Skip to content
Home » [NEW] | สหรัฐอเมริกา ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES

[NEW] | สหรัฐอเมริกา ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES

สหรัฐอเมริกา ภาษา อังกฤษ: คุณกำลังดูกระทู้

ข้อมูลทั่วไป United states of amarica (สหรัฐอเมริกา) เป็นแหล่งศูนย์รวมของวัฒนธรรม ที่มีความหลากหลาย จากประชากรประเทศต่างๆทั่วโลก ที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาพำนัก ทำให้สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศหนึ่งที่ใครหลายคนอยากมาสัมผัส ซึ่งลักษณะทั่วไปของประเทศมี ดังนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกามีพื้นที่โดยรวมประมาณ 3,787,319 ตารางไมล์ หรือประมาณ 18 เท่า ของขนาดพื้นที่ประเทศไทย ประกอบด้วยพื้นที่ต่างๆ 50 รัฐ และ 1 เขตการปกครอง คือ Washington D.C . และมีประชากรโดยรวมประมาณ 292 ล้านคน

ภูมิประเทศ ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีความหลากหลายในเรื่องของภูมิประเทศ คือ มีทั้งป่าไม้ ทะเลทราย ภูเขา ที่ราบสูงและที่ลุ่ม มีผืนแผ่นดินใหญ่ซึ่งเป็นพื้นที่ของรัฐที่ติดต่อกันรวม 48 รัฐ และ Washington D.C . โดยมีรัฐ Alaska ซึ่งอยู่ตอนเหนือของประเทศแคนาดา และรัฐ Hawaii ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิค

ประเทศสหรัฐอเมริกามีการแบ่งภูมิภาคต่างๆตามลักษณะภูมิประเทศ ดังนี้

ภูมิอากาศ ในสหรัฐอเมริกาสามารถพบอากาศได้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่บรรยากาศแบบแถบขั้วโลกซึ่งหนาวติดลบ 40 องศา จนถึงบรรยากาศที่ร้อนเหมือนทะเลทราย 45 องศา ช่วงอากาศหนาวที่สุด คือเดือนมกราคม และร้อนที่สุดช่วงเดือนกรกฎาคม

ฤดูร้อน อยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน สิงหาคม

ฤดูใบไม้ร่วง อยู่ในช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน

ฤดูหนาว อยู่ในช่วงเดือนธันวาคม กุมภาพันธ์

ฤดูใบไม้ผลิ อยู่ในช่วงเดือนมีนาคม พฤษภาคม

เวลา เนื่องจากประเทศมีขนาดใหญ่มาก จึงมีการจัดแบ่งการใช้เวลาที่แตกต่างกัน ดังนี้

ส่วนภาคตะวันออก หรือ Eastern Time Zone (EST) : จะมีเวลาช้ากว่าเวลาในประเทศไทยเท่ากับ 12 ชั่วโมง แต่ในช่วงเดือนมีนาคม เมษายน จะมีการปรับเลื่อนเวลาในช่วงฤดูร้อนอีก 1 ชั่วโมง หรือ Daylight Saving Time ทำให้เวลาช้ากว่าประเทศไทยเป็น 13 ชั่วโมง เมืองสำคัญที่อยู่ในเขต EST คือ Boston, New York, Washington D.C., Miami และ Cleveland

ส่วนตอนกลางของประเทศ หรือ Central Time Zone จะมีเวลาช้ากว่าในประเทศไทยเท่ากับ 13 ชั่วโมง แต่ในช่วงเดือนมีนาคม เมษายน มีการปรับ Daylight Saving Time ซึ่งจะมีผลทำให้เวลาของอเมริกาช้ากว่าเวลาในประเทศไทยเป็น 14 ชั่วโมง เมืองสำคัญที่อยู่ในเขตนี้คือ Chicago และ New Orleans

ส่วนพื้นที่ในย่านมหาสมุทรแปซิฟิค หรือ Pacific Time Zone จะมีเวลาช้ากว่าเวลาในประเทศไทย เท่ากับ 15 ชั่วโมง แต่ในช่วงเดือนมีนาคม เมษายน มีการปรับ Daylight Saving Time ซึ่งจะมีผลทำให้เวลาช้ากว่าในประเทศไทยเป็น 16 ชั่วโมง เมืองสำคัญที่อยู่ในเขตนี้คือ San Francisco , Seattle และ Hawaii

Daylight Saving คือ การปรับเวลาในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งจะมีการหมุนเข็มนาฬิกาให้เวลาเดินหน้าเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง โดยจะปรับเวลาในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม และเมื่อถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ ก็จะหมุนเข็มนาฬิกาให้ถอยหลัง 1 ชั่วโมง โดยจะเริ่มปรับเวลาในวันอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน ประชากร สหรัฐอเมริกามีประชากรเป็นชาวผิวขาวประมาณ 75.1 % ส่วนพวกคนผิวดำประมาณ 12.3% พวกเชื้อสายสเปน ประมาณ 13% ของจำนวนประชากรทั้งหมด นอกจากนี้เป็นชาวเอเชียประมาณ 3.7%

การเมืองการปกครอง มีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยในรูปแบบของสหพันธรัฐ ประกอบไปด้วย 50 รัฐ และ 1 เขตการปกครอง คือ Washington D.C. ซึ่งเป็นเมืองและศูนย์กลางการปกครอง โครงสร้างของรัฐบาลแห่งชาติและกิจกรรมของรัฐบาลจะถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ในส่วนของกิจกรรมที่นอกเหนือไปจากที่กำหนดอาทิเช่น อำนาจการจัดการด้านการศึกษาหรือนโยบายการบำรุงรักษาถนน รวมถึงการดำเนินงานด้านตำรวจ จะเป็นความรับผิดชอบของแต่ละรัฐ ซึ่งมีรัฐธรรมนูญและกฎหมายของตนเอง

ระบบเศรษฐกิจ เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นระบบเศรษฐกิจเสรี ชาวอเมริกันส่วนมากเป็นประชาชนที่จัดว่าอยู่ในระดับปานกลาง จำนวนประชากรที่รวยมากหรือจนมากจะมีน้อย ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีความเจริญ และเป็นผู้นำในธุรกิจต่างๆมากมาย สังคมและวัฒนธรรม เนื่องจากความหลากหลายของประชากร จึงทำให้เป็นประเทศที่มีความหลากหลายด้านวัฒนธรรม คนกลุ่มต่างๆ ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมของตนเอาไว้ เช่น China Town หรือ Little Italy ชาวอเมริกันเป็นคนที่ไวต่อการเรียนรู้ และเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ จึงมีอิสระด้านความคิดมากๆ นอกจากนี้คนอเมริกันรุ่นใหม่จะมีความสนใจสิ่งรอบข้างมากกว่าแค่การเรียน การศึกษาหรือการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวัยรุ่น ซึ่งจะมีความสนใจในการร่วมกิจกรรมต่างๆ พร้อมกับมีส่วนร่วมในองค์กรต่างๆสำหรับเยาวชน และมักหางานนอกเวลาทำกันเป็นส่วนใหญ่ เพื่อหารายได้มาทำกิจกรรมต่างๆที่ตนเองต้องการ

ศาสนา มีเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนาหรือไม่นับถือศาสนาใดเลยก็ได้ ศาสนาที่มีคนนับถือมากที่สุด คือ ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์

ประเภทของสถาบันการศึกษา ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่มีระบบการศึกษาหรือหลักสูตรการศึกษาในระดับประเทศ ในแต่ละรัฐ จะมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่คล้ายกับกระทรวงศึกษาธิการของตนเอง การศึกษาภาคบังคับ ของประเทศสหรัฐอเมริกาคือระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Grade 12)

โรงเรียนประถมศึกษา / มัธยมศึกษา ( Elementary Schools) เป็นการศึกษาภาคบังคับ คือ ชั้น Grade 1 Grade 6 หรืออายุ 1 6 ขวบ

โรงเรียนมัธยมศึกษา (Secondary school) เป็นการศึกษาภาคบังคับสำหรับเด็กอายุ 12 18 ปี หรือ มัธยมศึกษาปีที่ 1 6 โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ Grade 7 และ Grade 8 เท่ากับช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น (Junior High Schools) และ Grade 9 ถึง Grade 12 เท่ากับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Senior High Schools) นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่จะเข้าเรียนกับโรงเรียนประจำของเอกชน (Broading school) เพราะโรงเรียนรัฐบาลไม่สามารถจัดหาที่พักให้ได้

วิทยาลัยอาชีวศึกษา (Technical and Vocational Schools) สถาบันที่เปิดสอนหลักสูตรเกี่ยวกับวิชาชีพสาขาต่างๆ โดยผู้ที่จะศึกษาต่อด้านนี้จะต้องจบมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว หน่วยกิตที่เรียนจากสถาบันประเภทนี้จะโอนเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสถาบัน

วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย (College and University) เปิดสอนในระดับปริญญา แบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ Associates Degree หรือ อนุปริญญา Bachelors Degree หรือ ปริญญาตรี ใช้เวลาในการศึกษารวม 4 ปี Masters Degree หรือ ปริญญาโท ใช้เวลาในการศึกษา 1.5 2 ปี (หลักสูตรด้านกฎหมาย 1 ปี) Doctorate Degree หรือ ปริญญาเอก ใช้เวลาในการเรียน 3 4 ปี ซึ่งนอกจากนี้ยังมีระดับ Postdoctoralซึ่งเน้นด้านการวิจัยหลังสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาเอกแล้วด้วย

สถาบันเทคโนโลยี (Institute of Technology) เปิดสอนในระดับปริญญาตรีขึ้นไปเหมือนมหาวิทยาลัย แต่จะเน้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่า

สถาบันการศึกษาด้านวิชาชีพชั้นสูง (Professional School)เป็นการศึกษาในลักษณะพิเศษ ในบางสาขาอาชีพเท่านั้น ซึ่งระบบค่อนข้างซับซ้อนสามารถสรุปได้ ดังนี้

1. การศึกษาระดับ First Professional Degree ด้านแพทย์ศาสตร์ ทันตกรรม และสัตวบาล การสมัครเข้าศึกษาต่อ ด้านแพทย์ศาสตร์ ทันตกรรม และสัตวบาล มีการแข่งขันที่สูงมาก และโอกาสที่จะรับการตอบรับก็ยากสำหรับนักศึกษาต่างชาติเพราะ การศึกษาในด้านนี้จะได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากภาครัฐ ซึ่งทางสถาบันจะเปิดรับนักศึกษาในรัฐเท่านั้น ไม่สำรองไว้ให้นักศึกษาต่างชาติถึงแม้ว่าจะมีคุณสมบัติครบก็ตาม

พยาบาล นักศึกษาที่เรียนด้านพยาบาล จะต้องได้รับการอนุญาตให้สามารถทำงานนั้นๆ โดยที่แต่ละรัฐจะมีคณะกรรมการด้านพยาบาลเป็นผู้ออกใบอนุญาตของแต่ละรัฐ จึงจะสามารถจดทะเบียนประกอบวิชาชีพพยาบาล (Registered Nurses RN)

กฎหมาย หลักสูตรด้านกฎหมายที่เหมาะสมและเป็นที่นิยมสำหรับนักศึกษาต่างชาติ คือ หลักสูตร Master of Laws (LL.M.), Master of Comparative Laws (M.C.L.) และ Master of Comparatives Jurisprudence (M.C.J.) ซึ่งเป็นหลักสูตรเกี่ยวกับสถาบันด้านกฎหมายของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศด้วย

2. สถาบันสอนภาษา (Language Schools) ประเทศสหรัฐอเมริกามีสถาบันสอนภาษามากมายหลายร้อยแห่ง ทั้งของรัฐบาลและเอกชน ซึ่งหลักสูตรที่เปิดสอนส่วนใหญ่จะเป็นหลักสูตร Intensive ซึ่งเปิดสอนสำหรับนักศึกษาที่ต้องการพัฒนาความสามารถด้านภาษาก่อนเข้าเรียนหลักสูตรวิชาการ นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรอื่นๆ เช่น TOEFL Business English เป็นต้น รวมถึงการจัดทัศนศึกษา ซึ่งในการเลือกสถาบันควรพิจารณาปัจจัยหลายประการประกอบกัน

เงื่อนไขการรับเข้าเรียน มัธยมศึกษา นักเรียนจากประเทศไทยสามารถศึกษาต่อในระดับมัธยม ในโรงเรียนของเอกชนเท่านั้น ไม่สามารถเข้าเรียนในสถาบันของรัฐบาลได้ เงื่อนไขอื่นๆ เช่นเกรดเฉลี่ยและคะแนน TOEFL แตกต่างออกไปตามสถาบัน

วิทยาลัย วิทยาลัยส่วนใหญ่ต้องการนักศึกษาที่มีเกรดเฉลี่ย 2.0 ขึ้นไป และคะแนน TOEFL 450-500 ขึ้นไป

มหาวิทยาลัย สำหรับปริญญาตรี สถาบันส่วนใหญ่ต้องการนักศึกษาที่มีเกรดเฉลี่ย 2.5 ขึ้นไป และ TOEFL 500 ขึ้นไป ปริญญาโท และเอก เกรดเฉลี่ย 3.0 ขึ้นไป และคะแนน TOEFL ไม่ต่ำกว่า 500 นักศึกษาที่จะสมัครในโปรแกรม MBA ส่วนใหญ่จะต้องใช้คะแนน GMAT ซึ่งจะนำมาคำนวณกับเกรดเฉลี่ยปริญญาตรี ส่วนนักศึกษาที่สมัครปริญญาโทและเอกในสาขาอื่นๆ ส่วนใหญ่จะต้องสอบ GRE (Graduate Record Examination)

ปีการศึกษา ปีการศึกษาในสหรัฐอเมริกา (Academic Year) จะเริ่ม ประมาณเดือนกันยายนถึงพฤษภาคม ซึ่งมีกำหนดภาคเรียนแตกต่างกันออกไปดังนี้

ระบบ Semester เป็นระบบที่นิยมใช้มากที่สุด ในระยะเวลาหนึ่งปีจะประกอบด้วย 2 Semesters และ 1-2 Summer Sessions แต่ละ Semester ยาวประมาณ 16 สัปดาห์ ดังนี้ Fall Semester เปิดประมาณปลายสิงหาคม กลางธันวาคม

Spring Semester เปิดประมาณต้นมกราคม – เมษายน ( บางครั้ง Summer Session จะแบ่งครึ่งเป็น 2 ช่วงสั้น )

Summer Session เปิดประมาณกลางพฤษภาคม สิงหาคม

ระบบ Quarterในหนึ่งปีแบ่งออกเป็น 4 Quarter แต่ละ Quarter ใช้เวลาเรียนประมาณ 10 สัปดาห์ ดังนี้

Fall Quarter เปิดประมาณกลางกันยายน ธันวาคม

Winter Quarter เปิดประมาณมกราคม กลางมีนาคม

Spring Quarter เปิดประมาณต้นเมษายน กลางมิถุนายน

Summer Quarter เปิดประมาณกลางมิถุนายน- สิงหาคม

ระบบ Trimesterใน 1 ปี แบ่งภาคการศึกษาดังนี้

First Trimester เปิดประมาณกันยายน ธันวาคม

Second Trimester เปิดประมาณมกราคม เมษายน

Third Trimester เปิดประมาณพฤษภาคม สิงหาคม

ระบบ 4-1-4เป็นระบบใหม่ที่ใช้ในสถานศึกษาราว 8% ในสหรัฐอเมริกาแบ่งปีการศึกษาออกเป็น 2 ภาคใหญ่ คั่นด้วยภาคเรียนสั้นๆ ที่เรียกว่า Interim เพื่อให้นักศึกษาไปทำการค้นคว้าด้วยตนเอง หรือออก Field Trip แบ่งภาคเรียน ดังนี้

Fall Semester เปิดประมาณปลายสิงหาคม ธันวาคม

Interim เปิดประมาณเดือนมกราคม (1 เดือน)

Spring Semester เปิดประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พฤษภาคม

ค่าเล่าเรียน 200,000 – 500,000 บาท/ปี (ขึ้นอยู่กับสถาบัน)
ค่าครองชีพ 500,000 บาท/ปี (เป็นอย่างต่ำ)

ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาในสหรัฐอเมริกา อัตราค่าใช้จ่ายสำหรับการไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา อาจจัดอยู่ในระดับ ที่ค่อนข้างสูงหรือปานกลาง ขึ้นอยู่กับสถาบันการศึกษา เมืองและรัฐ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันการศึกษา รูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปแล้ว สถาบันการศึกษา ที่มีชื่อเสียงมากกว่า มักมีอัตราค่าเล่าเรียนที่สูงกว่า และเมืองที่มีขนาดใหญ่กว่า มักมีอัตราค่าครองชีพที่สูงกว่าเช่นกัน

เงินตรา หน่วยเงินตราของประเทศสหรัฐอเมริกาคือ ดอลล่าร์ (US$) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 100 เซ็นต์ ธนบัตรของประเทศอเมริกาทุกมูลค่า จะมีสีเขียวเหมือนกันหมดและมีขนาดเท่ากันหมด หน่วยเงินที่ใช้โดยทั่วไปคือ $ 1, $ 5, $ 10, $ 20, $ 50 และ $ 100 สำหรับเงินเหรียญ จะมีขนาดและลักษณะที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่เหรียญ 1 เซ็นต์ (penny), เหรียญ 5 เซ็นต์ (nickel), เหรียญ 10 เซ็นต์ (dime), และเหรียญ 25 เซ็นต์ (quarter)

ไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกาเป็นระบบ 115 V, 600 Cycles ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทย ไม่แนะนำให้นักศึกษานำเครื่องไฟฟ้าจากประเทศไทยติดตัวไป

ที่พัก ก่อนที่จะเริ่มต้นชีวิตการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา การหาที่พักเป็นการตัดสินใจที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่มากที่สุดอย่างหนึ่ง และมีผลต่อการปรับตัวของนักศึกษาทั้งในเรื่องส่วนตัว และทางวิชาการ ที่พักเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยในการเอื้ออำนวยต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ ถ้านักศึกษามีที่พักที่ดีและมีบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ พัฒนาการต่างๆ จะเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ในทางตรงกันข้าม ถ้านักศึกษามีความไม่สบายใจเกี่ยวกับที่พัก โอกาสในการเรียนรู้รวมถึงกำลังใจในการต่อสู้ก็จะลดน้อยลงตามลำดับ คนทุกคนย่อมมีความสุขและมีความสามารถมากที่สุด ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ทำให้รู้สึกสะดวกสบาย สำหรับนักศึกษาที่มีญาติหรือคนรู้จักอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา อาจเลือกเข้าศึกษาต่อในบริเวณใกล้เคียงกับที่พักของญาติ เพื่อถือโอกาสพักร่วมกับเขา แต่สำหรับนักศึกษาที่ไม่รู้จักใครเลย ส่วนใหญ่จะใช้บริการของสถาบันการศึกษาในการจัดหาที่พักให้ โดยทั่วไป สถาบันการศึกษาสามารถให้ความช่วยเหลือได้ในการหาที่พัก บางแห่งยังมีบริการไปรัที่สนามบินเพื่อพานักศึกษาไปส่งยังที่พักด้วย

ที่พักชั่วคราว หากนักศึกษาเดินทางมาถึงวิทยาเขตก่อนวันที่จะสามารถย้ายเข้าไปยังที่พักถาวรได้ หรือต้องใช้เวลาในการหาที่พักถาวร นักศึกษามีทางเลือกมากมายเกี่ยวกับที่พักชั่วคราว ที่ราคาสูงที่สุดคือโรงแรม แต่ก็มีโรงแรมในราคาประหยัดให้เลือกด้วย รวมถึง YMCA หรือ YWCA ในเขตท้องถิ่นนั้นๆ นักศึกษาควรสอบถามข้อมูลล่วงหน้าจากเจ้าหน้าที่ของสถาบันเกี่ยวกับทางเลือกของที่พักชั่วคราว

หอพักของสถาบัน เป็นรูปแบบของที่พัก ที่นักศึกษาต่างชาตินิยมมากที่สุด สำหรับนักศึกษาที่เพิ่งไปถึง อย่างไรก็ดี ไม่ใช้ว่าทุกสถาบันจะมีหอพักไว้เพื่อให้บริการนักศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Community College มักจะไม่มีหอพักให้กับนักศึกษา รวมถึงสถาบันการศึกษาที่อยู่ในเขตใจกลางเมืองหลายแห่ง ก็ไม่มีหอพักสำหรับนักศึกษา แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีบริการด้านที่พักสำหรับนักศึกษา หรือหอพักนั่นเอง โดยทั่วไปจะเป็นห้องพักสำหรับนักศึกษาโสด และอยู่ภายในหรือใกล้เคียงกับวิทยาเขต หอพักเป็นสถานที่ที่นักศึกษาต่างชาติ จะได้มีโอกาสในการพบปะและสังสรรค์กับนักศึกษาชางอเมริกันเป็นอย่างดี หอพักส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์เครื่องใช้ขั้นพื้นฐานทั่วไปครบ รวมถึงโต๊ะ ตู้เสื้อผ้า และเตียง หอพักส่วนใหญ่จะมีโรงอาหาร และบางแห่งอาจมีห้องครัวเล็กสำหรับนักศึกษาด้วย พร้อมมีห้องนั่งเล่นรวม โทรทัศน์ ห้องเล่นเกมส์ ห้องซัก/รีดผ้า หอพักส่วนใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะไม่มีห้องน้ำส่วนตัว แต่จะเป็นห้องน้ำรวมซึ่งแยกหญิง-ชายมากกว่า นอกจากนี้ มักมีผู้คุมหอพักซึ่งพักอาศัยอยู่ในหอพักด้วย เพื่อดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยทั่วไป ห้องพักในหอพักของสถาบันอาจมีไม่มากนัก ดังนั้นนักศึกษาควรทำเรื่องขอจองที่พักเสียแต่เนิ่นๆ ซึ่งอาจต้องเสียค่ามัดจำที่พักในบางส่วนด้วย นอกจากนี้ หอพักบางแห่งอาจปิดให้บริการในช่วงปิดภาคการศึกษา หรือวันหยุดระหว่างภาค แต่บางแห่งก็เปิดให้บริการตลอดปี ดังนั้นนักศึกษาควรตรวจสอบเจ้าหน้าที่ด้านที่พักของสถาบันเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย การพักอาศัยอยู่ในหอพัก มักมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับส่วนกลางซึ่งนักศึกษาต้องปฏิบัติตาม เพื่อการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุขและราบรื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับระดับเสียง ความสะอาด ผู้เยี่ยม ฯลฯ หอพักแต่ละแห่งย่อมมีข้อกำหนดที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นนักศึกษาจึงควรศึกษาข้อมูลทางด้านนี้ให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน เพื่อลดปัญหาความไม่สะดวกสบาย หรือความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นได้ภายหลัง ข้อคิดของนักศึกษาที่ต้องการพักหอพักคือ นักศึกษาต้องเตรียมปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นด้วย เพราะเป็นการอยู่ร่วมกับคนจำนวนมาก เรื่องของเพื่อนร่วมห้องก็เป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญ ห้องพักส่วนใหญ่ในหอพักของสถาบันการศึกษาจะเป็นห้องพักรวม 2-3 คน ซึ่งนักศึกษาอาจจะไม่รู้จักกันมาก่อน โดยทั่วไป สถาบันมักจัดให้นักศึกษาต่างชาติพักร่วมกับนักศึกษาชาวอเมริกัน ซึ่งต้องยอมรับว่าต่างคนต่างมีความคิดเห็นและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ดังนั้น นักศึกษาต้องเคารพในสิทธิของผู้อื่น และเพื่อนร่วมห้องของเราก็ต้องเคารพในสิทธิอันชอบควรของเราด้วย ในกรณีที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านใดก็ตาม นักศึกษาต้องบอกเจ้าหน้าที่สำนักงานนักศึกษาต่างชาติหรือผู้ดูแลหอพักทันที หอพักจะมีหลายประเภท รวมถึง หอพักรวมชาย-หญิง ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ร่วมอาคารเดียวกันแต่แยกชั้น หอพักชายล้วน หอพักหญิงล้วน อพาร์ทเมนท์ บ้านเช่าของสถาบัน และอพาร์ทเมนท์สำหรับนักศึกษาที่มีครอบครัว เป็นต้น

ที่พักนอกวิทยาเขต เป็นที่พักที่อยู่นอกบริเวณวิทยาเขตของสถาบัน มีทั้งในรูปแบบของบ้านและอพาร์ทเมนท์ ที่ตกแต่งแล้ว ตกแต่งบางส่วน หรือยังไม่ได้ตกแต่ง สำหรับการหาที่พักนอกวิทยาเขต นักศึกษาอาจติดต่อเจ้าหน้าที่ด้านที่พักของสถาบัน หาจากหนังสือพิมพ์ หรือติดตามดูประกาศตามบอร์ดกับการหาที่พักร่วมของสถาบัน หากนักศึกษาไม่มีรถยนต์ สถานที่ตั้งของที่พักจะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะถ้าไม่อยู่ในระยะทางที่สามารถเดินไปสถาบันได้ หรือไม่ได้อยู่ในเส้นทางของการคมนาคมสาธารณะ ที่พักนั้นๆ อาจจะไม่เหมาะสม นอกจากนี้ ค่าเช่าโดยทั่วไปจะไม่ได้รวมถึงค่าไฟฟ้า ค่าแก๊ส ค่าโทรศัพท์ (รวมโดยเฉลี่ยอยู่ในช่วง US $75 US $200 หรือมากกว่า ต่อเดือน) ส่วนค่าน้ำและค่าบริการจัดเก็บขยะ มักรวมอยู่ในค่าเช่าแล้ว สำหรับการเช่าที่พักในรูปแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วนักศึกษาจะต้องเซ็นสัญญาเช่า ซึ่งเป็นเอกสารที่มีผลทางกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่พัก ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ดังนั้นนักศึกษาควรถามตัวเองก่อนว่าจะสามารถเช่าที่พักนั้นๆ ตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาเช่าหรือไม่ โดยทั่วไปนักศึกษาอาจต้องจ่ายค่าเช่าเดือนแรก และเดือนสุดท้ายล่วงหน้า ซึ่งเป็นการรับประกันว่าผู้เช่าจะแจ้งการย้ายออกอย่างน้อย 30 วันล่วงหน้า นอกจากนี้ อาจต้องจ่ายค่ามัดจำความเสียหายอีก 1 เดือน ซึ่งผู้เช่าจะได้รับคืนเมื่อย้ายออก และไม่ได้ทำความเสียหายอะไรให้กับสถานที่ที่เช่า นักศึกษาควรตกลงทำสัญญาเกี่ยวกับการเช่าที่พักด้วยเอกสาร ซึ่งกำหนดเงื่อนไขและข้อตกลงเอาไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเท่านั้น นักศึกษาต้องมั่นใจว่าได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสัญญานั้นๆ แล้วอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนการเซ็นสัญญา

หอพักนอกวิทยาเขต หมายถึง หอพักของเอกชนที่ตั้งอยู่ใกล้กับวิทยาเขตของสถาบัน รายละเอียดทุกอย่างจะใกล้เคียงกับหอพักของสถาบันการศึกษา เพียงแต่มีเอกชนเป็นเจ้าของ โดยทั่วไปอัตราค่าเช่าจะใกล้เคียงกับหอพักของสถาบันภายในวิทยาเขต

ที่พักแบบ Co-Ops หรือ Cooperative Residence Halls โดยทั่วไปจะหมายถึงบ้านขนาดใหญ่ ที่นักศึกษากลุ่มหนึ่งพักอาศัยร่วมกัน และร่วมกันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและงานในบ้าน รวมถึงการทำอาหาร งานทำความสะอาดบ้าน และงานอื่นๆ นอกบ้าน และเนื่องจากราคาของที่พักประเภทนี้จะค่อยข้างถูก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการที่จะหาที่พักแบบนี้ได้

บ้านให้เช่าห้องพัก หมายถึงที่พักอาศัยที่ปล่อยห้องให้บุคคลอื่นเช่า และส่วนใหญ่ จะเป็นการแบ่งให้ผู้เช่า 2 คน มักมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำอาหารพร้อม ที่พักประเภทนี้ น่าจะเป็นที่พักที่มีค่าเช่าถูกที่สุด แต่บางครั้ง อาจเกิดปัญหาเกี่ยวการอยู่ร่วมกับผู้อื่น อาทิ เรื่องของการใช้ห้องน้ำหรือห้องครัวร่วมกัน หากต้องการที่พักประเภทนี้ ควรเลือกผู้ร่วมเช่าให้ดี และซักถามคำถามให้มากที่สุด

การพักร่วมกับครอบครัวชาวอเมริกัน เจ้าหน้าที่นักศึกษาต่างชาติ มักมีรายชื่อของครอบครัวในชุมชนแถบนั้น ที่ต้องการให้มีนักศึกษาต่างชาติมาพักอาศัยในครอบครัวด้วย โดยทั่วไปมักเป็นห้องเดี่ยวส่วนตัวพร้อมอาหารเช้าและอาหารเย็นสำหรับวันจันทร์ถึงวันศุกร์ และอาหาร 3 มื้อ สำหรับวันเสาร์และวันอาทิตย์ บางครั้งครอบครัวนั้นๆ อาจคาดหวังให้นักศึกษาทำงานบางอย่าง อาทิ การดูแลเด็กเล็ก หรือการช่วยทำงานบ้าน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการลดราคาค่าเช่าบ้าน การพักร่วมกับครอบครัวชาวอเมริกัน อาจเป็นประสบการณ์ที่อบอุ่นและน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ควรพิจารณาครอบครัวนั้นๆ และเงื่อนไขต่างๆ อย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่านักศึกษาเข้าใจดี รวมถึงรับรู้ในสิ่งที่เขาคาดหวังจากตัวนักศึกษาด้วย

ข้อดี นักศึกษาส่วนใหญ่ จะพัฒนาความสามารถด้านภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วค่าใช้จ่ายส่วนมากจะถูกกว่า ครอบครัวที่สถาบันจัดหาให้หลายแห่ง สามารถไปรับ – ส่งที่สถาบันได้ สามารถใช้บริการได้ตลอดปีและนักศึกษาจะได้เรียนรู้วิถีชีวิตของครอบครัวชาวอเมริกันอย่างแท้จริง

ข้อเสีย อาจต้องใช้เวลาในการเดินทางไป – กลับ นักศึกษามีอิสรภาพน้อยกว่าการพักหอพักเนื่องจากต้องปฏิบัติตามกฎของแต่ละครอบครัว และมีทางเลือกด้านอาหารน้อยกว่า นอกจากนี้ การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการของทางวิทยาเขตอาจจะจำกัด เนื่องจากนักศึกษาอาจต้องรีบเดินทางกลับบ้านเมื่อเลิกเรียน ข้อคิดเราต้องเตรียมตัวและเตรียมใจในการเข้าพักร่วมในบ้านของผู้อื่น ซึ่งมีพื้นฐานด้านการศึกษา วัฒนธรรม และแนวคิดที่แตกต่างจากบ้านเรา การปรับตัวทั้งในเรื่องของอาหารกินและวิถีการดำรงชีวิต เป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่สุด สำหรับนักศึกษาที่ต้องการที่พักประเภทนี้

สำนักงานผู้ดูแลนักเรียนในประเทศสหรัฐอเมริกา (USA) Educational Affairs, Royal Thai Embassy Address: 1906-23rd Street, N.W., Washington D.C. 20008 USA Tel: (1-202) 667 8010, 667 6084, 667 6063 Fax: (1-202) 265 7239 E-mail: [email protected] Website: www.oeadc.org

สามารถหาข้อมูลของรัฐต่าง ๆ เพิ่มเติมจากเวบไซค์ต่าง ๆ New York – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.iloveny.com – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.state.ny.us California – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.gocalif.ca.gov – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.state.ca.us

Colorado – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.colorado.com – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.colordo.gov

Florida – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.flausa.com – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.myflorida.com

Lllinois – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.enjoyillinois.com – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.illinois.gov

Indiana – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.in.gov/enjoyindiana – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.ai.org

Massachusetts – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.massvacation.com – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.mass.gov

Washington – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.tourism.wa.gov – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.access.wa.gov

ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการขอวีซ่า การเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างถูกกฎหมายผู้เดินทางจะต้องมีวิซ่าเข้าประเทศ ตามวัตถุประสงค์ของการเดินทางเข้าประเทศในครั้งนั้น ๆ นอกจากนี้ การมีวีซ่าไม่ใช่การรับประกันว่าผู้เดินทางจะเข้าประเทศได้ จุดที่ตัดสินว่าผู้เดินทางสามารถเข้าประเทศได้หรือไม่ คือเจ้าหน้าทีกองตรวจคนเข้าเมือง ที่ทำหน้าที่ตรวจประทับตราเข้าเมืองที่สนามบินแรกที่เราเดินทางเข้าไปถึงประเทศสหรัฐอเมริกา

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการขอวีซ่าเพื่อไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาสามารถสรุปพอเป็นสังเขปได้ดังนี้

1. SEVIS (ซี-วิส) I-20 แบบฟอร์ม I-20 เป็นเอกสารการตอบรับเข้าศึกษาที่สถาบันการศึกษาเป็นผู้ออกให้ เพื่อแสดงถึงการตอบรับนักศึกษาที่มีชื่อตามใน I-20 เข้าศึกษาที่สถาบัน โดยจะมีรายละเอียดทั้งหมดของนักศึกษา I-20 เป็นเอกสารสำคัญที่ยืนยันการตอบรับเข้าศึกษาที่สถาบันนั้น ๆ จึงเป็นเอกสารที่นักศึกษาจำเป็นต้องใช้ สำหรับการยื่นขอวีซ่านักเรียนแบบ F-1

2. ค่าธรรมเนียม SEVIS FEE คืออะไร? ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2004 เป็นต้นมา US Department of Homeland Security (DHS) ได้ออกกฎหมายข้อบังคับใหม่ขึ้นซึ่งเป็นข้อกำหนดให้ผู้สมัครวีซ่าประเภท F-1 และ J-1 ชำระค่าธรรมเนียม SEVIS Fee จำนวน US $ 100 ซึงเป็นการชำระเพียงครั้งเดียว เพื่อให้ครอบคลุมถึงบริการในส่วนนี้จะแตกต่างหากจากค่าธรรมเนียม ในการยื่นของวีซ่า อย่างไรก็ดี ข้อบังคับใหม่นี้จะไม่รวมถึงผู้ที่อยุ่ในสหรัฐอเมริกาแล้วด้วยวีซ่า F-1 หรือ J-1

++ จ่ายค่าธรรมเนียม SEVIS FEE ผ่านเว็บไซต์ ( จ่ายก่อนไปสัมภาษณ์ และพิมพ์หลักฐานการจ่ายไปแสดงด้วย)

++ ขั้นตอนวิธีการค่าธรรมเนียมจ่าย

ค่าธรรมเนียมในส่วนนี้ สามารถชำระได้ทางไปรษณีย์หรือผ่านทาง Internet เท่านั้น ผู้ที่สามารถชำระค่าธรรมเนียมในส่วนนี้ได้คือนักศึกษา หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่นเพื่อน ญาติ บริษัทตัวแทน หรือสถาบันการศึกษา แผนกวีซ่าจะไม่ดำเนินการนัดสัมภาษณ์ให้กับผู้ที่ยื่นขอวีซ่า จนกว่าจะได้ชำระค่าธรรมเนียมในส่วนนี้ และ DHS ได้รับค่าธรรมเนียมในส่วนนี้แล้ว

3. แบบฟอร์ม DS-2019 เป็นเอกสารการตอบรับเข้าศึกษาที่สถาบันการศึกษาเป็นผู้ออกเหมือนกับ I-20 แต่ DS-2019 เป็นเอกสารตอบรับนักศึกษาที่ได้รับเลือกเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยน ซึ่งรวมนักเรียนทุน และผู้ที่ไปศึกษาดูงานหรือฝึกอบรม ตามคำเชิญของหน่วยงาน ในประเทศอเมริกา และถือว่าเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่า นักเรียน ประเภท J-1

4. แบบฟอร์ม DS-156 / DS-157 / DS-158 ในปัจจุบัน ผู้ที่ต้องการยื่นขอวีซ่านักเรียนไปสหรัฐอเมริกา ต้องกรอกใบคำร้องหรือ

แบบฟอร์ม DS-156 https://evisaforms.state.gov/ds156.asp ( กรอกแบบฟอร์ม DS-156 ผ่านหน้าเว็บไซต์เท่านั้น ให้พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด จะใช้ตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ก็ใหญ่ทั้งหมด หรือพิมพ์ตัวอักษรตัวพิมพ์เล็ก ถ้าพิมพ์ใหญ่-เล็ก ปนกันจะพิมพ์เอกสารออกมาไม่ได้ * ห้ามเขียนเองเด็ดขาด ยกเว้นช่องที่ให้เซ็นต์ชื่อ เซ็นต์ให้เหมือนกับพาสปอร์ตนะคะ * กรอกแบบฟอร์มโดยใช้โปรแกรม Adobe Acrobat Reader เมื่อกรอกเสร็จแล้ว คลิก Continue แล้วจึงพิมพ์ออกมา) * ช่องไหนไม่มีข้อมูลให้กรอก ให้พิมพ์ NONE ห้ามพิมพ์อักษร , / ให้เว้นไว้ เพื่อพิมพ์ออกมา ให้ใช้ปากกาดำเติมได้

ดูวิธีการกรอกคำอธิบายเป็นษาไทยได้ที่นี่

แบบฟอร์ม DS-157 http://www.state.gov/documents/organization/79964.pdf จะกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ หรือพิมพ์แบบฟอร์มออกมาเขียนเองก็ได้ค่ะ แนะนำว่าให้ใช้ปากกาสีดำจะดีกว่าค่ะ ดูวิธีการกรอกคำอธิบายเป็นภาษาไทยได้ที่นี่

แบบฟอร์ม DS-158 http://www.state.gov/documents/organization/79965.pdf จะกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ หรือพิมพ์แบบฟอร์มออกมาเขียนเองก็ได้ค่ะ แนะนำว่าให้ใช้ปากกาสีดำจะดีกว่าค่ะ ดูวิธีการกรอกคำอธิบายเป็นภาษาไทยได้ที่นี่

5. แบบฟอร์ม I-94 หรือเอกสารบันทึก

การเข้า-ออกประเทศ เป็นเอกสารที่ได้รับบนเครื่องบินเพื่อให้ทุกคนกรอกและยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ กองตรวจคนเข้าเมือง เมื่อเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาเจ้าหน้าที่กองตรวจ คนเข้าเมืองจะพิจารณาเอกสาร ทุกอย่างและกรอกข้อมูลระยะเวลาที่อนุญาตให้ อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ครั้งนั้น ๆ จากนั้นจะแนบเอกสาร I-94 ไว้กับหนังสือเดินทาง จะมีตัวเลข 11 หลัก ซึ่งเป็นตัวเลขที่กองตรวจคนเข้าเมืองใช้ตรวจสอบการเข้า-ออกประเทศแต่ละครั้งของผู้เดินทาง สำหรับผู้ที่ถือวีซ่า F-1 สามารถพำนักอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ตามระยะเวลาที่จำเป็นต่อการศึกษาในหลักสูตร ตราบใดที่หนังสือเดินทาง ยังมีอายูอย่างน้อย 6 เดือน นอกจากนี้บันทึก D/S ยังเป็นสิ่งที่แสดงถึงการอนุญาตในการทำงานหลังจากสำเร็จการศึกษา ถ้านักเรียนต้องการ อยู่ในประเทศต่อเพื่อเข้าศึกษาในหลักสูตรอื่น ๆ เช่น การศึกษาปริญญาโท หลังจากสำเร็จการศึกษาหลักสูตรระดับปริญญาตรี นักศึกษาต้องยื่นเอกสาร เพื่อขอต่ออายุอย่างน้อย 60 วัน ก่อนสำเร็จการศึกษาในหลักสูตรแรก

สำหรับผู้ที่ถือว่าวีซ่า J

Table of Contents

[NEW] รวมชื่อเล่น 50 รัฐ ประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมคำขวัญครบทุกรัฐ ! | สหรัฐอเมริกา ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES

     อย่างที่หลายคนทราบกันดีว่า สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีบทบาทมากในประชาคมโลก มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 หรือ 4 ของโลก และมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก สหรัฐอเมริกามีรูปแบบการปกครองแบบสหพันธรัฐ (Federal Republic) ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาประกอบด้วยรัฐ 50 รัฐ และ 50 รัฐนี้เองก็กลายไปเป็นสัญลักษณ์ “ดาว” ทั้ง 50 ดวงบนผืนธงชาติสหรัฐอเมริกานั่นเอง

 

 

     คนส่วนใหญ่น่าจะคุ้นหูกับชื่อรัฐหลายๆ ชื่อของสหรัฐอเมริกา แต่ทราบไหมว่าทั้ง 50 รัฐ นี้ก็มีชื่อเล่นกับเขาเหมือนกัน เราไปดูกันดีกว่าครับ ว่าแต่ละรัฐนั้นมีชื่อเล่นหรือฉายาอะไรกันบ้าง เรียงตามลำดับ A-Z พร้อมด้วยคำขวัญหรือ Motto ประจำรัฐที่เชื่อว่าหลายๆ อันนั้นจะทำให้คุณต้องอมยิ้มอย่างแน่นอน

 

 

1.

อลาบามา (Alabama)

     ถูกขนานนามว่า “มลรัฐแห่งนกเยลโลว์แฮมเมอร์” (The Yallowhammer State) ซึ่งเจ้านก Yallohammer คือนกชนิดหนึ่งตัวเล็ก หัว คอ และอกมีสีเหลือง นกชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของรัฐอลาบามา จึงถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเล่นของรัฐนี้

  • คำขวัญประจำรัฐ  Audemus jura nostra defendere “We dare to defend our rights”

 

 

2.

อลาสกา (Alaska)

     มีสองชื่อเล่นคือ “พรมแดนสุดท้าย” (The Last Frontier) และ “ดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืน” (Land of the Midnight Sun) เพราะเป็นมลรัฐที่ใหญ่ที่สุด และอยู่ห่างไกลแผ่นดินใหญ่ที่สุดทางทิศเหนือ ติดพรมแดนประเทศแคนาดา

  • คำขวัญประจำรัฐ “North to the Future”

 

 

3.

อริโซนา (Arizona)

     ได้รับการตั้งชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “มลรัฐแห่งแกรนด์แคนยอน” (Grand Canyon State) เนื่องจาก Grand Canyon เป็นแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลอันประกอบด้วยหุบเขาสูง และลึก ชั้นหินสูงละลิ่ว และมีแม่น้ำ Colorado ไหลผ่าน ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็น The Must ของบรรดานักเดินทางที่มาเยือนทีเดียว ทำให้กลายเป็นสัญลักษณ์และชื่อเล่นของมลรัฐนี้ไปโดยปริยาย

  • คำขวัญประจำรัฐ Ditat Deus “God enriches”

 

 

4.

อาร์แคนซอส์ (Arkansas)

     เป็นรัฐที่ถูกขนานนามอย่างไม่เป็นทางการว่า “มลรัฐแห่งธรรมชาติ” (The natural State) เพราะประกอบด้วยป่าไม้ ไร่อ้อย ฝ้าย ข้าว และถั่วเหลืองอันอุดมสมบูรณ์

  • คำขวัญประจำรัฐ Regnat populus “The people rule”

 

 

5.

แคลิฟอร์เนีย (California)

     รัฐที่ชื่อคุ้นหูนี้ถูกเรียกเล่นๆ ว่า “มลรัฐแห่งทองคำ” (Golden State) เนื่องจากในศตวรรษที่ 19 มีการตื่นทอง (The Gold Rush) เกิดขึ้นในมลรัฐนี้จนเกิดคำพูดว่า “Go West Young Man” (ถ้าอยากรวย หรืออยากสาบสูญก็ต้องไปขุดทองทางตะวันตกของประเทศ) นอกจากนี้สัญลักษณ์ของมลรัฐนี้คือสะพานแขวน GoldenGate ในเมือง San Francisco และ Hollywood เมืองอุตสาหกรรมภาพยนตร์นั่นเอง

  • คำขวัญประจำรัฐ Eureka “I have found it”

 

 

6.

โคโลราโด (Colorado)

     “มลรัฐเฉลิมฉลองหนึ่งศตวรรษ” (Centennial State) มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีภูมิประเทศงดงาม เช่นวนอุทยานเทือกเขาร๊อกกี้ และสถานที่เล่นสกีอันเลื่องลือ

  • คำขวัญประจำรัฐ Nil sine numine “Nothing without Providence”

 

 

7.

คอนเนกติกัต (Connecticut)

     เป็นอีกรัฐที่มีสองชื่อเล่นคือ “มลรัฐแห่งรัฐธรรมนูญ” (The Constitution State) และ “มลรัฐแห่งผลจันทน์เทศ” (Nutmeg State) nutmeg เป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่ง คือผลจันทร์เทศ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยเยล (Yale University) ก็อยู่ในมลรัฐนี้

  • คำขวัญประจำรัฐ Qui transtulit sustinet “He who transplanted sustains”

 

 

8.

เดลาแวร์ (Delaware)

     มีสามชื่อเล่นคือ “มลรัฐแห่งเพชร” (Diamond State) “มลรัฐหมายเลขหนึ่ง” (First State) และ “โลกมหัศจรรย์ใบน้อย” (Small Wonder)

  • คำขวัญประจำรัฐ “Liberty and independence”

 

 

9.

ฟลอริดา (Florida)

     “มลรัฐแห่งตะวัน” (Sunshine State) เพราะเป็นมลรัฐที่มีลักษณะเป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล มีแสงแดดอบอุ่นตลอดทั้งปี มีแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกคือ DisneyWorld และชายหาด Miami อันสวยงาม

  • คำขวัญประจำรัฐ “In God we trust”

 

 

10.

จอร์เจีย (Georgia)

     มีสองชื่อเล่นคือ “มลรัฐแห่งลูกพีช” (Peach State) และ “เอ็มไพร์สเตทแห่งภาคใต้” (Empire State of The South) เพราะมีการปลูกต้นพีชมาก เมืองหลวงคือ Atlanta และเป็นรัฐที่มีตึกสูงๆ ทันสมัยไม่น้อยหน้านิวยอร์ก

  • คำขวัญประจำรัฐ “Wisdom, Justice, and Moderation”

 

 

11.

ฮาวาย (Hawaii)

     มีชื่อเรียกกันเล่นๆ ว่า “อโลฮาฮาวายอิ” (Aloha Hawaii) เป็นมลรัฐที่ห้าสิบของประเทศคำว่า “อโลฮา” เป็นคำทักทายของชาวพื้นเมืองของหมู่เกาะชาวฮาวายอิ จึงเป็นสัญลักษณ์และชื่อเล่นของมลรัฐ Hawaii

  • คำขวัญประจำรัฐ Ua Mau ke Ea o ka ‘Āina i ka Pono “The life of the land is perpetuated in righteousness”

 

 

12.

ไอดาโฮ (Idaho)

     “มลรัฐแห่งอัญมณี” (Gem) มีการทำเหมืองแร่และป่าไม้

  • คำขวัญประจำรัฐ Esto perpetua “Let it be perpetual”

 

 

13.

อิลลินอยส์ (Illinois)

     ถูกเรียกขานว่า “มลรัฐที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทุ่งหญ้า” (Prairie State) แค่ฟังชื่อก็น่าจะทราบลักษณะภูมิประเทศ

  • คำขวัญประจำรัฐ “State sovereignty, national union”

 

 

14.

อินเดียนา (Indiana)

     “มลรัฐแห่งทีมบาสเกตบอลฮูเซียร์” (Hoosier State) Hoosier เป็นชื่อทีมบาสเกตบอลชื่อเสียงขจรขจาย จึงเป็นความภาคภูมิใจแห่งชาวมลรัฐ Indiana

  • คำขวัญประจำรัฐ “The crossroads of America”

 

 

15.

ไอโอวา (Iowa)

     “มลรัฐแห่งตาเหยี่ยว” (Hawkeye State) เหยี่ยวเป็นสัตว์ที่ว่องไวบินสูง และมีตาแหลมคม มลรัฐนี้มีการเกษตรกรรม เช่น การทำฟาร์ม และปศุสัตว์

  • คำขวัญประจำรัฐ “Our liberties we prize and our rights we will maintain”

 

 

16.

แคนซัส (Kansas)

     มีสองชื่อเล่นคือ “มลรัฐแห่งดอกทานตะวัน” (Sunflower State) และ “มลรัฐกลุ่มผู้ต้องการล้มเลิกระบบทาส” (Jayhawk State) เนื่องจากชื่อ jayhawk เป็นชื่อของกลุ่มหัวรุนแรงในมลรัฐ Kansas ในสมัยสงครามกลางเมือง

  • คำขวัญประจำรัฐ Ad astra per aspera “To the stars through difficulties” 

 

 

17.

เคนตักกี (Kentucky)

     “มลรัฐแห่งดนตรีเครื่องสาย” (Bluegrass State) ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะรัฐนี้เป็นรัฐที่ทำแบนโจ และกีตาร์ที่ดีมากๆ รัฐหนึ่ง Kentucky ยังมีชื่อเสียงเรื่องการเลี้ยงม้าแข่งพันธุ์ดีที่สุดของโลก

  • คำขวัญประจำรัฐ 1 “United we stand, divided we fall”
  • คำขวัญประจำรัฐ 2 Deo gratiam habeamus “Let us be grateful to God”

 

 

18.

หลุยเซียนา (Louisiana)

     “มลรัฐแห่งนกกระทุง” (PelicanState) นกกระทุงเป็นนกขนาดใหญ่กินปลาคอพอกเมืองNewOrleansในมลรัฐ Louisiana เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเพราะมีบรรยากาศฝรั่งเศส และเทศกาล MardiGras

  • คำขวัญประจำรัฐ “Union, justice, and confidence”

 

 

19.

เมน (Maine)

     มีชื่อเล่นว่า “มลรัฐแห่งต้นสน” (Pine Tree State) ต้นสนมีใบแหลมมีรูปเป็นกรวยที่ใดมีป่าสนที่นั่น อากาศดีเพราะต้นสนให้ออกซิเจน มลรัฐนี้มีภูมิประเทศเป็นภูเขาและทะเลสาบ

  • คำขวัญประจำรัฐ Dirigo “I direct”

 

 

20.

แมรีแลนด์ (Maryland)

     มีสองชื่อเล่นคือ “มลรัฐแห่งเสรีภาพ” (Free State) และ “มลรัฐแห่งสายเก่า” (Oldline State)

  • คำขวัญประจำรัฐ Fatti maschi, parole femmine “Manly deeds, womanly words”

 

 

21.

แมสซาชูเซตส์ (Massachusetts)

     มีสองชื่อเล่นคือ “มลรัฐแห่งอ่าวทะเล” (Bay State) และ “มลรัฐแห่งอาณานิคมเก่าแก่” (Old Colony State) เป็นหนึ่งใน 13 รัฐแรก และมีประวัติศาสตร์เป็นศูนย์กลางของปัญญาชนและนักศึกษา

  • คำขวัญประจำรัฐ Ense petit placidam sub libertate quietem “By the sword we seek peace, but peace only under liberty”

 

 

22.

มิชิแกน (Michigan)

     เป็นรัฐที่ถูกเรียกอีกชื่อว่า “มลรัฐแห่งวูฟเวอรีน” (Wolverine State) วูฟเวอรีน (Wolverine) เป็นสัตว์ในเขตหนาวจำพวกสุนัขจิ้งจอก คล้ายแมว เลี้ยงลูกด้วยนม มีขนยาวสีดำ Michigan ล้อมรอบด้วยทะเลสาบถึงสี่ทะเลสาบ และเป็นรัฐอันดับหนึ่งที่ผลิตรถยนต์ และอุตสาหกรรมการผลิตเหล็ก โดยมีเมือง Detroit เป็นเมืองอุตสาหกรรมสำคัญ

  • คำขวัญประจำรัฐ Si quaeris peninsulam amoenam circumspice / Tuebor “If you seek a pleasant peninsula, look about you” / “I will defend”

 

 

23.

มินเนโซตา (Minnesota)

     มีสามชื่อเล่นคือ “มลรัฐแห่งดาวเหนือ” (North Star State) “มลรัฐแห่งกระรอกโกเฟอร์” (Gopher State) และ “ดินแดนแห่ง 10,000 ทะเลสาบ” (Land of 10,000 Lakes)

  • คำขวัญประจำรัฐ L’étoile du Nord “The star of the North”

 

 

24.

มิสซิสซิปปี (Mississippi)

     มีชื่อเล่นว่า “มลรัฐแห่งดอกแมกโนเลีย” (Magnolia State) แมกโนเลีย (Magnolia) เป็นพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่งจำพวกดอกมณฑา มีดอกสีขาวชมพูม่วง และเหลือง Mississippi ยังเป็นรัฐที่มีการปลูกฝ้ายมากที่สุดในประเทศ

  • คำขวัญประจำรัฐ Virtute et armis “By valor and arms”

 

 

25.

มิสซูรี (Missouri)

     ชื่อเล่นของมลรัฐนี้ออกจะแปลกสักหน่อย เพราะมันถูกเรียกว่า “มลรัฐที่มีสิ่งให้ชมมากมาย” (Show-me State) มลรัฐนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ เช่น Hannibal เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของนักประพันธ์เอก Mark Twain และพิพิธภัณฑ์ Jesse James

  • คำขวัญประจำรัฐ Salus populi suprema lex esto “The Welfare of the People is the Highest Law”

 

 

26.

มอนตานา (Montana)

     “มลรัฐแห่งสมบัติล้ำค่า” (Treasure State) สิ่งที่มีค่าของมลรัฐนี้คือ การเกษตรการล่าสัตว์ และการเลี้ยงสัตว์

  • คำขวัญประจำรัฐ Oro y plata “Gold and silver” 

 

 

27.

เนบราสกา (Nebraska)

     มีสองชื่อเล่นคือ “มลรัฐแห่งผู้แกะข้าวโพด” (Cornhusker State) และ “มลรัฐแห่งเนื้อวัว” (Beef State) ทั้งสองชื่อนี้แสดงว่ามลรัฐนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้าวโพดและวัว และยังมีอุตสาหกรรมบรรจุเนื้อสัตว์ในเมืองใหญ่ๆ อีกด้วย

  • คำขวัญประจำรัฐ “Equality before the law”

 

 

28.

เนวาดา (Nevada)

     มีสามชื่อเล่นคือ “มลรัฐแห่งพันธุ์ไม้ละเมาะ” (Sage brush State) “มลรัฐที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่เงิน” (Silver State) และ “มลรัฐที่เกิดมาเพื่อการรบ” (Battle Born State) มลรัฐนี้มีคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในโลกและศูนย์กลางบันเทิงชั้นแนวหน้าของโลกอยู่ใน Las Vegas

  • คำขวัญประจำรัฐ “All for our country”

 

 

29.

นิวแฮมเชียร์ (NewHampshire)

     “มลรัฐที่อุดมสมบูรณ์ด้วยหินแกรนิต” (Granite State) NewHampshire เป็นรัฐที่มีทัศนียภาพงดงาม และแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

  • คำขวัญประจำรัฐ “Live free or die”

 

 

30.

นิวเจอร์ซี (NewJersey)

     ถูกเรียกอีกชื่อว่า “มลรัฐที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพันธุ์ไม้” (Garden State) มลรัฐนี้มีสถานที่ตากอากาศตามแนวชายฝั่ง และมีสถานคาสิโนที่ถูกต้องตามกฎหมาย

  • คำขวัญประจำรัฐ “Liberty and prosperity”

 

 

31.

นิวเม็กซิโก (New Mexico)

     มีชื่อเล่นว่า “ดินแดนแห่งมนต์ขลัง” (Land of Emchantment) ชื่อทางการของมลรัฐนี้ตั้งตามประเทศแม็กซิโกที่อยู่ติดกัน

  • คำขวัญประจำรัฐ Crescit eundo “It grows as it goes” 

 

 

32.

นิวยอร์ก (New York)

     รัฐที่หลายคนใฝ่ฝันอยากไปเยือนแห่งนี้มีชื่อเล่นว่า “มลรัฐแห่งตึกระฟ้าเอ็มไพร์สเตท” (Empire State) ซึ่งเป็นตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา จึงเป็นสัญลักษณ์และอีกชื่อเล่นของมลรัฐนี้ “แอปเปิลผลใหญ่” (The Big Apple) คืออีกฉายาหนึ่งที่ใช้เรียกรัฐนี้อย่างไม่เป็นทางการ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของมลรัฐนี้คือน้ำตกไนแอการา (Niagara Falls)

  • คำขวัญประจำรัฐ Excelsior! “Ever Upward!”

 

 

33.

นอร์ธแคโรไลนา (North Carolina)

     ถูกเรียกตามทรัพยากรที่มีว่า “มลรัฐแห่งน้ำมันดิบ” (Tar Heel State) NorthCarolina เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของ CarlSandburg นักประพันธ์ร่วมสมัยในศตวรรษที่ 20

  • คำขวัญประจำรัฐ Esse quam videri “To be, rather than to seem”

 

 

34.

นอร์ธดาโกตา (North Dokota)

เป็นรัฐที่ร่ำรวยชื่อเล่นครับเพราะมีถึงสี่ชื่อเล่นคือ “มลรัฐแห่งอินเดียนแดงเผ่าเซอุ๊กซ์” (Sioux State) “มลรัฐแห่งนกฟลิกเคอร์เทล” (Flickertail State) “มลรัฐแห่งอุทยานสันติภาพ” (Peace Garden State) และ “มลรัฐแห่งผู้ขับขี่ทรหด” (Rough Rider State)

  • คำขวัญประจำรัฐ “Liberty and union, now and forever, one and inseparable” / “Strength from the soil”

 

 

35.

โอไฮโอ (Ohio)

     ถูกตั้งชื่อว่า “มลรัฐแห่งตาไม้” (The Buckeye State) buckeye คือบริเวณใจกลางของเนื้อไม้ซุง หรือตาไม้ซุงลักษณะเป็นวงเล็กๆ ที่ซ้อนด้วยวงใหญ่ๆ Ohio เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของประธานาธิบดีถึงห้าท่าน มีเมือง Youngstown เป็นเมืองสำคัญด้านอุตสาหกรรมเหล็ก

  • คำขวัญประจำรัฐ “With God, all things are possible”

 

 

36.

โอกลาโฮมา (Oklahoma)

     มีชื่อเล่นว่า “มลรัฐแห่งอนาคตอันใกล้” (Sooner State) ในอดีตมลรัฐนี้เป็นดินแดนอยู่ห่างไกลความเจริญ (The Wilderness) และเป็นถิ่นฐานของอินเดียนแดง

  • คำขวัญประจำรัฐ Labor omnia vincit “Hard work conquers all things”

 

 

37.

ออเรกอน (Oregon)

     เป็นรัฐที่ถูกเรียกเล่นๆ ว่า “มลรัฐแห่งตัวบีเวอร์” (BeaverState) beaver เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งจำพวกหนูคล้ายนากกินปลา ขนาดเท่าแมว ฟันคมสามารถกัดต้นไม้ใหญ่ๆ ให้ล้มได้ หนังมีขนละเอียดใช้ทำเครื่องกันหนาว อาศัยอยู่ในน้ำ Oregon มีอุตสาหกรรมจับปลาแซลมอนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

  • คำขวัญประจำรัฐ The Union, and Alis volat propriis “She flies with her own wings” 

 

 

38.

เพนซิลเวเนีย (Pennsylvania)

     ถูกเรียกว่า “มลรัฐที่เป็นหลักสำคัญ” (Keystone State) Keystone คือหินก้อนที่อยู่บนสุดตรงกลางของยอดโค้งหรือหลังคาโค้ง ทำหน้าที่ยึดหินก้อนอื่นๆ มิให้คลาดเคลื่อนหรือหลุดจากกัน ดังเช่น Pennsylvania ซึ่งเป็นมลรัฐที่มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งประเทศ

  • คำขวัญประจำรัฐ ” Virtue, liberty, and independence”

 

 

39.

โรดไอส์แลนด์ (RhodeIsland)

     มีอีกชื่อว่า “มลรัฐแห่งมหาสมุทร” (OceanState) เนื่องจากตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกติดมหาสมุทรแอตแลนติก

  • คำขวัญประจำรัฐ “Hope”

 

 

40.

เซาธ์แคโรไลนา (SouthCarolina)

     ถูกเรียกว่า “มลรัฐแห่งต้นปาล์มรูปใบพัด” (Palmetto) South Carolina เป็นสมรภูมรบสำคัญทางประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามกลางเมือง

  • คำขวัญประจำรัฐ Dum spiro spero “While I breathe, I hope”

 

 

41.

เซาธ์ดาโกตา (SouthDakota)

     มีสองชื่อเล่น “มลรัฐแห่งภูเขารัชมอร์” (Mount Rushmore Sate) และ “มลรัฐแห่งไคโอเต้” (Coyote State) เป็นภูเขา RushMore ที่ด้านหนึ่งแกะสลักเป็นรูปใบหน้าของประธานาธิบดีสี่ท่าน ได้แก่ George Washington ,ThomasJefferson, Abraham Lincoln และ Theodore Roosevelt ส่วน coyote เป็นหมาป่าตัวเล็กอาศัยอยู่ภาคตะวันตกของอเมริกา

  • คำขวัญประจำรัฐ “Under God the people rule”

 

 

42.

เทนเนสซี (Tennessee)

     คือ “มลรัฐแห่งอาสาสมัคร” (Volunteer State) แหล่งท่องเที่ยวสำคัญคือเมือง Memphis บ้านเกิดเมืองนอนของ ElvisPresley นักร้องในศตวรรษ1960

  • คำขวัญประจำรัฐ “Agriculture and commerce”

 

 

43.

เท็กซัส (Taxas)

     ถูกเรียกว่า “มลรัฐแห่งดาวดวงเด่น” (LoneStar State)เพราะมลรัฐนี้มีธงประจำรัฐเป็นรูปดาวดวงเดียวโดดเด่น เอกลักษณ์อีกอย่างของมลรัฐนี้คือการขี่ม้าผาดโผนที่เรียกว่า Rodeocowboy เมืองสำคัญคือ Houston ซึ่งเป็นฐานปล่อยจรวดและศูนย์ฝึกมนุษย์อวกาศ

  • คำขวัญประจำรัฐ “Friendship”

 

 

44.

ยูทาร์ (Utah)

     มีชื่อเล่นว่า “มลรัฐแห่งรังผึ้ง” (Beehive State) เมือง SaltLakeCity ในรัฐ Utah เคยเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวในค.ศ.2002

  • คำขวัญประจำรัฐ “Industry”

 

 

45.

เวอร์มอนต์ (Vermont)

     ถูกตั้งชื่อจากการถอดความชื่อมลรัฐที่เป็นภาษาฝรั่งเศสออกมาเป็นภาษาอังกฤษ Vert ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่าเขียว และ Mont ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่าภูเขา มันจึงถูกตั้งชื่อเล่นว่า “มลรัฐแห่งภูเขาสีเขียว” (GreenMountain State) นักท่องเที่ยวนิยมเล่นสกีและตกปลาตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ของมลรัฐนี้

  • คำขวัญประจำรัฐ Freedom and Unity and Stella quarta decima fulgeat “May the 14th star shine bright”

 

 

46.

เวอร์จิเนีย (Virginia)

     มีสองชื่อเล่นคือ “มลรัฐที่การปกครองอย่างเก่า” (The Old Dominion) และ “เมืองมารดรแห่งประธานาธิบดี” (Mother of Presidents) เพราะเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของประธานาธิบดีสามท่าน โดยเฉพาะประธานาธิบดีท่านแรกของอเมริกา George Washington และมีเมือง Jamestown เป็นเมืองประวัติศาสตร์เพราะเป็นเมืองแรกที่มีคนผิวขาวอพยพเข้ามาตั้งรกรากและเป็นเมืองแรกที่มีทาสผิวดำ

  • คำขวัญประจำรัฐ Sic semper tyrannis “Thus always to tyrants”

 

 

47.

วอชิงตัน (Washington)

     ถูกเรียกว่า “มลรัฐที่เขียวชอุ่มตลอดปี” (Evergreen State) มีเมืองสำคัญคือ Seattle ซึ่งเป็นศูนย์วิทยาศาสตร์อากาศ

  • คำขวัญประจำรัฐ Al-ki “By and by”

 

 

48.

เวอร์จิเนียตะวันตก (WestVirginia)

     มีชื่อเล่นตามภูมิประเทศว่า “มลรัฐแห่งภูเขา”เพราะพื้นที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงๆ ต่ำๆ นอกจากนี้ยังมีอุทยานแห่งชาติป่าไม้ และบริเวณสันทนาการมากมาย

  • คำขวัญประจำรัฐ Montani semper liberi “Mountaineers are always free”

 

 

49.

วิสคอนซิน (Wisconcin)

     มีสองชื่อเล่นคือ “มลรัฐแห่งแบดเจอร์” (Badger State) และ “มลรัฐแห่งนมเนย” (Dairy State) badger คือสัตว์ชนิดหนึ่งขนาดเท่าสุนัขจิ้งจอก เท้ามีเล็บอย่างหมีและมลรัฐนี้ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยนมเนย

  • คำขวัญประจำรัฐ Forward

 

 

50.

ไวโอมิง (Wyoming)

     “มลรัฐแห่งความเสมอภาค” (Equality State) สัญลักษณ์คือวนอุทยาน Yellowstone ซึ่งเป็นวนอุทยาน แห่งชาติแห่งแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา

  • คำขวัญประจำรัฐ Equal rights

===============

 


วิธีดูสำเนียงบริทิช และ อเมริกัน | Tina Academy Ep.52


วิธีการดูว่าอันไหนสำเนียงบริทิช และอันไหนสำเนียงอเมริกันแบบง่ายๆ
♡ รายละเอียดคอร์สสอนภาษา https://www.tinaacademy.com
♡ Subscribe จะได้ไม่พลาดคลิปทุกๆสัปดาห์
https://www.youtube.com/tinathanchannel/
♡ Instagram: https://www.instagram.com/tinathancha…
♡ Facebook: https://www.facebook.com/tinathanchannel
♡ Line ID: @hxr4999x https://line.me/R/ti/p/%40hxr4999x

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

วิธีดูสำเนียงบริทิช และ อเมริกัน | Tina Academy Ep.52

สหรัฐฯเตือนยุโรปเสี่ยง“สงคราม” “รัสเซีย”เตรียมบุก“ยูเครน” | TNN ข่าวค่ำ | 12 พ.ย. 64


ยุโรปตะวันออกส่อเค้าเกิดสงครามจากหลายปัญหา โดยเฉพาะความขัดแย้งผู้อพยพบริเวณชายแดนโปแลนด์และเบลารุส ทำให้เบลารุส ซึ่งเป็นพันธมิตรของรัสเซียขู่ตัดท่อส่งก๊าซจากรัสเซียไปยุโรป หากถูกสหภาพยุโรป หรือ อียูคว่ำบาตรเพิ่ม ขณะที่ชายแดนประเทศยูเครนเริ่มตึงเครียด หลังมีรายงานว่ารัสเซียระดมทหารเกือบ 100,000 นาย ประชิดชายแดนยูเครน ด้าน โรมาเนียเพื่อนบ้านยูเครน ประสานขอให้สหรัฐฯส่งเรือรบเข้ามาเสริมทะเลดำ หลังสหรัฐฯเตือนยุโรปเสี่ยงเกิดสงคราม
ช่องทางติดตามสถานีข่าว TNN ช่อง16
https://www.tnnthailand.com
https://tv.trueid.net/live/tnn16
https://www.youtube.com/c/tnn16
https://www.facebook.com/TNNthailand/
https://www.facebook.com/TNN16LIVE/
https://twitter.com/tnnthailand
https://www.instagram.com/tnn_online/
https://www.tiktok.com/@tnnonline
Line @TNNONLINE หรือคลิก https://lin.ee/4fP2tltIo
ทันโลก ทันเศรษฐกิจ ทันทุกความจริง กับ TNNช่อง16 สถานีข่าวที่ถือหลักการของการนำเสนอข่าวตรงประเด็น รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ และเป็นกลาง โดยทีมข่าวมืออาชีพ

สหรัฐฯเตือนยุโรปเสี่ยง“สงคราม” “รัสเซีย”เตรียมบุก“ยูเครน” | TNN ข่าวค่ำ | 12 พ.ย. 64

สหรัฐ vs อังกฤษ สงครามปฏิวัติอเมริกา ค.ศ. 1775–1783


สหรัฐ vs อังกฤษ สงครามปฏิวัติอเมริกา ค.ศ. 1775–1783

British and American Compare Accents For The First Time!


Hi 🌏!!!
Thank you for watcing our video!
Show us your ❤ with Subscribe, Like👍 \u0026 Comment and Share!
🌏Christina
https://www.instagram.com/christinakd92/?hl=ko
🌏Emily
https://www.instagram.com/ryzemily/?hl=ko

British and American Compare Accents For The First Time!

Anne-Marie’s ‘2002’ | Blind Auditions | The Voice UK 2021


AnneMarie performs her hit single ‘2002’ in week 1 of The Voice UK 2021 Blind Auditions!
Watch Full Episodes on The ITV Hub: http://entslink.itv.com/38Fg5pp
Subscribe, like and watch more: http://bit.ly/2jmXcPt
Website: http://bit.ly/2hwvvll
Facebook: http://bit.ly/2iuiAyQ
Twitter: http://bit.ly/2ht0H1r
Instagram: http://bit.ly/2iIEy0q
Download The Voice UK’s free app for exclusive previews and news:
iOS: http://apple.co/2hzvKxq
Android: https://link.itv.com/android
Get all the latest from The Voice UK YouTube channel, news, gossip and videos with superstar Coaches will.i.am, AnneMarie, Olly Murs and Sir Tom Jones.
http://www.itv.com
http://www.stv.tv
TheVoiceUK

Anne-Marie's '2002' | Blind Auditions | The Voice UK 2021

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่MAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ สหรัฐอเมริกา ภาษา อังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *