Skip to content
Home » [NEW] ประวัติ Warren Buffett ตำนานนักเล่นหุ้นที่รวยที่สุดในโลก ที่ยังมีลมหายใจอยู่ | ประวัติคนรวย – NATAVIGUIDES

[NEW] ประวัติ Warren Buffett ตำนานนักเล่นหุ้นที่รวยที่สุดในโลก ที่ยังมีลมหายใจอยู่ | ประวัติคนรวย – NATAVIGUIDES

ประวัติคนรวย: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

หากกล่าวถึงบุคคลระดับตำนานในวงการตลาดหุ้นที่ยังมีลมหายใจอยู่ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Warren Buffett ที่ทั้งโลกต่างยอมรับว่า เขาคือเจ้าพ่อในตลาดหุ้นที่เน้นลงทุนแบบคุณค่า โดยเริ่มค้าหุ้นตั้งแต่อายุได้ 11 ขวบ ยันในวัย 88 ปี เขาก็ยังคงวนเวียนอยู่ในตลาดหุ้น

ซึ่งแม้ว่าเบื้องหน้าจะเห็นเขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และมองขาดในเรื่องของตลาดหุ้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้ง เพราะเขาก็เคยพลาดมาหลายต่อหลายครั้งด้วยกัน โดยสิ่งที่เป็นจุดเด่นของเขาก็คือ “เขาจะลงทุนเฉพาะธุรกิจที่มีความรู้ความเข้าใจมันเป็นอย่างดีเท่านั้น” แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะการลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีความรู้นั้น เป็นความเสี่ยงอย่างมหาศาล แต่นั่นก็ทำให้เขา พลาดการลงทุนดี ๆ ในบริษัทดี ๆ มาหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างเช่น Google, Amazon หรือแม้กระทั่งบริษัท Microsoft ที่มีเพื่อนซี้ Bill Gates เป็นเจ้าของก็ตาม

โดย Warren Buffett ยอมรับว่า เขาไม่ถนัดบริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเลย เขาก็เลยตัดสินใจไม่ได้ลงทุนในบริษัทเหล่านั้น แม้ว่าผู้ก่อตั้งจะมาหาถึงที่เลยก็ตาม

วอร์เรน เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ (Warren Edward Buffet) เกิดเมื่อ 30 สิงหาคม ปี 1930 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมือง Omaha รัฐ Nebraska โดยเขาเป็นลูกคนที่สองของครอบครัว โดยมีพี่สาวคือ Doris Buffett และน้องสาวอีกหนึ่งคนคือ Roberta Buffett Elliott ซึ่งในขณะนั้นเขาเกิดมาในครอบครัวที่เรียกได้ว่าอยู่ในชนชั้นกลาง โดยพ่อของเขาคือ Harward Buffett เป็น Broker ในตลาดหุ้น และต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของพรรคริพับลิกัน และแม่ของเขาคือ Leila Buffett เป็นแม่บ้าน

ชีวิตในวัยเด็กของวอร์เรนมักมีเรื่องราวของตัวเลขอยู่ในชีวิตประจำวันแทบจะตลอดเวลา ด้วยความที่เขาเป็นคนที่ชอบเรียนรู้โดยเฉพาะเรื่องการการค้าขายและการเก็บเงิน โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 5 ขวบ วอร์เรนก็เริ่มต้นจากการเป็นเด็กเดินขายหมากฝรั่ง, น้ำมะนาว โดยเขาเลือกที่จะขายที่หน้าบ้านของเพื่อนเนื่องจากมีคนพุกพล่านมากกว่าบริเวณหน้าบ้านของเขา เรียกได้ว่า มีหัวการค้าเรื่องการเลือกทำเลมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยทีเดียว

และเมื่อตอนเขาอายุ 6 ขวบก็เริ่มขายน้ำโค้ก ซึ่งเขาได้ซื้อในราคาส่งมาจากร้านขายของชำของคุณตาแล้วมาเร่ขายในราคาปลีก โดยได้กำไรขวดละ 5 cent นอกจากนั้น เขายังได้ขายลูกกอล์ฟมือสอง โดยศึกษาว่าลูกกอล์ฟแต่ละแบรนด์นั้นมีมูลค่าไม่เท่ากัน เขาจึงแบ่งขายตามมูลค่าของแบรนด์ เป็นอีกครั้งที่เขาแสดงให้เห็นว่าคุณค่าของสินค้าขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของแบรนด์อีกด้วย รวมไปถึงเวลาที่มหาวิทยาลัย University of Omaha มีการแข่งขันฟุตบอล เขาก็จะนำถั่วและป๊อปคอนไปขายในสนามกีฬาอีกด้วย

ในช่วงวัย 7 ขวบ เขาได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่ชื่อว่า “One Thousand Ways to Make $1000” ที่ยกตัวอย่างวิธีการทำเงินกว่าพันวิธี ทำให้เขาได้รับมุมมองการทำรายได้ด้วยวิธีการใหม่ ๆ

จนเขาอายุได้ 11 ขวบ ก็มีเงินเก็บเป็นจำนวน 120 ดอลล่าร์ฯ และเริ่มต้นเข้าสู่วงการการค้าหุ้นเป็นครั้งแรก ด้วยการร่วมลงทุนกับพี่สาวของเขา เพื่อซื้อหุ้น Cities Service โดยเขาสามารถซื้อได้ทั้งหมด 3 หุ้น ในราคา 38.25 ดอลล่าร์ฯ และหลังจากที่เขาซื้อได้ไม่นาน หุ้นก็ตกไปอยู่ที่ 27 ดอลล่าร์ฯ จนกระทั่งราคาหุ้นดีดขึ้นไปที่ 40 ดอลล่าร์ฯ เขาจึงตัดสินใจเทขายหุ้นทั้งหมดไป และหลังจากที่เขาขายหุ้นทั้งหมดไป ก็ปรากฏว่าในเวลาต่อมาไม่นาน หุ้นก็พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 202 ดอลล่าร์ฯ ต่อหุ้น ซึ่งทำให้ Warren Buffet ตกผลึกและเรียนรู้จากการซื้อหุ้นในครั้งนี้ว่า อย่าเห็นแก่กำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะถ้าหากเขาถือหุ้นไว้นานมากกว่านี้สักหน่อยเขาก็จะได้กำไรกว่า 492 ดอลลาร์ฯ แทนที่จะเป็น 5 ดอลลาร์ฯ และนอกจากนั้นถ้าหากเขาไม่มั่นใจว่าจะลงทุนแล้วมีกำไรเขาจะไม่ใช้เงินคนอื่นโดยเด็ดขาด

ตอนอายุ 12 ขวบเข้าได้เริ่มธุรกิจใหม่ที่ชื่อ Stable-Boy Selections กับเพื่อนของเขาโดยเป็นธุรกิจแนะนำเทคนิคและทิปต่าง ๆ สำหรับสนามแข่งม้าแต่ก็ต้องปิดกิจการอย่างรวดเร็วเพราะว่าพวกเขาไม่มีใบอนุญาตนั่นเอง ดังนั้นในช่วงนี้เขาจึงหันไปช่วยคุณปู่ของเขาขายของชำที่ร้าน Buffet & Son ทุก ๆ วันหยุดสุดสัปดาห์

ตอนอายุ 13 ขวบ เขาก็เริ่มหาเงินด้วยวิธีการส่งหนังสือพิมพ์ของ Washington Post โดยเขาได้ศึกษาเส้นทางการส่งหนังสือพิมพ์จากคู่แข่งโดยตรงอย่าง Times-Herald และใช้เส้นทางเดียวกันกับคู่แข่ง และเขาก็พ่วงการขายนิตยสารเพิ่มเติมกับลูกค้าที่รับหนังสือพิมพ์อีกด้วย ทำให้ในช่วงปีนี้ เขามีรายได้เฉลี่ยสัปดาห์ละ 175 ดอลล่าร์ฯ ซึ่งมีรายได้มากกว่าคุณครูประจำชั้นของเขาเสียอีก

ตอนอายุได้ 14 ขวบ เขาก็ตัดสินใจนำเงินเก็บที่ได้จากการขายหนังสือพิมพ์จำนวน 1,200 เหรียญฯ โดยร่วมลงทุนกับพ่อของเขา เพื่อซื้อที่ดินขนาด 40 เอเคอร์ ที่ Nebraska farmland และจ้างชาวสวนชาวไร่มาทำการเกษตร และนอกจากนั้น เขาก็ยังได้เริ่มธุรกิจใหม่ ๆ เข้ามาอีก ไม่ว่าจะเป็น การขายสแตมป์สำหรับนักสะสม, บริการล้างรถ(เปิดได้เพียงแป๊บเดียวก็ปิดตัวลง) และเป็นแคดดี้บริการแบกถุงกอล์ฟ

ในช่วงปีนี้นี่เอง เขาได้เริ่มต้นธุรกิจใหม่ที่ทำรายได้ให้เขาเป็นกอบเป็นกำก็คือ ธุรกิจตู้หยอดเหรียญ โดยเขาให้ติดต่อขอซื้อตู้เกมพินบอลแบบหยอดเหรียญมือสองมาในราคา 25 ดอลล่าร์ แล้วติดต่อร้านตัดผมในละแวกนั้น เพื่อขอพื้นที่วางตู้พินบอล โดยมีข้อตกลงว่าจะแบ่งกำไร 50/50 ให้กับร้านตัดผม และก่อนที่เขาจะเรียนจบระดับชั้นมัธยม เขาก็ได้ขายกิจการไปในราคา 1,200 ดอลล่าร์ฯ

และในระหว่างที่เขาว่างจากการเรียนและงานพิเศษ เขามักจะแว่บไปที่สนามม้าเพื่อเดิมพัน และแทนที่เขาจะใช้สถิติจากการแข่งขันที่ผ่าน ๆ มา แต่หลายต่อหลายครั้งเขากลับใช้อารมณ์ความชอบส่วนตัวในการแทงม้า ทำให้เขาสูญเสียเงินไปเฉลี่ยวันละ 175 ดอลล่าร์ฯ ซึ่งมากกว่ากำไรทั้งสัปดาห์ที่เขาทำได้จากการส่งหนังสือพิมพ์ซะอีก

ชีวิตในช่วงมัธยมของ Warren Buffett นั้น เขาสามารถทำรายได้กว่า 5,000 ดอลล่าร์ฯ หรือถ้าหากตีเป็นค่าเงินในปัจจุบัน ก็จะมีมูลค่ากว่า 55,000 ดอลล่าร์ หรือราว ๆ 1.7 ล้านบาทเลยทีเดียว

หลังจากจบชั้นมัธยม วอร์เรนก็ไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ University of Nebraska ในสาขาบริหารธุรกิจ ก่อนจะมาศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ Columbia Business School ในสาขาเศรษฐศาสตร์ ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้เขามีโอกาสที่เกือบจะได้เรียนที่ Harvard Business School อยู่แล้ว แต่ก็ดันไปสอบตกในรอบสัมภาษณ์

โดยในช่วงของการศึกษาระดับปริญญาโทที่ Columbia Business School นั้นวอร์เรน ก็ได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของปรัชญาในด้านการลงทุน โดยได้มีโอกาสอ่านหนังสือ “The Inteligent Investor” ที่เขียนโดย Benjamin Graham และเขาก็ได้นำเอาปรัชญาการลงทุนของ Benjamin Graham ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขามาประยุกต์เข้าด้วยกันจนเป็นสูตรสำเร็จในการลงทุนของตัวเองจนถึงปัจจุบัน โดย Warren ได้บอกเอาไว้ว่า นี่เป็นหนังสือที่เขียนได้ดีที่สุดเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องของการลงทุนตั้งแต่ที่เขาได้อ่านมาเลยทีเดียว และยกย่องให้ Benjamin Graham เป็นไอดอลที่มีอิทธิพลต่อเขามากเป็นอันดับสองรองจากพ่อ

และเมื่อเขาเรียนจบในช่วงปี 1951 ถึง 1954 วอร์เรนก็ได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยการเป็น พนักงานขายด้านการลงทุนที่บริษัท Buffett-Falk & Co. ซึ่งเป็นบริษัทของคุณพ่อของเขา และจากนั้นก็มาในปี 1954 ถึง 1956 เขาก็ได้เข้าทำงานเป็นนักวิเคราะห์หุ้นที่บริษัท Graham-Newman Corp. กับ Benjamin Graham ซึ่งในตอนแรกสุด Warren ถูกปฏิเสธ เนื่องจาก Benjamin ต้องการเว้นตำแหน่งงานให้กับชาวยิวที่ในยุคนั้นยังหางานได้ค่อนข้างยาก แต่ในท้ายที่สุดก็ต้องยอมให้กับความสามารถที่เขามีอยู่ และได้ร่วมงานกันเป็นเวลาประมาณ 2 ปี โดยวอร์เรนได้รับค่าตอบแทนประมาณ $12,000 ต่อเดือน(หรือเทียบเท่ากับ $109,000 ราว ๆ 3.3 ล้านบาท) เป็นช่วงเวลา 5 ปี ที่ Warren ได้ทำงานเกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์แบบเต็ม ๆ

ซึ่งทำให้เขามีเงินเก็บประมาณ $174,000(หรือเทียบเท่ากับ 1.57 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 50 ล้านบาท) และเดินทางกลับมาตั้งรกรากที่บ้านเกิดที่ Omaha แล้วซื้อบ้านหลังหนึ่งเพื่ออยู่อาศัยในราคา $31,500 (ซึ่งในปัจจุบัน ราคาที่ดินแถบนั้น ก็ได้พุ่งขึ้นเป็นอย่างมาก โดยถ้าหากคุณต้องการที่จะเป็นเพื่อนบ้านของเขาแล้วล่ะก็ คุณจะต้องมีเงินอย่างน้อย 2.15 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 70 ล้านบาท ถึงจะพอซื้อที่ทางแถวนั้นได้)

และในปี 1956 เขาก็ได้ก่อตั้งบริษัทของตนเองโดยใช้ชื่อว่า Buffett Partnership Ltd.  ซึ่งมีหุ้นส่วนด้วยกัน 7 คน คือ คุณแม่ของเขา, พี่สาว, คุณน้า, พ่อตา, พี่เขย, เพื่อนร่วมห้องสมัยเรียน และนักกฎหมาย โดยได้รวบรวมเงินทุนเป็นจำนวน $105,100 ซึ่ง Warren ไม่ขอรับเงินเดือนในการจัดการ แต่ขอรับเป็นส่วนแบ่ง จำนวน 25% จากผลกำไรแทน และหากมีการขาดทุน เขาก็พร้อมที่จะรับผิดชอบที่จะออกค่าใช้จ่ายในส่วนนั้นด้วยตนเองอีกด้วย

จนกระทั่งในปี 1962 Warren Buffett ก็ได้กลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน เพราะเดือนมกราคม ปี 1962 Buffett Partnership ก็ได้เติบโตและตัวบริษัทมีมูลค่ามากกว่า 7 ล้านเหรียญฯ ซึ่งทำให้หุ้นส่วนที่เขาถืออยู่นั้นมีมูลค่าเกินกว่า 1 ล้านเหรียญฯ ทั้งหมดนี้เกิดจากการเริ่มต้นด้วยเงินทุนเพียง $100,000 นิด ๆ เท่านั้น

และในระหว่างที่ Buffett Partnership ดำเนินกิจการไปได้ด้วยดี Warren Buffett ก็ได้เริ่มลงทุนโดยการซื้อหุ้นในบริษัท Berkshire Hathaway ที่ ณ ตอนนั้นเขาได้วิเคราะห์แล้วว่าราคาหุ้นค่อนข้างต่ำกว่าตัวเลขที่วิเคราะห์ โดยเป็นการซื้อแบบสะสมหุ้น เพื่อหวังว่าผู้บริหารจะซื้อหุ้นคืนในราคาที่สูงขึ้น แต่แล้วผู้บริหารกลับต้องการซื้อหุ้นคืนในราคาที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น นั่นทำให้วอร์เรนไม่พอใจเป็นอย่างมาก ในปี 1970 เขาจึงตัดสินใจซื้อหุ้นเพิ่มจนกลายเป็นประธานและซีอีโอของบริษัทซะเอง แล้วไล่ทีมบริหารชุดเก่าออกทั้งหมด

และ Berkshire Hathaway ภายใต้การดูแลกิจการของวอร์เรน ซึ่งเขาได้ใช้บริษัทนี้ในการเป็นพาหนะไปสู่ความมั่งคั่ง ด้วยการขายธุรกิจสิ่งทอ แล้วเปลี่ยนบริษัทให้กลายเป็น Holding Company โดยนำเงินที่ขายได้ไปเข้าถือหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ The Washington Post, บริษัทประกัน GEICO,  Exxon ซึ่งเป็นธุรกิจน้ำมัน และเมื่อปี 1988 ก็ได้ลงทุนในบริษัท Coca-Cola มากจนได้เป็นคณะกรรมการของบริษัท ซึ่งจากแรกสุดที่เขาเริ่มซื้อหุ้น Berkshire Hathaway ที่ราคา 7.60 ดอลล่าร์ฯ ต่อหุ้น จน ณ ปัจจุบันในปี 2018 กลายเป็นบริษัทที่มีราคาหุ้นสูงที่สุดในอเมริกา โดยราคาหุ้นสูงสุดที่ว่านั้นอยู่ที่ $300,000 หรือราว ๆ หุ้นละ 9 ล้านบาทเลยทีเดียว

และในช่วงปี 1990 บริษัท Berkshire Hathaway ก็ได้ขายหุ้นตัวท็อป ๆ บางส่วน จึงส่งผลให้ Warren Buffett กลายเป็นเศรษฐีพันล้าน โดยเมื่อปี 2008 วอร์เรน ก็ได้กลายเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก และติด Top 5 ของมหาเศรษฐีมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปีด้วยกัน

แต่ก็ใช่ว่า ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยความราบรื่น เพราะส่วนใหญ่ที่เรามองเห็นเบื้องหน้า คือ Warren Buffet นั้น เป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากมายมหาศาล แต่ในหลาย ๆ ครั้ง เขาก็มักจะออกมายอมรับว่า มีการลงทุนที่ผิดพลาดอยู่มากมาย และแต่ละครั้งก็ทำให้สูญเสียเงินมากกว่าพันล้าน(ดอลล่าร์)ซะอีก ยกตัวอย่างเช่น

แถมในปี 2012 เขาก็ตรวจพบว่า ได้เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่โชคยังดีที่เขาได้รับการรักษาและหายขาดจากโรคนี้ได้ในที่สุด

และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ วอร์เรน กลายเป็นที่ยอมรับของนักลงทุนก็คือการที่เขาได้บริจาคหุ้น บริษัท Berkshire Hathaway ของตัวเองเป็นจำนวน 185 ล้านหุ้น โดยหากตีมูลค่าหุ้น ณ ขณะนั้น ก็เป็นมูลค่าสูงถึง 28.3 พันล้านเหรียญฯ หรือเกือบ ๆ 9 แสนล้านบาท เพื่อเข้าการกุศล Bill and Melinda Gates Foundation ซึ่งมี Bill Gates ผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft ซึ่งถือว่าเป็นการบริจาคที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้

นอกจากความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของวอร์เรนในเรื่องการลงทุนแล้ว ในด้านสังคมนั้นเขาก็เป็นที่นับถือและเคารพในกลุ่ม CEO ที่มีชื่อเสียงมากมาย โดยหนึ่งในนั้นก็คือ บิลล์ เกต ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ที่ให้ความเคารพวอร์เรนเสมือนพ่อคนหนึ่ง และบิลล์ เกต ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ที่คอยลับสมองให้กับวอร์เรน เพราะการที่ทั้งสองคนมักจะแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวคิดในด้านการบริหารงานไปจนถึงหนังสือที่อ่าน ซึ่งล้วนแต่ทำให้ได้ความรู้ในคนละมุมมองด้วย โดยสิ่งสำคัญที่ทำให้วอร์เรนเป็นผู้รอบรู้และบริหารจัดการในแต่ละเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยมก็คือ เขาใช้เวลากว่า 80% ในแต่ละวันไปกับการอ่านหนังสือและปฏิบัติแบบนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก นั่นจึงไม่แปลกเลยว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จได้อย่างมากมายถึงเพียงนี้

สิ่งหนึ่งที่ทำให้วอร์เรน บัฟเฟต์กลายมาเป็นสุดยอดนักลงทุนนั้นไม่ได้มีเพียงเรื่องของการอ่านนักสือและการคิดวิเคราะห์เพียงอย่างเดียว แต่มาจากความมุ่งมั่นและตั้งใจในการทำงานเก็บเงินโดยไม่เกี่ยงว่างานที่ทำจะต้องเหนื่อยมากน้อยเพียงใด ซึ่งนั้นเป็นตัวอย่างที่เราควรนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันทั้งเรื่องของการทำงานหรือเรื่องความอดทนต่อความเหน็ดเหนื่อย ที่สำคัญคือต้องไม่ลืมที่จะแย่งเวลาในการเรียนรู้เติมเต็มสิ่งใหม่ ๆ ที่ช่วยสร้างความรู้และเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับตัวเองกันด้วย

เฉกเช่นเดียวกับชายวัย 87 ปี ผู้นี้ได้ทำตามคำกล่าวของเขาที่ว่า

“The first rule is not to lose. The second rule is not to forget the first rule”

หมายถึง “กฎข้อแรกคือ อย่ายอมแพ้ กฎข้อที่สองคือ อย่าลืมกฎข้อแรก”

– Warren Buffett –

[Update] 15 อดีตคนจน พลิกชีวิตเป็นเศรษฐี เพราะไม่เชื่อว่าตัวเองต้องจนไปตลอดชีวิต | ประวัติคนรวย – NATAVIGUIDES

15 อดีตคนจน พลิกชีวิตเป็นเศรษฐี เพราะไม่เชื่อว่าตัวเองต้องจนไปตลอดชีวิต

เรื่องราวของคนที่สร้างเนื้อสร้างตัวจากคนที่ลำบากยากจน สู่การเป็นเศรษฐีล้วนสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้เสมอ เพราะเหมือนเป็นการย้ำว่า

ทุกคนสามารถพลิกชีวิตจากคนที่ลำบากยากเข็ญมาเป็นคนที่มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยได้

ถึงแม้จะเกิดมายากจน แต่ไม่จำเป็นจะต้องจนไปตลอดชีวิต เหมือนอย่างมหาเศรษฐีอย่าง บิล เกตส์ กล่าวไว้ว่า

“คุณไม่ผิดที่เกิดมายากจน แต่ผิดถ้าตายอย่างยากจน”

ผมจึงขอหยิบยกเรื่องราวของบุคคลที่พลิกชีวิตจากคนธรรมดากลายเป็นคนที่ไม่ธรรมดามาให้อ่าน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้สู้ต่อไปกันครับ


1. เออร์ซูล่า เบิร์นส์ ซีอีโอของชีวิต

เธอโตขึ้นในย่านยากจน และเขตอันธพาลแถบแมนฮัตตัน มีชีวิตในวัยเด็กที่ค่อนข้างลำบาก คุณแม่ของเธอต้องพยายามหาเลี้ยงชีพ เพื่อส่งเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย

ท้ายที่สุดเมื่อจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เธอได้เข้าทำงานที่บริษัทซีรอกซ์ในตำแหน่งพนักงานฝึกหัด จนได้กลายมาเป็นซีอีโอผิวสีคนแรกของบริษัทซีรอกซ์ ถือเป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกที่ได้บริหารจัดการบริษัที่ติดอันฟอร์บส์ 500 คนแรกอีกด้วย

2. ลีกาชิง นักธุรกิจตัวจริงที่โลกต้องนับถือ

ครอบครัวของลีกาชิงอพยพจากจีนมายังฮ่องกงในปี 1940 พ่อของเขาตายตั้งแต่เขาอายุเพียง 15 ปี ทำให้เขาต้องลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยทำงานหาเลี้ยงครอบครัว

ในปี 1950 ลีกาชิงเริ่มทำธุรกิจโรงงานพลาสติก และขยับขยายกลายเป็นโรงงานดอกไม้พลาสติกเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ

ลีกาชิงเริ่มหันมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และปัจจุบันเขามีธุรกิจที่ครอบคลุมหลากหลาย อาทิ โทรคมนาคม การขนส่ง อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เขากลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยติดอันดับโลก จากเด็กที่ไม่มีต้นทุนชีวิตอะไรเลย

3. เคอร์คอเรียน สองมือพลิกชีวิตสู่เจ้าของโรงแรมยักษ์ใหญ่

เคอร์คอเรียนต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่เกรด 8 เพื่อมาเป็นนักมวยอาชีพช่วยเหลือครอบครัวหารายได้ ในช่วงที่ครอบครัวของเขาต้องประสบปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

ต่อจากนั้นเขาได้ผันตัวรับใช้ชาติ กลายมาเป็นนักบินในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยทำหน้าที่ขนส่งยุทโธปกรณ์บนเส้นทางเหนือทะเลแอตแลนติก ที่จะมีเครื่องบินตกคิดเป็นอัตราส่วน 1 ใน 4 เรียกได้ว่าเสี่ยงตายอย่างยิ่ง

จากรายได้ที่เขาพยายามเก็บสะสม ท้ายที่สุดก็ได้มาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ย่านลาสเวกัส โดยทุ่มซื้อโรงแรมเดอะ ฟลาแมงโก้ และสร้างเดอะ อินเตอร์เนชั่นแนล และเอ็มจีเอ็ม แกรนด์ขึ้นมา ปัจจุบันเขามีทรัพย์สินกว่า 16 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ


4. แซม วอลตัน เด็กส่งหนังสือพิมพ์สู่เจ้าของธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่

แซม วอลตันเกิดในครอบครัวที่ยากลำบาก เขาต้องช่วยครอบครัวรีดนมวัว และส่งหนังสือพิมพ์จนกระทั่งวัย 26 ปี เขาเริ่มทำธุรกิจร้านขายของด้วยเงินตั้งต้น 25,000 เหรียญ โดยหยิบยืม และกู้เงินมา และขยับขยายไปสู่ร้านวอลมาร์ทที่มีสาขามากมายทั่วสหรัฐ ฯ เฉกเช่นทุกวันนี้

แซม วอลตันเสียชีวิตในปี 1992 ทิ้งกิจการให้ไว้ภรรยา และลูก ๆ บริหารจัดการสานความฝันของเขาต่อไป

5. สตีฟ จ็อบส์ ชายผู้พลิกชีวิตคนทั้งโลกด้วยเทคโนโลยี

สตีฟ จ็อบส์ เกิดเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่ต้องการ ละทิ้งให้ครอบครัวอื่นรับเลี้ยง มีวัยเด็กที่ไม่ถือว่ายากจนมาก แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบาย

เขาเลิกเรียนมหาวิทยาลัยกลางคัน เพราะไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองต้องเรียน เลือกเข้าเรียนวิชาที่ตัวเองชอบเท่านั้น อีกทั้งครอบครัวบุญธรรมยังมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการเรียนได้ตลอดรอดฝั่ง อนาคตด้านการศึกษากระท่อนกระแท่น

เมื่อโตขึ้นสู่วัยหนุ่มเขาออกแสวงหาความหมายของชีวิต เดินทางไปยังประเทศอินเดีย ใช้ชีวิตแบบฮิปปี้ รักอิสระ ไม่อาบน้ำ ไม่ใส่รองเท้า เป็นคนที่แปลกแยกออกจากสังคม

มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต เขาร่วมเปิดกิจการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเล็กๆในโรงรถกับเพื่อนสนิท เติบโตต่อขยายจนกลายมาเป็นบริษัท แอปเปิ้ล โดยเขาดำรงตำแหน่งเป็นซีอีโอของบริษัท ขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแต่บริษัทก็ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่

เขาต้องถูกไล่ออกจากบริษัทของตนเอง โดยคนที่เขาเลือกมาช่วยบริหารงาน แต่ก็ได้กลับมาบริหารแอปเปิ้ลอีกครั้งในช่วงเวลาต่อมา และนำพาบริษัทพลิกจากช่วงตกต่ำขึ้นทะยานสู่จุดสูงสุด พร้อมด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างไอโฟน ทำให้ตัวเขามีสินทรัพย์มหาศาลในที่สุด

อย่างไรก็ดีชีวิตคนเรามักไม่แน่นอน เขาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง ทิ้งแอปเปิ้ลให้กับผู้บริหารคนใหม่อย่าง ทิม คุ๊ก แต่ชื่อของเขาจะเป็นที่จดจำตลดไปอย่างแน่นอน


6. จิม แคร์รี่ ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตสร้างเสียงหัวเราะจนร่ำรวย

หนุ่มชาวแคนาดาเกิดในครอบครัวฐานะปานกลาง แต่โชคชะตากลับพลิกผันเมื่อพ่อของเขาต้องตกงาน ทำให้เขาต้องทำงานช่วยครอบครัวหาเลี้ยงชีพในโรงงานวันละหลายชั่วโมง ในขณะที่เรียนอยู่เพียงชั้นมัธยม จนท้ายที่สุดต้องเลิกเรียนกลางคัน

เขาเริ่มต้นทำสิ่งที่รักด้วยการพูดเดี่ยวไมโครโฟน จนเริ่มมามีชื่อเสียงมากขึ้น จากการได้แสดงภาพยนตร์ “Dume and Dumber”

ครั้งหนึ่งตอนที่เขายังไม่ค่อยมีเงิน เขาเคยเขียนเช็คให้ตัวเองเป็นค่าตัวสำหรับงานแสดง และเก็บเอาไว้ดูอยู่เสมอ จนกระทั่งวันนึงเขาได้รับค่าจ้างเป็นมูลค่านั้นจริงๆ

ทำให้จิม แคร์รี่ กลายเป็นตัวอย่างหนึ่งของกฎ “แรงดึงดูด” ที่มักจะถูกล่าวถึงอยู่เสมอ ปัจจุบันเขามีสินทรัพย์ประมาณ 120 ล้านเหรียญสหรัฐฯ


7. ริชาร์ด แบรนสัน จากเด็กที่มีปัญหาการเรียนรู้สู่เจ้าของธุรกิจพันล้าน

เกิดในครอบครัวนักกฎหมายย่านลอนดอน เขามีปัญหาด้านการเรียนเพราะโรคดิสเล็กเซีย (โรคความบกพร่องในการอ่านเขียน) แต่เขาไม่เคยยอมให้สิ่งเหล่านี้มาเป็นอุปสรรคในชีวิต

ริชาร์ด แบรนสันฉายแววนักธุรกิจตั้งแต่วัยเด็ก โดยเริ่มต้นทำธุรกิจค้าขายต้นคริสต์มาสต์ และเป็นเจ้าของธุรกิจขายแผ่นเสียงทางไปรษณีย์ในวัยเพียงแค่ 16 ปี

เขาขยายต่อยอดมาเปิดร้านจำหน่ายแผ่นเสียงชื่อว่า “Virgin Records” โดยขยายสาขาไปทั่วประเทศอังกฤษ

หลังจากนั้นเขาก็เริ่มทำธุรกิจสายการบิน โดยเปิดสายการบินเวอร์จิ้น แอตแลนติก ตามด้วยหลากหลายธุรกิจ อาทิ น้ำดื่ม เกมส์ โทรศัพท์มือถือ

โดยส่วนตัวเขาเป็นคนชอบผจญภัย และรักการเรียนรู้อยู่เสมอ ทำให้เขาสามารถนำมาต่อยอดทางธุรกิจได้ และกล้าที่จะเสี่ยง

ปัจจุบันเขาร่ำรวยติดอันดับโลก และเป็นบุคคลตัวอย่างที่ใครก็อยากเป็นเหมือนอย่างเขา


8. โรมัน อบราโมวิช จากเด็กกำพร้าสู่มหาเศรษฐี

เด็กหนุ่มกำพร้าชาวรัสเซียเติบโตขึ้นด้วยการเลี้ยงดูของคุณลุง และคุณยาย มีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก

เขาเลิกเรียนกลางคันเพื่อทำธุรกิจขายเป็ดพลาสติกที่เริ่มต้นในอพาร์ทเมนต์ของเขาในกรุงมอสโก ชะตาชีวิตพลิกผันเมื่อเขาจับธุรกิจค้าน้ำมันในบริษัทซิบเนฟท์ โดยเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จากความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลรัสเซีย

ในช่วงปี 90 เขาได้ขยายต่อยอดธุรกิจโดยเข้าร่วมทำธุรกิจกับสายการบินที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซีย ชื่อบริษัทแอโรฟลอต และตามด้วยธุรกิจอลูมิเนีย บริษัทรูซัล

หลังจากนั้นเขาได้สร้างความฮือฮาด้วยการเข้าเทคโอเวอร์สโมสรฟุตบอลชั้นนำของอังกฤษอย่างเชลซี และนำพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษหลายครั้ง

ในปี 2006 จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ เขาร่ำรวยเป็นอันดับ 1 ของรัสเซีย และเป็นอันดับ 1 ของอังกฤษ รวมถึงอันดับ 11 ของโลกด้วย

9. โอปราห์ วินฟรีย์ เด็กหนีออกจากบ้านสู่เจ้าแม่วงการโทรทัศน์

ผู้หญิงคนนี้ใครบ้างจะไม่รู้จัก ปัจจุบันเธอมีรายการเป็นของตัวเอง และมีรายได้มหาศาล แต่ใครจะรู้ว่าเธอเคยใส่ชุดที่ทำจากกระสอบมันฝรั่ง เพราะครอบครัวมีฐานะยากจนอย่างมาก

เธอถูกข่มขืนตอนอายุ 9 ปี และเคยหนีออกจากบ้านในวัยเพียงแค่ 13 ปี อีกทั้งเป็นคุณแม่ยังเด็กด้วยอายุเพียงแค่ 14 ปี และเคราะห์ยังซ้ำอีกต้องมาเสียลูกไปตั้งแต่ยังวัยเยาว์

ชีวิตเหมือนจะดีขึ้นเธอได้กลายมาเป็นนักจัดรายการข่าวผิวสีคนแรกในวัยเพียง 20 ปี อย่างไรก็ดีอีกไม่นานก็ถูกไล่ออกอีก

ท้ายที่สุดความพยายามก็สำเร็จ เธอพลิกรายการ “เอเอ็ม ชิคาโก้” ที่มีเรตติ้งต่ำสุดให้กลายมาเป็นรายการที่มีเรตติ้งสูง และเปลี่ยนชื่อมาเป็น “เดอะ โอปราห์ วินฟรีย์ โชว์” รายการที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้

ปัจจุบันเธอกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของโลก และมีสินทรัพย์มากมายมหาศาล

10. แอนดรูว์ คาร์เนกี้ เด็กโรงงานฝ้ายสู่เจ้าของอาณาจักรเหล็กกล้า

ชายคนนี้คือคนที่แนะนำให้นโปเลียน ฮิลล์ รวบรวมข้อมูลจากคนที่ประสบความสำเร็จมาเขียนเป็นหนังสือ “Laws Of Success” และ “Think And Grow Rich”

ในวัยเด็กเขาต้องทำงานในโรงงานฝ้ายวันละ 12 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์ เพื่อพยายามทำงานเก็บเงิน และลงทุนในกิจการของตัวเอง

จนท้ายที่สุดมาประสบความสำเร็จกับธุรกิจเหล็กกล้า กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของโลก


11. คริส การ์ดเนอร์ จากคนไร้บ้านสู่เศรษฐีผู้มีความสุข

ตัวละครเอกในเรื่อง “The Pursuit Of Happyness”

เขาโตขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของตนเอง ใช้ชีวิตขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ ต้องหาเลี้ยงครอบครัวอย่างยากลำบาก อาศัยห้องน้ำเป็นที่ซุกหัวนอน

จนได้มาทำงานเป็นนักค้าหุ้นในวอลสตรีท ขยายต่อยอดจนมีกิจการเป็นของตนเอง และร่ำรวยในที่สุด

12. เจเค โรลลิ่งส์ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเสกชีวิตสู่ความสำเร็จด้วยเวทมนตร์

เธอมีชีวิตที่ยากลำบากมาโดยตลอด ต้องหย่ากับสามี และกลายมาเป็นคู่แม่เลี้ยงเดี่ยว มีช่วงชีวิตที่เป็นโรคซึมเศร้า

หลายต่อหลายครั้งที่หนังสือที่กลายมาเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเธออย่าง “แฮรี่ พอตเตอร์”ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดีจากสำนักพิมพ์ โดยถูกให้ความเห็นว่าใครจะมาสนใจเรื่องราวของพ่อมด หรือเวทมนตร์

ปัจจุบันเธอมีสินทรัพย์กว่า 1พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มีชีวิตที่สบายแบบไม่ต้องทำงานอีกเลย

13. อิงวาร์ คัมพราด เด็กฟาร์มสู่อาณาจักรพันล้าน

เจ้าของกิจการเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่ชาวสวีเดน เกิดในฟาร์มเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของสวีเดน รักในการทำธุรกิจตั้งแต่พอจำความได้

เริ่มขายสินค้าชิ้นแรกคือไม้ขีดไฟ ขยายต่อมาเป็นร้านขายของชำ โดยขายสินค้าทุกอย่างที่น่าจะขายได้ในราคาต่ำกว่าท้องตลาด ก่อนจะพลิกผันสินค้าเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกใจคนทั้งโลก

ปัจจุบันอิเกียขยายไปกว่าค่อนโลก และทำให้เขามีรายได้มหาศาล แต่กระนั้นก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มัธยัสถ์ และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเหมือนอย่างเคย

14. ลีโอนาร์โด้ เดล เวคคิโอ้ เด็กกำพร้าพลิกชีวิตด้วยแว่นตา

แม่ของเขาส่งให้ไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เพราะไม่มีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงดูลูกทั้งหมด 5 คนได้

เมื่อโตขึ้นเขาต้องทำงานในโรงงานผลิตแว่นตา และต้องเสียนิ้วมือไปจากอุบัติเหตุ

เขาเปิดกิจการภายใต้ชื่อ ลูซอตติก้า ในวัยเพียงแค่ 23 ปี และกลายเป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นผู้ผลิตแว่นตาแบรนด์ดังอย่าง เรย์แบน และโอ้คเลย์

ปัจจุบันเขามีสินทรัพย์ร่ำรวยเป็นอันดับ 2 ของประเทศอิตาลี


15. โฮเวิร์ด ชูลส์ เด็กยากไร้ สู่เจ้าของร้านกาแฟที่คนกินเยอะที่สุดในโลก

เกิดในครอบครัวที่ยากจนในเมืองนิวยอร์ค ทำให้เขาพยายามที่จะหนีออกจากสภาพแวดล้อมที่ลำบากด้วยการหันมาเอาดีด้านกีฬาอเมริกันฟุตบอล จนในที่สุดได้ทุนนักกีฬาจากมหาวิทยาลัยนอร์ธ มิชิแกน และจบการศึกษาด้านการสื่อสาร

วันหนึ่งขณะที่กำลังสร้างตัวจากอาชีพมนุษย์เงินเดือน ในบริษัทซีรอกซ์ ก็ได้พบเจอร้านกาแฟเล็กๆชื่อสตาร์บัคส์ที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหล

ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากซีรอกซ์มาลงทุนอย่างเต็มตัว และกลายเป็นซีอีโอของสตาร์บัคส์ในที่สุด

ปัจจุบันเขามีสินทรัพย์กว่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

เห็นไหมว่าคนรวยระดับโลกต่างก็ลำบาก ชีวิตยากไร้ ไม่ได้มีต้นทุนชีวิตมากมายและเหลือเฝือ อย่างที่ใคร ๆ เข้าใจ ต่างคนก็มีปัญหา เจอมรสุมชีวิต บ้านแตก โดนข่มขืน โดนดูถูกเหยียดหยาม สารพัดเรื่องสุดดราม่ายิ่งกว่าละครซะอีก แต่พวกเขาเหล่านี้ยังประสบความสำเร็จได้ด้วยการไม่ยอมแพ้

และคุณไม่จำเป็นต้องมีชีวิตรันทดขนาดนั้น หรือต้องทำชีวิตให้ลำบากเพื่อมีแรงฮึดกลับมาประสบความสำเร็จ

หากชีวิตคุณดีอยู่แล้ว หรือยังไม่ดีเท่าไหร่ เก็บแรงบันดาลเหล่านี้เอาไว้สอนใจตัวเองว่า บางคนลำบากกว่าเราตอนนี้อีก เขายังสำเร็จได้ แล้วทำไมเราจะไม่สำเร็จอย่างคนอื่นเขาบ้างไม่ได้

Credit: http://www.ryounoi100lan.com/?p=219

Share this

Related Posts

เรื่องราวของคนที่สร้างเนื้อสร้างตัวจากคนที่ลำบากยากจน สู่การเป็นเศรษฐีล้วนสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้เสมอ เพราะเหมือนเป็นการย้ำว่าทุกคนสามารถพลิกชีวิตจากคนที่ลำบากยากเข็ญมาเป็นคนที่มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยได้ถึงแม้จะเกิดมายากจน แต่ไม่จำเป็นจะต้องจนไปตลอดชีวิต เหมือนอย่างมหาเศรษฐีอย่าง บิล เกตส์ กล่าวไว้ว่าผมจึงขอหยิบยกเรื่องราวของบุคคลที่พลิกชีวิตจากคนธรรมดากลายเป็นคนที่ไม่ธรรมดามาให้อ่าน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้สู้ต่อไปกันครับเธอโตขึ้นในย่านยากจน และเขตอันธพาลแถบแมนฮัตตัน มีชีวิตในวัยเด็กที่ค่อนข้างลำบาก คุณแม่ของเธอต้องพยายามหาเลี้ยงชีพ เพื่อส่งเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยท้ายที่สุดเมื่อจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เธอได้เข้าทำงานที่บริษัทซีรอกซ์ในตำแหน่งพนักงานฝึกหัด จนได้กลายมาเป็นซีอีโอผิวสีคนแรกของบริษัทซีรอกซ์ ถือเป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกที่ได้บริหารจัดการบริษัที่ติดอันฟอร์บส์ 500 คนแรกอีกด้วยครอบครัวของลีกาชิงอพยพจากจีนมายังฮ่องกงในปี 1940 พ่อของเขาตายตั้งแต่เขาอายุเพียง 15 ปี ทำให้เขาต้องลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยทำงานหาเลี้ยงครอบครัวในปี 1950 ลีกาชิงเริ่มทำธุรกิจโรงงานพลาสติก และขยับขยายกลายเป็นโรงงานดอกไม้พลาสติกเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯลีกาชิงเริ่มหันมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และปัจจุบันเขามีธุรกิจที่ครอบคลุมหลากหลาย อาทิ โทรคมนาคม การขนส่ง อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เขากลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยติดอันดับโลก จากเด็กที่ไม่มีต้นทุนชีวิตอะไรเลยเคอร์คอเรียนต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่เกรด 8 เพื่อมาเป็นนักมวยอาชีพช่วยเหลือครอบครัวหารายได้ ในช่วงที่ครอบครัวของเขาต้องประสบปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำต่อจากนั้นเขาได้ผันตัวรับใช้ชาติ กลายมาเป็นนักบินในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยทำหน้าที่ขนส่งยุทโธปกรณ์บนเส้นทางเหนือทะเลแอตแลนติก ที่จะมีเครื่องบินตกคิดเป็นอัตราส่วน 1 ใน 4 เรียกได้ว่าเสี่ยงตายอย่างยิ่งจากรายได้ที่เขาพยายามเก็บสะสม ท้ายที่สุดก็ได้มาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ย่านลาสเวกัส โดยทุ่มซื้อโรงแรมเดอะ ฟลาแมงโก้ และสร้างเดอะ อินเตอร์เนชั่นแนล และเอ็มจีเอ็ม แกรนด์ขึ้นมา ปัจจุบันเขามีทรัพย์สินกว่า 16 พันล้านเหรียญสหรัฐฯแซม วอลตันเกิดในครอบครัวที่ยากลำบาก เขาต้องช่วยครอบครัวรีดนมวัว และส่งหนังสือพิมพ์จนกระทั่งวัย 26 ปี เขาเริ่มทำธุรกิจร้านขายของด้วยเงินตั้งต้น 25,000 เหรียญ โดยหยิบยืม และกู้เงินมา และขยับขยายไปสู่ร้านวอลมาร์ทที่มีสาขามากมายทั่วสหรัฐ ฯ เฉกเช่นทุกวันนี้แซม วอลตันเสียชีวิตในปี 1992 ทิ้งกิจการให้ไว้ภรรยา และลูก ๆ บริหารจัดการสานความฝันของเขาต่อไปสตีฟ จ็อบส์ เกิดเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่ต้องการ ละทิ้งให้ครอบครัวอื่นรับเลี้ยง มีวัยเด็กที่ไม่ถือว่ายากจนมาก แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบายเขาเลิกเรียนมหาวิทยาลัยกลางคัน เพราะไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองต้องเรียน เลือกเข้าเรียนวิชาที่ตัวเองชอบเท่านั้น อีกทั้งครอบครัวบุญธรรมยังมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการเรียนได้ตลอดรอดฝั่ง อนาคตด้านการศึกษากระท่อนกระแท่นเมื่อโตขึ้นสู่วัยหนุ่มเขาออกแสวงหาความหมายของชีวิต เดินทางไปยังประเทศอินเดีย ใช้ชีวิตแบบฮิปปี้ รักอิสระ ไม่อาบน้ำ ไม่ใส่รองเท้า เป็นคนที่แปลกแยกออกจากสังคมมาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต เขาร่วมเปิดกิจการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเล็กๆในโรงรถกับเพื่อนสนิท เติบโตต่อขยายจนกลายมาเป็นบริษัท แอปเปิ้ล โดยเขาดำรงตำแหน่งเป็นซีอีโอของบริษัท ขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแต่บริษัทก็ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่เขาต้องถูกไล่ออกจากบริษัทของตนเอง โดยคนที่เขาเลือกมาช่วยบริหารงาน แต่ก็ได้กลับมาบริหารแอปเปิ้ลอีกครั้งในช่วงเวลาต่อมา และนำพาบริษัทพลิกจากช่วงตกต่ำขึ้นทะยานสู่จุดสูงสุด พร้อมด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างไอโฟน ทำให้ตัวเขามีสินทรัพย์มหาศาลในที่สุดอย่างไรก็ดีชีวิตคนเรามักไม่แน่นอน เขาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง ทิ้งแอปเปิ้ลให้กับผู้บริหารคนใหม่อย่าง ทิม คุ๊ก แต่ชื่อของเขาจะเป็นที่จดจำตลดไปอย่างแน่นอนหนุ่มชาวแคนาดาเกิดในครอบครัวฐานะปานกลาง แต่โชคชะตากลับพลิกผันเมื่อพ่อของเขาต้องตกงาน ทำให้เขาต้องทำงานช่วยครอบครัวหาเลี้ยงชีพในโรงงานวันละหลายชั่วโมง ในขณะที่เรียนอยู่เพียงชั้นมัธยม จนท้ายที่สุดต้องเลิกเรียนกลางคันเขาเริ่มต้นทำสิ่งที่รักด้วยการพูดเดี่ยวไมโครโฟน จนเริ่มมามีชื่อเสียงมากขึ้น จากการได้แสดงภาพยนตร์ “Dume and Dumber”ครั้งหนึ่งตอนที่เขายังไม่ค่อยมีเงิน เขาเคยเขียนเช็คให้ตัวเองเป็นค่าตัวสำหรับงานแสดง และเก็บเอาไว้ดูอยู่เสมอ จนกระทั่งวันนึงเขาได้รับค่าจ้างเป็นมูลค่านั้นจริงๆทำให้จิม แคร์รี่ กลายเป็นตัวอย่างหนึ่งของกฎ “แรงดึงดูด” ที่มักจะถูกล่าวถึงอยู่เสมอ ปัจจุบันเขามีสินทรัพย์ประมาณ 120 ล้านเหรียญสหรัฐฯเกิดในครอบครัวนักกฎหมายย่านลอนดอน เขามีปัญหาด้านการเรียนเพราะโรคดิสเล็กเซีย (โรคความบกพร่องในการอ่านเขียน) แต่เขาไม่เคยยอมให้สิ่งเหล่านี้มาเป็นอุปสรรคในชีวิตริชาร์ด แบรนสันฉายแววนักธุรกิจตั้งแต่วัยเด็ก โดยเริ่มต้นทำธุรกิจค้าขายต้นคริสต์มาสต์ และเป็นเจ้าของธุรกิจขายแผ่นเสียงทางไปรษณีย์ในวัยเพียงแค่ 16 ปีเขาขยายต่อยอดมาเปิดร้านจำหน่ายแผ่นเสียงชื่อว่า “Virgin Records” โดยขยายสาขาไปทั่วประเทศอังกฤษหลังจากนั้นเขาก็เริ่มทำธุรกิจสายการบิน โดยเปิดสายการบินเวอร์จิ้น แอตแลนติก ตามด้วยหลากหลายธุรกิจ อาทิ น้ำดื่ม เกมส์ โทรศัพท์มือถือโดยส่วนตัวเขาเป็นคนชอบผจญภัย และรักการเรียนรู้อยู่เสมอ ทำให้เขาสามารถนำมาต่อยอดทางธุรกิจได้ และกล้าที่จะเสี่ยงปัจจุบันเขาร่ำรวยติดอันดับโลก และเป็นบุคคลตัวอย่างที่ใครก็อยากเป็นเหมือนอย่างเขาเด็กหนุ่มกำพร้าชาวรัสเซียเติบโตขึ้นด้วยการเลี้ยงดูของคุณลุง และคุณยาย มีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบากเขาเลิกเรียนกลางคันเพื่อทำธุรกิจขายเป็ดพลาสติกที่เริ่มต้นในอพาร์ทเมนต์ของเขาในกรุงมอสโก ชะตาชีวิตพลิกผันเมื่อเขาจับธุรกิจค้าน้ำมันในบริษัทซิบเนฟท์ โดยเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จากความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลรัสเซียในช่วงปี 90 เขาได้ขยายต่อยอดธุรกิจโดยเข้าร่วมทำธุรกิจกับสายการบินที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซีย ชื่อบริษัทแอโรฟลอต และตามด้วยธุรกิจอลูมิเนีย บริษัทรูซัลหลังจากนั้นเขาได้สร้างความฮือฮาด้วยการเข้าเทคโอเวอร์สโมสรฟุตบอลชั้นนำของอังกฤษอย่างเชลซี และนำพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษหลายครั้งในปี 2006 จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ เขาร่ำรวยเป็นอันดับ 1 ของรัสเซีย และเป็นอันดับ 1 ของอังกฤษ รวมถึงอันดับ 11 ของโลกด้วยผู้หญิงคนนี้ใครบ้างจะไม่รู้จัก ปัจจุบันเธอมีรายการเป็นของตัวเอง และมีรายได้มหาศาล แต่ใครจะรู้ว่าเธอเคยใส่ชุดที่ทำจากกระสอบมันฝรั่ง เพราะครอบครัวมีฐานะยากจนอย่างมากเธอถูกข่มขืนตอนอายุ 9 ปี และเคยหนีออกจากบ้านในวัยเพียงแค่ 13 ปี อีกทั้งเป็นคุณแม่ยังเด็กด้วยอายุเพียงแค่ 14 ปี และเคราะห์ยังซ้ำอีกต้องมาเสียลูกไปตั้งแต่ยังวัยเยาว์ชีวิตเหมือนจะดีขึ้นเธอได้กลายมาเป็นนักจัดรายการข่าวผิวสีคนแรกในวัยเพียง 20 ปี อย่างไรก็ดีอีกไม่นานก็ถูกไล่ออกอีกท้ายที่สุดความพยายามก็สำเร็จ เธอพลิกรายการ “เอเอ็ม ชิคาโก้” ที่มีเรตติ้งต่ำสุดให้กลายมาเป็นรายการที่มีเรตติ้งสูง และเปลี่ยนชื่อมาเป็น “เดอะ โอปราห์ วินฟรีย์ โชว์” รายการที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ปัจจุบันเธอกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของโลก และมีสินทรัพย์มากมายมหาศาลชายคนนี้คือคนที่แนะนำให้นโปเลียน ฮิลล์ รวบรวมข้อมูลจากคนที่ประสบความสำเร็จมาเขียนเป็นหนังสือ “Laws Of Success” และ “Think And Grow Rich”ในวัยเด็กเขาต้องทำงานในโรงงานฝ้ายวันละ 12 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์ เพื่อพยายามทำงานเก็บเงิน และลงทุนในกิจการของตัวเองจนท้ายที่สุดมาประสบความสำเร็จกับธุรกิจเหล็กกล้า กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของโลกตัวละครเอกในเรื่อง “The Pursuit Of Happyness”เขาโตขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของตนเอง ใช้ชีวิตขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ ต้องหาเลี้ยงครอบครัวอย่างยากลำบาก อาศัยห้องน้ำเป็นที่ซุกหัวนอนจนได้มาทำงานเป็นนักค้าหุ้นในวอลสตรีท ขยายต่อยอดจนมีกิจการเป็นของตนเอง และร่ำรวยในที่สุดเธอมีชีวิตที่ยากลำบากมาโดยตลอด ต้องหย่ากับสามี และกลายมาเป็นคู่แม่เลี้ยงเดี่ยว มีช่วงชีวิตที่เป็นโรคซึมเศร้าหลายต่อหลายครั้งที่หนังสือที่กลายมาเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเธออย่าง “แฮรี่ พอตเตอร์”ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดีจากสำนักพิมพ์ โดยถูกให้ความเห็นว่าใครจะมาสนใจเรื่องราวของพ่อมด หรือเวทมนตร์ปัจจุบันเธอมีสินทรัพย์กว่า 1พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มีชีวิตที่สบายแบบไม่ต้องทำงานอีกเลยเจ้าของกิจการเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่ชาวสวีเดน เกิดในฟาร์มเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของสวีเดน รักในการทำธุรกิจตั้งแต่พอจำความได้เริ่มขายสินค้าชิ้นแรกคือไม้ขีดไฟ ขยายต่อมาเป็นร้านขายของชำ โดยขายสินค้าทุกอย่างที่น่าจะขายได้ในราคาต่ำกว่าท้องตลาด ก่อนจะพลิกผันสินค้าเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกใจคนทั้งโลกปัจจุบันอิเกียขยายไปกว่าค่อนโลก และทำให้เขามีรายได้มหาศาล แต่กระนั้นก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มัธยัสถ์ และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเหมือนอย่างเคยแม่ของเขาส่งให้ไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เพราะไม่มีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงดูลูกทั้งหมด 5 คนได้เมื่อโตขึ้นเขาต้องทำงานในโรงงานผลิตแว่นตา และต้องเสียนิ้วมือไปจากอุบัติเหตุเขาเปิดกิจการภายใต้ชื่อ ลูซอตติก้า ในวัยเพียงแค่ 23 ปี และกลายเป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นผู้ผลิตแว่นตาแบรนด์ดังอย่าง เรย์แบน และโอ้คเลย์ปัจจุบันเขามีสินทรัพย์ร่ำรวยเป็นอันดับ 2 ของประเทศอิตาลีเกิดในครอบครัวที่ยากจนในเมืองนิวยอร์ค ทำให้เขาพยายามที่จะหนีออกจากสภาพแวดล้อมที่ลำบากด้วยการหันมาเอาดีด้านกีฬาอเมริกันฟุตบอล จนในที่สุดได้ทุนนักกีฬาจากมหาวิทยาลัยนอร์ธ มิชิแกน และจบการศึกษาด้านการสื่อสารวันหนึ่งขณะที่กำลังสร้างตัวจากอาชีพมนุษย์เงินเดือน ในบริษัทซีรอกซ์ ก็ได้พบเจอร้านกาแฟเล็กๆชื่อสตาร์บัคส์ที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหลทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากซีรอกซ์มาลงทุนอย่างเต็มตัว และกลายเป็นซีอีโอของสตาร์บัคส์ในที่สุดปัจจุบันเขามีสินทรัพย์กว่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯเห็นไหมว่าคนรวยระดับโลกต่างก็ลำบาก ชีวิตยากไร้ ไม่ได้มีต้นทุนชีวิตมากมายและเหลือเฝือ อย่างที่ใคร ๆ เข้าใจ ต่างคนก็มีปัญหา เจอมรสุมชีวิต บ้านแตก โดนข่มขืน โดนดูถูกเหยียดหยาม สารพัดเรื่องสุดดราม่ายิ่งกว่าละครซะอีก แต่พวกเขาเหล่านี้ยังประสบความสำเร็จได้ด้วยการไม่ยอมแพ้และคุณไม่จำเป็นต้องมีชีวิตรันทดขนาดนั้น หรือต้องทำชีวิตให้ลำบากเพื่อมีแรงฮึดกลับมาประสบความสำเร็จหากชีวิตคุณดีอยู่แล้ว หรือยังไม่ดีเท่าไหร่ เก็บแรงบันดาลเหล่านี้เอาไว้สอนใจตัวเองว่า บางคนลำบากกว่าเราตอนนี้อีก เขายังสำเร็จได้ แล้วทำไมเราจะไม่สำเร็จอย่างคนอื่นเขาบ้างไม่ได้Credit: http://www.ryounoi100lan.com/?p=219


เจาะใจ : “เมธี คุณเจริญ” กับชีวิตที่เริ่มจากศูนย์ [14 ส.ค. 57] (1/4) Full HD


คนเราเกิดมามีต้นทุนไม่เท่ากัน แต่ไม่ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร ทัศนคติและวิธีมองโลกของเราน่าจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิตต่อไป พบกับเรื่องราวจะสร้างแรงบันดาลใจที่มาพร้อมกับแนวคิดดีๆ ทำให้ชีวิตดีขึ้นของเมธี คุณเจริญ คนที่ใช้แรงกดดัน คำเหยียดหยาม คำสบประมาทจากคนรอบข้างมาเป็นพลัง เป็นแรงถีบตัวเองให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
เพราะบ้านจน มุงจากทั้งหลัง ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่เคยมีผ้าห่ม คิดว่าถ้ามีการศึกษาสูงก็น่าจะช่วยได้ โดยมีเตี่ยเป็นแรงบันดาลใจ เพราะเตี่ยเป็นคนอดทน ไม่พูดไม่บ่น มักโดนคนแกล้ง ล้อเลียน เป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น ผมเป็นหัวหน้าครอบครัวตั้งแต่ ม.1 เป็นคนหาเงินให้ครอบครัว ทอดแหหาปลา ไปสุ่มกุ้งที่แม่น้ำบางปะกง ได้เงินวันละ 50 – 140 บาทก็จะให้แม่ ทำแบบนี้ประมาณ 67 ปี สิ่งที่ทำให้ครอบครัวภูมิใจคือจบวิศวะฯ น้องอีกคนจบเนติฯ ชีวิตถือว่ามีต้นทุนที่น้อยมาก แต่มีวัคซีนชีวิตเกือบทุกด้าน เงินซื้อไม่ได้ มันได้จากประสบการณ์ การได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงมันเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องมีผู้ใหญ่ดูอยู่ห่างๆ
อยากให้เด็กรุ่นใหม่มีแรงบันดาลใจในการต่อสู้ชีวิตให้มากกว่าที่เป็นอยู่ อย่าท้อแท้ เราสามารถก้าวไปข้างหน้าได้
ช่วงสุดท้าย พบกับคอลัมนิสต์ โหน่ง วงศ์ทนง นำเรื่องราวความน่ารักประจำชาติของญี่ปุ่นมาพูดคุย
“เจาะใจ\” ออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี เวลา 22.25 น. ทาง ททบ. 5
พิธีกร ดู๋ สัญญา คุณากร
คอลัมนิสต์ โหน่ง วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์
ตุ้ม สรกล อดุลยานนท์
ป๋าเต็ด ยุทธนา บุญอ้อม
สิงห์ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
ติดตามความเคลื่อนไหวและร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/johjai

ติดตามความเคลื่อนไหว แนะนำ ติชมรายการ และแสดงความคิดเห็น ผ่านช่องทางต่างๆ
Youtube : http://www.youtube.com/JSLGlobalMedia (official channel)
Official website : http://www.jslglobalmedia.com
Facebook : https://www.facebook.com/JSLGlobalMedia
Twitter : https://www.twitter.com/jslglobalmedia
Copyright©2014 JSL Global Media Company Limited
บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด
154 ลาดพร้าว ซอย 107 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240
154 Ladprao Road (Soi 107) Klongjan, Bangkapi, Bangkok 10240 Thailand
Tel: 66 2731 0630
FAX: 66 2377 0691, 66 2375 9033
EMail: [email protected] / [email protected]

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

เจาะใจ : “เมธี คุณเจริญ” กับชีวิตที่เริ่มจากศูนย์ [14 ส.ค. 57] (1/4) Full HD

อาชีพแรกสุดของเหล่าบรรดามหาเศรษฐีพันล้าน ทั้ง 5 คน


ร่วมเป็นสมาชิก Supporter เพื่อสนับสนุน Blue O’Clock ในการผลิตสื่อการเรียนการศึกษา
https://www.youtube.com/c/blueoclock/join
กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin \u0026 Cryptocurrency
อันดับ 1 ของไทย Bitkub https://www.blueoclock.com/bitkub
อันดับ 1 ของโลก Binance https://www.blueoclock.com/binance
ชอบวีดีโอมากอยากเลี้ยงกาแฟทีมงานสักแก้วได้ที่
https://kofi.com/blueoclock
อ่านเวอร์ชั่นบทความ https://www.blueoclock.com/thefirstjobsof5billionaires/
กดติดตามช่องตรงนี้เลย http://bit.ly/SubscribeBlueoclock
Resources
https://www.investopedia.com/financialedge/1010/7billionairesfirstjobs.aspx
https://www.cnbc.com/2017/10/04/thefirstjobsof15billionaireslikewarrenbuffettandjeffbezos.html
https://www.cnbc.com/2019/05/10/wealthxbillionairecensusmajorityofworldsbillionairesselfmade.html
https://www.forbes.com/billionaires/
https://finance.yahoo.com/news/firstjobsbillionaireswarrenbuffett200000567.html
https://www.facebook.com/NorthropGrummanCareers/photos/a.462823547079631/647542328607751/
https://en.wikipedia.org/wiki/TRW_Inc.
https://www.wealthx.com/report/veryhighnetworthhandbook2020/
https://twitter.com/UrsBolt/status/1229476726645940225/photo/1
Image credit
https://www.stockbasket.com/blog/warrenbuffettsinvestingphilosophy/
https://www.theceomagazine.com/business/news/billgatestopbooks2020/
https://www.nytimes.com/2020/05/01/business/dealbook/bezosamazoncoronavirus.html
Clodagh Kilcoyne/Reuters
https://www.motortrend.com/news/elonmusktwittermovetesla/
Nick YekikianWordsMotor TrendPhotos
ติดตามพวกเราได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/theblueoclock
Website : https://www.blueoclock.com
Academy : http://bit.ly/bocacademy
ติดต่อเรื่องงาน/โฆษณา/สปอนเซอร์/ผลิตวีดีโอ
Email : [email protected]
Facebook : https://m.me/theblueoclock

อาชีพแรกสุดของเหล่าบรรดามหาเศรษฐีพันล้าน ทั้ง 5 คน

สารคดี-มาดูกันว่ามหาเศรษฐีเค้าใช้ชีวิตกันยังไง EP.1


สารคดีมาดูกันว่ามหาเศรษฐีเค้าใช้ชีวิตกันยังไง EP.1
สารคดี ชีวิต Life เศรษฐี

สารคดี-มาดูกันว่ามหาเศรษฐีเค้าใช้ชีวิตกันยังไง EP.1

10 อันดับ คนเคยจน ชีวิตติดลบ ที่กลับกลายเป็น มหาเศรษฐี | OKyouLIKEs


หากชีวิตเลือกเกิดได้ ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครหรอกที่อยากจะเกิดมาจน จริงมั๊ย เพราะถึงแม้ว่าเงินจะไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต แต่เกือบจะทุกอย่างมันก็ต้องใช้เงินซื้อ ชีวิตยังไม่สิ้นมันก็ต้องดิ้นกันไป
ซึ่งวันนี้ผมก็มีเรื่องราวชีวิตของบุคคล ที่กว่าเขาประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องผ่านอะไรมาเยอะแยะมากมายจริงๆ ก็ดูกันไว้นะครับเพื่อเป็นแรงบันดาลใจอย่าเพิ่งท้อถอยละ OK ไปชมกันเลยจ้า
พบกับเรื่องน่ารู้ ดูดี มีสาระ และการจัดอันดับเช่นนี้ได้เป็นประจำโดย ผม นาย K ปกาศิต
[เนื้อหาของทั้ง 10 อันดับ]
อิงวาร์ คัมพราด / Ingvar Kamprad
แจ็ค หม่า / Jack Ma
สตีฟ จอบส์ / Steve Jobs
ฮาร์แลนด์ เดวิด แซนเดอส์ / Harland David Sanders
ริชาร์ด แบรนสัน / Richard Branson
โดนัลด์ ทรัมป์ / Donald Trump
ฮาวเวิร์ด ชูลท์ซ / Howard Schultz
โอปราห์ วินฟรีย์ / Oprah Winfrey
เจ. เค. โรว์ลิง / J.K. Rowling
ตัน ภาสกรนที / Tan Passakornnatee

::: OKyouLIKEs Channel :::
ได้ทั้งสนุก ได้ทั้งความรู้ ดูโอเคยูไลค์ / การจัดอันดับ / ข่าว / และสาระความบันเทิงอื่นๆ อีกเพียบ ติดตามกันได้ที่นี่เลยจ้า..
►►►http://goo.gl/0lMZ0H
::: Facebook :::
ติดตามกันผ่านทาง Facebook หนึ่งไลค์ของคุณ คือกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ขอบคุณมากมายครับ
►►►https://www.facebook.com/okyoulikes (แฟนเพจ)
►►►https://www.facebook.com/kpakasit (ส่วนตัว)
::: สนใจติดต่องาน โฆษณา แคสเกม โปรโมทช่อง รีวิวสินค้า สปอนเซอร์ :::
Tel : 0863118528
Email : [email protected]

10 อันดับ คนเคยจน ชีวิตติดลบ ที่กลับกลายเป็น มหาเศรษฐี | OKyouLIKEs

ท้อ – วงสติ๊กเกอร์ Feat. วุฒิ ป่าบอน 【Official Video】


STICKERMUSIC
ท้อ วงสติ๊กเกอร์ feat วุฒิ ป่าบอน
คำร้อง : แบงค์ โมเดิร์น
เรียบเรียง : ลองฟังแล สตูดิโอ (ตุ๊ต๊ะ วงพัทลุง)
มิกซ์มาสเตอร์ : ปิยวัฒน์ หมื่นสนิท

Record drum : ตุ๊ต๊ะ วงพัทลุง\r
Record Vocals : พ็อค บิ๊กอาย
Record Guiter :พีร์ วงพัทลุง
Record bass : keay Micaman
Record Keyboard : สุวัตร วงค์นคร

\r music video
ดีโด้ วงสติ๊กเกอร์ มีน วงกลม ออม ฮะ

ติดตามได้ที่
เพจ : วงสติ๊กเกอร์
TIKTOK : วงสติ๊กเกอร์

ติดต่องาน
0931424470

ท้อได้แต่ไม่ถอย ท้อ ท้อได้ไม่รู้กี่ครั้ง
เนื้อเพลง: ท้อ
ศิลปิน: วงสติ๊กเกอร์ Feat. วุฒิ ป่าบอน

ท้อได้ไม่รู้กี่ครั้ง แต่กูถอยไม่ได้สักหน
เพราะกูเกิดมาจน หากินบนความอดทน
ที่คนมั่งมีไม่เข้าใจ ไอ้คำว่าอดตาย
ไม่มีวันใดที่ดวงอาทิตย์จะส่องแสงในยามค่ำคืน
หลับลงทีไรก็ต้องตื่นมา เป็นธรรมดาของชีวิต ถูกลิขิตไว้
ร้อนไม่นานก็ฝน ลำบากลำบนอดทนอีกสักนิด
แล้วค่อยคิดจะก้าวต่อไป หนทางยาวไกล ต้องมีจุดหมาย
ไม่เคยแคร์ไม่สนว่าคนเขาจะมอง
หรือโดนเหยียดยามก็ตามแต่ใจเขา
ร้องไห้ไม่นานก็ลุกขึ้นมาได้เหมือนเก่า
ทำอย่างเดิมตัวเรามันมีเท่านี้
ท้อได้ไม่รู้กี่ครั้ง แต่กูถอยไม่ได้สักหน
เพราะกูเกิดมาจน หากินบนความอดทน
ที่คนมั่งมีไม่เข้าใจ ไอ้คำว่าอดตาย
ความหมายมันเป็นอย่างไร
ไม่มีแรงแต่ยังต้องสู้ เพราะว่ากูไม่ใช่เด็กน้อย
ที่คอยให้พ่อแม่มาอุ้มเดิน
เส้นทางชนชั้นแรงงานที่เผชิญ
ทางที่เดินต้องเดิมพันด้วยชีวิต แต่กูไม่คิดที่จะกลัว
ไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจ ชีวิตที่ต้องใช้แค่เพียงเรี่ยวแรง
ค่าน้ำค่าไฟค่าข้าวมันก็แพง
แต่แม่งค่าแรงมันแสนจะถูก มันไม่พอใช้
ยิ้มให้ความอ่อนแอ และไม่ยอมแพ้ไอ้คำว่าขัดสน
สู้ดิ้นรนจนแทบขาดใจ ก็เพื่อวันใหม่ ที่ดีกว่านี้
ไม่เคยแคร์ไม่สนว่าคนเขาจะมอง
หรือโดนเหยียดยามก็ตามแต่ใจเขา
ร้องไห้ไม่นานก็ลุกขึ้นมาได้เหมือนเก่า
ทำอย่างเดิมตัวเรามันมีเท่านี้
ท้อได้ไม่รู้กี่ครั้ง แต่กูถอยไม่ได้สักหน
เพราะกูเกิดมาจน หากินบนความอดทน
ที่คนมั่งมีไม่เข้าใจ ไอ้คำว่าอดตาย
ความหมายมันเป็นอย่างไร
ไม่มีแรงแต่ยังต้องสู้ เพราะว่ากูไม่ใช่เด็กน้อย
ที่คอยให้พ่อแม่มาอุ้มเดิน
เส้นทางชนชั้นแรงงานที่เผชิญ
ทางที่เดินต้องเดิมพันด้วยชีวิต แต่กูไม่คิดที่จะกลัว
(กูไม่กลัว กูไม่กลัว)
ท้อได้ไม่รู้กี่ครั้ง แต่กูถอยไม่ได้สักหน
เพราะกูเกิดมาจน หากินบนความอดทน
ที่คนมั่งมีไม่เข้าใจ ไอ้คำว่าอดตาย
ความหมายมันเป็นอย่างไร
ไม่มีแรงแต่ยังต้องสู้ เพราะว่ากูไม่ใช่เด็กน้อย
ที่คอยให้พ่อแม่มาอุ้มเดิน
เส้นทางชนชั้นแรงงานที่เผชิญ
ทางที่เดินต้องเดิมพันด้วยชีวิต
ท้อได้ไม่รู้กี่ครั้ง แต่กูถอยไม่ได้สักหน
เพราะกูเกิดมาจน หากินบนความอดทน
ที่คนมั่งมีไม่เข้าใจ ไอ้คำว่าอดตาย
ความหมายมันเป็นอย่างไร
ไม่มีแรงแต่ยังต้องสู้ เพราะว่ากูไม่ใช่เด็กน้อย
ที่คอยให้พ่อแม่มาอุ้มเดิน
เส้นทางชนชั้นแรงงานที่เผชิญ
ทางที่เดินต้องเดิมพันด้วยชีวิต แต่กูไม่คิดที่จะกลัว
_______________________________________________________________
ดาวน์โหลดเพลง \”ท้อ Feat. วุฒิ ป่าบอน วงสติ๊กเกอร์\”
มีให้โหลดเป็นเสียงเรียกเข้า เสียงรอสาย ผ่านการโทรทางไลน์แล้ว ในไลน์เมโลดี้
► https://melody.line.me/melody/34673
🎧 รับฟังได้แล้วทาง Music Streaming
Youtube Music : https://music.youtube.com/watch?v=o7K1RlWaSwE
Spotify : https://open.spotify.com/track/65EV7xrH52BTHyc2jVmIOh
JOOX : https://www.joox.com/th/album/qyXadGztsCUSE_a4Q7NrIg==
iTunes \u0026 Apple Music : https://music.apple.com/th/album/1584182366
TIDAL : https://tidal.com/browse/track/196375046
TikTok : https://vt.tiktok.com/ZSJTN8SgA

ท้อ - วงสติ๊กเกอร์ Feat. วุฒิ ป่าบอน 【Official Video】

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ ประวัติคนรวย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *