Skip to content
Home » [NEW] สรุป ! ทั้ง 12 Tense อย่างละเอียด มาดูกัน | tens แปลว่า – NATAVIGUIDES

[NEW] สรุป ! ทั้ง 12 Tense อย่างละเอียด มาดูกัน | tens แปลว่า – NATAVIGUIDES

tens แปลว่า: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

Table of Contents

สรุป 12 Tenses

ก่อนที่จะเข้าสู่บทเรียน สรุป Tenses ทั้ง 12 Tenses น้อง ๆควรได้รู้ภาพรวมคร่าว ๆ ของเนื้อหาตัวนี้ก่อน ซึ่งคำถามยอดฮิตคือ

Q: Tenses คืออะไร?

A: คือไวยกรณ์เหมือนภาษาไทยนี่แหละจ้า เรียนเพื่อให้เราใช้ประโยคได้ถูกต้อง รู้เรื่อง

Q: แล้ว Tenses มีอะไรบ้าง

A: มีทั้งหมด 12 ชนิด แบ่งตามเวลา 3 ช่วง (อดีต ปัจจุบัน และอนาคต) กับ ลักษณะของการกระทำอีก 4 แบบ

 

สรุป เทคนิคเข้าใจ Tenses ง่าย ๆ ไม่ต้องท่องก็จำได้ ! 

ให้เราจินตนาการว่า tenses คือ โรงเรียนที่มี 3 ช่วงชั้น คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต แล้วในโรงเรียนก็มีกีฬาสีแบ่งออกเป็น 4 สี คือ simple, continuous, perfect และสีสุดท้าย perfect continuous โดยแต่ละสีจะมีนิสัยพิเศษ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสีนั้น ๆ

 

ช่วงเวลา

x

การกระทำ

Past

Present

Future

Simple

S + V.2
S + V.1
S + will + V.inf

Continuous

S + was/were + V.ing
S + is/am/are + V.ing
S + will + be + V.ing

Perfect

S + had + V.3
S + has/have + V.3
S + will + have + V.3

Perfect Continuous

S + had + been + V.ing
S + has/have + been + V.ing
S + will + have + been + V.ing

 

S = ประธาน, V = กริยา, V.inf = กริยาต้นฉบับ (ไม่ผันหรือเปลี่ยนรูปใด ๆ ส่วนใหญ่หน้าตาเหมือน V.1)

 

 

มาเริ่มที่สีแรก simple : สีนี้จะมีนิสัยเรียบง่าย ไม่เรื่องเยอะตามชื่อ simple

  1. Past simple: S + V.2

  • ใช้กับเรื่องที่จบไปแล้วในอดีต เอาไว้บอกว่าการกระทำนั้น ๆ เสร็จสิ้นไปแล้ว

ตัวอย่างประโยค

  • I

    loved

    you. แปลว่า ฉันเคยรักเธอ (ในอดีตเคยรัก และหมดรักไปแล้ว)

  • You

    gave

    him your heart. แปลว่า คุณให้ใจกับเขาไปแล้ว (ให้ไปตั้งแต่ในอดีตแล้ว ให้ไปนานแล้ว)

  • She

    was

    my best friend. แปลว่า เธอเคยเป็นเพื่อนรักของฉัน (เคยเป็นเพื่อนกันในอดีต แต่ความเป็นเพื่อนมันจบไปแล้ว)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

  1. Present simple: S + V.1

  • ใช้กับข้อเท็จจริงต่าง ๆ เช่น น้ำเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส, ฉันเป็นผู้หญิง, ชื่อของเขาคือต้น

  • ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นประจำ เช่น เทศกาลปีใหม่ (เกิดขึ้นเป็นประจำในวันที่ 1 มกราคม)

  • ใช้กับนิสัยหรือรสนิยมส่วนตัว เช่น ฉันเป็นคนรักเด็ก เธอเป็นคนนอนตื่นสาย

ตัวอย่างประโยค

  • I

    love

    you.  แปลว่า ฉันรักคุณ (รักจริง ๆ นะ ไม่ได้โม้ ถือเป็นข้อเท็จจริง)

  • We

    celebrate

    Christmas on December 25. แปลว่า เราเฉลิมฉลองคริสต์มาสกันวันที่ 25 ธันวาคม (เป็นเทศกาลที่เกิดขึ้นเป็นประจำ)

  • I

    like

    dogs. แปลว่า ฉันชอบสุนัข (เป็นรสนิยมส่วนตัว)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

  1. Future simple: S + will/be going to + V.inf

*** บางโรงเรียนสอนให้ใช้ V.1 เป็นความรู้ที่ผิดนะคะ ต้องเป็น V.inf เพราะกริยาทุกตัวที่ตามหลังกริยาช่วย (ในที่นี้คือตามหลัง will นั่นเอง) ต้องเป็นกริยาดั้งเดิมซึ่งก็คือ V.inf เพียงแต่ V.inf ส่วนใหญ่จะมีหน้าตาเหมือนกันกับ V.1 แต่จำไว้เสมอว่า ไม่ได้เหมือนกันทุกตัว ***

  • ใช้กับเรื่องที่คาดว่า/วางแผนว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น

ตัวอย่างประโยค

  • I

    will make

    you happy. แปลว่า ฉันจะทำให้คุณมีความสุข (คาดว่าจะทำ)

  • He

    is going to be

    a better person. แปลว่า เขาจะเป็นคนที่ดีขึ้น (วางแผนว่าจะปรับปรุงตัว)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

ต่อกันที่สีที่ 2 continuous: สีนี้จะมีนิสัยกระตือรือร้น กำลังทำอะไรอยู่ตลอด ทำอะไรอย่างต่อเนื่อง

  1. Past continuous: S + was/were + V.ing

* Tense นี้สามารถใช้คู่กับ Past simple ได้ ในกรณีเกิดเหตุการณ์สองเหตุการณ์แทรกกัน เรียนเพิ่มเติมอีกบท *

  • ใช้กับเรื่องที่จบไปแล้วในอดีต เอาไว้เล่าถึงการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ ณ ตอนนั้น

ตัวอย่างประโยค

  • I

    was eating

    rice. แปลว่า ตอนนั้นฉันกำลังทานข้าวอยู่ (ตอนนี้ทานเสร็จไปแล้ว แต่เล่าถึงว่าในอดีตกำลังทำอะไรอยู่)

  • You

    were having

    fun. แปลว่า ตอนนั้นคุณกำลังสนุกเลย (ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแล้ว แต่ตอนนั้นกำลังสนุก)

  • He

    was running

    . แปลว่า ตอนนั้นเขากำลังวิ่งอยู่  (ตอนนี้ไม่ได้วิ่งแล้ว แต่ตอนนั้นกำลังวิ่งอยู่)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

  1. Present continuous: S + is/am/are + V.ing

  • ใช้กับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น หรือกำลังทำอยู่ในขณะที่พูด 

ตัวอย่างประโยค

  • I

    am studying

    .  แปลว่า ฉันกำลังเรียนหนังสืออยู่ (ตอนนี้กำลังเรียนอยู่อย่างต่อเนื่อง)

  • They

    are sleeping

    . แปลว่า พวกเขากำลังหลับอยู่ (กำลังกลับอยู่ในขณะที่คนพูดพูดอยู่)

  • The cat

    is sitting

    on my computer. แปลว่า แมวกำลังนั่งอยู่บนคอมของฉัน (กำลังนั่งอยู่ในขณะที่ฉันพูด)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

  1. Future continuous: S + will + be + V.ing

  • ใช้กับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เอาไว้เล่าว่าในอนาคตตอนนั้นจะกำลังทำอะไรอยู่

ตัวอย่างประโยค

  • I

    will be celebrating

    on my birthday. แปลว่า ในวันเกิดฉันน่าจะกำลังฉลองอยู่ (ยังไม่ถึงวันเกิด แต่เดาว่าในวันเกิดต้องกำลังฉลองอยู่แน่)

  • He

    will be crying

    after the announcement of exam results. แปลว่า หลังจากการประกาศผลสอบเขาต้องร้องไห้แน่ๆ (ผลสอบยังไม่ประกาศ แต่เดาว่าในอนาคตเมื่อประกาศแล้วเขาจะร้องไห้)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

สีที่ 3 perfect: สีนี้จะมีนิสัยครองทุกยุค อยู่ในทุกช่วงเวลา มักทำอะไรนาน ๆ ขี้โม้ ชอบเล่าประสบการณ์

  1. Past perfect: S + had + V.3

* Tense นี้สามารถใช้คู่กับ Past simple ได้ ในกรณีเกิดเหตุการณ์สองเหตุการณ์ต่อกัน เรียนเพิ่มเติมอีกบท *

  • ใช้กับเรื่องที่จบไปแล้วในอดีต แล้วมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดตามมา

ตัวอย่างประโยค

  • When Janny arrived, the exam

    had

    already

    started

    . แปลว่า ตอนเจนนี่มาถึง การสอบก็ได้เริ่มไปแล้ว (การสอบเริ่มไปก่อน เจนนี่มาถึงทีหลัง)

  • Kai was depleted. He

    had studied

    hard all day. แปลว่า ไคเหนื่อยล้ามาก เขาเรียนหนักมาทั้งวัน  (เรียนหนักมาทั้งวันก่อน แล้วจึงเหนื่อย)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

  1. Present perfect: S + has/have + V.3

  • ใช้กับเรื่องที่เริ่มต้นในอดีตและยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน (และน่าจะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต)

ตัวอย่างประโยค

– We have studied in the same school for four years. (เรียนโรงเรียนเดิมมาสี่ปีแล้ว ตอนนี้ยังเรียนอยู่ และในอนาคตน่าจะเรียนต่อ)

  • ใช้กับเรื่องที่เริ่มต้นในช่วงเวลาหนึ่ง และช่วงเวลานั้นยังไม่หมด

ตัวอย่างประโยค

– Coronavirus has spread around the world this year. (เริ่มต้นในปีนี้และปีนี้ยังไม่หมด)

  • ใช้กับเรื่องที่เพิ่งจะเสร็จไป

ตัวอย่างประโยค

– I have just finished my homework. (เพิ่งจะทำการบ้านเสร็จ)

  • ใช้กับเรื่องที่ไม่ระบุเวลา และต้องการแค่เล่าว่าเคยทำ ไม่เคยทำ ประสบการณ์ หรือ ผลลัพธ์

ตัวอย่างประโยค

– I have learned Japanese, Korean, Italian, and English.

– Have you ever been to France?

– Someone has stolen my eraser!

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

  1. Future perfect: S + will + have + V.3

  • ใช้กับเรื่องที่คาดว่าจะจบลงในอนาคต

ตัวอย่างประโยค

–  He will have studied English for a year next week. (เขาจะเรียนภาษาอังกฤษครบหนึ่งปีในอาทิตย์หน้า)

– They will have seen the doctor Tuesday morning. (พวกเขาจะไปพบแพทย์วันอังคารตอนเช้า)

  • ใช้คู่กับ Present Simple เมื่อเรื่องที่คาดว่าจะจบในอนาคตจบแล้ว มีอีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นต่อกันพอดี

– She will have cleaned the dishes when I get home. (เธอคงจะล้างจานเสร็จแล้วตอนฉันมาถึงบ้าน)

– By the time you arrive, I will have gone to bed. (กว่าคุณจะมาถึง ฉันคงจะเข้านอนแล้ว)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

สีสุดท้าย perfect continuous: สีนี้จะมีนิสัยคล้ายกันกับ perfect แต่จะเน้นความต่อเนื่องของการกระทำ

  1. Past perfect continuous: S + had + been + V.ing

* Tense นี้สามารถใช้คู่กับ Past simple ได้ ในกรณีเกิดเหตุการณ์สองเหตุการณ์แทรกกัน เรียนเพิ่มเติมอีกบท *

  • ใช้กับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น กำลังทำอยู่ในอดีต แล้วมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดแทรกกลางคัน 

ตัวอย่างประโยค

– We had been walking for 30 minutes when it started to rain. (ตอนนั้นเรากำลังเดินเล่นกันอยู่ประมาณ 30 นาที ก่อนที่ฝนจะตกลงมากลางคัน)

– When the phone rang, I had been watching TV. (โทรศัพท์ดังขึ้นมากลางคั่นในขณะที่ฉันกำลังดูทีวีอยู่)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

  1. Present perfect continuous: S + has/have + been + V.ing

  • ใช้กับเรื่องที่เริ่มต้นในอดีตและยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง โดยจะเสร็จแล้วหรือไม่เสร็จก็ได้

ตัวอย่างประโยค

– It has been raining for four hours. (ฝนตกอย่างต่อเนื่องมาสี่ชั่วโมงแล้ว)

– They have been running for 20 minutes. (พวกเขาวิ่งอย่างต่อเนื่องมา 20 นาทีแล้ว)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

3. Future perfect continuous: S + will + have + been + V.ing

  • ใช้คู่กับ Present Simple เมื่อเรื่องที่หนึ่งกำลังดำเนินอยู่ แล้วมีเรื่องที่สองเกิดขึ้นต่อกันพอดี โดยที่เรื่องที่หนึ่งอาจจะเสร็จแล้วหรือไม่เสร็จก็ได้

ตัวอย่างประโยค

– I will have been exercising when you arrive. (ฉันคงจะออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องอยู่ตอนที่คุณมาถึง)

– When he wakes up, she will have been watering flowers. (ตอนที่เขาตื่นนอน เธอคงจะกำลังรดน้ำดอกไม้อย่างต่อเนื่องอยู่)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

การทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคปฏิเสธ และประโยคคำถาม

กรณีที่ 1 : เป็นคำถาม yes/no

ถ้าในประโยคมี Verb to be ( is,  am,  are หรือ was, were)

  • ทำให้เป็น

    ปฏิเสธ

    โดยการเติม not หลัง verb to be ได้เลย เช่น

– I am a good cook. 🡪 I am not a good cook.

  • ทำให้เป็น

    คำถาม

    โดยการเอา verb to be มาไว้หน้าสุด เช่น

– I am a good cook. 🡪 Am I a good cook? **อย่าลืมใส่ ? ท้ายคำถามนะคะทุกคน

เวลาตอบคำถามประเภทนี้ก็ตอบทวนคำถาม เช่น Yes, you are. / No, you are not.

ถ้าในประโยคมี Verb to have (have, has, had)

  • ให้เอา Do กับ Does มาช่วยโดยการเอามาวางไว้หน้า verb to have (จะใช้ do หรือ does ก็ขึ้นอยู่กับประธาน)

    • Do + ประธานพหูพจน์

    • Does + ประธานเอกพจน์

** ยกเว้นในกรณีถามประสบการณ์ใน Perfect tense จะใช้

 

S + verb to have + never… ในปฏิเสธ

verb to have + S + ever + …? ในคำถาม

  • ทำให้เป็น

    ปฏิเสธ

    โดยการเติม not หลัง do/does ได้เลย เช่น

– He has a big house. 🡪 He does not have a big house.

  • ทำให้เป็น

    คำถาม

    โดยการเอา do/does มาไว้หน้าสุด เช่น

– He has a big house. 🡪 Does he have a big house?

เวลาตอบคำถามประเภทนี้ก็ตอบทวนคำถาม เช่น Yes, he does. / No, he doesn’t.

ถ้าในประโยคมี Modal verb (can, should, must)

  • ทำให้เป็น

    ปฏิเสธ

    โดยการเติม not หลัง Modal verb ได้เลย เช่น

– This bird can fly. 🡪 This bird cannot fly.  **ไม่ต้องเว้นวรรคระหว่าง can กับ not

– I should go outside. 🡪 I should not go outside.

  • ทำให้เป็น

    คำถาม

    โดยการเอา Modal verb มาไว้หน้าสุด เช่น

– This bird can fly. 🡪 Can this bird fly?

– I should go outside. 🡪 Should I go outside?

เวลาตอบคำถามประเภทนี้ก็ตอบทวนคำถาม เช่น Yes, it can. / No, it can’t.

 

ถ้าในประโยคมีกริยาอื่น ๆ นอกเหนือจากข้างบน

ให้เอา Do กับ Does มาช่วยโดยการเอามาวางไว้หน้าคำกริยา (จะใช้ do หรือ does ก็ขึ้นอยู่กับประธาน)

  • ทำให้เป็น

    ปฏิเสธ

    โดยการเติม not หลัง do/does ได้เลย เช่น

– We go to school together. 🡪 We do not go to school together.

  • ทำให้เป็น

    คำถาม

    โดยการเอา do/does มาไว้หน้าสุด เช่น

– I love you. 🡪 Do you love me?

เวลาตอบคำถามประเภทนี้ก็ตอบทวนคำถาม เช่น Yes, I do. / No, I don’t.

 

กรณีที่ 2 : เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบเป็นข้อมูลไม่ใช่ yes/no

ให้นำคำถามขึ้นต้นประโยค (Wh- question) มาไว้ด้านหน้าประโยคคำถามแบบ yes/no ได้เลย

 

  • What = อะไร มักใช้ถามเกี่ยวกับสิ่งของ เวลาวันที่ เช่น

What is your favorite animal?

What time is it?

  • Where = ที่ไหน มักใช้ถามเกี่ยวกับสถานที่ เช่น

Where do we meet?

Where are you?

  • When = เมื่อไร มักใช้ถามเกี่ยวกับวันเวลา เช่น

When is Christmas?

When will they sleep?

  • Why = ทำไม มักใช้ถามเกี่ยวกับเหตุผล เช่น

Why are you so cute?

Why did you do that?

  • Who = ใคร มักใช้ถามเกี่ยวกับคน เช่น

Who does he like?

Who is she?

  • Whose = ของใคร มักใช้ถามเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของ (ถามว่าเป็นของใคร) เช่น

Whose pen is it?

Whose are these?

  • Whom = ใคร มักใช้ถามเกี่ยวกับคนเหมือน who แต่คนที่ถูกพูดถึงจะต้องเป็นกรรม เช่น

Whom are you waiting for?

Whom do you serve?

  • Which = อันไหน/สิ่งไหน มักใช้ถามเวลาให้เลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น

Which dress do you like?

Which is nicer?

  • How = อย่างไร/เท่าไร มักใช้ถามเรื่องราคา จำนวน สุขภาพ อายุ ความถี่ วิธีการทำ เช่น

How much is this?

How many pets do you have?

How do you do? หรือ How are you?

How old are you?

How often do you exercise?

How do you go to work?

 

[Update] Present simple tense คืออะไร มีการใช้อย่างไร | tens แปลว่า – NATAVIGUIDES

Present simple tense เป็น tense พื้นฐานที่มีโครงสร้างเรียบง่ายมากที่สุด แต่ก็ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะเป็นหนึ่งใน tense ที่ใช้บ่อย และเป็นพื้นฐานของแกรมม่าหัวข้ออื่นๆอีกมากมาย

สำหรับใครที่ยังไม่ค่อยแม่นเรื่อง present simple tense ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงเนื้อหามาให้ได้เรียนรู้กันแบบง่ายๆแล้ว เอาล่ะ ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

Present simple tense คืออะไร

Present simple tense คือรูปคำกริยาที่ใช้กับข้อเท็จจริงทั่วไป สิ่งที่เป็นกิจวัตร หรือแผนการและตารางเวลา ซึ่งจะใช้คำกริยาช่อง 1 (เช่น go, come, eat) อย่างเช่น

I go to school every day.
ฉันไปโรงเรียนทุกวัน

แต่ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 เราจะต้องใช้คำกริยารูป s/es แทน (เช่น goes, comes, eats) อย่างเช่น

He goes to school every day.
เขาไปโรงเรียนทุกวัน

โครงสร้าง present simple tense

เมื่อเทียบกับ tense อื่นๆ present simple tense นั้นถือว่ามีโครงสร้างที่เรียบง่าย โดยหัวใจหลักอย่างหนึ่งของมันก็คือการใช้คำกริยาช่อง 1

แต่ present simple tense ก็มีความซับซ้อนนิดหน่อยตรงที่ว่า จะมีการใช้คำกริยารูป s/es ด้วย โดยจะมีหลักการคือ

  • ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ (เช่น we, they, boys, teachers, cats, pens) หรือเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 1 และ 2 (I และ you) เราจะต้องใช้คำกริยารูปปกติ (เช่น go, come, eat)
  • ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 (เช่น he, she, it, boy, teacher, cat, pen) เราจะต้องใช้คำกริยารูปที่เติม s/es (เช่น goes, comes, eats)

นอกเหนือจากนี้แล้ว ยังมีประเด็นในเรื่องชนิดของประโยคอีก ซึ่งประโยคแต่ละชนิด อย่างเช่น ประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธ และประโยคคำถาม ก็จะมีโครงสร้างและรายละเอียดการใช้ tense ที่ต่างกัน ซึ่งก็คือ

ทบทวนความรู้
Subject แปลว่า ประธาน
Verb แปลว่า คำกริยา
Object แปลว่า กรรม หรือ ผู้ถูกกระทำ เช่นในประโยค I love you.
Complement แปลว่า ส่วนเติมเต็ม ซึ่งก็คือคำที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประธาน เวลาใช้มักจะตามหลัง linking verb (เช่น is, am, are, feel, seem) เช่นในประโยค I am a student.

ประโยคบอกเล่า

การใช้ present simple tense ในประโยคบอกเล่า จะมีโครงสร้างและตัวอย่างประโยคดังนี้

โครงสร้าง
Subject + verb 1 + (object/complement)

ตัวอย่างประโยคเช่น

I love my cat.
ฉันรักแมวของฉัน

The sun rises in the east.
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก

ประโยคปฏิเสธ

การใช้ present simple tense ในประโยคปฏิเสธ จะมีโครงสร้างหลักๆ 2 แบบ คือ

1. ประโยคที่ใช้ verb to be เป็นคำกริยาหลัก

ถ้าประโยคมี verb to be (is, am, are) เป็นคำกริยาหลัก เราสามารถใช้ not หลัง verb to be ได้เลย โดยเราสามารถเขียนย่อ is not ให้เป็น isn’t และย่อ are not ให้เป็น aren’t ได้ แต่สำหรับ am not นั้น เราจะไม่ใช้รูปย่อ

โครงสร้าง
Subject + verb to be + not + (object/complement)

He isn’t an engineer.
เขาไม่ใช่วิศวกร
(รูปประโยคบอกเล่าคือ He is an engineer.)

They aren’t students.
พวกเขาไม่ได้เป็นครู
(รูปประโยคบอกเล่าคือ They are students.)

2. ประโยคที่ไม่ได้ใช้ verb to be เป็นคำกริยาหลัก

ถ้าประโยคมีคำกริยาหลักเป็นคำกริยาอื่นที่ไม่ใช่ verb to be เราจะใช้ do/does + not ไว้หน้าคำกริยาหลัก โดยเราสามารถเขียนย่อ do not เป็น don’t และย่อ does not ให้เป็น doesn’t ได้

โครงสร้าง
Subject + do/does + not + verb 1 + (object/complement)

(ในประโยคปฏิเสธที่ใช้ do/does เราจะใช้ does กับประธานเอกพจน์บุรุษที่ 3 และจะใช้ do กับประธานชนิดอื่นๆ และเราจะใช้คำกริยาหลัก เป็นคำกริยารูปปกติที่ไม่ได้เติม s/es เสมอ)

He doesn’t love me.
เขาไม่ได้รักฉัน
(รูปประโยคบอกเล่าคือ He loves me.)

Her friends don’t like me.
เพื่อนๆของเธอไม่ชอบฉัน
(รูปประโยคบอกเล่าคือ Her friends like me.)

ประโยคคำถาม

การใช้ present simple tense ในประโยคคำถาม จะมีโครงสร้างหลักๆ 2 แบบ คือ

1. ประโยคที่ใช้ verb to be เป็นคำกริยาหลัก

ถ้าประโยคมี verb to be (is, am, are) เป็นคำกริยาหลัก เราจะขึ้นต้นประโยคด้วย verb to be

โครงสร้าง
Verb to be + subject + (object/complement)?

ตัวอย่างประโยคเช่น

Is she angry?
เธอโกรธรึเปล่า
(รูปประโยคบอกเล่าคือ She is angry.)

Are they students?
พวกเขาเป็นนักเรียนรึเปล่า
(รูปประโยคบอกเล่าคือ They are students.)

2. ประโยคที่ไม่ได้ใช้ verb to be เป็นคำกริยาหลัก

ถ้าประโยคมีคำกริยาหลักเป็นคำกริยาอื่นที่ไม่ใช่ verb to be เราจะขึ้นต้นประโยคด้วย do/does แล้วคงคำกริยาหลักไว้หลังประธาน เหมือนประโยคบอกเล่า

โครงสร้าง
Do/Does + subject + verb 1 + (object/complement)?

(ในประโยคคำถามที่ใช้ do/does เราจะใช้ does กับประธานเอกพจน์บุรุษที่ 3 และจะใช้ do กับประธานชนิดอื่นๆ และเราจะใช้คำกริยาหลัก เป็นคำกริยารูปปกติที่ไม่ได้เติม s/es เสมอ)

ตัวอย่างประโยคเช่น

Does he eat spicy food?
เขากินอาหารเผ็ดมั้ย
(รูปประโยคบอกเล่าคือ He eats spicy food.)

Do they speak English?
พวกเขาพูดภาษาอังกฤษมั้ย
(รูปประโยคบอกเล่าคือ They speak English.)

หลักการใช้ present simple tense

ใช้ present simple tense เมื่อใด

เราจะใช้ present simple tense เมื่อ

1. กล่าวถึงสิ่งที่เป็นจริงในปัจจุบัน

I am a student.
ฉันเป็นนักเรียน

Joe lives in Japan with his friend.
โจอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นกับเพื่อน

My parents own a restaurant.
พ่อแม่ฉันเป็นเจ้าของร้านอาหาร

2. กล่าวถึงสิ่งที่เป็นกิจวัตร

I play football every day.
ฉันเล่นฟุตบอลทุกวัน

The train leaves every morning at 7 a.m. 
รถไฟจะออกทุกๆเช้าตอน 7 โมง

We often watch movies together.
พวกเราดูหนังด้วยกันบ่อยๆ

3. กล่าวถึงข้อเท็จจริงตามธรรมชาติ

The sun rises in the east.
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก

Water boils at 100°C.
น้ำเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส

Students don’t generally have much money.
เด็กนักเรียนโดยทั่วไปแล้วไม่ได้มีเงินมาก

4. กล่าวถึงแผนการหรือตารางเวลา

The bus arrives at the bus stop every 15 minutes.
รถบัสจะมาถึงป้ายทุกๆ 15 นาที

The party starts at 9 o’clock.
ปาร์ตี้จะเริ่มตอน 9 โมง

The school term starts next month.
โรงเรียนจะเปิดเทอมในเดือนหน้า

5. ให้คำแนะนำ ข้อมูล หรือรายละเอียดขั้นตอนต่างๆ

To start the program, first you click the icon on the desktop.
ในการเริ่มโปรแกรม ก่อนอื่นให้คุณคลิกที่ไอคอนบนเดสก์ท็อป

First of all, you break the eggs and whisk with sugar.
ก่อนอื่นให้คุณตอกไข่และตีไข่กับน้ำตาล

You go straight along the road and turn right at the corner.
คุณตรงไปตามถนนแล้วเลี้ยวขวาตรงหัวมุม

(การให้คำแนะนำ หรือรายละเอียดขั้นตอนต่างๆ เราอาจละประธานได้ เช่น Go straight along the road and turn right at the corner. ซึ่งเราจะเรียกรูปประโยคที่ละประธานนี้ว่า imperative form)

เกร็ดความรู้
นอกจากกรณีเหล่านี้แล้ว เรายังสามารถใช้ present simple tense ในการเล่ามุขตลก หรือเล่าเรื่องราวต่างๆ (เช่น เรื่องราวชีวิต เรื่องราวคนอื่น เรื่องราวจากหนังสือ เรื่องราวจากหนัง) ได้อีกด้วย การใช้ present simple tense ในการเล่าเรื่อง จะช่วยให้เรื่องที่เล่านั้นดูสดใหม่และดูใกล้ตัวมากขึ้น เมื่อเทียบกับการใช้ past tense

คำบอกเวลากับ present simple tense

เนื่องจาก present simple tense จะถูกใช้เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่เป็นกิจวัตร เราจึงมักจะเห็นคำบอกเวลาจำพวกคำบอกความถี่ (adverbs of frequency) ใน present simple tense บ่อยๆ ซึ่งคำเหล่านี้นั้นได้แก่

Adverbs of frequencyความหมายAlwaysเป็นประจำ, เสมอUsuallyมักจะNormallyโดยปกติGenerallyโดยปกติOftenบ่อยครั้งFrequentlyบ่อยครั้งSometimesบางครั้งOccasionallyเป็นครั้งคราวSeldomไม่ค่อยRarelyนานๆครั้งHardlyนานๆครั้งNeverไม่เคย

ตัวอย่างประโยคก็อย่างเช่น

I always wake up at 6 o’clock.
ฉันตื่นนอนตอน 6 โมงเป็นประจำ

Peter often takes notes during conference.
ปีเตอร์จดโน้ตบ่อยๆเวลาประชุม

He is never late.
เขาไม่เคยสาย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า adverbs of frequency นั้นจะถูกใช้ใน present simple tense บ่อยๆ แต่จริงๆแล้วก็สามารถใช้กับ tense อื่นๆได้ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น

I always woke up at 6 o’clock when I was a student.
ฉันตื่นนอนตอน 6 โมงเป็นประจำ เมื่อตอนที่ฉันยังเป็นนักเรียน
(เป็นกิจวัตรในอดีต ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว เราจึงใช้ past simple tense)

I will always love you.
ฉันจะรักคุณเสมอ
(เป็นการพูดถึงอนาคต เราจึงใช้ future simple tense)

สรุป present simple tense

  • Present simple tense คือรูปคำกริยาที่ใช้กับข้อเท็จจริงทั่วไป สิ่งที่เป็นกิจวัตร หรือแผนการและตารางเวลา ซึ่งจะใช้คำกริยาช่อง 1 (เช่น go, come, eat)
  • แต่ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 (เช่น he, she, it, boy, teacher, cat, pen) เราจะต้องใช้คำกริยารูปที่เติม s/es (เช่น goes, comes, eats) แทน
  • ประโยคบอกเล่า ประโยคคำถาม และประโยคปฏิเสธ จะมีโครงสร้างประโยคและรายละเอียดการใช้ tense ที่ต่างกัน สำหรับประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธ ถ้าคำกริยาหลักไม่ใช่ verb to be เราจะต้องนำ do/does เข้ามาใช้ด้วย
  • เราจะใช้ present simple tense เมื่อ
    • กล่าวถึงสิ่งที่เป็นจริงในปัจจุบัน
    • กล่าวถึงสิ่งที่เป็นกิจวัตร
    • กล่าวถึงข้อเท็จจริงตามธรรมชาติ
    • กล่าวถึงแผนการหรือตารางเวลา
    • ให้คำแนะนำ ข้อมูล หรือรายละเอียดขั้นตอนต่างๆ
    • ใช้เล่าเรื่องหรือเล่ามุขตลก เมื่อเราต้องการให้เรื่องนั้นดูสดใหม่หรือใกล้ตัวมากขึ้น
  • เรามักเจอคำบอกความถี่ (เช่น always, often, sometimes) ใน present simple tense บ่อยๆ เพราะเป็นคำที่ใช้บ่งบอกถึงความเป็นกิจวัตร แต่คำเหล่านี้ จริงๆแล้วก็สามารถใช้กับ tense อื่นๆได้ด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับใจความของประโยค

จบแล้วนะครับกับ present simple tense ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจ และสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องมากขึ้นแล้วนะ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time


สอนไวยากรณ์ Present Simple Tense


ติดตาม Facebook Fanpage ครูเชอรี่ English Bright
https://www.facebook.com/cherry.englishbright

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

สอนไวยากรณ์ Present Simple Tense

สรุป Tense แบบกระจ่าง เข้าใจใน 30 นาที!! โดย ครูพี่แอน


ถ้าไม่อยากพลาดคลิปการสอนเจ๋งๆจากครูพี่แอน อย่าลืม กดsubscribe และดกดกระดิ่งแจ้งเตือนช่อง YOUTUBE ของครูพี่แอนไว้ด้วยน้า (จะเป็นกำลังใจให้ครูพี่แอนได้มากที่สุดในโลกเลยยยย)
สนใจคอร์สเรียน Perfect English ของครูพี่แอน รีบแอดไลน์มารับโปรส่วนลด พร้อมเรียนทวนฟรีได้ตลอดชีพ!
สามารถติดต่อได้ที่ Line : @chula_tutor (มี @ ด้วยนะน้า) หรือคลิกที่ http://line.me/ti/p/@chula_tutor เพื่อติดต่อทางไลน์โดยตรงได้เลยค่ะ

เชื่อว่านักเรียนทุกคนเคยเรียน Tense กันมาตั้งแต่เด็กๆ
เรียนกันมานานหลายปี แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจจริงๆว่ามันคืออะไร
ใช้ยังไง แบบไหนเรียกว่าอะไร
ครูพี่แอนจะมาแจกสูตรลับเรื่องของ Tense ให้เข้าใจอย่างกระจ่าง!!
เปลี่ยนการเรียน Tense แบบเดิมๆ ที่เคยเรียนมา
หลักสูตรการสอนแบบ Speed up โดย ครูพี่แอน
ที่จะทำให้นักเรียนเข้าใจเรื่อง Tense ใน 30 นาที!!!

ติดตามครูพี่แอนได้ที่ช่องทาง
Perfect English : https://www.facebook.com/englishforfunbyann
IG : https://www.instagram.com/krupann.english/
twitter : https://twitter.com/englishbykruann
Tiktok : https://www.tiktok.com/@krupann.english
ครูพี่แอน KruPAnn ภาษาอังกฤษ OnlineEnglish คอร์สเรียนออนไลน์ เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์

สรุป Tense แบบกระจ่าง เข้าใจใน 30 นาที!! โดย ครูพี่แอน

dhruv – double take (Official Audio)


\”double take\” is available on all streaming platforms

dhruv on instagram: https://www.instagram.com/dhrvie/
dhruv on twitter: https://twitter.com/dhrvie

dhruv - double take (Official Audio)

เผยทริค Present Perfect ใช้ยังไง ให้ไม่งง | Eng ลั่น [by We Mahidol]


ทำไม๊ ทำไม จำได้แต่ใช้ไม่เป็น! หลายคนจำโครงสร้างประโยคของ Present Perfect Tense ได้ แต่ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ยังไง วันนี้พี่คะน้า เลยมีเทคนิคการใช้แบบเข้าใจบริบทและสถานการณ์มาแนะนำ แล้วสถาณการณ์แบบไหนที่ใช้ Present Perfect Tense ได้บ้าง ลองไปดูตัวอย่างประโยคกัน
ทุกวันอังคาร เวลา 20.00 น. ทางช่อง We Mahidol
Learn WithMe WeMahidol Mahidol Engลั่น PresentPerfect
YouTube : We Mahidol
Facebook : http://www.facebook.com/wemahidol
Instagram : https://www.instagram.com/wemahidol/
Twitter : https://twitter.com/wemahidol
มหาวิทยาลัย มหิดล Mahidol University : https://www.mahidol.ac.th/th/
Website : https://channel.mahidol.ac.th/

เผยทริค Present Perfect ใช้ยังไง ให้ไม่งง | Eng ลั่น [by We Mahidol]

Verb Tense Consistency – การเลือกใช้ tense ให้ตรงความหมาย


โดย: ครูม่อน ดร. ณัฎฐ์ภัทร์ ชาญเชาวน์กุล
เผยแพร่ครั้งแรก: เดือนพฤศจิกายน 2563
วิดีโอความยาว: 9:48 นาที
เรื่อง tense ที่ต้องคอยระวังใน writing คือต้องใช้ tense ที่สื่อความหมายถูกต้อง
และมีความต่อเนื่องในแต่ละ paragraph
หลายๆครั้งเวลาเรียนที่โรงเรียนเพื่อเตรียมสอบเรามักจะได้เรียนว่าควรจะใช้ tense เหมือนกันทั้ง paragraph แต่เมื่อเราเขียนระดับสูงขึ้นมา จะเห็นว่าเราต้องเลือก tense ที่สื่อความหมายระหว่างประโยคได้ถูก มันไม่มีกฏตายตัวค่ะ
มาดูบทเรียนและตัวอย่างประกอบกันค่ะ

สถาบันภาษาอังกฤษครูม่อน ดำเนินการโดยดร.ณัฏฐ์ภัทร์ (ครูม่อน) จบการศึกษาปริญญาเอกและโทด้านการศึกษาจาก Harvard และ UCLA
สถาบันของเรามุ่งหวังพัฒนาขีดความสามารถทางภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการเรียนหนังสือในระดับอุดมศึกษา บล็อกของเรานำเสนอความรู้และแง่คิดเกี่ยวกับภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคทางจิตวิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้ โดยเนื้อหาจะสอดแทรกข่าว และเรื่องราวความเป็นไปต่างๆเพื่อให้ทันโลก
คอร์สออนไลน์ของเราพัฒนาให้เหมาะสมกับนักเรียนไทยและนำไปใช้จริงตั้งแต่ขั้นสอบ เรียน จนถึงเขียนวิทยานิพนธ์เพื่อจบการศึกษา
เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์กับครูม่อน http://krumon.com/
Facebook https://www.facebook.com/natpatkrumon/

Verb Tense Consistency - การเลือกใช้ tense ให้ตรงความหมาย

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ tens แปลว่า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *