Skip to content
Home » [NEW] การใช้ V. to do ในรูปแบบของ Present Simple Tense | การใช้do – NATAVIGUIDES

[NEW] การใช้ V. to do ในรูปแบบของ Present Simple Tense | การใช้do – NATAVIGUIDES

การใช้do: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

สวัสดีค่ะนักเรียนชั้นป.5 ที่น่ารักทุกคน วันนี้เราจะไปเรียนรู้เรื่อง การใช้ V. to do ในรูปแบบของ Present Simple Tense หากพร้อมแล้วก็ไปลุยกันโลดเด้อ Let’s go!

V. to do คืออะไร

 

ปรกติแล้วคำว่า do นั้นแปลว่าทำ แต่เมื่ออยู่ในประโยคแล้ว V. to do มีหน้าที่เพียงเน้นย้ำความสำคัญ ของกริยานั้นๆ หรือบอกเวลาในประโยคซึ่งถ้านักเรียนเจอ did ก็ให้รู้ไว้เลยว่า V. to do ตัวนี้ทำหน้าที่เน้นความเป็นอดีต ซึ่งกริยาที่ตามหลัง V. to do จะต้องเป็นกริยาช่องที่ 1 ไม่ผัน
อย่าลืมน๊า  ซึ่ง V. to do ถูกนำมาใช้ใน Present Simple Tense ได้ทั้งในประโยครูปแบบบอกเล่า คำถาม และปฏิเสธ ซึ่งเราจะได้เรียนรู้ในบทเรียนนี้น๊า

รู้จักกับ Present Simple Tense

 

Vtodo+Present Simple Tense (2)


Present แปลว่า ปัจจุบัน ดังนั้น Present Simple Tense
จึงเป็นประโยคที่มี โครงสร้างแบบง่าย ๆ ธรรมดา ที่พูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน (Present) นั่นเองค่า
โดยมีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

  • ใช้เพื่อพูดถึงความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน หรือความเป็นจริงตามธรรมชาติ กฎกติกา สูตรคณิตศาสตร์ เช่น

The earth moves around itself.

แปล โลกหมุนรอบตัวเอง

 

Two plus two equals four.
สองบวกสองเท่ากับสี่

 

Time flies.
เวลาผ่านไป

 

  •  ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับลักษณะ นิสัย กิจวัตรประจำวัน เช่น

  I eat rice every morning. 

แปล ฉันกินข้าวทุกเช้า

Janny walks her dog to the park every weekend.
เจนนี่พาสุนัขไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะทุกๆ วันหยุดสุดสัปดาห์

 

การแต่งประโยคคำถามด้วย Verb to do

 

Vtodo+Present Simple Tense (3)

 

Verb to Do ขึ้นต้นประโยคแบบ Yes/No Questions หรือประโยคที่ต้องการคำตอบชัดเจนว่า Yes (ใช่) หรือ No (ไม่)

 

Verb to Do นั้นทำหน้าที่เป็นกริยาช่วย (Auxiliary Verb) โดยจะใช้ร่วมกับกริยาหลัก (Main Verb) เพื่อสร้างประโยคคำถาม
ประโยคปฏิเสธ หรือเพื่อเน้นย้ำความสำคัญของกริยาหลักนั้นๆ นั่นเองจร้า

 

โครงสร้างประโยคคำถาม:
Do/Does/Did + Subject + V .infinitive + Object/Complement?

 

  •  Simple Present Tense ใช้ Do / Does

Do you like playing a football?
= นายชอบเล่นฟุตบอลมั้ย

Does Jeena love Tom?
= จีน่ารักทอมมั้ย

 

  • Past Tense ใช้ Did กับเหตุการณ์ที่เป็นอดีต

Did you go to school yesterday?
แปล เมื่อวานคุณไปโรงเรียนมั้ย

รูปประโยคของ Present Simple Tense

 

Vtodo+Present Simple Tense (4)

 

  1. ประโยคบอกเล่า

โครงสร้างของประโยคบอกเล่า :  Subject + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา)

ทั้งนี้คำกริยาช่องที่ 1 นั้นจะมีการเติม s หรือ es ถ้าหากประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (He, She, It) แต่ถ้าประธานเป็น I, You หรือประธานพหูพจน์ (You (หลายคน), We, They) ให้คงรูปคำกริยานั้น ๆ ไว้เช่นเดิม เช่น

I do like Lisa.
แปล ฉันชอบลิซ่าจริงๆ
***do like คือการนำ V. to do มาเน้นขยายกริยา like ให้มีความมายมากขึ้นในประโยค เพื่อให้รู้ว่า ชอบจริงๆนะ  (“do like”)

Tiffany wakes up at 5 a.m. every day.

แปล ทิฟฟานี่ตื่นนอนตอนตี 5 ทุกวัน

 

They play at the park every day.
แปล พวกเขาเล่นกันทุกวันที่สวนสาธารณะ
***They เป็นประธานเอกพจน์ กริยาที่ตามมาจึงไม่เติม s/es

 

ข้อสังเกต : หลักการเติม s,es นั้นง่ายนิดเดียว คือ คำกริยาที่ลงท้ายด้วย sh, ch, o, s, ss, x, z ให้เติม es

เมื่อประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (He, She, It) เช่น

ตัวอย่างอื่นๆอีก เช่น

She washes the dishes every day.
แปล หล่อนล้างจานทุกวัน

 

  1. ประโยคคำถาม

โครงสร้างของประโยคคำถามใน Present Simple Tense มีสองรูปแบบคือ

 

  • แบบที่ 1 : Verb to be + Subject + Object/Complement + (คำบอกเวลา) ?  เช่น

 

ประโยคบอกเล่า: Namthip is my best friend.
น้ำทิพย์คือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน

ประโยคคำถาม: Is she your best friend?
แปล หล่อนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอเหรอ

 

  • แบบที่ 2 : Verb to do + Subject + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา)?

 

ประโยคบอกเล่า:
We go walking at the park often.
พวกเราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะบ่อยๆ

 

VS

ประโยคคำถาม: Do we go walking at the park often?
แปล พวกเราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะบ่อยๆหรือเปล่า

ตอบ: Yes, we do. หรือ No, we don’t. นั่นเองจร้า

 

 

  1. ประโยคปฏิเสธ (Negative sentence)

 

  • แบบที่ 1 : Subject + Verb to be + not + Object/Complement + (คำบอกเวลา)

Ex: I am not your girlfriend.
แปล ฉันไม่ใช่แฟนของคุณ

  • แบบที่ 2 : Subject + Verb to do (do, does)not + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา)

Situation: At the coffee shop

 

Jane: What do you want to order Beam?
เจน : จะสั่งอะไรบีม

Beam: I want to have a glass of orange juice please.
บีม: ขอน้ำส้มสักแก้วจร้า

Jane: Okay, can we have two pieces of cake and a grass of orange juice please please?
เจน: โอเค ขอเค้กสองชิ้นกับน้ำส้มคั้นได้ไหม

The waiter: Of course, please wait for 15 minutes.
พนักงานเสิร์ฟ: แน่นอนครับ กรุณารอ 15 นาทีนะครับ

 

 

คำบอกเวลาใน Present Simple Tense

 

Adverbs of Frequency

บรรยายตนเอง

Hardly = แทบจะไม่เคย

Never= ไม่เคย

Rarely = แทบจะไม่เคย

Seldom= นาน ๆ ครั้ง

Sometimes= บางครั้ง

Always = สม่ำเสมอ, เป็นประจำ

Frequently = บ่อย ๆ

Often = บ่อย ๆ

Usually = โดยปกติ

 

ตัวอย่างการถาม-ตอบโดยใช้ V. to do

 

ตัวอย่างประโยคในการถามอาชีพเป็นภาษาอังกฤษที่ใช้ได้บ่อย

 

Questions (ถาม):

What do you do? หรือ What do you do for a living?  
= คุณทำงานอะไร

ตอบ:

I’m a student. = ฉันเป็นนักเรียน
I’m a teacher. = ฉันเป็นครู

 

เพิ่มเติม: ตามโครงสร้าง: I am a + อาชีพ แต่ถ้าอาชีพขึ้นต้นด้วยสระ a, e, I, o จะเปลี่ยนจาก a เป็น an

 

ตารางคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอาชีพ

Vtodo+Present Simple Tense (6)

คำศัพท์
แปล

engineer
วิศวกร

actor
นักแสดง

YouTuber
นักยูทูบเบอร์

Gamer
เกมเมอร์

air hostess, flight attendant
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน

gardener
คนสวน

 

photographer
ช่างถ่ายรูป

pilot
 นักบิน

 

singer

 

นักร้อง

soldier
ทหาร

 

freelancer
ฟรีแลนซ์/ ทำงานอิสระ

 

 

Vtodo+Present Simple Tense (7)

ตัวอย่างเช่น

Q1: What country do you study?
แปล คุณเรียนที่ประเทศอะไร

B: I study in Thailand.
= ฉันเรียนที่ประเทศไทย

B: Why does he like a Thai woman?
แปล ทำไมเขาถึงชอบผู้หญิงไทย

He likes a Thai woman because a Thai woman is caring.
= เขาชอบผู้หญิงไทยเพราะผู้หญิงไทยเอาใจเก่ง

 

 

 

อย่าลืมดูวีดีโอทบทวนบทเรียนในหัวข้อ “การใช้ V. to do ในรูปแบบของ Present Simple Tense กันด้วยเด้อ” เลิฟๆ

สุดท้ายนี้ อย่าลืมกดปุ่มเพลย์แล้วไปเรียนให้สนุกกันได้ที่วีดีโอด้านล่างเด้อ
Have a wonderful day for all of you! ขอให้เป็นวันที่สุดยอดสำหรับทุกคนน๊า
See  you next time! แล้วเจอกันใหม่

 

0

[Update] วิธีใช้ To Do List เพิ่ม Productivity ตามแนวคิด GTD Getting Things Done | การใช้do – NATAVIGUIDES

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกหัวหมุนกับ To Do List ของงานการที่ถาโถมเข้ามาตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ (จนบางทีลุกลามไปถึงวันหยุดเสาร์อาทิตย์) รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่า Productivity หรือประสิทธิภาพการทำงานของตัวเองนั้นตกต่ำลงทุกไปทุกวัน

งานตัวเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำทัน เพื่อนในทีมก็ขอให้ “ช่วยดูตรงนี้ให้หน่อยสิ” คุณหัวหน้าก็ชอบเดินเข้ามาเงียบๆ แล้วพูดกระซิบข้างหูว่า “ฝากหน่อยนะ” (พร้อมตบไหล่เบาๆ นัยว่าสู้ๆ นะ พี่เป็นกำลังใจให้…)

หันกลับมามองขอบหน้าจอคอม ก็เต็มไปด้วยกระดาษ Post it ที่เขียน To Do List เอาไว้ตั้งแต่สองเดือนก่อน จนตอนนี้สีของเจ้า Post it แผ่นนี้มันเริ่มซีดลงไปทุกที ซึ่งบางทีก็ไม่แน่ใจว่า To Do List นี้ ฉันยังต้อง do อยู่หรือเปล่านะ?

ใน iPhone, iPad มี Note Appให้ใช้ ก็มีจดใส่ในนั้นบ้าง แต่พอไปใช้ Window ก็มีโปรแกรมโพสอิทที่เปิดทิ้งไว้ “จดๆ ไว้ในนั้นก่อนละกันเนอะ”

ที่ทำงานว่าแย่แล้ว ตกเย็นกลับบ้านไปก็หนักไม่แพ้กัน

ผ้าก็ต้องซัก บ้านก็ต้องถู แถมลืมสั่งน้ำดื่มให้มาส่ง ค่าไฟก็กะว่าจะกดจ่าย ทำไมถึงได้ลืมตลอด! แถมเต้าฮวยที่ปากซอยที่แม่ฝากให้ซื้อ ก็ลืมอีก!

คุณเริ่มสบถกร่นด่าในใจเงียบๆ คนเดียว “ชีวิตหนอชีวิต ทำไมมันช่างวุ่นวายเสียจริง”

หรือไม่ก็ “ทำไมเราถึงขี้ลืมอย่างนี้ หรือว่าเราจะเริ่มเข้าสู่วัยชราด้วยอายุแค่ 28 (โอ้ววว ไม่นะ!)”

หากคุณยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่า “นี่มันชีวิตที่แสนวุ่นวายของชั้นหนิ” บทความนี้เราจะขอแนะนำให้คุณรู้จักกับการใช้ To Do List ตามแนวคิดที่เรียกว่า Getting Things Done

Getting Things Done คืออะไร?

แนวคิด Getting Things Done หรือเรียกย่อๆ ว่า GTD คือแนวคิดที่ช่วยให้เราสามารถบริหารจัดการงาน หรือสิ่งที่ต้องทำ ให้สำเร็จและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ (Productive) โดยไม่ต้องเปลืองพลังงานสมอง

โดยแนวคิดนี้ถูกคิดค้นขึ้นโดยคุณ David Allen ผู้เขียนหนังสือ Getting Things Done ซึ่งแนวคิดนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในแนวคิดที่ช่วยจุดประกายเรื่องของการจัดการการทำงานให้มีประสิทธิภาพ (Productivity) เริ่มให้เป็นที่พูดถึงในวงกว้างขึ้น

หลักการของ Getting Things Done

สำหรับใครที่ไม่มีเวลาไปหาหนังสือ Getting Things Done มาอ่าน

บทความนี้ขอสรุปแนวคิดหรือปรัชญาของ Getting Things Done ซึ่งมี 5 ขั้นตอน เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถเอาไประยุกต์ใช้งานได้จริงในเวลาไม่เกิน 15 นาที

การเริ่มเซตอัป To Do List

ก่อนที่เราจะเริ่มการทำตามหลัก Getting Things Done จะต้องมีการตระเตรียมเครื่องมือให้พร้อมเสียก่อน

สำหรับเครื่องมือที่เราใช้กัน จะแบ่งเป็น 3 อย่างหลักๆ คือ

  1. To Do List App ใช้สำหรับใช้เป็นศูนย์กลางในการจัดการสิ่งที่ต้องทำทั้งหมด
  2. Note App ใช้สำหรับจัดเก็บข้อมูล ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เราไม่ต้องทำ แต่เก็บไว้เป็น Reference หรือใช้อ้างอิง หาความรู้ เป็นต้น
  3. Calendar ใช้สำหรับบันทึกสิ่งที่ต้องทำลงในปฏิทิน รวมถึงพวกแจ้งเตือน Event ต่างๆ

สำหรับโปรแกรม To Do List นั้นมีให้เลือกใช้เป็นสิบเป็นร้อย แต่ตัวที่แนะนำ คือ Todoist เนื่องจากสามารถใช้งานได้ฟรี มีให้ใช้งานได้ทุก Platforms ไม่ว่าจะเป็นบน Mac, PC, iOS, Android มีฟีเจอร์ครบถ้วน (แบบเสียเงินเค้าก็มีให้ซื้อ แต่ส่วนตัวคิดว่าของฟรีก็ดีเกินพอแล้ว)

Update: ขอเพิ่มโปรแกรม To Do List อีกตัวก็คือ Tick Tick ตัวนี้ฟีเจอร์จะเยอะมากๆ ไม่แพ้ Todoist

สำหรับโปรแกรม Note ส่วนตัวใช้ Evernote เพราะใช้ได้ฟรี มี Extension ต่างๆ ให้ใช้มากมาย เช่น การ Save หน้าเว็บที่มีข้อมูลที่เราต้องการอ่าน หรือเก็บไว้เป็น Reference จึงทำให้ Evernote เหมาะกับการนำมาเป็นเครื่องมือในการจัดการไฟล์ตามหลักของ Getting Things Done

ส่วน Calendar นั้น สามารถใช้ Google Calendar หรือคนที่ใช้ Mac ก็สามารถใช้ Calendar ที่มากับ Mac OS ได้เลย ไม่มีปัญหา ซึ่ง Todoist นั้นมีฟีเจอร์ที่เจ๋งสุดๆ ก็คือ หากคุณลงเวลาให้ Task บน Todoist แล้ว จะสามารถ Sync งานนั้นเข้า Google Calendar ได้เลย

ขั้นตอนที่ 1: Capture ลง To Do List

หนึ่งในแนวคิดที่สำคัญของ Getting Things Done ก็คือ “อย่าใช้สมองจำ ให้จดออกมาไว้ข้างนอกซะ!”

เพราะตามหลักแล้วการที่เราจำ หรือเก็บสิ่งที่ต้องทำเอาไว้ในหัว จะทำให้สมองเราคอยคิดถึง หรือกังวลกับเรื่องนั้นๆ ตลอดเวลา ซึ่งมันทำให้ประสิทธิภาพของสมองเราลดลง เพราะต้องถูกใช้ตลอดอย่างไม่รู้ตัว

วิธีการ Capture นั้นทำได้ง่ายๆ คือให้คุณเขียนสิ่งที่คุณต้องทำ หรือ To do list ออกมาให้หมดเป็นข้อๆ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องน้อยแค่ไหนก็ตาม หากคิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไรบ้าง ก็อาจจะเริ่มจากงานที่ออฟฟิศ มีโปรเจกต์ไหนที่ต้องทำบ้าง แต่ละโปรเจกต์ มีอะไรที่ต้องทำ เพื่อให้โปรเจกต์นั้นเสร็จลุล่วงไปด้วยดี? เรื่องส่วนตัว อาจจะเป็นการจัดการเรื่องในบ้าน การดูแลคนในครอบครัว การจัดการเรื่องการเงิน การพัฒนาตัวเอง เป็นต้น

ข้อแนะนำ: การเขียนสิ่งที่ต้องทำ ควรจะต้องเป็นสิ่งที่อ่านแล้วรู้ว่าต้องทำอะไร ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะเขียนว่า “เตรียมอาหารเช้า” ให้เขียนว่า “ซื้อวัตถุดิบสำหรับทำสลัดมื้อเช้าที่ Super Market ตอนเดินทางกลับบ้านเย็นนี้” ก็จะทำให้คุณลงมือทำงานนั้นได้จริง แบบไม่ต้องคิดว่าต้องทำอะไรอีก

โดยเราจะเขียนสิ่งที่ต้องทำทั้งหมดนี้เอาไว้ในลิสที่เรียกว่า Inbox และต่อจากนี้ หากคุณมีงานหรือสิ่งที่ต้องทำ ก็ให้เอามาใส่ไว้ในลิส Inbox นี้ก่อน แล้วจึงค่อยนำสิ่งที่ต้องทำไป Process ต่อในขั้นตอนต่อไป

ขั้นตอนที่ 2: Process To Do List ของคุณ

พอเรารู้แล้วว่ามีอะไรที่ต้องทำบ้างอยู่ใน Inbox ก็ถึงเวลาที่ต้องมา Process จัดการงานทั้งหมดให้ไปอยู่ถูกที่ถูกทางกัน

ในการ Process งานแต่ละงาน คุณจะต้องถามตัวเองดังต่อไปนี้

  1. หากงานนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้เอาไว้ให้ทำ (Not Actionable) ให้เลือกว่าจะ
  • “ทิ้งมันไปซะ!”
  • เก็บใส่ Note App เอาไว้เป็น Reference
  • ถ้าไม่แน่ใจ ให้เก็บเอาไว้ในลิสต์ Someday / Maybe
  1. หากงานนั้นเป็นงานที่ทำได้ และใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที ให้ “ทำทันที!” [อ่านบทความ วิธีแก้โรคผัดวันประกันพรุ่งด้วย 3 เทคนิคง่ายๆ]
  2. หากงานนั้น เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนทำ หรือให้คนอื่นทำแล้วมีประสิทธิภาพกว่า ให้ “มอบหมายให้คนอื่นทำ”
  3. หากงานนั้นเราต้องทำเอง ให้เอาใส่ไว้ในลิสต์ที่เกี่ยวข้องกับงานนั้น พร้อมระบุวันเวลาที่ต้องทำให้เสร็จให้ชัดเจน หากงานที่ทำเป็นงานที่มีหลายขั้นตอน เช่น “เตรียม Presentation สำหรับขายงานลูกค้า” คุณอาจจะแบ่ง Task ย่อยๆ ออกมาเป็น 1. หาข้อมูล 2. เขียน outline 3. ใส่ข้อมูลใน Presentation 4. หาภาพประกอบ 5. ฝึกพูด 3 ครั้ง เป็นต้น
  4. หากงานนั้นเป็นงานที่มีหลาย Tasks ที่ต้องทำ ให้สร้างเป็น Project ใหม่ขึ้นมา แล้วรวมงานเอาไว้ใน Project นั้นอีกที

หลักสำคัญในการ Process คือ

  1. ให้ Process ไล่ จากบนลงล่าง
  2. ให้ Process ทีละงาน
  3. ห้ามเอาสิ่งที่ถูก Process แล้วกลับไปอยู่ใน Inbox

ขั้นตอนที่ 3: Organize To Do List

คำถามหลังจากที่เรารู้แล้วว่ามีงานอะไรที่เราต้องทำบ้าง แล้วเราจะ Setup ลิสต์ของงานได้อย่างไร?

โดยปกติแล้ว เราจะแบ่งลิสต์งานออกเป็นเรื่องใหญ่ๆ ได้ 2 เรื่อง คือ 1. Work 2. Personal

  1. Work จะเอาไว้ใส่เรื่องที่เกี่ยวกับงาน
    1. โปรเจกต์ที่ออฟฟิศ
    2. โปรเจกต์ของลูกค้า
    3. บางคนก็อาจจะมีโปรเจกต์ส่วนตัว เช่น การทำเว็บไซต์ส่วนตัว การขายของออนไลน์
    4. การเขียนหนังสือ / blog
  2. Personal เรื่องอื่นๆ เรื่องส่วนตัว ที่นอกเหนือจากงาน
    1. การดูแลตัวเองทั่วๆ ไป เช่น การนัดทำฟัน
    2. การพัฒนาตัวเอง เช่น การอ่านหนังสือ เรียนคอร์สออนไลน์
    3. การเงินส่วนบุคคล
    4. การดูแลคนในครอบครัว
    5. การวางแผนไปเที่ยวทริปในฝันสำหรับปีหน้า

สำหรับสิ่งที่เรายังไม่แน่ใจ ว่าจะทำดีหรือไม่ดี หรือเรื่องที่อยากทำ แต่ยังไม่ทำตอนนี้ ให้เอาไว้ในลิสต์ที่เรียกว่า “Someday / Maybe” ลิสต์

ขั้นตอนที่ 4: Reflect / Review To Do List อยู่เสมอ

ทุกสัปดาห์ เราควรจะแบ่งเวลาเอาไว้สำหรับการทำ Weekly Review เพื่อที่จะจัดการ To Do List ของเราให้เข้าที่เข้าทาง และพร้อมสำหรับรับมือการทำงานในสัปดาห์ต่อไป

สิ่งที่คุณควรทำใน Weekly Review คือ

  • Capture สิ่งที่ต้องทำออกมาไว้ใน Inbox แล้ว Process ตามขั้นตอนที่ 1-2
  • Review สิ่งที่อยู่ในลิสต์ของเรา อันไหน Late ให้ Reschudule และควรจะคิดว่าทำไมยังไม่เสร็จ อาจจะเป็นเพราะงานนั้นไม่สามารถทำได้จบในทีเดียว ก็ให้แบ่งงานนั้นให้ย่อยลงมาอีก
  • Review Someday / Maybe ลิสต์ อันไหนที่อยู่มานาน หรือคิดว่าไม่ทำแล้ว ก็ให้ทิ้งไปซะ
  • Review เป้าหมายรายปี รายเดือน รายสัปดาห์ ว่าเราได้เข้าเป้าหมายบ้างหรือยัง? และเราต้องทำอะไรอีกเพื่อให้เข้าใกล้เป้าหมายนั้น?

มาเริ่มจัดการ To Do List ของเรากัน!

หลักการ Getting Things Done เป็นหนึ่งในวิธีการที่ไม่ซับซ้อนที่ช่วยทำให้เราจัดการ หรือ Organize ชีวิตที่แสนจะวุ่นวายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เครียดน้อยลง มีเวลาทำงานมากขึ้น

ใครลองเอาเทคนิค Getting Things Done นี้ไปใช้แล้วได้ผลอย่างไร อย่าลืมคอมเมนต์มาแชร์ให้ฟังบ้างนะคะ 🙂


Verb to do(การใช้ do /does)


นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

Verb to do(การใช้ do /does)

Do you กับ Are you ใช้ต่างกันอย่างไร? เข้าใจง่ายๆ ไม่มีแกรมม่าร์ – English Tips EP.5


คำถามที่ขึ้นต้นด้วย Do you กับ Are you มักจะเป็นสิ่งที่หลายๆคนสับสนและยังไม่รู้ว่าควรใช้อันไหนกันแน่ และที่สำคัญมันต่างกันยังไง? ถ้าจะหาคำตอบก็ไม่ได้ยาก แค่ค้นหาในกูเกิลกับยูทูปก็ได้คำตอบแล้ว แต่ทุกคำตอบก็มีแต่ภาษาแกรมม่าร์ คือถ้าไม่รู้แกรมม่าร์ก็แทบจะไม่เข้าใจเลยว่าสรุปแล้วประโยคไหนใช้ Do you ประโยคไหนใช้ Are you เกร็ดความรู้ภาษาอังกฤษวันนี้ผมจะมาอธิบายให้ทุกคนใช้งานกันให้ถูกและเข้าใจง่ายๆในแบบที่คนไม่รู้แกรมม่าร์ก็ใช้ได้ มาดูกันว่ายังไง
EnglishTips
อยากฝึกพูดภาษาอังกฤษตัวต่อตัว หรือเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบบุฟเฟ่ต์
สมัครได้เลย ​https://www.unfoxenglish.com/
สอบถามแอดไลน์ ​https://lin.ee/5uEdKb7h

ติดตามช่องทางอื่นๆ และพูดคุยกันได้ที่
ชุมชนคนรักภาษาอังกฤษ https://www.unfoxenglish.com
FB: https://www.facebook.com/unfoxenglish
Twitter: https://www.twitter.com/unfoxenglish
Lacta’s IG: https://www.instagram.com/lactawarakorn
Bell’s IG: https://www.instagram.com/toshiroz
ติดต่องาน
Email: [email protected]
Line: http://nav.cx/oOH1Q6T

Do you กับ Are you ใช้ต่างกันอย่างไร? เข้าใจง่ายๆ ไม่มีแกรมม่าร์ - English Tips EP.5

English Grammar–Do,Does,Don’t,Doesn’t


English Grammar--Do,Does,Don't,Doesn't

การสร้างประโยคคำถามด้วย Verb to do.


เราจะใช้ Verb to do มาเป็นกริยาช่วยในประโยคคำถาม
โดยวางไว้หน้าคำสรรพนามที่เป็นประธานของประโยค
ส่วนจะใช้ do หรือ does ก็ขึ้นอยู่กับคำสรรพนามที่เป็นประธานค่ะ
I, you, we, they และประธานพหูพจน์ ใช้ do
he, she, it และประธานเอกพจน์ ใช้ does
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
Facebook Magic English with Teacher Kay

การสร้างประโยคคำถามด้วย Verb to do.

จบที่คลิปนี้ Do you /Are you/ Have you ต่างยังไง II Line: @englishfitandfirm


สอบถาม ไลน์ @englishfitandfirm
💡คอร์สOnline ราคาประหยัด 1,990.
เพิ่มชั่วโมงใช้ภาษาปูพื้นฐานเทนส์ + ฝึกสร้างประโยคแบบSpeaking

.
Thanks for following
IG: chutamas_sommy
FB: English Fit and Firm

จบที่คลิปนี้ Do you /Are you/ Have you ต่างยังไง II Line: @englishfitandfirm

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่MAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ การใช้do

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *