Skip to content
Home » [NEW] จิตรกรเอกชาวฝรั่งเศสกับ 10 ผลงานชิ้นเอก | ประวัติฝรั่งเศส – NATAVIGUIDES

[NEW] จิตรกรเอกชาวฝรั่งเศสกับ 10 ผลงานชิ้นเอก | ประวัติฝรั่งเศส – NATAVIGUIDES

ประวัติฝรั่งเศส: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

ฝรั่งเศสเริ่มมีความก้าวหน้าด้านศิลปะหลังยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาฝรั่งเศส (French Renaissance) ในศตวรรษที่ 15 ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากอิตาลี และเริ่มโดดเด่นขึ้นมาบ้างช่วงศตวรรษที่ 17 ในยุคบาโรก (Baroque) จนมีความเจริญรุ่งเรืองเหนือกว่าอิตาลีในยุคโรโกโก (Rococo) และยุคนีโอคลาสสิก (Neo-Classic) ในช่วงศตวรรษที่18 ศูนย์กลางแห่งศิลปะของโลกเริ่มเคลื่อนย้ายจากอิตาลีมาสู่ฝรั่งเศส และตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมาฝรั่งเศสถือว่ามีความเจริญรุ่งเรืองด้านศิลปะถึงขีดสุด ในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) ต่อเนื่องมาถึงยุคศิลปะสมัยใหม่ (Modern Art) กรุงปารีสได้กลายเป็นเมืองหลวงแห่งศิลปะของโลกไปโดยปริยาย ศิลปินชั้นนำชาวฝรั่งเศสได้ชื่อว่ามีความคิดสร้างสรรค์ มุ่งมั่นพัฒนาเทคนิคและสไตล์ซึ่งนำไปสู่ศิลปะสมัยใหม่ที่หลากหลาย สร้างผลงานศิลปะได้โดดเด่นน่าประทับใจยิ่งนัก

และต่อไปนี้คือ 10 สุดยอดศิลปินเอกชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงมากที่สุดกับ 10 ผลงานชิ้นเอกของพวกเขา

1. โกลด มอแน (Claude Monet)Claude-Monet-00

มอแน เป็นผู้ริเริ่มศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ เป็นจิตรกรคนสำคัญของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 ถึง 20 เขาเกิดที่กรุงปารีสเมื่อปี 1840 แต่ไปเติบโตและเรียนศิลปะที่เมืองเลออาฟวร์ ในนอร์ม็องดีทางเหนือของฝรั่งเศส จนอายุ 19 ปีจึงได้มาล่าฝันการเป็นศิลปินต่อในกรุงปารีส ได้เรียนศิลปะเพิ่มและได้พบกับศิลปินที่มีความคิดต่อศิลปะแนวใหม่คล้ายๆกันหลายคน รวมทั้งเอดัวร์ มาแน และปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ ในปี 1865 มอแนได้พบกับ Camille Doncieux ซึ่งมาเป็นนางแบบให้และต่อมาได้เป็นภรรยาคนแรกของเขา มอแนเขียนภาพที่มี Camille อยู่ในภาพด้วยจำนวนมาก ที่โดดเด่นได้แก่ Camille (The Woman in the Green Dress), Women in the Garden, Woman with a Parasol

มอแนกับเพื่อนหลายคนช่วยกันผลักดันภาพเขียนแนวใหม่จนได้จัดแสดงนิทรรศการครั้งแรกในกรุงปารีสเมื่อปี 1874 มอแนใช้ภาพ ‘Impression, Sunrise’ เป็นภาพหนึ่งในการจัดแสดงซึ่งต่อมาชื่อภาพถูกนำไปใช้เรียกศิลปะแนวใหม่ว่าอิมเพรสชันนิสม์ แต่พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จและยังถูกต่อต้านจากกลุ่มนิยมศิลปะดั้งเดิม ทำให้มอแนต้องอยู่อย่างยากจนข้นแค้นยาวนานถึง 20 ปี

ปี 1883 มอแนย้ายไปอยู่ที่เมืองจิแวร์นีย์ ในนอร์ม็องดี และทำสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ใช้เป็นสถานที่เขียนภาพไปตลอดจนถึงบั้นปลายของชีวิต ภาพชุด Water Lilies ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา เขียนจากสวนหลังบ้านของเขาเอง ช่วงหลังมอแนนิยมเขียนภาพชุดที่มีองค์ประกอบเดียวกันแต่ต่างมุมมอง ต่างเวลา ต่างสภาวะอากาศและแสงสี เกิดเป็นภาพชุดที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมาย เช่น ชุด Rouen Cathedral, ชุด Poplars, ชุด Haystacks มอแนเสียชีวิตเมื่อปี 1926 ด้วยวัย 86 ปี ทิ้งผลงานให้ผู้คนได้ชื่นชมด้วยความ ‘ประทับใจ’ มากมาย

10 ผลงานชิ้นเอกของโกลด มอแน

Claude-Monet-01

Water Lilies

 

Claude-Monet-02

Impression, Sunrise

Claude-Monet-03

Women in the Garden

Claude-Monet-04

Woman with a Parasol – Madame Monet and Her Son

Claude-Monet-05

Camille (The Woman in the Green Dress)

Claude-Monet-06

Garden at Sainte-Adresse

Claude-Monet-07

Poppies

Claude-Monet-08

Rouen Cathedral at sunset

Claude-Monet-09

Three Trees in Grey Weather

Claude-Monet-10

Grainstacks at the End of the Summer, Morning Effect

 

2. ปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ (Pierre-Auguste Renoir)Pierre-Auguste-Renoir-00

เรอนัวร์เป็นหนึ่งในผู้สร้างศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ที่ให้ความสำคัญของการใช้สีสันสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าให้รายละเอียดที่เหมือนจริง งานของเรอนัวร์จะใช้สีสดใสมีชีวิตชีวา เน้นความสวยงามและเสน่ห์ของผู้หญิง เรอนัวร์เกิดในปี 1841 ที่เมือง Limoges ประเทศฝรั่งเศส แต่มาเติบโตที่กรุงปารีส เรียนศิลปะรุ่นเดียวกับโกลด มอแน เขาได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนภาพจากศิลปินรุ่นพี่หลายคนรวมทั้ง เอดัวร์ มาแน

เรอนัวร์มีผลงานเข้าร่วมในนิทรรศการศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์หลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่ 3 ในปี 1877 ที่เขาส่ง Dance at Le Moulin de la Galette ภาพเขียนที่โด่งดังที่สุดของเขาเข้าร่วมด้วย แต่เขามาประสบความสำเร็จกลายเป็นศิลปินยอดนิยมด้วยภาพ Madame Georges Charpentier and Her Children ที่ได้จัดแสดงในปี 1879 เรอนัวร์แต่งงานกับ Aline Charigot ผู้เป็นนางแบบให้ในภาพ Luncheon of the Boating Party และ The Large Bathers

ราวปี 1892 เรอนัวร์เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทำให้ต้องย้ายไปอยู่ในเมือง Cagnes-sur-Mer ที่มีอากาศอบอุ่นทางใต้ของประเทศ โรคข้ออักเสบทำให้เขาเคลื่อนไหวลำบาก แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ ยังคงเขียนภาพอย่างต่อเนื่อง โดยได้พัฒนาอุปกรณ์ช่วยให้เขาทำงานได้ แม้แต่ตอนที่อาการรุนแรงจนนิ้วมือเป็นอัมพาตขยับไม่ได้ เขายังใช้ผ้าผูกแปรงติดกับนิ้วมือเขียนภาพจนได้ สิ่งที่ปลอบประโลมใจเขาในปั้นปลายของชีวิตคือการได้กลับไปที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เพื่อดูภาพเขียนของเขาเองที่แขวนเคียงคู่อยู่กับศิลปินชั้นนำคนอื่นๆ เขาเสียชีวิตในปี 1919 ด้วยวัย 78 ปี

10 ผลงานชิ้นเอกของปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์

Pierre-Auguste-Renoir-01

Dance at Le Moulin de la Galette

 

Pierre-Auguste-Renoir-02

Luncheon of the Boating Party

Pierre-Auguste-Renoir-03

Two Sisters (On the Terrace)

Pierre-Auguste-Renoir-04

The Large Bathers

Pierre-Auguste-Renoir-05

Dance at Bougival

Pierre-Auguste-Renoir-06

La Grenouillère

Pierre-Auguste-Renoir-07

Girls at the Piano

Pierre-Auguste-Renoir-08

The Theatre Box

Pierre-Auguste-Renoir-09

The Umbrellas

Pierre-Auguste-Renoir-10

Madame Georges Charpentier and Her Children

 

3. ฌัก-หลุยส์ ดาวีด (Jacques-Louis David)jacques-louis-david-00

ฌัก-หลุยส์ ดาวีด เป็นจิตรกรชั้นนำผู้โดดเด่นแห่งยุคนีโอคลาสสิกในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ดาวีดเกิดที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี 1748 พ่อของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุเพียง 9 ปี เขาจึงไปอยู่กับลุงที่เป็นสถาปนิกผู้มั่งคั่ง ด้วยความชอบการวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจเขาจึงมุ่งหน้าเรียนการเขียนภาพเพื่อเป็นจิตรกรแทนการเป็นสถาปนิกอย่างที่แม่กับลุงต้องการ ดาวีดได้เข้าเรียนที่สถาบันศิลปะชั้นนำ Royal Academy ที่กรุงปารีส ปี 1774 เขาชนะการแข่งขัน Prix de Rome ได้รับทุนไปเรียนศิลปะที่กรุงโรมซึ่งเขาได้ศึกษาผลงานของศิลปินชั้นนำมากมาย รวมทั้งได้เที่ยวชมซากปรักหักพังของเมืองปอมเปอีที่เพิ่งขุดขึ้นใหม่ และได้ศึกษาผลงานของ Raphael ซึ่งทำให้เขาประทับใจในศิลปะแบบคลาสสิกอย่างไม่รู้ลืม

ปี 1780 ดาวีดกลับมาอยู่ที่ปารีสเริ่มสร้างผลงานและชื่อเสียงพร้อมกับสอนลูกศิษย์จำนวนมาก ผลงานชั้นยอดชิ้นแรกเป็นภาพ Oath of the Horatii ตามมาด้วยภาพ Death of Socrates ที่ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์เทียบเท่ากับภาพบนเพดานโบสถ์น้อยซิสทีนของ Michelangelo และภาพในห้องราฟาเอลที่พระราชวังวาติกันของ Raphael ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศสที่เริ่มต้นในปี 1789 ดาวีดเข้าร่วมกับฝ่ายปฏิวัติและได้เขียนภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การลอบสังหาร Marat นักคิดนักเขียนและหัวหอกสำคัญของฝ่ายปฏิวัติขณะอยู่ในอ่างอาบน้ำในชื่อภาพ The Death of Marat ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา นอกจากนี้ดาวีดยังเขียนภาพเหมือนบุคคลที่เป็นผลงานชั้นยอดมากมาย อย่างเช่นภาพ Portrait of Madame Récamier และภาพ Portrait of Émilie Sériziat and Her Son

หลังการปฏิวัตินโปเลียน โบนาปาร์ตได้เป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส พระองค์ชื่นชอบผลงานของดาวีดและให้เขาเป็นจิตรกรแห่งราชสำนัก ดาวีดจึงมีผลงานชิ้นเยี่ยมที่เป็นภาพของนโปเลียนหลายภาพอย่างเช่นภาพ Napoleon Crossing the Alps และภาพ The Emperor Napoleon in His Study at the Tuileries รวมทั้งผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา The Coronation of Napoleon ภาพเขียนสีน้ำมันขนาดยาวเกือบ 10 เมตร สูงกว่า 6 เมตร ซึ่งดาวีดใช้เวลาเขียนภาพนี้นานกว่า 3 ปี หลังจากนโปเลียนหมดอำนาจเขาจึงเนรเทศตัวเองไปอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม และเสียชีวิตที่นั่นในปี 1825 ดาวีดไม่เพียงมีผลงานภาพเขียนชั้นยอดมากมายเท่านั้น เขายังมีลูกศิษย์ที่ต่อมากลายเป็นศิลปินชั้นนำแห่งยุคอีกหลายคน รวมทั้ง Jean-Auguste-Dominique Ingres และ François Gérard

10 ผลงานชิ้นเอกของฌัก-หลุยส์ ดาวีด

jacques-louis-david-01

The Coronation of Napoleon

 

jacques-louis-david-02

The Death of Marat

jacques-louis-david-03

The Death of Socrates

jacques-louis-david-04

Oath of the Horatii

jacques-louis-david-05

Portrait of Madame Récamier

jacques-louis-david-06

Napoleon Crossing the Alps

jacques-louis-david-07

The Emperor Napoleon in His Study at the Tuileries

jacques-louis-david-08

Portrait of Émilie Sériziat and Her Son

jacques-louis-david-09

The Intervention of the Sabine Women

jacques-louis-david-10

The Lictors Bring to Brutus the Bodies of His Sons

 

4. ฌ็อง-โอกุสต์-ดอมีนิก แอ็งกร์ (Jean-Auguste-Dominique Ingres)jean-auguste-dominique-ingres-00

ฌ็อง-โอกุสต์-ดอมีนิก แอ็งกร์ เป็นจิตรกรคนสำคัญในยุคนีโอคลาสสิกผู้ได้รับการยกย่องว่าเขียนภาพเปลือยผู้หญิงได้สวยที่สุด แอ็งกร์เกิดเมื่อปี 1780 ที่เมือง Montauban ประเทศฝรั่งเศส เข้าเรียนที่สถาบันศิลปะที่เมือง Toulouse ซึ่งครอบครัวย้ายมาอยู่เมื่อปี 1791 พออายุ 17 ปีเขาไปศึกษาศิลปะต่อในสตูดิโอของ Jacques-Louis David ที่กรุงปารีส แอ็งกร์เป็นลูกศิษย์ David นาน 4 ปี จนปี 1801 เขาชนะการแข่งขัน Prix de Rome ได้ทุนไปศึกษาต่อที่กรุงโรม แต่สถาบันมีปัญหาด้านการเงินทำให้เขาต้องรอนานหลายปี ระหว่างที่รอเขาได้รับงานเขียนภาพพร้อมกับพัฒนาฝีมือโดยนำเอาเทคนิคที่ศึกษาจากภาพเขียนยุคเรอเนสซองส์ผสมผสานกับสิ่งที่เรียนรู้จาก David กลายเป็นสไตล์เฉพาะตัวซึ่งปรากฏในผลงานชั้นยอดชิ้นแรกๆคือภาพ Napoleon I on his Imperial Throne ก่อนที่เขาจะไปกรุงโรมในปี 1806

ระหว่างศึกษาที่สถาบัน Académie de France ในกรุงโรมแอ็งกร์ส่งภาพเขียนกลับมายังปารีสเพื่อประเมินความก้าวหน้าตามข้อกำหนดของนักเรียนทุน หลายภาพที่เขาส่งมาเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมที่กลายเป็นภาพดังในเวลาต่อมา ซึ่งรวมทั้งภาพ The Valpinçon Bather และภาพ Jupiter and Thetis หลังจบการศึกษาในปี 1811 แอ็งกร์ยังทำงานเขียนภาพที่โรมต่ออีกระยะหนึ่งก่อนที่จะเดินทางไปเมืองเนเปิลส์เพื่อเขียนภาพให้กษัตริย์แห่งเนเปิลส์ในปี 1814 ซึ่งเขาเขียนให้หลายภาพรวมทั้งภาพสำคัญหนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาคือภาพ Grande Odalisque ปี 1820 แอ็งกร์ย้ายไปอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์และสร้างผลงานในแนวภาพประวัติศาสตร์มีหลายภาพที่โดดเด่น ภาพ The Vow of Louis XIII ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์งานศิลปะอย่างมาก

หลังจากกลับมาอยู่ที่ปารีสแอ็งกร์ได้สร้างผลงานอันยอดเยี่ยมอีกมากมาย อย่างเช่นภาพ The Apotheosis of Home และภาพ Portrait of Monsieur Bertin ปี 1834 แอ็งกร์กลับไปอยู่ที่โรมอีกครั้งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการของสถาบัน Académie de France นาน 6 ปี ก่อนจะกลับมาเป็นอาจารย์ที่สถาบัน Ecole des Beaux-Arts ในปารีส พร้อมกับสร้างภาพเขียนชั้นยอดของเขาต่อไป แม้ขณะที่อายุมากกว่า 70 ปีแล้วแอ็งกร์ยังเขียนภาพได้อย่างยอดเยี่ยม ปี 1856 เขาเขียนภาพ The Source ซึ่งเขาทำค้างไว้ตั้งแต่ปี 1820 จนเสร็จสมบูรณ์และกลายเป็นหนึ่งในภาพผู้หญิงเปลือยที่สวยที่สุด หลังจากนั้นอีกหลายปีเขายังได้เขียนภาพ The Turkish Bath ซึ่งเป็นภาพที่มีชื่อเสียงอย่างมากอีกภาพหนึ่ง แอ็งกร์เสียชีวิตเมื่อปี 1867 ด้วยวัย 86 ปี ทิ้งผลงานชั้นยอดเอาไว้มากมาย แม้ตัวแอ็งกร์เองคิดว่าเขาเป็นจิตรกรเขียนภาพประวัติศาสตร์ แต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับคิดว่าภาพเหมือนบุคคลคือมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา

10 ผลงานชิ้นเอกของฌ็อง-โอกุสต์-ดอมีนิก แอ็งกร์

jean-auguste-dominique-ingres-01

Grande Odalisque

 

jean-auguste-dominique-ingres-02

The Valpinçon Bather

jean-auguste-dominique-ingres-03

Napoleon I on his Imperial Throne

jean-auguste-dominique-ingres-04

Portrait of Monsieur Bertin

jean-auguste-dominique-ingres-05

The Vow of Louis XIII

jean-auguste-dominique-ingres-06

The Apotheosis of Homer

jean-auguste-dominique-ingres-07

Jupiter and Thetis

jean-auguste-dominique-ingres-08

The Source

jean-auguste-dominique-ingres-09

The Turkish Bath

jean-auguste-dominique-ingres-10

Madame Moitessier

 

5. แอดการ์ เดอกา (Edgar Degas)edgar-degas-00

แอดการ์ เดอกา เป็นศิลปินผู้โดดเด่นในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ เขาเป็นทั้งจิตรกร ประติมากร และช่างภาพพิมพ์คนสำคัญของฝรั่งเศส เดอกาเกิดที่กรุงปารีสเมื่อปี 1834 เขาชอบการเขียนภาพตั้งแต่เด็กแต่ต้องเข้าเรียนวิชากฎหมายตามความต้องการของพ่อ จากนั้นจึงได้เรียนศิลปะที่สถาบัน École des Beaux-Arts ปี 1856 เดอกาเดินทางไปอิตาลีศึกษาและคัดลอกภาพเขียนของศิลปินชั้นครูยุคเรอเนสซองส์หลายคนรวมทั้ง Michelangelo, Raphael และ Titian เขาฝึกฝีมืออยู่ที่อิตาลีถึง 3 ปีและยังคัดลอกภาพในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์อีกหลายปี ทำให้เขามีฝีมือการเขียนลายเส้นที่สวยงามที่สุดคนหนึ่ง ระหว่างที่อยู่ในอิตาลีเขาได้เริ่มต้นสร้างภาพเขียนชิ้นเอกชิ้นแรกคือภาพ Portrait of the Bellelli Family

เดอกากลับปารีสในปี 1859 และเริ่มสร้างผลงานในแนวภาพประวัติศาสตร์อยู่หลายปีก่อนจะเปลี่ยนแนวหลังจากได้เจอกับ Édouard Manet ปี 1864 เขาย้ายไปอยู่ที่เมืองนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกาอยู่พักหนึ่งหลังเสร็จสิ้นภารกิจการเป็นทหารเกณฑ์ในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ที่นั่นเขาได้เขียนภาพชิ้นเยี่ยม A Cotton Office in New Orleans แม้เดอกาจะเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ แต่เขาไม่เขียนภาพกลางแจ้งเหมือนศิลปินคนอื่น เขาชอบเขียนภาพในสตูดิโอและชอบเขียนภาพนักเต้นบัลเลต์เป็นพิเศษ ผลงานของเขากว่าครึ่งหนึ่งเป็นภาพนักเต้นที่มีลายเส้นและท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่งดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ผลงานชิ้นเยี่ยมในบรรดาภาพเหล่านี้ได้แก่ภาพ The Ballet Class, Ballet Rehearsal และ The Dance Class

เดอกาชอบเขียนภาพบรรยากาศในคาเฟ่ เขามีผลงานชั้นยอดที่เป็นทั้งภาพนักร้องในคาเฟ่และผู้ที่มาดื่มกินจำนวนมาก ภาพ In a Café (The Absinthe Drinker) เป็นหนึ่งในภาพที่ยอดเยี่ยมและมีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา เดอกายังชอบเขียนภาพนู้ดผู้หญิงในหลากหลายอิริยาบถ, ภาพบรรยากาศในสนามแข่งม้า รวมทั้งภาพเหมือนบุคคลด้วย นอกจากงานเขียนภาพแล้วเขายังมีผลงานด้านประติมากรรมที่มีความโดดเด่นเช่นกัน เดอกาผู้ได้ชื่อว่าเป็นจิตรกรคลาสสิกแต่วาดภาพสมัยใหม่เสียชีวิตในปี 1917 ด้วยวัย 83 ปี โดยไม่ได้แต่งงานกับใครแม้จะมีความใกล้ชิดกับผู้หญิงหลายคน เขาทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตสร้างงานศิลปะที่เขารักเหนือสิ่งอื่นใด

10 ผลงานชิ้นเอกของแอดการ์ เดอกา

edgar-degas-01

In a Café (The Absinthe Drinker)

 

edgar-degas-02

The Ballet Class

edgar-degas-03

Ballet Rehearsal

edgar-degas-04

The Dance Class

edgar-degas-05

A Cotton Office in New Orleans

edgar-degas-06

Portrait of the Bellelli Family

edgar-degas-07

Interior

edgar-degas-08

The Rehearsal of the Ballet Onstage

edgar-degas-09

The Millinery Shop

edgar-degas-10

Place de la Concorde

 

6. เอดัวร์ มาแน (Édouard Manet)edouard-manet-00

เอดัวร์ มาแน เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศสคนแรกๆที่ฉีกแนวการเขียนภาพแบบดั้งเดิมมาเป็นการเขียนภาพชีวิตสมัยใหม่ เป็นคนสำคัญในการเปลี่ยนจากศิลปะแบบสัจนิยมมาเป็นแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ เขาเกิดเมื่อปี 1832 ที่กรุงปารีส มาแนชอบวาดรูปตั้งแต่เด็กแต่พ่ออยากให้เป็นนักกฎหมายเหมือนตัวเองจึงต้องเรียนตามใจพ่อ กว่าจะได้เริ่มเรียนศิลปะจริงจังก็ตอนอายุได้ 18 ปีแล้ว เขาเรียนเขียนภาพกับ Thomas Couture นาน 6 ปี พอมีเวลาว่างเขาก็ไปคัดลอกภาพเขียนชื่อดังในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ระหว่างปี 1853-1856 เดินทางไปในเยอรมัน, อิตาลี และเนเธอร์แลนด์เพื่อศึกษาผลงานของศิลปินเลื่องชื่อ ก่อนจะกลับมาเป็นจิตรกรมืออาชีพที่ปารีสในปี 1856

มาแนเริ่มต้นด้วยการเขียนภาพแบบสัจนิยมเป็นหลัก มีการเขียนภาพแนวศาสนาและเรื่องจากตำนานบ้างเล็กน้อย เขาค่อยๆพัฒนาสไตล์การเขียนภาพเป็นแบบฉบับของตัว จนถึงปี 1862 จึงได้เขียนภาพสำคัญชิ้นแรกคือภาพ Music in the Tuileries ปีต่อมาเขาสร้างผลงานชิ้นเอก 2 ภาพคือภาพ Luncheon on the Grass และ Olympia ซึ่งทั้งสองภาพได้รับการวิพากษ์วิจารณ์และโต้เถียงกันอย่างมาก เพราะบรรดานักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญศิลปะรุ่นเก่ายังรับการนำเสนอแบบใหม่ในงานของเขาไม่ได้ แต่ต่อมาทั้งสองภาพนี้กลายเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดของเขาและยังเป็นต้นธารแห่งศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ที่กำเนิดโดยกลุ่มศิลปินรุ่นหลังที่เป็นเพื่อนของเขาหลายคน รวมทั้ง Claude Monet และครอบครัวที่เขาใช้เป็นแบบในภาพเขียนชั้นยอดของเขาหลายภาพ หนึ่งในนั้นคือภาพ Boating

มาแนชอบเขียนภาพที่มีฉากหลังเป็นภูมิทัศน์เมืองปารีส ภาพ The Railway เป็นอีกผลงานหนึ่งที่ได้รับการชื่นชอบมาก เขาเขียนภาพเหมือนได้อย่างยอดเยี่ยมและมีเสน่ห์ในสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่างเช่นภาพ Berthe Morisot with a Bouquet of Violets มาแนมีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์อยู่ราว 20 ปี ซึ่งเขาได้สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมไว้จำนวนมาก ภาพเขียนสำคัญชิ้นสุดท้ายของเขาคือภาพ A Bar at the Folies-Bergère ซึ่งเขียนเสร็จในปี 1882 หลังจากนั้นเขาจะเขียนแต่ภาพขนาดเล็กพวกภาพเหมือนและภาพดอกไม้ในแจกัน มาแนเสียชีวิตในปี 1883 ด้วยวัย 51 ปี ผลงานการพัฒนาสไตล์การเขียนภาพแบบใหม่ของเขาถือเป็นนวัตกรรมที่มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นต่อมานำไปใช้สร้างสรรค์ศิลปะสมัยใหม่

10 ผลงานชิ้นเอกของเอดัวร์ มาแน

edouard-manet-01

Olympia

 

edouard-manet-02

Luncheon on the Grass

edouard-manet-03

A Bar at the Folies-Bergère

edouard-manet-04

The Railway

edouard-manet-05

Luncheon in the Studio

edouard-manet-06

Boating

edouard-manet-07

The grand canal of Venice (Blue Venice)

edouard-manet-08

In the Conservatory

edouard-manet-09

Berthe Morisot with a Bouquet of Violets

edouard-manet-10

Music in the Tuileries

 

7. เออแฌน เดอลาครัว (Eugène Delacroix)eugene-delacroix-00

เออแฌน เดอลาครัว เป็นศิลปินคนสำคัญของฝรั่งเศสผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำของศิลปะแบบโรแมนติก เขาเกิดเมื่อปี 1798 ที่เมืองเล็กๆใกล้กรุงปารีสและเติบโตที่นั่น ปี 1815 เดอลาครัวเรียนการเขียนภาพกับ Pierre-Narcisse Guérin จิตรกรชาวปารีสในสไตล์นีโอคลาสสิกของ Jacques-Louis David แต่เขากลับได้รับแรงบันดาลใจในเรื่องการใช้สีกับการเคลื่อนไหวจาก Peter Paul Rubens และศิลปินชาวเวนิสในยุคเรอเนสซองส์ และได้รับอิทธิพลจากเพื่อนศิลปินแนวโรแมนติกของเขาหลายคน รวมทั้งนักเปียนโน Frédéric Chopin และนักเขียน George Sand ปี 1822 เดอลาครัวมีผลงานสำคัญชิ้นแรกคือภาพ The Barque of Dante ซึ่งถือกันว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงลักษณะการเล่าเรื่องจากแบบนีโอคลาสสิกมาเป็นแบบโรแมนติก

อีกสองปีต่อมาเดอลาครัวคลอดผลงานชิ้นเอกคือภาพ The Massacre at Chios ที่เขาเสนอภาพความน่ากลัวของการทำลายล้างของสงครามในเหตุการณ์สังหารหมู่บนเกาะ Chios ได้อย่างยอดเยี่ยม ตามมาด้วยภาพ Greece on the Ruins of Missolongh ในเหตุการณ์เดียวกันซึ่งสะท้อนความรู้สึกของชาวกรีซที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพ ปี 1827 เดอลาครัวมีผลงานชั้นยอดออกมาอีกคราวนี้เป็นเรื่องราวจากบทละครในชื่อภาพ The Death of Sardanapalus ซึ่งได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ศิลปะอย่างมาก เขาใช้เวลาเพียง 5 ปีสร้างชื่อจากคนที่ไม่มีใครรู้จักกลายเป็นจิตรกรชื่อดังชั้นแนวหน้าของประเทศ ปี 1830 ฝรั่งเศสเกิดเหตุการณ์ July Revolution การปฏิวัติโค่นล้มพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 10 เดอลาครัวเขียนภาพ Liberty Leading the People เป็นอนุสรณ์ของเหตุการณ์ดังกล่าวโดยเขาเสนอภาพของเทพีแห่งสันติภาพนำหน้าผู้คนข้ามอุปสรรคและคนที่ล้มลง ในมือของเธอถือธง 3 สีซึ่งต่อมากลายเป็นธงชาติฝรั่งเศส และภาพนี้ได้กลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา

ปี 1832 เดอลาครัวเดินทางไปยังสเปนและประเทศในทวีปแอฟริกาเหนือในภารกิจทางการทูตที่โมร็อคโคหลังจากฝรั่งเศสเข้ายึดครองอัลจีเรีย ตัวเขาเองก็ต้องการหนีจากความศิวิไลซ์ของปารีสไปสัมผัสวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมในประเทศเหล่านั้น ในการเดินทางครั้งนี้เดอลาครัวได้เขียนภาพวิถีชีวิตของคนแถบแอฟริกาเหนือกว่า 100 ภาพ หลายภาพเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมของเขาอย่างเช่นภาพ Women of Algiers in their Apartment และภาพ Entry of the Crusaders in Constantinople ต่อมาเดอลาครัวหันไปรับงานเขียนภาพฝาผนังในอาคารสาธารณะ รวมทั้งเขียนภาพปูนเปียกที่โบสถ์ด้วย พออายุมากขึ้นเดอลาครัวซึ่งมีปัญหาการติดเชื้อในลำคอมักจะออกไปพักผ่อนในกระท่อมของเขาที่ Champrosay นอกกรุงปารีส เขาเสียชีวิตในปี 1863 ในวัย 65 ปี

10 ผลงานชิ้นเอกของเออแฌน เดอลาครัว

eugene-delacroix-01

Liberty Leading the People

 

eugene-delacroix-02

The Death of Sardanapalus

eugene-delacroix-03

The Massacre at Chios

eugene-delacroix-04

The Barque of Dante

eugene-delacroix-05

Greece on the Ruins of Missolonghi

eugene-delacroix-06

Women of Algiers in their Apartment

eugene-delacroix-07

Entry of the Crusaders in Constantinople

eugene-delacroix-08

Orphan Girl at the Cemetery

eugene-delacroix-09

The fanatics of Tangiers

eugene-delacroix-10

A Young Tiger Playing with Its Mother

 

8. ปอล เซซาน (Paul Cézanne)paul-cezanne-00

ปอล เซซาน เป็นจิตรกรคนสำคัญชาวฝรั่งเศสในลัทธิประทับใจยุคหลังผู้วางรากฐานแนวคิดสู่ศิลปะสมัยใหม่ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในศตวรรษที่ 20 เซซานเกิดเมื่อปี 1839 ที่เมือง Aix-en-Provence ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส หลังจากต้องเรียนกฎหมายตามความต้องการของพ่อที่เป็นนายธนาคารอยู่นาน ปี 1861 เขาจึงได้โอกาสไปเรียนศิลปะที่กรุงปารีสและได้รู้จักคลุกคลีอยู่กับกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์หลายคน โดยเฉพาะ Camille Pissarro ที่สอนการเขียนภาพในสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์แก่เขาและยังได้เขียนภาพด้วยกันอยู่หลายปี เซซานจึงเปลี่ยนแนวจากการใช้สีมืดทึบในช่วงแรกๆมาเป็นสีสว่างสดใสขึ้น ผลงานเด่นในช่วงนี้ได้แก่ภาพ The House of Hanged Man, ภาพ L’Estaque, Melting Snow และภาพ A Modern Olympia

ต้นทศวรรษ 1880 เซซานย้ายไปอยู่ที่ Provence ที่ซึ่งเขาได้พัฒนาสไตล์การเขียนภาพเป็นของตัวเอง เขาชอบเขียนภาพทิวทัศน์ภูเขา Montagne Sainte-Victoire มาก หากใครได้ดูภาพทิวทัศน์ภูเขาลูกนี้ที่เขาเขียนไว้ทั้งหมดหลายสิบภาพก็จะเห็นพัฒนาการในสไตล์การเขียนภาพของเขาได้อย่างชัดเจน และแน่นอนว่าภาพ Montagne Sainte-Victoire เป็นผลงานได้รับการยกย่องในลำดับต้นๆ นอกจากนี้เซซานยังมีผลงานการเขียนภาพเหมือนที่ยอดเยี่ยมในแบบฉบับของตัวเองอีกมากมาย ที่โดดเด่นได้แก่ภาพ The Boy in the Red Vest และ Portrait of Madame Cézanne with Loosened Hair เป็นต้น

หลังจากปี 1990 เซซานต้องประสบกับปัญหาในชีวิตหลายอย่าง เขาเป็นโรคเบาหวาน รวมทั้งแยกกันอยู่กับภรรยา แต่เขายังคงทำงานเขียนภาพอย่างต่อเนื่องผลิตผลงานชั้นยอดออกมามากมาย พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงแนวคิดและสไตล์สู่ความแปลกใหม่มากยิ่งขึ้น ผลงานระดับสุดยอดของเขาก็เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ อย่างเช่นภาพ The Card Players และ The Bathers รวมทั้งภาพหุ่นนิ่งที่มักมีลูกแอปเปิลเป็นองค์ประกอบหลักที่เขาเขียนไว้หลายสิบภาพด้วยกัน เซซานเสียชีวิตในปี 1906 ขณะมีอายุ 67 ปี ทิ้งมรดกเป็นผลงานภาพเขียนมากกว่า 1,000 ภาพ ผลงานของเขาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างลัทธิประทับใจกับลัทธิคิวบิสม์ หลายคนให้การยกย่องเขาเป็น “บิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่”

10 ผลงานชิ้นเอกของปอล เซซาน

paul-cezanne-01

The Card Players

 

paul-cezanne-02

The Bathers

paul-cezanne-03

The Boy in the Red Vest

paul-cezanne-04

A Modern Olympia

paul-cezanne-05

Portrait of Madame Cézanne with Loosened Hair

paul-cezanne-06

Curtain, Jug and Fruit

paul-cezanne-07

Pyramid of Skulls

paul-cezanne-08

Mont Sainte-Victoire

paul-cezanne-09

The House of Hanged Man

paul-cezanne-10

L’Estaque, Melting Snow

 

9. ปอล โกแก็ง (Paul Gauguin)paul-gauguin-00

ปอล โกแก็ง เป็นศิลปินคนสำคัญอีกคนหนึ่งในลัทธิประทับใจยุคหลังชาวฝรั่งเศส เขาได้พัฒนาการเขียนภาพแนวใหม่หลุดพ้นจากความเป็นอิมเพรสชั่นนิสม์ปูทางสู่ศิลปะสมัยใหม่ โกแก็งเกิดเมื่อปี 1848 ที่กรุงปารีส เขาไม่เคยเรียนศิลปะที่สถาบันใดมาก่อนแต่ชอบเขียนภาพ เริ่มจากยามว่างจากงานในอาชีพนายหน้าค้าหุ้นและจริงจังมากขึ้นจนกระทั่งหันมาเขียนภาพอย่างเดียวตั้งแต่ปี 1882 โกแก็งเป็นเพื่อนกับศิลปินในกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์หลายคน เขาเขียนภาพด้วยกันกับ Camille Pissarro, Paul Cézanne และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Vincent van Gogh ผู้ที่ชื่นชอบเขาเป็นพิเศษและได้เขียนภาพด้วยกันที่เมือง Arles ซึ่งเป็นที่มาของภาพดัง The Painter of Sunflowers และเหตุการณ์เฉือนใบหูตัวเองของ van Gogh

โกแก็งเริ่มเขียนภาพในแนวอิมเพรสชั่นนิสม์แต่เขาได้พัฒนาสไตล์จนเป็นแบบฉบับของตัวเอง ภาพ Vision After the Sermon ในปี 1888 เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของเขา ตามมาด้วยภาพ The Yellow Christ ในปีถัดมา ปี 1891 เขาออกเดินทางล่าฝันหนีจากดินแดนแห่งประเพณีนิยมและจอมปลอมอย่างกรุงปารีสไปใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะตาฮิติ ที่นั่นเขาได้เขียนภาพทิวทัศน์ของเกาะและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวตาฮิติในสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองออกมามากมาย ที่โดดเด่นได้แก่ภาพ Tahitian Women on the Beach, Hail Mary รวมทั้งภาพ When Will You Marry? ที่กลายเป็นหนึ่งในภาพเขียนที่มีราคาแพงที่สุดในโลก

หลังจากกลับมากรุงปารีสในปี 1893 โกแก็งยังคงเขียนภาพชีวิตชาวตาฮิตาต่อไป อย่างเช่นภาพ Day of the God แต่เขาอยู่ที่ปารีสได้อีกไม่นานเพราะเขารักชีวิตการเป็นชาวเกาะเสียแล้ว ปี 1895 เขาจึงย้ายไปอยู่ที่เกาะตาฮิติอย่างถาวร พร้อมกับสร้างผลงานชั้นยอดเพิ่มอีกจำนวนมาก รวมทั้งภาพ Where Do We Come From? What Are We? Where Are We Going? และภาพ O Taiti (Nevermore) ช่วงบั้นปลายชีวิตโกแก็งย้ายไปพักอาศัยอยู่อย่างสงบในบ้านหลังเล็กๆที่เกาะ Marquesas อันห่างไกล เขาเสียชีวิตในปี 1903 ด้วยวัย 56 ปี หลังจากที่เขาจากไปชื่อเสียงกลับยิ่งเพิ่มพูนและผลงานของเขามีอิทธิพลต่อศิลปินสมัยใหม่รุ่นหลังจำนวนมาก รวมทั้ง Pablo Picasso และ Henri Matisse

10 ผลงานชิ้นเอกของปอล โกแก็ง

paul-gauguin-01

When Will You Marry

 

paul-gauguin-02

Tahitian Women on the Beach

paul-gauguin-05

The Painter of Sunflowers

paul-gauguin-06

Vision After the Sermon

paul-gauguin-08

Hail Mary

paul-gauguin-03

Where Do We Come From What Are We Where Are We Going (1897-1898)

paul-gauguin-04

The Yellow Christ

paul-gauguin-07

Spirit of the Dead Watching

paul-gauguin-09

Day of the God

paul-gauguin-10

O Taiti (Nevermore)

 

10. โอกุสต์ รอแด็ง (Auguste Rodin)auguste-rodin-00

โอกุสต์ รอแด็ง เป็นประติมากรชาวฝรั่งเศสผู้มีผลงานโดดเด่นที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 เขาเกิดเมื่อปี 1840 ที่กรุงปารีส ตอนอายุ 14 ปีเข้าเรียนศิลปะที่โรงเรียนเล็กๆจนถึงปี 1857 รอแด็งพยายามสอบเข้าสถาบัน École des Beaux-Arts ถึงสามครั้งแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะผลงานที่เขานำเสนอยังไม่เข้าตากรรมการ เขาจึงออกจากโรงเรียนมาทำงานเลี้ยงชีพด้วยการเป็นช่างฝีมือทำชิ้นงานเครื่องประดับและงานตกแต่งทางสถาปัตย์ ปี 1875 เดินทางไปอิตาลีศึกษาผลงานของ Michelangelo และ Donatello ซึ่งช่วยปลดปล่อยเขาจากการสร้างประติมากรรมตามหลักวิชาและกระตุ้นอัจฉริยภาพทางศิลปะของเขาออกมา ปี 1877 เขาได้สร้างผลงานสำคัญชิ้นแรกคือรูปปั้นสำริด The Age of Bronze และตามมาด้วยรูปปั้น St. John the Baptist Preaching ในปี 1880 ซึ่งได้รับการชื่นชมอย่างสูงส่งผลให้รอแด็งกลายเป็นประติมากรมีชื่อเสียงในวัย 40 ปี

ปี 1880 รอแด็งรับงานสร้างประตูทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีแผนจะสร้างในอนาคต เป็นงานสำคัญชิ้นใหญ่ที่ชื่อ The Gates of Hell เขาได้แรงบันดาลใจในการสร้างงานชิ้นนี้จากบทกวีเรื่อง Divine Comedy ของ Dante Alighieri กวีคนสำคัญของอิตาลี รอแด็งตั้งใจส่งมอบงานชิ้นนี้ในปี 1885 แต่เอาเข้าจริงเขาทำต่อเนื่องจนกระทั่งเขาเสียชีวิตเป็นเวลา 37 ปี The Gates of Hell ประกอบด้วยรูปปั้นย่อยถึง 186 ชิ้น มีหลายชิ้นถูกเขานำไปขยายเป็นผลงานชิ้นใหญ่ต่างหากและมีชื่อเสียงอย่างมาก โดยเฉพาะรูปปั้น The Thinker ซึ่งเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและมีการหล่อซ้ำเพื่อติดตั้งในสถานที่สำคัญทั่วโลกหลายสิบแห่ง รวมทั้งรูปปั้น The Kiss และ The Three Shades ซึ่งมีชื่อเสียงไม่แพ้กัน

รอแด็งยังมีผลงานที่ยอดเยี่ยมอีกจำนวนมาก อย่างเช่นรูปปั้น The Burghers of Calais, Monument to Balzac และ The Walking Man เป็นต้น พอถึงทศวรรษ 1990 เขาก็กลายเป็นประติมากรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ผลงานประติมากรรมของเขาเป็นที่ต้องการอย่างสูงทั่วโลก ที่จริงรอแด็งยังมีผลงานด้านอื่นอีกจำนวนมากทั้งภาพเขียน ภาพวาด และภาพพิมพ์นับพันชิ้น แต่ความดังในงานประติมากรรมของเขาได้บดบังผลงานด้านอื่นจนมิด หลายคนให้การยกย่องเขาเทียบชั้นกับ Michelangelo เลยทีเดียว รอแด็งเสียชีวิตขณะมีอายุ 77 ปี ในปี 1917 ปีเดียวกันกับการเสียชีวิตของ Rose Beuret ภรรยาคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันกว่า 50 ปีแต่เพิ่งแต่งงานกันก่อนเธอเสียชีวิตเพียง 2 สัปดาห์

10 ผลงานชิ้นเอกของโอกุสต์ รอแด็ง

auguste-rodin-01

The Thinker

 

auguste-rodin-02

The Gates of Hell

auguste-rodin-03

The Kiss

auguste-rodin-04

The Three Shades

auguste-rodin-05

The Age of Bronze

auguste-rodin-06

The Burghers of Calais

auguste-rodin-07

Saint John the Baptist

auguste-rodin-08

The Walking Man

auguste-rodin-09

Man with the Broken Nose

auguste-rodin-10

Monument to Balzac

 

ข้อมูลและภาพจาก  ranker, timeout, wikipedia, britannica

[NEW] | ประวัติฝรั่งเศส – NATAVIGUIDES

มาจากคำภาษาฝรั่งเศสในยุคกลาง ” surnom ” ซึ่งแปลว่า “ชื่อเหนือหรือมากกว่า” ชื่อนามสกุลที่สื่อความหมายตามการใช้ในฝรั่งเศสย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 11 เมื่อครั้งแรกจำเป็นต้องเพิ่มชื่อที่สองเพื่อแยกความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มี ชื่อเดียวกัน ถึงกระนั้นการใช้นามสกุลก็ไม่ได้กลายเป็นเรื่องธรรมดามาหลายศตวรรษแล้ว

นามสกุลและนามสกุล

ตามชื่อของผู้ปกครองผู้มีพระคุณและคู่สมรสเป็นวิธีที่ใช้กันมากที่สุดในการสร้างนามสกุลภาษาฝรั่งเศส นามสกุลตามชื่อบิดาและนามสกุลตามชื่อมารดา ชื่อของแม่มักจะใช้เมื่อไม่ทราบชื่อของพ่อเท่านั้น

นามสกุลและนามสกุลในฝรั่งเศสถูกสร้างขึ้นในหลายวิธี นามสกุลฝรั่งเศสและนามสกุลส่วนใหญ่ไม่มีคำนำหน้าในการระบุและเป็นคำที่มาจากชื่อของผู้ปกครองโดยตรงเช่น August Landry สำหรับ “August, son of Landri” หรือ Tomas Robert สำหรับ “Tomas, son of Robert” รูปแบบทั่วไปของการติดคำนำหน้าหรือคำต่อท้ายที่มีความหมายว่า “son of” (เช่นde, des, du, lu หรือ Norman fitz ) กับชื่อที่กำหนดนั้นพบได้น้อยในฝรั่งเศสมากกว่าในหลายประเทศในยุโรปแม้ว่าจะยังแพร่หลายอยู่ก็ตาม ตัวอย่างเช่น Jean de Gaulle ซึ่งหมายถึง “John, son of Gaulle” หรือ Tomas FitzRobert หรือ “Tomas, son of Robert” คำต่อท้ายแปลว่า “ลูกชายตัวน้อยของ” (- eau, -elet, -elin, -elle, -elet,

นามสกุลอาชีพ

นอกจากนี้ยังพบได้บ่อยในนามสกุลภาษาฝรั่งเศสนามสกุลในอาชีพจะขึ้นอยู่กับหน้าที่การงานหรือการค้าของบุคคลนั้นเช่น Pierre Boulanger หรือ “Pierre, the baker” อาชีพทั่วไปหลายอย่างที่พบบ่อยในนามสกุลของฝรั่งเศส ได้แก่ Caron (รถลาก), Fabron (ช่างตีเหล็ก) และ Pelletier (พ่อค้าขนสัตว์)

นามสกุลที่สื่อความหมาย

ตามคุณภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลนามสกุลภาษาฝรั่งเศสที่สื่อความหมายมักได้รับการพัฒนามาจากชื่อเล่นหรือชื่อสัตว์เลี้ยงเช่น Jacques Legrand สำหรับ Jacques “the Big” ตัวอย่างทั่วไปอื่น ๆ ได้แก่ Petit (ตัวเล็ก) และ LeBlanc (ผมสีบลอนด์หรือผิวขาว)

นามสกุลทางภูมิศาสตร์

นามสกุลภาษาฝรั่งเศสทางภูมิศาสตร์หรือที่อยู่อาศัยนั้นขึ้นอยู่กับที่อยู่อาศัยของบุคคลซึ่งมักเป็นที่อยู่อาศัยเดิม (เช่น Yvonne Marseille หมายถึง Yvonne จากหมู่บ้าน Marseille) นอกจากนี้ยังอาจอธิบายสถานที่เฉพาะของแต่ละคนภายในหมู่บ้านหรือเมืองเช่น Michel Légliseซึ่งอาศัยอยู่ถัดจากโบสถ์ คำนำหน้า”de,” “des,” “du,”และ”le” (ซึ่งแปลเป็น “of”) ยังใช้ในนามสกุลทางภูมิศาสตร์ของฝรั่งเศส 

นามแฝงนามสกุลหรือชื่อDit

ในบางพื้นที่ของฝรั่งเศสอาจมีการนำนามสกุลที่สองมาใช้เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างสาขาต่างๆของตระกูลเดียวกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครอบครัวยังคงอยู่ในเมืองเดียวกันมาหลายชั่วอายุคน นามสกุลนามแฝงเหล่านี้มักจะนำหน้าด้วยคำว่า ” dit ” บางครั้งแม้บุคคลนำดิษฐ์ชื่อเป็นชื่อครอบครัวและทิ้งนามสกุลเดิมแนวปฏิบัตินี้พบมากที่สุดในฝรั่งเศสในหมู่ทหารและกะลาสีเรือ

ชื่อภาษาฝรั่งเศสที่มีต้นกำเนิดดั้งเดิม

ในฐานะที่เป็นสกุลฝรั่งเศสจำนวนมากเพื่อจะได้มาจากชื่อแรกมันเป็นสิ่งสำคัญที่จะรู้ว่าหลายคนที่พบบ่อยฝรั่งเศสชื่อแรกมีต้นกำเนิดดั้งเดิมอย่างไรก็ตามชื่อเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฝรั่งเศสเป็นผลมาจากการรุกรานของเยอรมันเพื่อให้มีชื่อที่มีต้นกำเนิดดั้งเดิมไม่ได้หมายความว่าคุณมีบรรพบุรุษเยอรมัน

การเปลี่ยนแปลงชื่อทางการในฝรั่งเศส

เริ่มตั้งแต่ปี 1474 ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนชื่อจะต้องได้รับอนุญาตจากกษัตริย์ (สามารถดูการเปลี่ยนแปลงชื่อทางการเหล่านี้ได้ในดัชนี “L ‘Archiviste Jérôme. Dictionnaire des changements de noms de 1803–1956” (พจนานุกรมเปลี่ยนชื่อตั้งแต่ปี 1803 ถึง 1956) ปารีส: Librairie Francaise, 1974)

100 นามสกุลภาษาฝรั่งเศสทั่วไปและความหมาย

  1. Abadie (วัดหรือโบสถ์ของครอบครัว)
  2. Alarie (พลังทั้งหมด)
  3. Allard (ขุนนาง)
  4. Anouilh (หนอนช้า)
  5. Archambeau (กล้าได้กล้าเสีย)
  6. Arsenault (ผู้ผลิตปืนผู้ดูแลคลังแสง)
  7. Auclair (ใส)
  8. Barbeau (ปลาชนิดหนึ่งชาวประมง)
  9. บาร์บิเอร์ (ช่างตัดผม)
  10. Bassett (ต่ำสั้นหรือต้นกำเนิดต่ำต้อย)
  11. เบาเดแลร์ (ดาบเล็กกริช)
  12. Beauregard (มุมมองที่สวยงาม)
  13. Beausoleil (ดวงอาทิตย์ที่สวยงามสถานที่ที่มีแดด)
  14. เบลลามี่ (เพื่อนสวย)
  15. Berger (คนเลี้ยงแกะ)
  16. Bisset (ช่างทอผ้า)
  17. Blanchet (สีบลอนด์บริสุทธิ์)
  18. Bonfils (ลูกชายที่ดี)
  19. Boucher (คนขายเนื้อ)
  20. Boulanger (คนทำขนมปัง)
  21. Brun (ผมสีเข้มหรือผิว)
  22. Camus (ดูแคลนคนทำเสื้อ)
  23. Carpentier (ช่างไม้)
  24. Carre (สี่เหลี่ยม)
  25. Cartier (ผู้ขนส่งสินค้า)
  26. Chapelle (ใกล้โบสถ์)
  27. Charbonnier (ผู้ขายหรือทำถ่าน)
  28. Chastain (ต้นเกาลัด)
  29. Chatelain (ตำรวจผู้คุมเรือนจำมาจากคำภาษาละตินว่า  castellumแปลว่า “หอสังเกตการณ์”)
  30. Chevalier (อัศวินนักขี่ม้า)
  31. เชฟโรเลต (ผู้ดูแลแพะ)
  32. Corbin (อีกากาตัวน้อย)
  33. เดอลากูร์ (ของศาล)
  34. De la Croix (จากไม้กางเขน)
  35. De la Rue (ของถนน)
  36. Desjardins (จากสวน)
  37. Donadieu / Donnadieu (“มอบให้กับพระเจ้า” ชื่อนี้มักจะมอบให้กับเด็ก ๆ ที่กลายเป็นปุโรหิตหรือแม่ชีหรือเป็นกำพร้าโดยไม่มีพ่อแม่ที่ไม่รู้จัก
  38. Dubois (ริมป่าหรือป่า)
  39. Dupont (ริมสะพาน)
  40. Dupuis (ข้างบ่อน้ำ)
  41. Durand (ยืนยง)
  42. Escoffier (แต่งตัว)
  43. Farrow (ช่างเหล็ก)
  44. Fontaine (บ่อน้ำหรือน้ำพุ)
  45. ฟอเรสเทียร์ (ผู้ดูแลป่าของพระราชา)
  46. Fortier (ฐานที่มั่น / ป้อมปราการหรือคนที่ทำงานที่นั่น)
  47. Fortin (แข็งแกร่ง)
  48. Fournier (คนทำขนมปังส่วนกลาง)
  49. Gagneux (ชาวนา)
  50. Gagnon (สุนัขเฝ้ายาม)
  51. Garcon (เด็กชายคนรับใช้)
  52. Garnier (ผู้ดูแลยุ้งฉาง)
  53. Guillaume (จากวิลเลียมหมายถึงความแข็งแกร่ง)
  54. Jourdain (คนที่ลงมา)
  55. Laferriere (ใกล้เหมืองเหล็ก)
  56. Lafitte (ใกล้ชายแดน)
  57. Laflamme (ผู้ถือคบเพลิง)
  58. Laframboise (ราสเบอร์รี่)
  59. Lagrange (ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับยุ้งฉาง)
  60. ลามาร์ (สระว่ายน้ำ)
  61. แลมเบิร์ต (ดินแดนที่สดใสหรือฝูงแกะ)
  62. เลน (พ่อค้าขนสัตว์หรือขนสัตว์)
  63. Langlois (ชาวอังกฤษ)
  64. ลาวาล (แห่งหุบเขา)
  65. Lavigne (ใกล้ไร่องุ่น)
  66. Leclerc (เสมียนเลขานุการ)
  67. Lefebre (ช่างฝีมือ)
  68. Legrand (ใหญ่หรือสูง)
  69. Lemaitre (ช่างฝีมือชั้นครู)
  70. เลอนัวร์ (ดำ, เข้ม)
  71. Leroux (ผมแดง)
  72. Leroy (ราชา)
  73. Le Sueur (คนเย็บช่างทำรองเท้าช่างทำรองเท้า)
  74. Marchand (พ่อค้า)
  75. Martel (ช่างตีเหล็ก)
  76. Moreau (ผิวคล้ำ)
  77. Moulin (โรงสีหรือมิลเลอร์)
  78. Petit (เล็กหรือเรียว)
  79. Picard (คนจาก Picard)
  80. Poirier / Poirot (ใกล้ต้นแพร์หรือสวนผลไม้)
  81. Pomeroy (สวนแอปเปิ้ล)
  82. Porcher (สุกร).
  83. Proulx (กล้าหาญกล้าหาญ)
  84. เรมี่ (ฝีพายหรือรักษา / เยียวยา)
  85. Richelieu (สถานที่แห่งความมั่งคั่ง)
  86. Roche (ใกล้เนินหิน)
  87. Sartre (ช่างตัดเสื้อคนตัดเย็บเสื้อผ้า)
  88. จ่า (ผู้ทำหน้าที่)
  89. Serrurier (ช่างทำกุญแจ)
  90. Simon (คนที่ฟัง)
  91. Thibaut (กล้าหาญกล้าหาญ)
  92. Toussaint (นักบุญทั้งหมด)
  93. Travers (ใกล้สะพานหรือฟอร์ด)
  94. วาชอน (cowherd)
  95. Vaillancourt (ฟาร์มนอนราบ)
  96. Vercher (พื้นที่เพาะปลูก)
  97. เวิร์น (ต้นไม้ชนิดหนึ่ง)
  98. Vieux (เก่า)
  99. Violette (สีม่วง)
  100. Voland (คนที่บินว่องไว)


FIN | อยากได้หม้อหรือแม่หญิง | บุพเพสันนิวาส | Ch3Thailand


หลังจบละครทางหน้าจอทีวี สามารถรับชมได้อีกครั้งทันทีเวลาเที่ยงคืน 2 ช่องทาง
ในไทย ทาง www.mello.me/drama
ในต่างประเทศ ทาง www.youtube.com/Ch3thailand
สำหรับแฟนช่อง3 ทาง Youtube ในไทย รอติดตามชมทาง Youtube Ch3Thailand หลังทีวีออนแอร์ 2 วัน นะคะ
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวก่อนใครที่นี่
Facebook : http://www.facebook.com/ch3thailand
Youtube : http://www.youtube.com/ch3thailand
Instagram : http://www.instagram.com/ch3thailand
Twitter : http://www.twitter.com/ch3thailand
นำแสดงโดย : โป๊ป ธนวรรธน์, เบลล่า ราณี, หลุยส์ สก๊อต, ซูซี่ สุษิรา, ปั้นจั่น ปรมะ, ปราง กัญญ์ณรัณ, นิรุตติ์ ศิริจรรยา,
เหมียว ชไมพร, ก็อต จิรายุ, เจี๊ยบ ปวีณา, เก่ง ชาติชาย, นุ่น รมิดา, อำภา ภูษิต, เก่ง ธชย, และนักแสดงมากฝีมือคับคั่ง
บทประพันธ์โดย : รอมแพง
บทโทรทัศน์โดย : ศัลยา
กำกับการแสดงโดย : ภวัต พนังคศิริ
ผลิตโดย : บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด
ดูคลิปย้อนหลังได้ที่ : https://www.youtube.com/playlist?list=PL0VVVtBqsouqJkbkqMp0WQZkvPgMQ_IjD
[เพลงประกอบละคร]
บุพเพสันนิวาส Ost.บุพเพสันนิวาส | ไอซ์ ศรัณยู วินัยพานิช | Official MV
https://www.youtube.com/watch?v=uNWIeZWD4sw
เพียงสบตา Ost.บุพเพสันนิวาส | ลีเดีย ศรัณย์รัชต์ | Official MV
https://www.youtube.com/watch?v=s0DFN3CthOE

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

FIN | อยากได้หม้อหรือแม่หญิง | บุพเพสันนิวาส | Ch3Thailand

ประวัติ พระนางอิสซาเบล่า นางหมาป่าแห่งฝรั่งเศส by CHERRYMAN


ประวัติ พระนางอิสซาเบล่า นางหมาป่าแห่งฝรั่งเศส  by CHERRYMAN

วลาดและนิกิตะเล่นร้านอาหาร


วลาดและนิกิตะมีร้านอาหารของเล่นและพวกเขาเล่นพ่อครัว
สมัครสมาชิกช่อง!
Vlad \u0026 Niki ร้านค้า: https://vladandniki.com/
แอปพลิเคชันของเราบน Google Play:
https://play.google.com/store/apps/details?id=me.apptivise.vladnikita
แอพของเราใน App Store:
https://apps.apple.com/us/app/vladniki/id1497525407
VLAD Instagram https://www.instagram.com/Vlad.super.Vlad/
NIKITA Instagram https://www.instagram.com/nikitoys_official/

วลาดและนิกิตะเล่นร้านอาหาร

ทักษิณ ชินวัตร เปิดใจก่อนรัฐประหาร 2549


ทักษิณชินวัตร ThaksinShinawatra วีดีโอ http://youtu.be/9aUIWIuvAnw คนชมเพิ่ม 3,272,434 คน จากเดิม 2,997,300 คน ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 23 คุยกับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา เมื่อ10 มีนาคม 2549 https://www.youtube.com/watch?v=9aUIWIuvAnw suwitsongkram ทักษิณเปิดใจก่อนรัฐประหาร2549

ทักษิณ ชินวัตร  เปิดใจก่อนรัฐประหาร  2549

ประวัติศาสตร์ประเทศฝรั่งเศส (ยุคโบราณ)


ประวัติศาสตร์ประเทศฝรั่งเศส (ยุคโบราณ)

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ ประวัติฝรั่งเศส

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *