Skip to content
Home » [NEW] รวมศัพท์วัน เดือน ปี ภาษาอังกฤษ พร้อมวิธีใช้ | the อ่านว่า – NATAVIGUIDES

[NEW] รวมศัพท์วัน เดือน ปี ภาษาอังกฤษ พร้อมวิธีใช้ | the อ่านว่า – NATAVIGUIDES

the อ่านว่า: คุณกำลังดูกระทู้

เวลาเราเรียนภาษาใหม่ สิ่งพื้นฐานอย่างหนึ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ก็คือ การเขียนและการอ่านวันเดือนปีของภาษานั้น

ในบทความนี้ ชิววี่ได้รวบรวมคำศัพท์วัน เดือน ปี พร้อมทั้งวิธีการใช้ ให้เพื่อนๆได้เรียนรู้และเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

Table of Contents

คำศัพท์วัน 7 วัน

วันภาษาอังกฤษตัวย่อวันอาทิตย์SundaySunวันจันทร์MondayMonวันอังคารTuesdayTueวันพุธWednesdayWedวันพฤหัสบดีThursdayThuวันศุกร์FridayFriวันเสาร์SaturdaySat

คำศัพท์เดือน 12 เดือน

เดือนที่เดือนภาษาอังกฤษตัวย่อ1มกราคมJanuaryJan2กุมภาพันธ์FebruaryFeb3มีนาคมMarchMar4เมษายนAprilApr5พฤษภาคมMayMay6มิถุนายนJuneJun7กรกฎาคมJulyJul8สิงหาคมAugustAug9กันยายนSeptemberSept10ตุลาคมOctoberOct11พฤศจิกายนNovemberNov12ธันวาคมDecemberDec

การใช้ปีในภาษาอังกฤษ

เราจะใช้ปี ค.ศ. (คริสต์ศักราช) เป็นมาตรฐานสากล
ส่วนปี พ.ศ. (พุทธศักราช) จะใช้แค่ในบางประเทศ เช่น ไทย พม่า ศรีลังกา

ด้วยเหตุนี้ เวลาเราติดต่อกับชาวต่างชาติ หรือกรอกข้อมูลลงเอกสารที่เป็นสากล เราควรจะใช้ปี ค.ศ. (วิธีแปลงปี พ.ศ. ให้เป็น ค.ศ. ทำได้ด้วยการนำปี พ.ศ. มาลบ 543 เช่น ปี พ.ศ. 2563 = 2563 – 543 = ปี ค.ศ. 2020)

สำหรับวิธีอ่านปีในภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่เราจะอ่านทีละสองหลัก
1961 อ่านว่า nineteen sixty-one
2019 อ่านว่า twenty nineteen

แต่สำหรับก่อนปี 2000 ปีที่เป็นเลขกลมๆ เราจะอ่านสองหลักแรกแล้วต่อด้วย hundred
1400 อ่านว่า fourteen hundred
1900 อ่านว่า nineteen hundred

ปี 2000 เราจะอ่านเหมือนเลขปกติ
2000 อ่านว่า two thousand

ถ้าเป็นปีระหว่าง 2001 – 2010 เราจะอ่านเหมือนเลขปกติเช่นกัน
2001 อ่านว่า two thousand and one
2010 อ่านว่า two thousand and ten

ปีถัดๆมาที่อยู่ใกล้กับปี 2010 เราสามารถอ่านได้ทั้ง 2 แบบ
2012 อ่านว่า two thousand and twelve
2012 อ่านว่า twenty twelve

ปีที่ลงท้ายด้วยเลข 01 – 09 เราจะอ่าน 0 ว่า oh (โอ)
1602 อ่านว่า sixteen oh two
1906 อ่านว่า nineteen oh six

การใช้วันที่ในภาษาอังกฤษ

วันที่ในภาษาอังกฤษไม่ได้อ่านว่า one, two, three, … เหมือนจำนวนเลขทั่วๆไป แต่จะใช้ first, second, third, … เหมือนการระบุลำดับ (ordinal number)

วันที่ภาษาอังกฤษ1First2Second3Third4Fourth5Fifth6Sixth7Seventh8Eighth9Ninth10Tenth11Eleventh12Twelfth13Thirteenth14Fourteenth15Fifteenth16Sixteenth17Seventeenth18Eighteenth19Nineteenth20Twentieth21Twenty-first22Twenty-second23Twenty-third24Twenty-fourth25Twenty-fifth26Twenty-sixth27Twenty-seventh28Twenty-eighth29Twenty-ninth30Thirtieth31Thirty-first

การเขียนวัน เดือน ปี ในภาษาอังกฤษ

ถ้าเป็น American
English
เราจะใช้ month-day-year โดยใช้คอมม่าคั่นระหว่างวันที่และปี เช่น

Ann was born on April 21, 2003.
(อ่านว่า April twenty-first, two thousand and three)

Ann was born on Monday, April 21, 2003.
(อ่านว่า Monday, April twenty-first, two thousand and three)

Ann’s birthday is April 21.
(อ่านว่า April twenty-first)

เวลาเขียนวันที่ใน American English เราจะไม่เขียน st, nd, rd, th ต่อท้ายตัวเลขวันที่ (เช่น 21st, 22nd, 25th) แต่มักจะอ่านเหมือนเขียน

ถ้าเป็น British
English
เรามักจะใช้ day-month-year เช่น

Ann was born on 21 April 2003.
(อ่านว่า the twenty-first of April two-thousand and three)

Ann was born on Monday, 21 April 2003.
(อ่านว่า Monday, the twenty-first of April two-thousand and three)

Ann’s birthday is 21 April.
(อ่านว่า the twenty-first of April)

ใน British English เมื่อก่อนจะนิยมเขียน st, nd, rd, th ต่อท้ายตัวเลขวันที่ (เช่น 21st, 22nd, 25th) แต่ในระยะหลัง ความนิยมในการใช้ได้ลดลง

แม้ว่าชาว British บางคนจะยังเขียน suffix เหล่านี้ต่อท้ายตัวเลขวันที่อยู่ แต่ style guide ส่วนใหญ่ อย่างเช่น University of Oxford Style Guide, BBC News Style Guide และ The Government Digital Service Style Guide ต่างก็ระบุว่าไม่ต้องใช้แล้ว

สำหรับ British English แม้จะเขียนหรือไม่เขียน st, nd, rd, th ต่อท้ายตัวเลขวันที่ แต่เวลาอ่านเรามักจะอ่านเหมือนเขียน และเวลาอ่าน เราต้องใช้ the และ of กำกับด้วย เช่น 21 April 2003 จะอ่านว่า the twenty-first of April two thousand and three

ตัวอย่างประโยคเกี่ยวกับวัน เดือน ปี

What day is it today?
วันนี้วันอะไร
(คำตอบที่ได้อาจเป็นวันในสัปดาห์ เช่น วันจันทร์ วันอังคาร หรือวันพิเศษ อย่างวันสงกรานต์ วันคริสต์มาส ฯลฯ)

What is the date today?
วันนี้วันที่เท่าไหร่

When is your birthday?
วันเกิดของคุณคือวันไหน

When is Halloween day?
วันฮาโลวีนคือวันไหน

What month is it now?
เดือนนี้เดือนอะไร

Which month does your school begin?
โรงเรียนเปิดเทอมเดือนไหน

What year were you born?
คุณเกิดปีไหน

What year did you graduate from college?
คุณจบจากมหาวิทยาลัยในปีไหน

What year did you start working here?
คุณเริ่มทำงานที่นี่ในปีไหน

คำถามที่พบบ่อย

1. วันแรกของสัปดาห์คือวันอาทิตย์หรือวันจันทร์

คำตอบของคำถามนี้จะแตกต่างกันไป
ขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่ละประเทศ

ถ้ายึดตามหลักมาตรฐานสากล ISO
8601 วันจันทร์จะถือเป็นวันแรกของสัปดาห์
ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปและบางประเทศในเอเชียจะใช้ปฏิทินที่เริ่มด้วยวันจันทร์

แต่หลายๆประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา
ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฯลฯ จะใช้วันอาทิตย์เป็นวันแรกของสัปดาห์

สำหรับไทย ปฏิทินที่เราใช้มักจะเริ่มด้วยวันอาทิตย์ แต่ก็มีบางคนที่ถือวันจันทร์เป็นวันแรก ขึ้นอยู่กับความเห็นและความเคยชินของแต่ละคน

2. ถ้าเราเห็นตัวเลขวันที่ 4/5/2020 เราจะรู้ได้ยังไงว่าตัวเลขนี้หมายถึง วันที่ 4 เดือน 5 ปี 2020 หรือวันที่ 5 เดือน 4 ปี 2020

นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เราไม่ควรแสดงข้อมูลวันเดือนปีเป็นตัวเลขล้วน โดยเฉพาะในระดับสากล เพราะอาจก่อให้เกิดความสับสน

ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะแสดงข้อมูลตามลำดับ
เดือน-วัน-ปี แต่ประเทศอังกฤษและประเทศอื่นส่วนใหญ่จะใช้ วัน-เดือน-ปี

วิธีหนึ่งที่อาจจะช่วยให้เราแยกได้ก็คือ ให้เราสังเกตว่าผู้เขียน หรือองค์กรของผู้เขียนมาจากชาติใด

ถ้าตัวเลขนี้มาจากองค์กรในสหรัฐอเมริกา ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นวันที่ 5 เดือน 4 ปี 2020 หรือถ้ามาจากองค์กรในประเทศอังกฤษ ตัวเลขนี้ก็น่าจะหมายถึงวันที่ 4 เดือน 5 ปี 2020

สำหรับประเทศไทย เรามักจะนิยมใช้ลำดับ วัน-เดือน-ปี ในการแสดงข้อมูลวันที่

จบแล้วสำหรับการใช้วันเดือนปีในภาษาอังกฤษ ชิววี่หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆสื่อสารข้อมูลวันเดือนปีด้วยภาษาอังกฤษได้ถูกต้องมากขึ้นนะครับ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time

[NEW] อ่านระหว่างบรรทัด อ่านลายมือ อ่านใจ: ศัพท์ว่าด้วยการอ่าน | the อ่านว่า – NATAVIGUIDES

เมื่อปี ค.ศ. 1969 นักสะสมหนังสือชาวออสเตรียคนหนึ่งนามว่า ฮานส์ พี เคราส์ (Hans P. Kraus) ได้บริจาคหนังสือเล่มเก่าแก่จากคริสต์ศตวรรษที่ 15 เล่มหนึ่งให้แก่หอสมุดของมหาวิทยาลัยเยล (Yale) หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า ข้อเขียนวอยนิช (Voynich Manuscript) ซึ่งตั้งชื่อตามพ่อค้าหนังสือ วิลฟริด เอ็ม วอยนิช (Wilfrid M. Voynich) ที่เป็นคนซื้อหนังสือเล่มนี้มาในปี ค.ศ. 1912

ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ก็คือ ทุกวันนี้ยังไม่มีใครอ่านออก เพราะเขียนด้วยตัวหนังสือที่ไม่มีใครรู้จัก แม้ผู้เชี่ยวชาญด้านการถอดรหัสและแกะภาษาหลายคนจะได้ลองพยายามศึกษาแต่ก็ยังไม่มีใครไขใจความในหนังสือเล่มนี้ได้ ทำให้ยังไม่มีใครเข้าถึงเนื้อความในหนังสือที่เขียนขึ้นเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว และตราบใดที่เรายังอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่ออก ความรู้นี้ก็จะอยู่เกินเอื้อมของมนุษยชาติต่อไป

ในโลกที่การอ่านเป็นเรื่องพื้นฐานมากจนคนส่วนใหญ่มองข้าม ข้อเขียนวอยนิชนี้เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีว่าการอ่านมีความสำคัญยิ่งยวดเพียงไหน

ในโลกที่เราเห็นตัวหนังสือคุ้นตาดาษดื่นรอบตัว บางครั้งเราก็ลืมไปว่าตัวหนังสือเหล่านี้มีพลังมหัศจรรย์และเป็นพาหนะนำความคิดของอีกบุคคลหนึ่งจากอีกสถานที่และกาลเวลาหนึ่งมาสู่เรา

และคงไม่มีงานประจำปีในประเทศไทยงานไหนที่จะชวนให้เราหวนนึกถึงความมหัศจรรย์ของการอ่านได้เท่ากับงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ซึ่งกำลังจะเวียนมาบรรจบอีกรอบในสัปดาห์ที่จะถึงนี้

ดังนั้น หลังจากที่ได้เคยเขียนเกี่ยวกับที่มาของชื่อสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ และคำที่เกี่ยวกับกระดาษ ไปแล้ว ในสัปดาห์นี้ เราจะไปเจาะลึกคำง่ายๆ อย่างคำว่า read ที่แปลว่า อ่าน และสำรวจสำนวนในภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการอ่านกัน

ที่มาของคำว่า read

คำว่า read นี้มาจากคำว่า rædan ในภาษาอังกฤษเก่า มีความหมายว่า แนะนำ ชี้แนะ พิจารณา รวมไปถึงตีความสิ่งต่างๆ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ขีดเขียนเป็นตัวอักษรหรือสิ่งที่ไม่ใช่ตัวอักษร เช่น ปริศนา หรือ ความฝัน ก็ได้

คำว่า rædan นี้ไม่ได้กลายร่างมาเป็นคำว่า read คำเดียว แต่ยังมีลูกหลานคำอื่นที่แอบซ่อนอยู่ในภาษาอังกฤษอีกด้วย เช่น rede ซึ่งเป็นคำโบราณ หมายถึง คำแนะนำ คำปรึกษา รวมไปถึงชื่อคนอย่าง Conrad ซึ่งมาจาก koun แปลว่า อาจหาญ รวมกับ ræd หรือ rad แปลว่า วิจารณญาณ ความปราดเปรื่อง ที่มาจาก rædan มีความหมายรวมทำนองว่า ผู้มีความคิดความอ่านองอาจปราดเปรื่อง รวมไปถึงชื่อ Ralph ซึ่งมาจาก ræd หรือ rad รวมกับ wulf ที่แปลว่า หมาป่า อีกด้วย

คำว่า rædan ยังปรากฏในชื่อพระเจ้าแอเธลเรดที่ 2 แห่งอังกฤษ (Æthelred II) ในคริสต์ศตวรรษที่ 10-11 มาจาก æthel หมายถึง สูงส่ง รวมกับ ræd ได้ความหมายรวมว่า ผู้ที่มีความคิดสูงส่ง มีผู้แนะนำชี้ทางไปในทางที่ดี แต่เนื่องจากพระองค์ต้องขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ยังเล็ก อีกทั้งยังป้องกันการรุกรานของทัพชาวเดนไม่ได้ ชาวบ้านร้านตลาดจึงตั้งสมญานามให้ Æþelræd Unræd หรือ Ethelred, the Unready ที่น่าสนใจก็คำว่า unready นี้ไม่ได้แปลว่า ไม่พร้อม แต่มาจาก un- ที่แปลว่า ไม่ รวมกับ ræd จึงมีความหมายว่า ขาดผู้ชี้นำ โง่เขลา ถือเป็นการตั้งสมญานามตรงข้ามกับพระนามจริงที่แสบสันมาก

Read ในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน ความหมายหลักของคำว่า read ก็คือการอ่านสิ่งที่เขียนเป็นตัวหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ หนังสือพิมพ์ หรือข้อความต่างๆ เช่น Don’t believe everything you read in the papers. ก็จะหมายถึง อ่านเจออะไรในหนังสือพิมพ์ก็อย่าไปเชื่อเสียหมด หรือ Make sure you read the instructions correctly. ก็คือคำเตือนให้อ่านคำสั่งให้ถี่ถ้วนถูกต้อง

แต่ทั้งนี้ สิ่งที่ไม่ได้เป็นตัวหนังสือ แต่ต้องอาศัยการตีความหรือพินิจพิเคราะห์ เราก็สามารถใช้คำว่า read ได้เช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น สมมติเราไปชอบผู้ชายอยู่คนหนึ่ง แต่เราดูไม่ออกว่าเขาชอบเราหรือเปล่า เพราะท่าทีกำกวมเสียเหลือเกิน แบบนี้เราก็อาจจะพูดว่า I can’t read him. ก็คือ อ่านไม่ออกว่าเขาคิดหรือรู้สึกอย่างไร หรือถ้าเป็นเรื่องศาสตร์การพยากรณ์ เช่น การดูดวงเช่นดูลายมือหรือไพ่ทาโร่ต์ ก็สามารถเรียกว่า palm reading หรือ tarot card reading ได้ หรือแม้แต่เวลาที่ใครพูดหรือทำอะไรตรงใจเรามากๆ ราวกับอ่านใจเราออก ตอบแทนเราได้ตั้งแต่ก่อนที่เราจะเอ่ยปากพูด เราก็สามารถพูดว่า You read my mind. ก็คือ เหมือนกับอ่านใจฉันออกเลยนะเนี่ย ได้เช่นเดียวกัน

ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อเวลาผ่านไป คำว่า read ก็เริ่มถูกนำไปใช้ในความหมายใหม่ๆ เช่นในแวดวงแดรกควีนที่ read หมายถึง การแซวหรือแซะกัน ส่วนในวงการคอมพิวเตอร์เองก็นำคำว่า read ไปใช้ในความหมายใหม่เช่นกัน คือหมายถึง ดึงข้อมูลจากวัสดุบันทึกข้อมูล เช่น My computer can’t read DVDs. ก็คือ คอมพิวเตอร์ของเราอ่านดีวีดีไม่ได้ หรือ This is a read-only file. ก็คือ เป็นไฟล์ประเภทที่เปิดดูได้อย่างเดียว แต่แก้ไขข้อมูลข้างในไม่ได้

สำนวนที่มีคำว่า read

สำนวนนี้หากแปลตรงตัวก็จะได้ความทำนองว่า อ่านระหว่างบรรทัด แต่ความหมายจริงๆ แล้วก็คือ พินิจความหมายที่แอบแฝงอยู่ มีที่มาจากการส่งสาส์นลับในอดีต ฝ่ายที่ส่งข้อความก็จะเขียนจดหมายที่ดูแล้วเหมือนเขียนด้วยน้ำหมึกธรรมดาทั่วไป แต่ในช่องว่างระหว่างบรรทัดนั้น ผู้ส่งสาส์นก็จะใช้หมึกล่องหนเขียนข้อความลับที่ต้องการส่งถึงผู้รับ เมื่อปลายทางได้รับจดหมายและต้องการอ่านข้อความลับที่อีกฝ่ายส่งถึง ก็จะต้องอ่านข้อความที่อยู่ระหว่างบรรทัดนั่นเอง ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้ก็อย่างเช่น If you read between the lines, you can tell that their marriage is not a happy one. ก็คือ หากลองดูดีๆ แล้ว ก็จะบอกได้ว่าชีวิตสมรสของสองคนนี้ไม่ได้มีความสุขหรอก

สำนวนนี้หากแปลตรงตัวแล้วอาจจะงงหน่อย เพราะปกติแล้วห้องไม่ใช่สิ่งที่เขียนเป็นตัวหนังสือที่เราจะอ่านได้ อันที่จริงแล้ว สำนวนนี้หมายถึง ดูอารมณ์ของคนในห้องเพื่อที่จะได้ทำตัวได้ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น เราเพิ่งได้เลื่อนขั้น เลยดีใจลิงโลดมาก เที่ยวบอกเพื่อนในออฟฟิศโดยไม่ได้ดูตาม้าตาเรือว่าเพื่อนบางคนกำลังเศร้าเพราะโดนไล่ออก แบบนี้ก็อาจจะโดนคนพูดเตือนสติว่า Read the room.  ก็คือ ดูชาวบ้านชาวช่องบ้างว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหนกัน หรือหากลูกสาววางแผนบอกคนที่บ้านตัวเองเป็นเลสเบี้ยนวันนั้น แต่ไม่มั่นใจว่าคนในบ้านจะอยู่ในอารมณ์ที่พร้อมรับข่าวไหม ก็อาจจะพูดว่า I’ll read the room and see if they’re ready to hear it. เป็นต้น

แน่นอนว่าโดยปกติแล้ว เราไม่ได้อ่านคนออกง่ายอย่างหนังสือ ดังนั้น หากเราพูดว่าเราอ่านใครออกได้อย่างกับอ่านหนังสือ ก็จะหมายถึงว่า เราเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนคนนั้นได้อย่างง่ายได้ มองเห็นทะลุปรุโปร่ง เช่น I can read you like a book, so there’s no use hiding things from me. ก็จะหมายถึง ฉันอ่านเธอออกอยู่แล้ว พยายามปิดบังอะไรก็ไม่มีประโยชน์หรอก

ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราพูดว่าใครเป็น an open book ก็จะหมายถึงว่า คนคนนั้นไม่มีความลับหรือลับลมคมใน ทุกอย่างเปิดเผยชัดเจนทุกอย่าง เหมือนหนังสือที่เปิดอ้าอยู่พร้อมให้ทุกคนอ่าน เช่น I’m an open book. Ask me anything. ก็คือ ผมพร้อมบอกคุณทุกอย่าง ถามมาได้เลย

สำนวนนี้อาจจะแปลว่าให้อ่านปากจริงๆ เวลาที่ฝ่ายที่พูดเปิดปากแต่ไม่ได้ออกเสียง (คล้ายๆ เพลงของพี่โต๋ ศักดิ์สิทธิ์) แต่นอกจากนั้น ทางฝั่งอเมริกายังใช้สำนวนเพื่อเน้นย้ำสิ่งที่กำลังจะพูดด้วย ทำนองว่าให้ฝ่ายผู้ฟังตั้งใจฟังให้ดี คล้ายๆ ที่สมัยหนึ่งน้องณัชชาเชิญชวนให้คุณผู้ชมดูปาก ตัวอย่างเช่น หากเราบอกเพื่อนแล้วว่าเราจะไม่ไปงานปาร์ตี้ แต่เพื่อนก็ยังคะยั้นคะยอ เราก็อาจจะเน้นย้ำกับเพื่อนให้เด็ดขาดว่า Read my lips. I’m not going. ก็คือ อ่านปากอั๊วนะ อั๊วไม่ไป จบเนอะ

บางครั้งเราก็มีจินตนาการกว้างไกล ตีความบางอย่างไปไกลกว่าความเป็นจริงเพราะเอาความคิดหรืออคติของตัวเองเจือลงไป เช่น มารู้ทีหลังว่าเพื่อนที่ออฟฟิศไปกินข้าวกันมาแต่ไม่ได้ชวนเรา ก็คิดไปเป็นตุเป็นตะว่าเขาต้องแอบเกลียดเราแน่เลย ทั้งที่จริงๆ แล้วเพื่อนอาจแค่นึกว่าเราไม่ว่างเลยไม่ได้ชวน ในกรณีแบบนี้ เราก็อาจจะใช้สำนวน read into something ซึ่งหมายถึง คิดไปเองว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ทั้งที่จริงๆ ไม่มีอะไร เช่น You’re reading too much into it. Maybe they just thought you weren’t free.

 

บรรณานุกรม

http://www.etymonline.com/

Ammer, Christine. 2nd ed. Houghton Mifflin Harcourt: Boston, 2013.

Atherton, Mark. . John Murray Learning: London, 2019.

Ayto, John. . OUP: Oxford, 2009.

Ayto, John. . 2nd ed. A&C Black: London, 2008.

Barnhart, Robert K. . H. W. Wilson: New York, 1995.

Dargie, Richard. . Arcturus: London, 2018.

Gulland, Daphne M., and Hinds-Howell, David. . Penguin Books: London, 2002.

Hanks, Patrick., Kate Hardcastle, and Flavia Hodges. . OUP: New York, 2006.

Jenkins, Simon. . Profile Books: London, 2018.

. Pearson: Essex, 2010.

. OUP: New York, 2006.

 

Tags: , , ,

Tags:


มันแปลว่ารัก – ตรี ชัยณรงค์ กลุ่มเปิด สาวน้อยเพชรบ้านแพง


ชาติหน้าฮักอ้ายเด้อ ตรี ชัยณรงค์ กลุ่มเปิด สาวน้อยเพชรบ้านแพง

ทีมถ่าย : บ่าวภูไทใจเกินร้อยสตูดิโอ
ติดต่อ : 09593644171
Line ID : chunnetwort
Facebook : บ่าวภูไทใจเกินร้อยสตูดิโอ

สนับสนุนเราด้วยการชม เเชร์ เชียร์ เเละไม่กดข้ามโฆษณาครับผม ขอบคุณทุกกำลังใจ ท่านใดอยากลงโฆษณา ประชาสัมพันธ์ รีวิวสินค้า กับเรา โทร 0643151199
ขอบพระคุณทุกกำลังใจอีกหนึ่งช่องทางการติดตามของทีมงานสาวน้อยเพชรบ้านแพง ที่เฟสบุ๊ค ( ยมนิล โจ นามวงษา )
อย่าลืมกดติดตามช่อง \”สาวน้อยเพชรบ้านแพง\” เพื่อจะได้ไม่พลาดชมคลิปม่วนๆต่อไป
ตรีชัยณรงค์
สาวน้อยเพรชบ้านแพง
บ่าวภูไทใจเกินร้อยสตูดิโอ

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

มันแปลว่ารัก - ตรี ชัยณรงค์ กลุ่มเปิด สาวน้อยเพชรบ้านแพง

กะแล้วแต่ x อดีตรักมักสาวครู x อ้ายจนทนได้บ่ – ตรี ชัยณรงค์ กลุ่มเปิด สาวน้อยเพชรบ้านแพง


กะแล้วแต่ x อดีตรักมักสาวครู x อ้ายจนทนได้บ่ ตรี ชัยณรงค์ กลุ่มเปิด สาวน้อยเพชรบ้านแพง

ทีมถ่าย : บ่าวภูไทใจเกินร้อยสตูดิโอ
ติดต่อ : 09593644171
Line ID : chunnetwort
Facebook : บ่าวภูไทใจเกินร้อยสตูดิโอ

สนับสนุนเราด้วยการชม เเชร์ เชียร์ เเละไม่กดข้ามโฆษณาครับผม ขอบคุณทุกกำลังใจ ท่านใดอยากลงโฆษณา ประชาสัมพันธ์ รีวิวสินค้า กับเรา โทร 0643151199
ขอบพระคุณทุกกำลังใจอีกหนึ่งช่องทางการติดตามของทีมงานสาวน้อยเพชรบ้านแพง ที่เฟสบุ๊ค ( ยมนิล โจ นามวงษา )
อย่าลืมกดติดตามช่อง \”สาวน้อยเพชรบ้านแพง\” เพื่อจะได้ไม่พลาดชมคลิปม่วนๆต่อไป
ตรีชัยณรงค์
สาวน้อยเพรชบ้านแพง
บ่าวภูไทใจเกินร้อยสตูดิโอ

กะแล้วแต่ x อดีตรักมักสาวครู x อ้ายจนทนได้บ่ - ตรี ชัยณรงค์ กลุ่มเปิด สาวน้อยเพชรบ้านแพง

รักแท้แพ้ใกล้ชิด : ปาน ธนพร | Official MV


LINE MUSIC : https://goo.gl/R3sWq9
Download on iTunes : https://goo.gl/gVHjH1
Download Mp3 : http://goo.gl/VJMhQJ
Digital Download : 3390
รักแท้แพ้ใกล้ชิด : ปาน ธนพร
แล้วข่าวร้าย ก็ฟ้องได้ตำตา เหมือนเข็มมันทิ่มลงมาทั้งร่างกาย ยิ่งถามตัวเอง ว่าเป็นเพราะใคร ยิ่งเจ็บยิ่งทรมาน เพื่อนหนึ่งคน ที่รู้ใจเรื่อยมา และเขาที่คบกันมาก็เนิ่นนาน อยู่ใกล้เกินไป ก็เลยไหวหวั่น จนแอบรักกันหมดใจ เจ็บตรงนี้ที่ได้แต่ซื่อเกินไป ปวดตรงนี้ที่ได้แต่โง่งมงาย วางน้ำมันให้อยู่ใกล้ใกล้กองไฟ ไว้ใจ แต่ไม่นึกเลย ถูกเขาหักหลัง หัวใจพังยับเยิน อยากจะถามเหลือเกินทำได้ไง ยิ่งคิดยิ่งช้ำ สองคนพูดสองคำเสียใจ ถ้าเสียใจ…ทำไมถึงทำ เหมือนให้แมว คอยเฝ้าดูปลาย่าง ไม่คิดระแวดระวังเพราะเชื่อใจ เพิ่งรู้จริงจริง ว่าความชิดใกล้ มันเปลี่ยนหัวใจบางคน (ซ้ำ , ), (ซ้ำ ) ความรักแท้แท้แพ้คนใกล้ชิดกันใช่ไหม วันนี้…ฉันจะได้รู้
ติดตามข่าว ภาพประทับใจ จากศิลปิน RS ที่คุณชื่นชอบ
Fanpage : https://www.facebook.com/rsfriendspage
http://www.rsfriends.com
สมัครรับข่าวจาก youtube RSFRIENDS คลิ๊ก : http://bit.ly/subrsfriends
โตมากับอาร์เอส ปานธนพร รักแท้แพ้ใกล้ชิด Parn

รักแท้แพ้ใกล้ชิด : ปาน ธนพร | Official MV

ฝึกอ่านคำยาก ๔


ฝึกอ่านคำยาก ๔

เสื้อผ้า ภาษาอังกฤษ พร้อมคำอ่าน อ่านว่าอะไร แปลว่าอะไร


https://xn12cl9ca5a0ai1ad0bea0clb11a0e.com/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2clothes%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5/
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เสื้อผ้า clothes

เสื้อผ้า ภาษาอังกฤษ พร้อมคำอ่าน อ่านว่าอะไร แปลว่าอะไร

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆMAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ the อ่านว่า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *