[NEW] ทุกอย่างเกี่ยวกับ “Wine” ที่ผู้ชายควรรู้ | bold อ่าน ว่า – NATAVIGUIDES

Robert Louis Stevenson เคยได้กล่าวไว้ว่า “ไวน์นั้น เปรียบเสมือนบทกวี ที่ถูกบรรจุลงในขวด” หลายคนฟังดูแล้ว อาจจะคิดว่า อะไรมันจะขนาดนั้น แต่ถ้าคุณลองเปิดใจ ลองศึกษาเรื่องราวของเครื่องดื่มชนิดนี้ดูสักหน่อยแล้วล่ะก็ คุณจะรู้เลยว่า คำที่ Robert Louis Stevenson เคยได้กล่าวไว้นั้น ไม่ใช่เรื่องเกินความจริง หลายคนมองข้ามเครื่องดื่มสุดล้ำค่าอย่างไวน์ไป เพราะรู้สึกว่า การดื่มไวน์นั้น เป็นเรื่องที่ไกลเกินตัวพวกเค้า ด้วยวิธีการที่ยุ่งยาก และซับซ้อน รวมไปถึงราคาที่ค่อนข้างที่จะแพง เมื่อเปรียบเทียบกับดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่นๆ คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะดื่มเหล้า หรือเบียร์ ที่ราคามิตรภาพ รสชาติเข้าใจง่าย และสุดท้ายคิดว่า ก็เมาเหมือนกันหมด แต่วันนี้ เราเชื่อว่า มุมมองของหลายๆ คนที่มีต่อเครื่องดื่มชนิดนี้จะเปลี่ยนไป หากได้อ่านบทความนี้จนจบ นอกจากนี้ คนที่เคยสงสัยว่า เครื่องดื่มที่มีความซับซ้อนมากที่สุดในโลกชนิดนี้ มันมีกี่แบบกันแน่ ไปที่ร้านกี่ทีก็สั่งแบบมั่วๆ แทบทุกครั้ง วันนี้คุณจะได้ความกระจ่าง กับเรื่องราวของ ไวน์ แต่ละชนิดว่า แตกต่างกันอย่างไร

สำหรับมือใหม่ การเริ่มต้นนับหนึ่งในโลกของไวน์ อาจจะดูมากพิธี และไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทำความเข้าใจกับมัน ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่า ไวน์ เป็นเครื่องดื่มที่ได้ชื่อว่า มีการแบ่งแยกออกเป็นหลากหลายประเภท มีวิธีการที่ซับซ้อน และเป็นเครื่องดื่มที่มีรายละเอียดมากที่สุดในโลก หลายคนท่ีเดินเข้าร้านไวน์ มักจะได้ยินคำอย่าง Riesling, Tanin หรือ Full Body  กันเป็นประจำ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร และแตกต่างกันตรงไหน หากคุณสนใจจะเรียนรู้ ในเรื่องของไวน์ประเภทต่างๆ แบบเข้าใจได้รวดเร็ว วันนี้เรานำเอาคู่มือที่ครบถ้วนที่สุด มาให้ชาว UNLOCKMEN ได้อ่านกันแบบครบทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้ เกี่ยวกับประเภทของไวน์ต่างๆ 10 ชนิด ทั้ง ไวน์แดง และไวน์ขาว แต่ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจ

สิ่งที่ทุกคนควรรู้เกี่ยวกับ ชื่อเฉพาะของขวดไวน์ในขนาดต่างๆ รวมไปถึง ขนาดความจุของไวน์ในขวดต่างๆ 

Magnum (1.5L) : 2 bottles of wine — 10 glasses

Double Magnum (3L) : 4 bottles of wine — 20 glasses

Jeroboam (4.5L ): 6 bottles of wine — 30 glasses

Imperial (6L) : 8 bottles of wine — 40 glasses

Salmanazar (9L) : 12 bottles of wine — 60 glasses

Balthazar (12L) : 16 bottles of wine — 80 glasses

Nebuchadnezzar (15L) : 20 bottles of wine — 100 glasses

Bung (บัง) ก็เป็นอีกคำหนึ่งที่จะได้ยินบ่อยๆ แน่นอน หากคุณกำลังก้าวเท้าเข้าสู่โลกของไวน์แบบเต็มตัว 

สำหรับคำว่า Lightstruck นั้น หมายถึง กลิ่น และรสชาติ ที่เปลี่ยนไป เมื่อไวน์ถูกแสง

Pip เป็นคำที่ใช้เรียก เมล็ดองุ่น (Grape Seeds) ซึ่งเป็นวันตุดิบสำคัญ ที่ใช้ในการผลิตไวน์ ดังนั้น ควรจะรู้จักกับคำว่า Pip นี้ไว้ด้วยเช่นกัน 

Acidity หรือ ความเป็นกรด เป็นส่วนประกอบสำคัญของไวน์ขาว ยกเว้นไวน์แดงอย่าง Sangiovese ที่มีกรดไวน์ขาวอยู่ในตัวมันเองด้วยเช่นกัน แต่ความเป็นกรดนี่เอง ที่จะทำให้ผู้ดื่มไวน์ขาว รู้สึกความสึกสดชื่น แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากไวน์ที่มีกรดมากเกินไป จะให้รสชาติที่เปรี้ยว แต่ถ้าไวน์มีกรดน้อยเกินไป รสชาติของไวน์ก็จะแบน และไม่สดชื่น นุ่มคอในตอนดื่ม

ให้คุณลองจินตนาการถึง การดื่มน้ำมะนาวเย็นๆ สักแก้ว รสเปรี้ยวที่ได้นั้น จะมีความคล้ายกัน แต่ในไวน์จะให้ความรู้สึกสดชื่นมากกว่าจากกรดที่อยู่ภายในตัวมันเอง แต่ถ้าอยากได้รสชาติที่ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น ให้คุณจิบไวน์คำเล็กๆ และอมไว้ในปากสักครู่ ก่อนที่จะกลืนมันลงไป จะช่วยให้คุณรู้สึกได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

คำว่า Body หรือ Bodied ในโลกของไวน์นั้น หมายถึง ความหนาแน่ หรือ ความเบาบางของตัวไวน์ โดยมีการแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ Light Bodied, Medium Bodied และ Full Bodied สำหรับไวน์ประเภท Light Bodies เมื่อคุณดื่มมันเข้าไปแล้ว จะให้สัมผัสที่ค่อนข้างเบาบาง ในขณะที่ไวน์แบบ Full Bodies สัมผัสภายในปากเมื่อคุณดื่มเข้าไป จะชัดเจน และรู้สึกเต็มปากเต็มคำกว่า

สำหรับ ไวน์แดง ส่วนใหญ่จะนิยมดื่มแบบ Medium Bodied และ Full Bodied กันมากกว่า แต่ใน ไวน์ขาว คนมักนิยมดื่มแบบ Light Bodied และ Medium Bodied น้อยคนนัก ที่จะเลือกดื่มไวน์ขาวแบบ Full Bodied ให้เห็น

Tanins เป็นส่วนประกอบสำคัญอีกอย่างนึงที่มีอยู่ใน ไวน์แดง โดยส่วนใหญ่แล้ว Tannins จะมีอยู่ในผิว และเมล็ดขององุ่น ซึ่งเป็นที่มาของรสชาติที่ขม และฝาด ไวน์ที่มีปริมาณ Tannins มากเกินไป เมื่อดื่มเข้าไปแล้ว จะทำให้รสชาติเฝื่อนติดอยู่ที่ปริเวณกระพุ้งแก้ม และจะทำให้ปากคุณรู้สึกแห้ง ที่ Tannins มักจะพบมากในไวน์แดงนั้น มีเหตุผลหลักๆ อยู่ 2 ข้อ คือ

1. โดยธรรมชาติแล้ว ในองุ่นแดงจะอุดมไปด้วย Tannins ในปริมาณสูงอยู่แล้ว

2. ไวน์แดงส่วนใหญ่ มักจะใช้บริเวณเปลือกผิวขององุ่น ในการหมักจึงทำให้ยิ่งมี Tannins และรสชาติฝาด ขม มากขึ้นไปอีก

แต่ไม่ใช่ว่า ไวน์ขาว จะไม่มีทางที่จะมี Tannins อยู่เลย เพราะว่าไวน์ขาวบางตัว ที่ผ่านการหมักจากถังไม้โอ๊ก ก็สามารถทำให้เกิด Tannins ขึ้นในตัวได้เช่นกัน

รสชาติของ Tannins เพรียวๆ นั้น จะมีความใกล้เคียงกับความขม และฝาดที่ได้เมื่อดื่มชาดำ รสขมจะเกิดขึ้นที่บริเวณกลางลิ้น และทำให้คุณรู้สึกปากแห้งเล็กน้อย นั่นก็ผลของ Tannins ที่ว่านี้เช่นกัน

Variety เป็นอีกคำเฉพาะที่ผู้ดื่มไวน์จะรู้ดี โดย Variety ที่ว่านี้ เป็นคำนามที่ใช้อธิบาย เมล็ดองุ่นที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำไวน์ ยกตัวอย่างเช่น Chardonnay Variety, Cabernat Variety, Pinot Noir Variety และอื่นๆ อีกมากมาย ตามชื่อสายพันธุ์ของเมล็ดนั้นๆ

Varietal เป็นคำเฉพาะที่ใช้ในการอธิบายตัวไวน์เช่น Chardonnay, Cabernat, Sauvignon, Pinot Noir ชื่อเหล่านี้ล้วนเป็น Variety ทั้งนั้น อย่าง Chardonnay Varietal ซึ่งหมายความว่า ภายในไวน์ตัวนี้ จะต้องมีองุ่น Chardonnay เพรียวๆ อยู่มากกว่า 75% ขึ้นไป ในขั้นตอนการผลิต

Popular Types Of Red Wine

หลายคนสงสัยว่า ทำไมดื่มไวน์แดง ถึงรู้สึกปากแห้งแทบจะทุกครั้ง นั่นก็เพราะว่า โดยธรรมชาติแล้ว องุ่นแดงจะมี Tannins อยู่ในปริมาณค่อนข้างสูง จึงทำให้มีรสชาติที่ขม และฝาด แน่นอนว่า เมื่อมีรสชาติขม และฝากติดอยู่ในปากของเรา เราจึงรู้สึกว่า ไวน์แดงนั้น ไม่มีความหวานแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังทำให้รู้สึกว่าปากแห้งอีกด้วย เนื่องจากภายในช่องปากหลังจากดื่มไวน์แดงเข้าไป Tannins ก็ยังคงค้างอยู่ภายในช่องปากของเรา  ถึงแม้ว่า ไวน์แดงส่วนใหญ่ จะให้ความรู้สึกแห้ง และขม แต่ก็ยังมีไวน์แดงบางตัวเช่นกัน ที่ให้ความรู้สึกแห้ง แต่ยังคงมีรสชาติหวานติดอยู่ หลังจากที่ดื่มมันเข้าไปแล้ว ต่อไปนี้คือ 5 ไวน์แดง ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ที่เราได้เลือกมาให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกันเอาไว้

Pronounced : SAHN-joh-VAY-zee

Country of Origin : Italy (Tuscan region)

Type of Red Wine (Dry or Sweet) : Dry

Sangiovese Variety Market Share : 1.69%

“Sangiovese” มาจากภาษา Italian แปลว่า “Blood of Jove” สำหรับ Sangiovese เป็นองุ่นสายพันธ์หลัก ที่มักนิยมใช้ในการทำไวน์ทั้ง 2 ชนิด ของประเทศ Italy นั่นก็คือ Chianti และ Brunello di Montalcino แต่องุ่นสายพันธ์ Sangiovese กลับมีปลูกอยู่ไม่มากนัก ภายในประเทศ Italy เพราะ Sangiovese จริงๆ แล้ว มีอยู่มากที่สุดคือที่ รัฐ Washington และ รัฐ California ในประเทศ America

Sangiovese ถือเป็นไวน์แบบ Medium Bodied ที่มีสาร Tannins ในตัวสูงมาก และมีความเป็นกรดในตัวเองสูงด้วยเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะมีปริมาณ Tannins สูง ก็ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด เพราะว่า Tannins ใน Sangiovese นั้นเป็น กรดธรรมชาติที่มีอยู่ทั่วไปในผลไม้สีแดง เช่น เชอรี่ และสตอเบอรี่ เพียงแค่ว่า มันอาจจะมีมากกว่าผลไม้ทั่วไป เมื่อมันอยู่ใน Sangiovese

องุ่นอย่าง Sangiovese ถือเป็นผลไม้รสเลิศเลยก็ว่าได้ และด้วยความที่มันมีกรดสูง มันจึงเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งในการจับคู่กับ อาหารที่มีส่วนผสมจากมะเขือเทศเยอะๆ อย่าง Pizza หรือ Pasta ซึ่งเป็นอาหารที่มีต้นดำเนิดมาจากประเทศ Italy เช่นเดียวกัน แต่ถ้าใครไม่ค่อยชอบอาหาร Italian เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว Sangiovese ยังเป็นมิตรกับ เนื้อย่าง และชีสดีๆ ที่ผ่านการเก็บไว้เป็นเวลานาน ได้ลงตัวมากๆ เช่นกัน

POPULAR BOTTLES OF SANGIOVESE

HIGH-END : Antinori Tignanello 2011

MID-RANGE : Caparzo Brunello di Montalcino 2010

AFFORDABLE : Borgo Scopeto Chianti Classico 2012

Type of Red Wine (Dry or Sweet) : Dry

Country of Origin : France (Burgundy region)

Pinot Noir เป็นไวน์แดงแบบ Dry ที่มี Bodied อยู่ในระดับ Light Bodied ไปถึงแค่ Medium Bodied เท่านั้น รสชาติที่ได้เมื่อจิบมันเข้าสู่ลำคอ จะชวนให้นึกถึงผลไม้สีแดงสด อย่างเช่น เชอร์รี่ และสตอเบอรรี่ แต่แฝงไว้ด้วยความอุ่น ของส่วนผสมประเภทเครื่องเทศต่างๆ ดังนั้น Pinot Noir จึงเป็นไวน์แดง ที่ค่อนข้างมีความซับซ้อน แต่ยังสามารถแยกรสชาติออกได้เป็นส่วนๆ ได้ไม่ยากนัก คนที่รักการดื่มไวน์ทั่วโลกส่วนใหญ่ จึงชื่นชอบไวน์แดงอย่าง Pinot Noir กันเป็นส่วนใหญ่

ด้วยรสชาติที่โดดเด่นของไวน์แดงอย่าง Pinot Noir มันจึงสามารถที่จะเข้าคู่ได้กับอาหารจากนานาชาติ ไม่ว่าจะเก่า หรือใหม่ ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าให้ยอดเยี่ยมที่สุด ต้องเป็นการจับคู่ระหว่าง Pinot Noir กับ ซอสครีม และไก่ หรือปลาย่าง จะสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก

HIGH-END : Chapter 24 Last Chapter Pinot Noir 2012

MID-RANGE : Goldeneye Anderson Valley Pinot Noir 2011

AFFORDABLE : King Estate Acrobat Pinot Noir 2013

Pronounced : seh-RAH/shee-RAHZ

Type of Red Wine (Dry or Sweet) : Dry

Country of Origin : France (Rhone region)

Syrah/Shiraz Variety Market Share : 4.03%

องุ่นชนิดเดียว แต่มีถึง 2 ชื่อ เพราะใน Europe และ Califonia องุ่นชนิดนี้ถูกเรียกว่า Syrah แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ในประเทศ  Australia และ ใน South Afica จะเรียกพวกมันด้วยอีกชื่อนึง นั่นก็คือ SHIRAZ แต่ความจริงของ สุดยอดไวน์แดงอย่าง Syrah/Shiraz นี้ เกิดขึ้นที่ Franch จากนั้น มันก็ได้กลายเป็น องุ่น Signature ของประเทศ Australia ไปซะอย่างนั้น จนในปี 2010 องุ่น Syrah/Shiraz ประมาณร้อยละ 23 จากทั้งหมด เป็น องุ่น Syrah/Shiraz ที่มาจากประเทศ Australia

Syrah/Shiraz เป็นไวน์แดง ที่มีสีค่อนข้างไปทาง ม่วงเข้ม มี Bodied อยู่ในระดับ Medium Bodied ไปจนถึง Full Bodied นอกจากนี้ Tannins ใน Syrah/Shiraz ก็ถือว่าเข้มข้น ตามสไตล์มาตรฐานไวน์แดงชั้นดี มันจึงมีรสชาติลึก กลมกล่อม ผสมผสานเข้ากับ กลิ่น และ รสชาติ ของผลไม้ที่มีผิวสีดำอย่างเช่น Boybenberry และ Blackberry สุดท้ายที่ขาดไปไม่ได้สำหรับไวน์แดงแบบ Syrah/Shiraz ก็คือ ความเผ็ดร้อนของเครื่องเทศอย่าง พริกไทย

SYRAH/SHIRAZ FOOD PAIRINGS

ไวนแดงอย่าง Syrah/Shiraz ขึ้นชื่อในความยอมเยี่ยมมาอย่างยาวนาน เมื่อจับคู่ทานกับ เนื้อย่าง และอาหารที่ปรุงจากเนื้อวัว แต่นอกจากเนื้อวัวแล้ว อาหารที่มีการปรุงด้วยชีสหนักๆ ก็ถือเป็นคู่ที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีเช่นกัน ถ้าหากมีโอกาสได้ลอง รับรองเลยว่า คุณจะติดใจแน่นอน

HIGH-END : Glaetzer Amon Ra Shiraz 2012

MID-RANGE : John Duval Entity Shiraz

AFFORDABLE : Yalumba The Guardian Shiraz Viognier 2010

Type of Red Wine (Dry or Sweet) : Dry

Country of Origin : France (Bordeaux region)

องุ่นสายพันธุ์ Merlot ถือเป็น หนึ่งในองุ่นพันธุ์ชั้นนำของโลก อีกทั้งยังมีการปลูกกันอย่างแพร่หลาย ในภูมิภาค Bordeaux แห่ง France องุ่นสายพันธุ์ Merlot สามารถเจริญเติมโตได้ดีมาก ในสภาพอากาศหนาวเย็น ในขณะที่ Merlot นั้น ไม่อาจจะที่จะถูกปฎิเสธได้ว่า มันเป็นองุ่นสายพันธุ์สแตนอโลนที่ยอมเยี่ยมที่สุดสายพันธุ์นึง ไวน์แดงแบบ Merlot ส่วนใหญ่มักมีเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ที่สูงกว่า ไวน์แดงที่ใช้องุ่นพันธุ์อื่นๆ โดยปกแล้ว Merlot จะมีปริมาณ แอลกอฮอล์อยู่ที่ 13% ซึ่งถือว่าสูงใช้ได้เลยทีเดียว

ไวน์แดง Merlot เป็นไวน์ที่อยู่ในกลุ่ม Medium Bodiedd จนถึง Heavy Bodied ส่วนในเรื่องของ Tannins นั้น ก็ไม่ได้แตกต่างจากไวน์แดงตัวอื่นๆ มากมายสักเท่าไหร่ แต่ความพิเศษของ Merlot จะอยู่ตรงที่ นอกจากความฝาด และรสขม ที่มีอยู่ใน Tannins แล้ว Mernot จะมีรสชาติที่นุ่มนวลของ ผลพลัม และ เชอร์รี่สีดำ ที่มีรสหวาน มาตัดรสขมได้อย่างลงตัว แม้ว่า ไวน์แดงอย่าง Merlot จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูงกว่า ไวน์แดงตัวอื่นๆ แต่ในเรื่องของความนุ่ม และ ดื่มง่าลื่นไหลนั้น ถือเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับนักดื่มไวน์ทั่วโลก เลือกสรรค์อยู่เป็นประจำ

รสชาติที่ยอดเยี่ยม และออกไปทางละมุมลิ้นของ Merlot มันจึงสามารถจับคู่กับอาหารได้มากมาย แต่ที่ขึ้นชื่อลือชามากที่สุด สำหรับการจับคู่เพื่อยกระดับความยอดเยี่ยมในรสชาติแล้ว คงต้องยกให้ อาหารที่ปรุงจากเนื้อ ในรูปแบบของการอบ ยิ่งถ้าเกิดมีชีสทานคู่กันไปด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้ได้รสชาติที่โดดเด่นมากยิ่งขึ้นแบบสุดๆ ไปเลย

HIGH-END : Duckhorn Three Palms Merlot 2011

MID-RANGE : St. Supery Rutherford Merlot 2010

AFFORDABLE : Cannonball Merlot 2012

Pronounced : cab-uhr-NAY sow-veeh-yawn

Country of Origin : France (Bordeaux region)

Type of Red Wine (Dry or Sweet) : Dry

Cabernet Sauvignon Variety Market Share : 6.30%

สำหรับไวน์แดงอย่าง Cabernet Sauvignon คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากมายนัก เพราะมันคือ เจ้าของสมยา “King of Red Grapes” ที่คนในวงการไวน์ทั่วโลก ยกย่องให้กับความยอดเยี่ยมของ องุ่นสายพันธุ์ที่มีต้นกำเนิดมาจาก Bordeaux นี้ แต่ในแถบ Napa Valley ซึ่งตั้งอยู่ใน California ก็เป็นอีกแหล่งนึงที่ องุ่นสายพันธุ์นี้ชุกชุมมาก และต่อมาด้วย รัฐ Washington, South AMerica, Italy และ Australia

Cabernet Sauvignon เป็นไวน์แดง Full Bodied แน่อน แถมยังเปรี่ยมล้มไปด้วย Tannins อีกด้วย นั่นก็เพราะว่า มันเป็นไวน์แดง ที่อุดมไปด้วยผลไม้สีเข้ม เช่น เชอร์รี, แบล็คเบอร์รี่, แบล็คเคอเล้น และลูกเกด ที่มีกลิ่นหอมหวาน ตัดกับกลิ่นสมุนไพรจากใบหูกระต่ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ Cabernet Sauvignon จึงกลายเป็น king of Red Wide ตัวจริง อย่างที่ใครหลายๆ คนล่ำลือ

รสชาติยอดเยี่ยมอยู่แล้ว จะยิ่งดีขึ้นไปอีก เมื่อจับคู่กับเมนูอาหารที่ค่อนข้างมัน มีโปรตีนสูง อย่างเช่น เนื้อสัตว์ที่มีสีแดง ไม่ว่าจะเป็น เนื้อแกะก็ดี หรือจะเป็นเนื้อหมูที่มีคุณภาพสักชิ้น นำมาทำสเต็กให้สุกพอประมาณ รับเลยได้เลยว่า เหมือนสวรรค์อยู่ในปากก็ไม่เว่อจนเกินไปนัก

HIGH-END : Silver Oak Napa Valley Cabernet Sauvignon 2010

MID-RANGE : Stag’s Leap Wine Cellars Artemis Cabernet Sauvignon 2012

AFFORDABLE : Avalon Napa Cabernet Sauvignon 2012

Popular Types Of White Wine

Popular Types Of White Wine

จาก Chardonnay จนไปถึง Riesling สำหรับไวน์ขาวนั้น มีอยู่มากมายหลายรูปแบบ แต่คนส่วนใหญ่มักคิดว่า ไวน์ขาว จะต้องผลิตจากองุ่นสีทอง องุ่นสีเขียว และองุ่นสีขาวเพียงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว คุณรู้หรือไม่ว่า องุ่นแดง ก็สามารถนำมาใช้ทำไวน์ขาวได้เช่นกัน ในขณะที่ไวน์แดงส่วนใหญ่ จะมีรสชาติขมฝาด ตามด้วยรสเปรี้ยวที่ตามมาติดๆ แต่สำหรับ ไวน์ขานั้น มันจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปแบบสิ้นเชิง เพราะคุณจะได้ความหวาน และชุ่มฉ่ำสดชื่น เข้ามาแทนที่ และต่อไปนี้คือ 5 ไวน์ขาว ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด ซึ่งเราอยากให้ทุกคนได้ลิ้มลอง

Pronounced : SHEN-uhn Blahnk

Type of White Wine (Dry or Sweet) : Dry and Sweet Styles Exist

Country of Origin:  France (Loire Valley)

Chenin Blanc Variety Market Share : 0.76%

Hi! This is me “Natnicha Saejiw”. To all English learners, if you’re struggling with it, please remember that “It doesn’t matter how slowly you go as long as you do not stop”. Your effort’s worthy. Anyway, hope everyone enjoys reading this article!