเป็นเสียงโฆษะ (Voiced) หรือเสียงก้อง เป็นเสียงที่ผ่านจากปอดโดยไม่มีการกักของลม สระเดี่ยวท่ีเปล่งออกมานั้นหมายถึงสระที่มีลักษณะการเปล่งเสียงเดียว โดยมีลักษณะของอวัยวะที่เปล่งเสียงคือลิ้นแสะริมฝปี ากอยู่ในอาการเดียว ไมม่ ีการเคล่ือนไปสู่ตาแหน่งอื่นอันจะทาให้ลักษณะเสียงเปลี่ยนไป สัญลักษณ์ท่ีใช้เป็นสญั ลกั ษณ์เดียว แต่อาจจะมีเครื่องหมายแสดงความยาวของเสียง หน่วยเสียงสระเด่ียวจานวน 12 หน่วยเสียงประกอบดว้ ย ɪː, ɪ, e, ə, ʌ, ɒ, ɜː, ɑː, æ, ʊ, uː, ɔː เสียงสระประสมในภาษาอังกฤษหมายถึง การออกเสียงสระสองเสียงต่อเน่ืองกัน โดยการเล่ือนลิ้นไปยงั ตาแหนง่ ต่างกนั มีผลทาให้ลกั ษณะรปู ปากเปลย่ี นไปจากเดิม จึงฟงั เป็นเสยี งยาวและเป็นเสียงเกร็งกล้ามเน้ือทุกเสยี ง การเกดิ สระประสมจะเกิดในหนึ่งพยางค์ เมอ่ื พยางค์น้ันมกี ารเล่ือนของเสียงสระจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง จุดแรกให้เป็นจุดเร่ิมต้น จุดท่ีเสียงเล่ือนไปเป็นจุดจบของเสียงสระประสมนั้น ทั้งสองจุดจัดเป็นองคป์ ระกอบของสระประสม 1 หนว่ ยเสยี ง เสียงสระประสมในภาษาอังกฤษมีอยู่ 2 ประเภท ประเภทแรกเป็นการเลื่อนจากเสียง/e, ɔ, ɒ, ə, ɑ/ ไปสู่เสียง /ɪ, ʊ/ ประเภทที่สองเป็นการเลื่อนจากเสียง /ɪ, e, ʊ /ไปสเู่ สยี ง /ə/ เสียงสระประสม แบ่งได้ออกเป็น 2 กลุ่ม ประเภทแรกเรียกว่า Diphthongal glides ซ่ึงมีลักษณะดังนี้ เลื่อนจากเสียง /e, ɔ, ɒ, ə/ ไปสู่เสียง /ɪ, ʊ/ ประกอบด้วยเสียง / eɪ, ɑɪ, ɔɪ, əʊ, ɑʊ/ อีกประเภทหนึ่งเรียกว่า Centering diphthongs ซ่ึงเป็นการเลื่อนเสียงจาก /ɪ, e, ʊ/ ไปสู่เสียง /ə/ประกอบดว้ ย /ɪə, eə, ʊə/

44 แบบฝึกหดั1. คำสัง่ จงโยงเสน้ จับคสู่ ัญลักษณ์ทางสทั ศาสตรแ์ ละความหมายให้ถูกต้อง/kɛr(ə)ktəˈrɪstɪk/ □ □ imagination/klasəfəˈkeʃ (ə)n/ □ □ consideration/kənsɪdərˈeɪʃ(ə)n/ □ □ flexibility/dətərməˈneɪʃ(ə)n/ □ □ individual/dɪsəˈbɪlədi/ □ □ justification/əvæljəˈweɪʃ(ə)n/ □ □ modification/ɪɡzæməˈneɪʃ(ə)n/ □ □ examination/fleksəˈbɪlədi/ □ □ characteristic/ɪmædʒəˈneɪʃ(ə)n/ □ □ determination/ɪndəˈvɪdʒ(u)əl/ □ □ classification/dʒəstəfəˈkeɪʃ(ə)n/ □ □ disability/mɑdəfəˈkeɪʃ(ə)n/ □ □ evaluation/ɔrɡənəˈzeɪʃ(ə)n/ □ □ organization

452. คำสงั่ จงเขียนประโยคภาษาอังกฤษจากสญั ลกั ษณ์ทางสทั ศาสตรท์ กี่ าหนดให้ Phonetic symbols English words/ai ədɔ:r ju//ai kanɒt bɛː tu bi əpart frəm ju//ai kanɒt stɒp θɪŋkɪŋ əbaʊt ju// ai kɛː fɔ:r ju//ai driːm ɒv ju//ai fiːl sʌmθɪŋ fɔ:r ju//ai lɒst mai hɑːt ɒn ju//ai lʌv ju//ai mʌst hæv ju//ai ni:d ju bai mai said//ai wɒnt ju//ju a:r mai wʌn ænd əʊnli// ju a:r mai pərfekt mætʃ// ju a:r wʌn in e mɪljən//ju həʊld ðə ki: tuː mai ha:rt//jɔ:r lʌv ɪz mai drʌɡ/

463. คำส่งั จงเขยี นสญั ลกั ษณ์ทางสทั ศาสตร์ลงในช่องวา่ งท่กี าหนดใหใ้ หถ้ ูกต้องDelivery /…………………/Elocution /…………………/Particular /…………………/Socialize /…………………/Economy /…………………/Management /…………………/Process /…………………/Procession /…………………/Vehicle /…………………/Tongue /…………………/Glossary /…………………/Dictionary /…………………/Attempt /…………………/Wastebasket /…………………/American /…………………/Definition /…………………/Assumption /…………………/French /…………………/Apologize /…………………/Defensive /…………………/

474. คำสง่ั จงวงกลมเสียงทไ่ี มเ่ ขา้ พวก และเขียนสัญลักษณท์ างสทั ศาสตร์ของเสยี งสระท่เี กิดกับกลมุ่ คาศัพทท์ ่ีเหลอื ให้ถูกตอ้ ง1. field seize feet key look /….…/2. mother help among one cut /……/3. bite fine cry teach fight /……/4. first care bear their where /……/5. dirty her high shirt fur serve /……/6. sheep ship meet eaten read /……/7. bath heart part aunt run /……/8. lead desk said went any /……/9. enjoy avoid go toy soil /……./10. fear deer beard dry museum /……./11. woman famer figure alone evil /……./12. moon foot food wound through /……./13. symbol police build fit lip /……../14. curl court talk floor saw /……../15. door born for water mull /……../16. won mountain sun does son /……../17. day mate rain bay buy /……./18. cold both how doe although /……./19. house loud town cow tour /……../20. not dog because laugh cough /……../21. calm happy clerk march half /……../22. plaid land cat bear math /……./23. four world journey earl serve /……./24. ocean real pear idea cheer /……./25. poor moor sure your round /……/26. lay went paid cake vein /……./27. mother water salt call doll /.…../28. school do full butcher took /.…../29. zip except bit machine Kym /……/30. what watch holiday not set /……/

[Update] (How to+รีวิว นส.เตรียมสอบ) สอบ GAT ได้ 270+ ฉบับอ่านเองไม่เรียนพิเศษ ***สำหรับคนงบน้อย*** | นส ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

(How to+รีวิว นส.เตรียมสอบ) สอบ GAT ได้ 270+ ฉบับอ่านเองไม่เรียนพิเศษ ***สำหรับคนงบน้อย***

สวัสดีเพื่อนๆ ตื่นเต้น ไม่เคยตั้งกระทู้ที่เด็กดีมาก่อน บนไว้ว่าถ้าได้คะแนน 270+ จะมาเขียนกระทู้ในเด็กดี ซึ่งก็เป็นไปตามที่หวังไว้ 

คะแนนรอบแรกเราได้
GAT ไทย 145.95 คะแนน
GAT Eng 125 คะแนน
รวม 270.95 คะแนน (เกินที่บนไว้มา .95 คะแนน 555)

แต่รอบสองก็สมัครไว้นะ อยากแก้มือแกทไทย ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่าผิดตรงไหน TT O TT

ขอเล่าพื้นเพตัวเองแบบคร่าวๆ การเรียนเราอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้เก่งมาก #ไม่ได้ถ่อมตัวนะ เกรดที่โรงเรียนเราพยายามแค่ไหนก็อยู่ที่ 3.4-3.5 แล้วยิ่งอยู่สายวิทย์คณิตเกรดอัพยากมาก

สำหรับการเตรียมตัว ขอสารภาพว่าเราใช้เวลากับการเตรียมสอบจริงๆ จังๆ แค่ 2 เดือนครึ่ง  แต่พยายามไม่หักโหมอดหลับอดนอน เพราะเรายึดคติว่า “แค่ไหนแค่นั้น” อ่อ ลืมบอกไป เราอยากเข้าคณะศิลปศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ม.มหิดล (ไม่ไหวกับวิทย์คณิตแล้วจริงๆ เพิ่วมารู้ตัวว่ามันไม่ใช่ทางเลย)
 
หลังจากที่เรารู้ว่าเราจะมาสายภาษา เราก็ทิ้งการเรียนในห้องไป เพราะรู้ตัวว่าที่เรียนมาเกือบ 3 ปี เรื่องภาษาเราขาดทุนไปเยอะถ้าเทียบกับเด็กศิลป์ภาษา เราเลยเน้นไปที่การเตรียมตัวภาษาอังกฤษของเราเป็นหลัก คาดว่าเกรดเทอมสุดท้ายออกมาก็คงเป็นเกรดที่แย่ที่สุดที่เคยมี ไม่อยากแนะนำให้ทำตามนะ อย่างเรากล้าที่จะเสี่ยงเพราะลองกะประมาณดูแล้วว่าถ้าเทอย่างน้อยก็น่าจะปลอดภัยสำหรับการยื่นตามมอต่างๆ

ปล. ภาษาอังกฤษเราได้เกรด 3.5 บ้าง 4 บ้าง โดยส่วนตัวเราเป็นคนชอบร้อง+ฟังเพลงฝรั่ง แล้วก็ติดซีรี่ย์ ภาษาอังกฤษจะดีก็แค่เรื่อง speaking แต่พวกแกรมม่าเราค่อนข้างอ่อนมาก ฝึกทำโจทย์ข้อสอบ GAT Eng ครั้งแรกๆ ผ่านครึ่งนิดเดียว

การเตรียมตัวของเรา

ต้องบอกก่อนว่าบ้านเราไม่ได้มีเงินอะไรมาก แล้วที่บ้านก็ไม่เคยสนับสนุนเรื่องเรียนพิเศษ ง่ายๆ คือไม่เคยมีประสบการณ์กับการเรียนกวดวิชาเลย บางทีเราก็อายตรงที่ต้องไปเกาะเพื่อนขอเลคเชอร์ที่เพื่อนเรียนจากกวดวิชามานั่งลอกนั่งอ่าน

หลังๆมาเราเริ่มหาหนังสือมือ 2 ใน twitter ถ้าโชคดีก็มีรุ่นพี่ปีก่อนๆ เขาแจกหนังสือ หรือเอามาขายในราคามือสองแบบถูกมากๆ หนังสือส่วนใหญ่ที่เรามีก็จะได้มาจากในทวิตเตอร์ สภาพดีๆ มีเยอะเลย แต่ก็มีบางเล่มที่ต้องเอาเงินเก็บตัวเองไปซื้อ แต่ต้องเป็นเล่มที่อยากได้+เนื้อหาโดนจริงๆ ถึงจะยอมซื้อนะ555 บับว่าเงินมีน้อย แถมต้องเก็บบางส่วนไว้จ่ายค่าสมัครสอบ

ก่อนที่จะรีวิวเราอยากให้เพื่อนๆ ทำความเข้าใจก่อนว่า ความรู้ที่เราได้ในการเตรียมสอบ 50% มาจากการอ่านนส.เอง ส่วนอีก 50% เรากอบโกยจากอินเตอร์เนท FB แล้วก็ Twitter ด้วย เพราะฉะนั้นนอกจากจะต้องขยันอ่าน ต้องขยันค้นคว้าด้วย ของดีในเนทมันเยอะมาก ไว้เดี๋ยวเราจะแนะนำให้ว่าเราเรียนจากที่ไหนบ้าง

หนังสือที่เราจะรีวิวมีทั้งหมด ตามนี้
List
1. Barron’s Essential Words for the IELTS
2. Essential Words for the TOEFL
3. ถอดรหัส Error ของ ดร.ศุภวัฒน์ พุกเจริญ
4. GAT & Admission Conversation
5. พิชิต 150 คะแนนเต็ม GAT ภาษาไทย ของ อ.ขลุ่ย
6. TU-GET ของสถาบันภาษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
7. Mastering GAT Connect Test ของ เพจ GAT Community
8. ข้อสอบ O-NET แนวใหม่ ของ ดร.สาธิดา วัฒนโภคากุล
9. แนวข้อสอบ GAT (ตอนที่ 2 : ภาษาอังกฤษ) ของ ดร.สาธิดา วัฒนโภคากุล
10. GAT เชื่อมโยง ของ ณัฐชนก รูปประดิษฐ์
11. พิชิต CU-TEP Grammar
12. GAT Connect Plus ของ On Demand
13. อ่านขาดภาษาอังกฤษ ของ คณะนักเรียนทุนคิง ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น
14. Grammar and Techniques of the English Language
15. AX 22-YEAR Absolute Exam Kit ของ ครูพี่แนน Enconcept

ขอเริ่มรีวิวจาก
1. Barron’s Essential Words for the IELTS กับ
2. Essential Words for the TOEFL

เราเคยอ่านในเพจ GAT Community พี่เขาบอกว่าข้อสอบ GAT ปีหลังๆ เริ่มเอาคำศัพท์ยากๆ มาออก แบบที่เจอในข้อสอบพวก TOEFL IELTS เราเลยไปเซอร์เวย์ร้านหนังสือมือ 2 ที่เจเจ เลยได้ 2 เล่มนี้ มาในราคาเล่มละ 199 บาท เคยเห็นที่ Kinokuniya แบบว่าราคาแพงค่อดดดดด

แรกๆที่อ่านเราไม่ค่อยคุ้นกับการอ่านอังกฤษทั้งเล่ม ยิ่งคำแปลก็เป็นภาษาอังกฤษยิ่งเอ๋อหนัก แต่การเรียนรู้ต้องค่อยเป็นค่อยไปอะเนอะ เลยใช้วิธีกลับจากเรียนมาเปิดอ่าน 2 เล่มนี้แล้วเอาศัพท์มาท่องทีละ 20 คำ/เล่ม ซึ่งมันมีศัพท์แบบยากๆทั้งนั้นอ่ะ กว่าจะท่องได้ก็หืดขึ้นคอ เป็นศัพท์ที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต แต่พอทำไปเป็นประจำทุกวันจะเริ่มชินเอง ในสองเล่มนี้มีแบบฝึกหัดด้วยนะ บางทีทำเสร็จเรายังผิดบ้าง เราก็จะทำจนกว่าจะถูก

2 เล่มนี้ ให้คะแนน 3.5/5 คะแนน ประทับใจที่ท่องแทบตาย ศัพท์ที่ว่ายากมีออกสอบอยู่ 4 คำ 55555
 
เล่มถัดมาคือ
3. ถอดรหัส Error ของ ดร.ศุภวัฒน์ พุกเจริญ

เวลาไปร้านหนังสือเราเห็นหนังสือของ ดร.ศุภวัฒน์ เรียงเป็นตับ แต่ด้วยความที่กระเป๋าตังค์กรอบมาก ถ้ามีเงินคงซื้อทุกเล่ม แต่เคยคุยกับรุ่นพี่ปีก่อน แนะนำมาว่าให้เลือกซื้อเป็นบางเล่ม เพราะไม่ใช่ว่าทุกเล่มแกจะเก็งตรงอะไรขนาดนั้น

ส่วนตัวเราเคยหยิบอ่านแต่ละเล่ม แบบฝึกหัดกับเฉลยค่อนข้างละเอียดดีนะ แต่อย่างว่าไม่มีตังค์555 เล่มนี้เราก็ไปกวาดหาในทวิตเตอร์ ได้มาในราคา 40 บาท ส่งฟรีแบบลงทะเบียน คุ้มมาก ข้างในยังไม่มีรอยขีดเขียนอะไรเลย ที่เลือกเล่มนี้เพราะอย่างที่บอกแกรมม่าเราโง่มาก

Error ฝึกแรกๆ ผิดหมดก็มี เราโคตรท้ออะ คิดตลอดว่าน่าจะฟลุคตอบถูกซักข้อ แต่ทำมากี่ชุดก็ผิดเยอะกว่าถูก ตอนหลังเราเริ่มศึกษาจากการอ่านเฉลยทั้งหมดในเล่มก่อน แล้วเอามาจดแยกเป็นเรื่องๆ ทำสถิติไปว่าเรื่องไหนที่เรามักจะผิดบ่อย จัดเป็นเรื่องๆ แล้วเอามาเขียนโน้ตย่อเตือนความจำตัวเอง อาจจะเสียเวลาหน่อย แต่เรารู้สึกว่ามันทำให้เราเข้าใจแกรมม่าได้ดี จำกฎได้แม่นขึ้น ตอนหลังเราถึงค่อยกลับไปลองทำใหม่ คราวนี้ดีขึ้น คือจากเดิมได้แค่ผ่านครึ่งนิดหน่อย ตอนนี้ผิดน้อย เริ่มได้เต็มบ้าง

เล่มนี้ให้คะแนน 4.5/5  (แต่ต้องใช้เทคนิคอ่านเฉลยก่อน ทำโน้ตย่อช่วยเตือนความจำ ถึงจะเห็นผลว่าเล่มนี้ช่วยอะไรเราได้บ้าง)

4. GAT & Admission Conversation ของ อ.ทีวี จูเนียร์

เราชอบเล่มนี้ เพราะเนื้อหาแน่นดี แล้วก็ครอบคลุม แต่อาจจะไม่ครบแนวที่ชอบออกสอบ ถ้าเอาข้อสอบเก่ามาเทียบ เล่มนี้จะช่วยปูพื้นฐานเรื่อง Conversation ได้ดี ชอบตรงเขารวมสำนวนเป็นเรื่องๆ ทำให้มันดูน่าอ่าน ก่อนสอบเราอ่านเล่มนี้ไปหน่อย แต่ยังอ่านไม่หมด ไว้หลังปีใหม่จะกลับไปอ่านต่อ เลยยังขอไม่ให้คะแนน แต่แนะนำสำหรับคนที่อ่อนอังกฤษ เล่มนี้ดีมาก
 
5. พิชิต 150 คะแนนเต็ม GAT ภาษาไทย ของ อ.ขลุ่ย

แกทเล่มชมพู ถามใครก็ต้องรู้จัก เป็นหนังสือเล่มแรกของปีที่ลงทุนซื้อด้วยตังค์เก็บตัวเอง ก่อนสอบเราอ่านแต่ของอาจารย์ขลุ่ย ทำแบบฝึกหัดซ้ำๆ นับดูแล้วไม่ต่ำกว่า 5 รอบ เป็นหนังสือที่อ่านง่าย เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยเข้าใจแกทไทย แต่ส่วนตัวเรารู้สึกว่าของอ.ขลุ่ย แบบฝึกหัดในเล่มมันง่ายแล้วก็ตรงไปตรงมากว่าข้อสอบจริง รอบแรกที่ผ่านมา เรารู้สึกว่าทำไมของจริงมันซับซ้อนอะไรขนาดนี้ ผิดกับตอนที่ฝึกทำจากของอาจารย์แก ก็ค่อนข้างคาดหวังจากเล่มนี้สูง ว่าจะได้ 150 คะแนน แต่สุดท้ายผลที่ออกมาทำเราเฟล ได้ 145.95 คะแนน  ทุกวันนี้เราก็ยังไม่แน่ใจว่าเราพลาดตรงไหน

เล่มนี้ให้ 4/5 คะแนน ขอหัก 1 คะแนน เพราะหวังไว้เยอะ แต่ไม่ได้คะแนนเต็ม
 
6. TU-GET ของสถาบันภาษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เพื่อนที่เก่งๆ ในห้องแนะนำมาว่าถ้าจะฝึก reading ให้เก่ง ให้อ่านเล่มนี้ ปกติเวลาทำข้อสอบเก่าเราว่า reading GAT ยากแล้วนะ เจอของ TU-GET ยากหนักเข้าไปอีก อ่านไม่รู้เรื่องเลย แต่รุ่นพี่ปีก่อนๆ บอกว่าถ้าทำ TU-GET ได้ reading GAT จะง่ายเลย

เราเลยเริ่มใช้วิธีเดิม คือ อ่านก่อนรอบนึง แล้วลองไปตอบเฉพาะข้อที่เราตอบได้ แล้วค่อยไปเปิดเฉลย ส่วนข้อไหนที่ไม่เข้าใจก็อ่านเฉลยก่อนเลย ค่อยๆฝึกไป ส่วนตัวเราคิดว่า Reading มันไม่ได้ยากอะไรหรอก มันยากเพราะเราไม่รู้ศัพท์ของมันเท่านั้นเอง เราเลยคิดว่าถ้าเรายิ่งแม่นศัพท์ ก็น่าจะทำรีดดิ้งได้แน่นอน ตอนทำเราก็โน้ตศัพท์จาก Passage ไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ของ TU-GET จะเอามาจากพวก Academic Journals ในเว็บ ศัพท์ที่เจอใน Passageค่อนข้างเฉพาะทาง เช่น ด้านวิศวะฯก็วิศวะไปเลย ถ้าขยันโน้ตศัพท์หน่อย เราว่าวิธีที่เราทำมันช่วยให้เราได้ศัพท์เยอะมากขึ้น เวลาไปอ่าน Passage ต่อๆ ไป เราจะเริ่มคุ้นตา เริ่มจำได้แบบไม่ต้องมาเปิดดิคย้อนหลัง

เพราะฉะนั้นเล่มนี้เราให้ 4.5/5 หัก 0.5 คะแนน เพราะยากเกินกว่าข้อสอบจริง แต่ก็ขอบคุณที่ช่วยทำให้เราเก่ง Reading มากขึ้น
ปล. เล่มเหลืองที่เป็นเล่มแรกก็ดีนะ เราพึ่งได้มาแต่ยังไม่ได้ลองทำ ไว้จะมารีวิวให้ทีหลัง
 
7. Mastering GAT Connect Test ของ เพจ GAT Community

ถ้าจะให้จัดอันดับหนังสือแกทไทยที่ดีที่สุดในความคิดเราตอนนี้ คงยกให้เล่มนี้ ด้วยหลายๆเหตุผล คือ
1) ละเอียด 2) ภาษาอ่านง่าย ไม่ง่วง 3) มีรายละเอียดสำคัญหลายอย่างที่นส.แกทไทยเล่มอื่นเขาไม่เน้นกัน 4) แบบฝึกหัดความซับซ้อน/ยากพอๆกะของข้อสอบจริง 5) เฉลยละเอียดสุดแล้ว

ยังนึกเสียใจถ้าเจอเล่มนี้ก่อน รอบแรกเราอาจจะได้แกทเชื่อมเต็ม เพราะเท่าที่ลองทำแบบฝึก เราคิดว่าเล่มนี้ยากพอๆ กะข้อสอบจริง แต่ยังทำไม่เสร็จ หลังปีใหม่จะฟิทต่อ

ส่วนการหาซื้อ จะยากหน่อย เพราะไม่มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป จะมีแค่บางร้านในบางจังหวัด ถ้าจะซื้อเอาสะดวกๆ แนะนำสั่งออนไลน์จากทางเพจ GAT Community ส่งเร็วมากรอ 2 วันก็ได้รับแล้ว  
คะแนนโหวตหลังจากอ่านแล้วก็ทำแบบฝึดหัดไปได้เกือบ 70%  ขอให้คะแนน 4.9/5 ไม่มีตรงไหนที่ไม่ชอบ

8. ข้อสอบ O-NET แนวใหม่ ของ ดร.สาธิดา วัฒนโภคากุล กับ
9. แนวข้อสอบ GAT (ตอนที่ 2 : ภาษาอังกฤษ) ของ ดร.สาธิดา วัฒนโภคากุล

สองเล่มนี้ได้มาตอนศูนย์หนังสือจุฬาฯ จัด Sale ก็ตกเล่มละไม่ถึงร้อยบาท สำหรับเราถือว่าแพงเพราะเล่มบางมากราคาปก 120 งี้ มีประมาณ 120 หน้า แต่ชอบทั้งสองเล่มเพราะเป็นเล่มที่ทำจบมากกว่า 2 ครั้ง ถึงเฉลยจะไม่ละเอียดมาก แต่ก็พอใจระดับนึง ถ้าใครอยากหาแบบฝึกหัดมาทำแบบเร่งด่วน เราว่า 2 เล่มนี้ก็ดีนะ คือแบบฝึกหัดมันพอกระชุ่มกระชวยสมองได้บ้าง
คะแนนสำหรับ 2 เล่มนี้ให้ 4/5 คะแนน
 
10. GAT เชื่อมโยง ของ ณัฐชนก รูปประดิษฐ์


เล่มนี้ไม่แน่ใจว่าที่ขายตามร้านหนังสือตอนนี้จะพิมพ์ปรับปรุงรึยัง เพราะเนื้อหาด้านในที่สอนแกทไทยยังมีสอนผิดอยู่ อย่างพวกความหมายของความสัมพันธ์แต่ละอัน ยังบอกว่า “A” คือแสดงลำดับการเกิดก่อน-หลัง อยู่ (ซึ่งมันผิด สทศ.ยกเลิกความหมายอันนี้ไปแล้วอะ) แต่แบบฝึกหัดก็พอใช้ได้เป็นบางเรื่อง ตอนก่อนสอบเราฝึกทำจากเล่มนี้นิดเดียว ข้ามเนื้อหาไปทำบทความเลย พอย้อนมาอ่านดูเนื้อหา ก็เพิ่งเห็นว่าสอนผิดอยู่ เลยละไว้ในฐานที่เข้าใจ 
คะแนน 2/5

 
11. พิชิต CU-TEP Grammar

ตอนฝึกทำ error จากเล่ม ถอดรหัส Error ของ ดร.ศุภวัฒน์ พุกเจริญ ถ้าเรื่องไหนไม่เข้าใจเราจะมาหาอ่านเพิ่มในนี้ เพราะรวมแกรมม่าทุกอย่าง อธิบายละเอียด ถึงภาษาจะอ่านแล้วอยากหลับก็ตาม เป็นเล่มที่น่ามีเก็บไว้ เล่มนี้ก็หาซื้อจากในทวิตเตอร์เหมือนกัน 90 บาท คลีนๆ สภาพเยี่ยม แต่ถ้าใครมีเวลาจำกัด เล่มนี้อาจจะไม่ทันถ้าเหลือเวลาเตรียมสอบไม่ถึง 1 เดือน แต่ก็อยากแนะนำไว้ เพราะสอนค่อนข้างดีเลยแหละ
เล่มนี้ให้ 4.5/5 คะแนน

 
12. GAT Connect Plus ของ On Demand

อันนี้หายากที่สุด เพราะเฉพาะคนที่เรียนคอร์สแกทไทยที่ On demand ถึงจะมี แต่โชคดีเราไปเจอคนปล่อยในทวิตเตอร์ จริงๆ มีพวกชีทด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายมา ในเล่มจะมีทั้งข้อสอบของที่นี่แล้วก็ข้อสอบเก่า แต่ก็เป็นข้อสอบที่สามารถหาโหลดได้จากในเนท

เท่าที่เคยได้ยินมาเพื่อนที่เรียนที่นี่บอกว่าข้อสอบแกทไทยของ On Demand จะยากแล้วก็ซับซ้อนกว่าข้อสอบจริงมาก เราลองทำดูแล้วก็ยากจริงๆ แบบซ้อนไปมา มาบทความมีคำตอบเยอะมาก แต่หลังจากสอบรอบแรกเราว่าข้อสอบจริงมันไม่ได้ซับซ้อน/ยากขนาดนี้ แต่อาจจะ=เหมาะสำหรับคนที่สอบความถนัดแพทย์ละมั้ง ก็ถือว่าเป็นเล่มที่ดี สำหรับคนที่อยากเน้นทำแบบฝึกหัด แต่ถ้าซื้อมาแล้วหนังสือไม่มีจดอะไรก็เปล่าประโยชน์ เพราะในเล่มไม่มีเฉลย ต้องหาเล่มที่ผ่านมีคนเรียนมาแล้ว

ให้คะแนน 4.5/5 หักที่หายาก ต้องหาจากคนที่ไปเรียนมาแบบตั้งใจจริงๆ
 
13. อ่านขาดภาษาอังกฤษ ของ คณะนักเรียนทุนคิง ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น

ได้มาจากในทวิตเตอร์ตามเคย หน้าปกอาถรรพ์มาก ใช้ติวได้ทั้งแกท + 9 วิชาสามัญ เราว่าเล่มนี้เอาจริงๆ ก็สูสีกับของดร.ศุภวัฒน์ เผลอๆ ดีกว่า เพราะความดีงามของเฉลย ละเอียดค่อดดดด ความยากเทียบเท่าข้อสอบจริง ใช้ได้เลย ทั้งเล่มมีประมาณ 300 หน้า ราคาปก 270 บาท ถือว่าไม่แพง ตอนแรกเกือบซื้อแล้วแต่ไปเจอในทวิตเตอร์ซะก่อน

ให้ 4.5/5 คะแนน หักที่พาร์ทสุดท้ายยังเป็น sentence rearrangement ซึ่งสทศ.เปลี่ยนเป็น Paragraph writing แทนแล้ว เท่ากับว่าพาร์ทนี้เราไม่ได้ใช้เตรียมสอบ เลยขอหักนิดนึง
 
14. Grammar and Techniques of the English Language

เป็นหนังสือที่หนาและแพงมาก ซื้อตามอาจารย์ที่รร. เพราะเห็นแกใช้สอนทุกคาบ ถ้าเหลือเวลาเตรียมสอบน้อย ขอให้มองข้ามเล่มนี้ไป แต่เราเอามาใช้เวลาที่เจอแกรมม่าเรื่องที่ไม่เข้าใจ แบบบางทีอ่าน พิชิต CU-TEP Grammar บางเรื่องอาจจะยังไม่เข้าใจ ก็จะมาอ่านเพิ่มจากเล่มนี้ ถ้าอ่านเล่มนี้แล้วไม่เข้าใจก็ไม่ต้องมองหาเล่มอื่นแล้ว 5555

ถ้าได้มาเร็วกว่านี้อาจจะอ่านเป็นเรื่องแล้วทำสรุปเอง แต่ดูจากเวลาคงไม่ทัน เลยเก็บไว้ใช้ตอนเจอแกรมม่าที่ไม่ค่อยเข้าใจ ถ้าใครอยากได้ในราคาถูกไปร้านหนังสือที่จตุจักร เราเห็นมีขายอยู่ 2-3 ร้าน แต่จำชื่อร้านไม่ได้ เล่มนี้เราซื้อมา 220 นิดๆ
คะแนนเล่มนี้ให้ 4.8/5 เลย เพราะละเอียดจริง
 
15. AX 22-YEAR Absolute Exam Kit ของ ครูพี่แนน Enconcept

รุ่นพี่ให้มานานมาก เล่มหนาและหนักที่สุด เหมาะสำหรับเตรียมสอบ O-NET เพราะเท่าที่ทำไปแล้ว 30% เราว่าข้อสอบแกทยังยากกว่าเล่มนี้อยู่ดี ถ้าสอบแกทเสร็จ ตั้งใจว่าจะลุยทำแบบฝึกหัดในเล่มนี้ต่อ เฉลยค่อนข้างละเอียด ที่ร้านหนังสืออาจจะมีเล่มที่พิมพ์ปรับปรุงหรืออัพเดทกว่านี้ แต่เราไม่ค่อยเจอคนปล่อยในทวิตเตอร์ เลยใช้เล่มเก่าที่ได้มาไปก่อน ปล. เล่มนี้ข้อสอบหลากหลาย มีหลายพาร์ท ถ้าไม่อยากเปลืองเงินซื้อเล่มนี้มาทำเล่มเดียว เราว่าเพียงพอต่อการสอบนะ

คะแนนเอาไปเลย 4.9/5 รักครูพี่แนน ถึงจะไม่มีโอกาสได้เรียนด้วยเลยก็ตาม TT O TT

ถ้าอ่านแล้วอยากซื้อตามแต่งบน้อย แนะนำให้ไปหามือสองในทวิตเตอร์ก่อนนะ จะให้ดีไปอ่านที่ร้านหนังสือ ไปดูเนื้อหาข้างในก่อนว่าโอมั๊ย ค่อยมาหาซื้อมือสอง ส่วนที่จตุจักรเดี๋ยวเราขอเช็คชื่อร้านก่อน จำไม่ได้จริงๆ แต่เป็นแหล่งหนังสือเรียนมือ 2 ที่ดีมาก ที่อยากให้ซื้อมือสองเพราะเราเห็นหลายคนซื้อมือ 1 แบ้วชอบดอง เหมือนซื้อมาไว้ใกล้ตัวเพราะทำให้อุ่นใจ แต่เราคิดว่ามันเปลืองนะถ้าซื้อมาแล้วไม่ใช้ประโยชน์ อย่างน้อยถ้าอยากอุ่นใจ ซื้อมือ 2 ยังมีเงินเหลือไว้จ่ายอะไรที่จำเป็นได้อีกเยอะเลย

จบไปในส่วนของงรีวิว ต่อจากนี้จะเป็นแหล่งความรู้ในอินเตอร์เนทที่เราจะเข้าไปเก็บความรู้ตลอด

FB Page
1. GAT Community
https://www.facebook.com/gatcommunity/
ตามเพจนี้มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เป็นเพจที่เราอยากให้ติดดาวไว้ เพราะแจกชีทเด็ดๆ เยอะมาก เน้นทั้งแกทอิ้งแล้วก็แกทไทย พวกชีทที่จัดว่าเด็ด เช่น พวกรวมศัพท์ย้อนหลังที่เคยออกสอบหลายศักราช เก็งแนวข้อสอบแบบเป็นชีท Content แล้วมันดีงามตรงที่อ่านเข้าใจง่าย พี่แกใช้ภาษาแบบกันเองด้วย เวลาปริ้นมารู้สึกว่าดูน่าอ่าน

รอบแรกเราว่าสำนักนี้เกร็งข้อสอบตรงอ่ะ ทั้งศัพท์ทั้งแกรมม่า บางคนบอกออกน้อย แต่อย่างเราก่อนสอบ 1 สัปดาห์ เราเน้นของที่นี่เป็นหลัก แล้วอ่านทวนทัน 2 รอบ ส่วนศัพท์ท่องทันรอบเดียว เราคิดว่าที่บอกว่าออกน้อย เพราะอ่าน/ท่องไม่ทันกันรึเปล่า แต่อย่างเราอ่านจบเราว่ามันออกเยอะ โดยเฉพาะศัพท์ ทำไปยิ้มไป ยอมรับว่าก่อนสอบนั่งท่องแบบฮาร์ดคอร์มาก ถึงกับต้องเอามาท่องตอนยืนรอรถเมล์ ตอนอยู่ในห้องน้ำ ถ่ายเอกสารมาแปะทั่วบ้าน แต่นอยตรงแอดมินก็ชอบมาแจกตอนกำลังผ่านช่วงไฮไลท์ของการอ่านหนังสือระยะสุดท้าย พอได้มาก็อ่านรนกันไป T T

สำหรับแหล่งความรู้จากเพจนี้ เราให้ 4.8/5 หักที่แจกชีทช้า แต่ประทับใจที่พี่แอดมินแกตอบทุกคน อย่างตอนที่แอดไลน์ของเพจไป เราเข้าใจว่าพี่แกน่าจะตั้ง Auto (ระบบตอบอัตโนมัติ) สรุปคือพี่แกอ่านเอง แล้วตอบเองทีละคน นับถือใจ ไม่สงสัยว่าทำไมมีคนติดตามเยอะขนาดนี้

2. GAT Eng & Connect Thailand By P’Non
https://www.facebook.com/GatEngandConnect/
เพจนี้ ส่วนใหญ่จะเอาข้อสอบจริงมาสอน ตอนสอบรอบแรกเข้ามาดูเฉลยเพจนี้ พี่แอดมินแกได้คะแนนเยอะมากแบบเกือบเต็ม เลยขอตามมาสูบความรู้ ถ้าใครอยากได้เกร็ดความรู้แกทอิ้งก็ลองเข้าไปติดตามที่เพจนี้นะ มีลงข้อสอบให้ลูกเพจทำ บางช่วงจะมีข้อสอบจำลองด้วย รู้สึกว่าหลังๆ พี่แกเริ่มมาทำส่วนของ Eng กับ ไทยของ 9 วิชาสามัญด้วย อาจจะมีประโยชน์สำหรับคนที่อยากฟิทการสอบทั้ง Eng ของแกท+9 วิ 

สำหรับเพจนี้ให้ 4.6/5 หักที่พี่นนท์ไม่ตอบ Inbox เสียจายยยยย T^T

3. AJ Klui
https://www.facebook.com/ajarn.klui
เพจอ.ขลุ่ย นานๆจะมีแจกชีทรวมข้อสอบเก่าแกทไทย ไม่ก็ Live สดสอนแกทไทย มันก็ดีนะ แต่อยากให้อาจารย์แกแจกเยอะๆ กว่านี้ เข้าไปหลังๆ ส่วนใหญ่กับเป็นเม้าท์สัพเพเหระเรื่องสอบ/เรียนทั่วไปมากกว่า แต่ถ้าจะติดตามไว้ก็ไม่เสียหายนะ เวลามีข้อดีมาแจกก็คุ้มกับการติดตาม
ให้คะแนน 4.7/5

4. Opendurian
ตามข้อสอบเก่า เข้าไปดูในเว็บนี้ได้เลย มีเฉลยให้เสร็จสรรพ แต่ของปีล่าสุดยังไม่มีมานะ ส่วนเพจเราไม่ได้ตาม เพราะ ตอนสอบ GAT รอบแรก มาดูเฉลยสำนักนี้ เฟลเลย ไม่แน่ใจว่าข้อมูลผิดรึเปล่า ตรวจแล้วคำตอบไม่ค่อยตรง แต่ถ้าเป็นตัวเว็บเราว่าของที่นี่ดีมากๆ เป็นแหล่งข้อสอบชั้นเยี่ยม ไม่ได้มีแค่แกทอิ้งอย่างเดียว วิชาอื่นๆ ก็มี
ให้คะแนน 4.8/5 ข้อสอบเยอะดีชอบๆ

5. Forward English  
https://www.facebook.com/forwardenglishbypohm/
เป็นกวดวิชาที่ลงข้อมูลแนวข้อสอบ มีชีทแจกให้ แต่เป็นแค่น้ำจิ้ม ถ้าอยากได้แบบละเอียดคงต้องลงคอร์สเรียน เราก็จะอาศัยจากการดู Live เวลาพี่แกสอน หรือเก็งแนวข้อสอบ แต่ตอนหลังพี่โอมแกบอกว่า Live เสร็จ จะลบวิดิโอเลย เท่ากับว่าต้องไปดูให้ทันตามเวลาที่เขา Live ซึ่งเราไม่ค่อยสะดวก แต่ถ้าได้ติดตามเราคิดว่าที่นี่ก็แจกอะไรดีๆ เยอะนะ ติดว่ามีข้อจำกัดอย่างที่เรื่องที่ว่า
สำหรับคะแนนโหวต ให้ 4/5 คะแนน (ถ้าไม่ลบวิดิโอที่ Live จะดีต่อใจมาก)
 
จบแล้วสำหรับฮาวทู+รีวิว ขอฝากทิ้งท้ายไว้สำหรับเพื่อนๆที่คะแนนรอบแรกออกมาไม่ดี อย่าเพิ่งท้อนะ เรารู้ว่าหลายคนเสียกำลังใจไปเยอะ แต่ถ้ารอบสุดท้ายแล้วยังไม่พยายามให้มากขึ้น จะไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกแล้ว เวลาที่จำกัดแบบนี้ถ้าลงเรียนพิเศษอาจจะไม่ทัน แนะนำลองอ่านเอง ถ้าไม่เข้าใจนอกเหนือจากนส.กับเพจที่เราแนะนำ ยังมี youtube ความรู้ส่วนใหญ่เราก็ได้จากในนี้เหมือนกัน ^_^

รอบ 2 มาสู้กันอีกรอบ \^O^/
ส่วนใครมีคำถาม msg หรือทิ้งคอมเม้นไว้ได้นะ
 

 
 

 


ฝึกพูดภาษาอังกฤษ ประโยคสั้นๆ ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน EP.3 |ตอนสั่งซูชิ


ฝึกพูดประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐาน ประโยคสนทนาสั้นๆ ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน EP.3| ตอน สั่งซูชิกันเถอะ
👨‍👩‍👧‍👧 สนใจสนับสนุนช่อง Kru.First สมัครสมาชิกได้ที่
https://www.youtube.com/channel/UCCfeWBGEwkmetTlRxvemMg
มาเป็นสมาชิกครอบครัว English with Kru.First กันนะคะ
ในคลิ๊ปนี้
นักเรียนจะได้ยินเสียงประโยคสนทนาภาษาอังกฤษสั้นๆที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำ 3 ครั้ง
นักเรียนลองฝึกฟังดูนะคะ ว่าพอจะฟังออกไหม ตรงกับที่เราเข้าใจไหม

สนใจเรียนคอร์สสนทนาภาษาอังกฤษกับ Kru.First
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.krufirst.com
หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Line ID: @englishkrufirst
ภาษาอังกฤษ สอนภาษาอังกฤษ เรียนภาษาอังกฤษ

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

ฝึกพูดภาษาอังกฤษ ประโยคสั้นๆ ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน EP.3 |ตอนสั่งซูชิ

ฝึกพูด 50 ประโยคสนทนาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ในชีวิตประจำวัน


อยากฝึกพูดภาษาอังกฤษตัวต่อตัว หรือเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบบุฟเฟ่ต์
สมัครได้เลย ​https://www.unfoxenglish.com/
สอบถามแอดไลน์ ​https://lin.ee/5uEdKb7h
กลุ่มเฟสบุค https://www.facebook.com/groups/unfoxenglishcommunity/
ฝึกพูด 50 ประโยคสนทนาในชีวิตประจำวัน EP.2
https://youtu.be/wPZ2j_MFfKA
50 ประโยคภาษาอังกฤษที่ฝรั่งพูดบ่อยมากในการสนทนา
https://youtu.be/tDYt8ZXOsrI
อยากพูดภาษาอังกฤษได้เราก็ต้องเริ่มต้นด้วยการฝึกพูดจากประโยคง่ายๆ และพื้นฐานๆที่ได้ใช้จริงในชีวิตประจำวัน ฝึกการพูดออกเสียงเป็นประโยคและเข้าใจความหมายไปด้วยจะช่วยให้เราสามารถนำประโยคเหล่านั้นไปใช้งานในสถานการณ์จริงและรู้จักปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆได้ วันนี้ผมรวบรวมเอาประโยคที่พื้นฐานที่สุดมาให้ทุกคนได้ฝึกฝนกัน จริงๆยังมีมากกว่านี้แต่ 50 ประโยคเริ่มต้นนี้ถ้าฝึกพูดจนชินแล้วเราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายบริบทเลยทีเดียว
ภาษาอังกฤษพื้นฐาน ฝึกพูดอังกฤษ
ติดตามช่อง YouTube ส่วนตัว
ช่องยูทูปของแล็คต้า https://www.youtube.com/lactawarakorn
ช่องยูทูปของเบล https://www.youtube.com/bellvittawut
ติดตามช่องทางอื่นๆ และพูดคุยกันได้ที่
ชุมชนคนรักภาษาอังกฤษ https://www.unfoxenglish.com
FB: https://www.facebook.com/unfoxenglish
Twitter: https://www.twitter.com/unfoxenglish
Lacta’s IG: https://www.instagram.com/lactawarakorn
Bell’s IG: https://www.instagram.com/toshiroz
ติดต่องาน
Email: [email protected]
Line: http://nav.cx/oOH1Q6T

ฝึกพูด 50 ประโยคสนทนาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ในชีวิตประจำวัน

คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่องสัตว์ต่างๆ l พร้อมรูปและคำอ่าน l คำศัพท์ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน


วีดีโอสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ มาพร้อมกับรูปสัตว์ คำอ่าน คำแปล เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ เรียนรู้คำศัพท์ต่างๆ

คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่องสัตว์ต่างๆ l พร้อมรูปและคำอ่าน l คำศัพท์ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน

Twinkle, Twinkle, Little Star – Songs for Children | LooLoo Kids


You are watching \”Twinkle, Twinkle, Little Star\”, a super fun compilation with the best animated nursery rhymes!🎮New game with Johny and Friends https://3novg.app.link/F2ViI5MeNfb 📢Download our music app: http://onelink.to/looloo
📢Listen on SPOTIFY http://listento.loolookids.com/bestofloolookids
🔔Subscribe to our channel if you enjoyed this educational video! You’ll get constant access to more nursery rhymes, more awesome content, so you’ll never miss a chance to show your children new and exciting things! http://bit.ly/Subscribe_to_LooLooKids
Go to your favorite song by selecting a title below!
0:00 Twinkle, Twinkle, Little Star 2:29 Bingo 4:53 Rain, Rain Go Away 7:18 Old MacDonald Had A Farm 8:36 Miss Polly Had A Dolly 9:58 Head, Shoulders, Knees and Toes 11:25 Five Little Ducks 12:59 Three Little Kittens 15:18 Old MacDonald Had A Farm 16:39 BINGO 18:36 The ABC Song 19:55 Five Little Monkeys 22:08 Humpty Dumpty 23:22 Incy Wincy Spider 24:58 The Finger Family 26:01 The Wheels On The Bus 27:50 If You’re Happy And You Know It 29:30 Twinkle, Twinkle, Little Star 31:32 Hush, Little Baby 33:53 Row, Row, Row Your Boat 35:39 Baa, Baa, Black Sheep 36:45 Happy Birthday
Twinkle, Twinkle, Little Star Lyrics
Twinkle, twinkle, little star,
How I wonder what you are.
Up above the world so high,
Like a diamond in the sky.
Twinkle, twinkle, little star,
How I wonder what you are.
Enjoy other LooLoo Kids nursery rhymes:
Johny, Johny Yes Papa https://youtu.be/F4tHL8reNCs
The Wheels on the bus https://youtu.be/6X3AQe4lPg
Rain, Rain Go Away https://youtu.be/nCqUYAnQF0o
Ten in a Bed https://youtu.be/jk7N3bKvgvg
Five Little Ducks https://youtu.be/ccCPcujnys
Are You Sleeping Brother John https://youtu.be/ptXUH9vhCmA
PeekaBoo https://youtu.be/3pzyUMVI_qQ
Drawing Song https://youtu.be/4_TANGFW43k
Seven Days https://youtu.be/iXtPqJEylVk
Baby Shark https://youtu.be/sUxTSW4hW2g
Enjoy educational songs and stories for preschool kids created by experts in children’s education!
Nursery rhymes in English, canciones en inglés para niños, barnvisorna på engelska, Músicas em inglês para crianças, Gyerekzene, Kinderlieder in Englisch, 英文兒歌, Písničky v angličtině, أناشيد أطفال باللغة الإنجليزية, अंग्रेजी में नर्सरी कविताएं, Comptines en anglais, Lagulagu anak berbahasa Inggeris, Musik Untuk Anak, Barnerim på engelsk, Canzoni per bambini in inglese, Engelse kinderliedjes, Piosenki dla dzieci po angielsku, เพลงภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก
looloo
LooLoo Kids is a registered trademark of MORA TV. For distribution and more information, visit and contact us at https://loolookids.com

Twinkle, Twinkle, Little Star - Songs for Children | LooLoo Kids

คุณแม่ทำกับข้าว ของเล่นเครื่องครัว ของเล่นไม้ ของเล่นทำอาหาร ครัวไม้ สไลม์ Play Doh สกุชชี่


คุณแม่ทำกับข้าว ของเล่นเครื่องครัว ของเล่นไม้ ของเล่นทำอาหาร ครัวไม้ สไลม์ Play Doh สกุชชี่
สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ช่อง Fairy Doll TV (แฟรีดอล) นะคะ
ฝากกดติดตามช่องแฟรี่ดอล ทีวี ของพี่นุ้ยด้วยนะคะ
❤ กดติดตามช่อง Fairy Doll : http://goo.gl/exBeXn
❤ Subscribe to the channel :http://goo.gl/exBeXn
❤Facebook : https://www.facebook.com/fairydolltv

Please feel free to subscribe to our channel for more Youtube exclusive children’s videos here. Fair use of content is intended

คุณแม่ทำกับข้าว ของเล่นเครื่องครัว ของเล่นไม้ ของเล่นทำอาหาร ครัวไม้ สไลม์ Play Doh สกุชชี่

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ นส ภาษาอังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *