Skip to content
Home » [NEW] การใช้ tense ของคำกริยาใน If clause หรือ tense ของคำกริยาใน Main clasue | tense ที่ใช้คู่กัน – NATAVIGUIDES

[NEW] การใช้ tense ของคำกริยาใน If clause หรือ tense ของคำกริยาใน Main clasue | tense ที่ใช้คู่กัน – NATAVIGUIDES

tense ที่ใช้คู่กัน: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

ประโยคเงื่อนไขจะถูกใช้เพื่อบอกให้ทราบว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว หรือจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น  หรือสิ่งใดที่เราปรารถนาอยากให้เกิดขึ้น ในภาษาอังกฤษ ประโยคเงื่อนไขส่วนใหญ่จะใช้คำว่า if  และมักจะใช้ร่วมกับคำกริยาในอดีต  เพื่อเป็นการอ้างอิงถึง “อดีตที่ไม่เป็นความจริง” และถึงแม้ว่าเราจะใช้คำกริยาในรูปอดีต แต่เรามักจะไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต ในภาษาอังกฤษมีประโยคเงื่อนไขอยู่ 5 แบบ แต่ไม่ว่าจะเป็นประโยคเงื่อนไขแบบใดก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่ใช้รูปประโยคที่มี if clause และ main clause เหมือนกัน  ประโยคเงื่อนไขที่อยู่ในรูปของประโยคปฏิเสธจะใช้ unless แทน “if” ดูเพ่ิมเติมได้ใน การใช้ “unless”

ประเภทของประโยคเงื่อนไข
การใช้
tense ของคำกริยาใน If clause
tense ของคำกริยาใน Main clasue

0
ความจริงทั่วไป
Simple present
Simple present

แบบที่ 1
สิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลกับซึ่งกันและกัน
Simple present
Simple future

แบบที่ 2
สิงที่ตรงกันข้ามกับความจริงในปัจจุบันหรือในอนาคต
Simple past
Present conditional หรือ Present continuous conditional

แบบที่ 3
สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความจริงในอดีต
Past perfect
Perfect conditional

แบบผสม
สิ่งที่ไม่เป็นความจริงในอดีตและส่งผลต่อปัจจุบัน
Past perfect
Present conditional

ประโยคเงื่อนไขแบบ 

ประโยคเงื่อนไขแบบ 0 จะใช้เพื่อบอกถึงสิ่งที่เป็นจริงและเป็นไปได้ โดยสิ่งเหล่านั้นเป็นจริงและเป็นไปได้เสมอหรืออย่างน้อยที่สุดก็ในขณะที่พูด ประโยคเงื่อนไขแบบ 0 มักจะถูกใช้เพื่อบอกให้ทราบถึงความจริงทั่วไป โดยทั้งใน main clause และ if clause จะใช้ simple present tense และโดยทั่วไปแล้วในประโยคเงื่อนไขแบบ 0 นี้สามารถใช้ “when” แทนคำว่า “if” ได้โดยที่ความหมายไม่เปลี่ยน

If clause
Main clause

If + simple present
simple present

If this thing happens
that thing happens.

If you heat ice
it melts.

If it rains
the grass gets wet.

 

ประโยคเงื่อนไขแบบที่ 1

ประโยคเงื่อนไขแบบที่ 1 จะใช้เพื่อบอกเวลา ณ. ปัจจุบันหรือในอนาคตที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นจริง โดยพูดถึงสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลกันว่า หากสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น อีกสิ่งหนึ่งก็จะเกิดขึ้นตามมาด้วย ในประโยคเงื่อนไขแบบที่ 1 นี้ if clause จะใช้ simple present tense และ main clause จะใช้ simple future tense

If clause
Main clause

If + simple present
simple future

If this thing happens
that thing will happen.

If you don’t hurry
you will miss the train.

If it rains today
you will get wet.

 

ประโยคเงื่อนไขแบบที่ 2

ประโยคเงื่อนไขแบบที่ 2 จะใช้เพื่อบอกเวลา ณ. ปัจจุบันหรือเมื่อใดก็ได้ และสิ่งนั้นไม่เป็นความจริง ประโยคเงื่อนไขแบบนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริง โดยพูดถึงเงื่อนไขที่สมมุติขึ้นมาและผลที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ในประโยคเงื่อนไขแบบที่ 2 นี้ if clause จะใช้ simple past tense และ main clause จะใช้ present conditional

 

If clause
Main clause

If + simple past
present conditional or present continuous conditional

If this thing happened
that thing would happen. (แต่ไม่แน่ใจว่า สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่) OR
that thing would be happening.

If you went to bed earlier
you would not be so tired.

If it rained
you would get wet.

If I spoke Italian
I would be working in Italy.

อ่านเพิ่มเติมได้ใน วิธีการใช้ ประโยคเงื่อนไขแบบที่ 2  เมื่อใช้ present conditional และ วิธีใช้ present continuous conditional ในประโยคเงื่อนไขแบบที่ 2

ประโยคเงื่อนไขแบบที่ 3

ประโยคเงื่อนไขแบบที่ 3 จะใช้เพื่อบอกเวลาในอดีตที่สิ่งนั้นตรงกันข้ามกับความจริง ใช้เพื่ออ้างถึงเงื่อนไขในอดีตที่ไม่เป็นความจริงและผลในอดีตที่อาจจะเป็นไปได้ ในประโยคเงื่อนไขแบบที่ 3 นี้ if clause จะใช้ past perfect tense และ main clause จะใช้ perfect conditional

 

If clause
Main clause

If + past perfect
perfect conditional หรือ perfect continuous conditional

If this thing had happened
that thing would have happened. (แต่ไม่มีสิ่งใดเป็นความจริง) OR
that thing would have been happening.

If you had studied harder
you would have passed the exam.

If it had rained
you would have gotten wet.

If I had accepted that promotion
I would have been working in Milan.

อ่านเพิ่มเติมได้ใน วิธีการใช้ ประโยคเงื่อนไขแบบที่ 3 เมื่อใช้ perfect conditional tense และ วิธีการใช้ perfect continuous conditional ในประโยคเงื่อนไขแบบที่ 3

ประโยคเงื่อนไขแบบผสม

ประโยคเงื่อนไขแบบผสมจะใช้เพื่อบอกเวลาในอดีตและสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นยังคงเกิดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ใช้เพื่ออ้างถึงเงื่อนไขในอดีตที่ไม่เป็นความจริงและผลในอดีตที่อาจจะเป็นไปได้ในปัจจุบัน ในประโยคเงื่อนไขแบบผสมนี้ if clause จะใช้ past perfect tense และ main clause จะใช้ present conditional

 

If clause
Main clause

If + past perfect หรือ simple past
present conditional หรือ perfect conditional

If this thing had happened
that thing would happen. (แต่สิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นก็เลยส่งผลให้สิ่งในปัจุบันไม่ได้เกิดขึ้น)

If I had worked harder at school
I would have a better job now.

If we had looked at the map
we wouldn’t be lost.

If you weren’t afraid of spiders
you would have picked it up and put it outside.

 

สรุปการใช้ if clause พร้อมตัวอย่างประโยค

If clause คืออะไร

If clause (มีชื่อเรียกอื่นว่า conditional sentences หรือ conditional clauses) คือรูปแบบประโยคที่ใช้บอกว่า ถ้ามีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น (เงื่อนไข) อีกสิ่งก็จะเกิดขึ้นตาม (ผลลัพธ์)

การใช้ if clause เราจะต้องใช้คู่กับ main clause (ประโยคหลัก) โดยที่ if clause จะเป็นตัวบอกเงื่อนไข ซึ่งจะขึ้นต้นด้วย if ส่วน main clause จะเป็นตัวบอกผลลัพธ์ อย่างเช่น

If it rains, I will stay home.
ถ้าฝนตก ฉันจะอยู่บ้าน

จากตัวอย่างประโยคนี้
If clause ก็คือ If it rains (เงื่อนไข)
Main clause ก็คือ I will stay home. (ผลลัพธ์)

หลักการใช้ if clause

เรามาดูหลักการใช้ if clause ทั้งการใช้คอมม่า และการใช้ if clause ทั้ง 4 แบบกันเลย (บางที่อาจพูดถึงแค่ 3 แบบ โดยจะตัดแบบที่ 0 หรือที่เรียกว่า type 0 ออก)

ตำแหน่งกับการใช้คอมม่า

If clause และ main clause สามารถเขียนสลับที่กันได้ ซึ่งถ้าเราขึ้นต้นประโยคด้วย if clause เราจะต้องใช้คอมม่าคั่นระหว่าง if clause และ main clause

If you don’t hurry, you will be late for school.
ถ้าคุณไม่รีบ คุณจะไปโรงเรียนสาย

แต่ถ้าเราขึ้นต้นประโยคด้วย main clause เราจะไม่ต้องใช้คอมม่า

You will be late for school if you don’t hurry.
คุณจะไปโรงเรียนสายถ้าคุณไม่รีบ

การใช้ if clause แบบที่ 0

If clause แบบที่ 0 (เรียกอีกอย่างว่า the zero conditional หรือ type 0) เราจะใช้กับ

  • สิ่งที่เป็นจริงเสมอ (ถ้าน้ำแข็งละลาย มันจะกลายเป็นน้ำ – ความจริงตามธรรมชาติ)
  • สิ่งที่เราทำเป็นปกติ (ถ้าฉันไปชายหาด ฉันจะใช้ครีมกันแดด – ฉันใช้ครีมกันแดดเสมอ เมื่อฉันไปชายหาด)

โดยจะเป็นการพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป ไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะ

If clause แบบที่ 0
If clause
Main clause

Tense ที่ใช้
Present simple
Present simple

ตัวอย่างประโยค
If ice melts,
ถ้าน้ำแข็งละลาย
it turns into water.
มันจะกลายเป็นน้ำ

 
If I go to the beach,
ถ้าฉันไปชายหาด
I use sunscreen.
ฉันจะใช้ครีมกันแดด

 
If you don’t exercise,
ถ้าคุณไม่ออกกำลังกาย
your muscle mass decreases.
มวลกล้ามเนื้อของคุณก็ลดลง

การใช้ if clause แบบที่ 0 เราสามารถใช้ when แทน if ได้ โดยที่ความหมายไม่เปลี่ยน อย่างเช่น If ice melts, it turns into water. -> When ice melts, it turns into water.

การใช้ if clause แบบที่ 1

If clause แบบที่ 1 (the first conditional) เราจะใช้กับเหตุการณ์สมมติที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต

ตัวอย่างเช่น ถ้าฝนตก ฉันจะอยู่บ้าน – มีความเป็นไปได้สูงว่าอนาคตฝนจะตก ซึ่งถ้าฝนตก ฉันก็จะอยู่บ้าน

If clause แบบที่ 1
If clause
Main clause

Tense ที่ใช้
Present simple
will/won’t + verb

ตัวอย่างประโยค
If it rains,
ถ้าฝนตก
I will stay home.
ฉันจะอยู่บ้าน

 
If you eat too much,
ถ้าคุณกินมากเกินไป
you will gain weight.
คุณจะน้ำหนักขึ้น

 
If the traffic is bad,
ถ้ารถติด
I won’t be there in time.
ฉันจะไปถึงที่นู่นไม่ทันเวลา

การใช้ if clause แบบที่ 2

If clause แบบที่ 2 (the second conditional) เราจะใช้กับเหตุการณ์สมมติในปัจจุบันหรืออนาคตที่มีโอกาสเป็นไปได้น้อย

ตัวอย่างเช่น ถ้าฉันถูกหวย ฉันจะเที่ยวรอบโลก – ถ้าฉันถูกหวยเป็นเหตุการณ์สมมติที่มีโอกาสเป็นไปได้น้อย แต่ถ้าฉันถูกหวยตอนนี้หรือในอนาคต ฉันก็จะไปเที่ยวรอบโลก

If clause แบบที่ 2
If clause
Main clause

Tense ที่ใช้
Past simple
would/wouldn’t + verb

ตัวอย่างประโยค
If I won the lottery,
ถ้าฉันถูกหวย
I would travel around the world.
ฉันจะเที่ยวรอบโลก

 
If I owned a cat,
ถ้าฉันมีแมว
I would name it Chewie.
ฉันจะตั้งชื่อมันว่าชิววี่

 
If I had a car,
ถ้าฉันมีรถ
I wouldn’t take the bus.
ฉันจะไม่ขึ้นรถเมล์

[NEW] แบบทดสอบภาษาอังกฤษ ม.6 เรื่อง Present Simple Tense | tense ที่ใช้คู่กัน – NATAVIGUIDES

Tense แรกที่คุณครูมักสอนในห้องเรียนส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้น Present Simple Tense นี่แหละ หลังจากเพื่อน ๆ ได้ทบทวนบทเรียนออนไลน์เรื่อง Tense 12 แบบ กันไปแล้ว ก็คงจะพอสู้กับข้อสอบที่ StartDee รวบรวมมาให้ได้บ้างแล้วล่ะ ลองทำกันดูสักตั้ง !

ตะลุยทำข้อสอบกับ StartDee กันได้ แค่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน StartDee แอปเดียวครบจบทุกวิชา

 

  1. Which of the following adverbs CANNOT be used with present simple tense?

    A. Frequently
    B. Never
    C. By the time
    D. Rarely
    E. Hardly

 

เฉลย: ข้อ C

คำที่ใช้คู่กับ Present Simple มักจะเป็นคำที่”บอกความถี่” ใช้สื่อถึงสิ่งที่ทำเป็นประจำ หรือ คำที่บอกกิจวัตรประจำวัน แต่คำว่า by the time แปลว่า “เมื่อ” หรือ “ในเวลาที่” จะสื่อถึงเหตุการณ์เกิดก่อนเกิดหลัง มากกว่าการแสดงถึงการบอกกิจวัตรประจำวันหรือความถี่ 

ข้อ A.  ผิด เพราะ frequently มีความหมายว่า “บ่อยๆ ถี่ๆ” ใช้ในการบอกความถี่ หรือสิ่งที่เป็นกิจวัตรประจำวัน 

ข้อ B.  ผิด เพราะ  never มีความหมายว่า “ไม่เคย” ซึ่งสามารถบอกเป็นกิจวัตรได้ว่าไม่เคยทำสิ่งนี้

ข้อ D. และ E.  ผิด เพราะ rarely และ hardly  มีความหมายว่า “แทบจะไม่” ใช้ในการบอกว่าแทบจะไม่ได้ทำสิ่งนั้นในชีวิตประจำวันเลย

  1. Lora always ________________ by bus.
    A. commute
    B. commutes
    C. is commuting
    D. has been commuting
    E. will commute

 

เฉลย: ข้อ B

จากโจทย์สามารถแปลได้ว่า “ลอร่ามักจะเดินทางไปกลับโดยรถเมล์เสมอ” สังเกตจากคีย์เวิร์ดคำว่า  “always” บอกถึงสิ่งที่ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ

และจากโจทย์ Lora คือประธานของประโยคที่อยู่ในรูปเอกพจน์ จึงต้องตามด้วย กริยาในรูปเอกพจน์ที่ เติม s/es  นั่นเอง

ข้อ A.  ผิด เพราะ Lora เป็นประธานเอกพจน์ ดังนั้น commute จึงต้องเติม s 

ข้อ C.  ผิด เพราะ คำว่า always จะเป็นตัวบ่งบอกถึง Present Simple ไม่ใช่ Present Continuous ที่มีโครงสร้าง v. to be + v.ing (is commuting)

ข้อ D.  ผิด เพราะ has + been + v.ing (commuting) จะเป็นรูป Present Perfect Continuous ไม่ใช่ Present Simple

ข้อ E.  ผิด เพราะ การใช้ will + v.infinitive (commute) จะบ่งบอกถึงการใช้ในรูปแบบ Future Simple ไม่ใช่ Present Simple

  1. Which of the following structures is INCORRECT according to the present simple tense?
    A. Do + s + v.infinitive ?
    B. Does + s + v2 ?

     

    C. Is + s + adj ?
    D. What + do/does + s + v.infinitive ?
    E. How often do/does + s + v.infinitive ? 

 

เฉลย: ข้อ B

เพราะในการตั้ง ประโยคคำถาม ของรูป Present Simple ถ้าหากประโยคนั้น ไม่มีกริยาช่วยที่จะนำมาวางข้างหน้า ให้เราเอา v. to do เข้ามาช่วย ซึ่งถ้าหากเรามีการใช้ v. to do ในประโยค กริยาแท้ของประโยคนั้นๆ จะห้ามผันรูปเด็ดขาด โดยจะมีโครงสร้างของประโยคคำถามคือ Do/Does + s +  v.infinitive + ? ดังนั้นการที่ใช้ v2 จึงผิด

 

ข้อ A. ผิด เพราะ ถูกตามหลักการตั้งประโยคคำถามโดยใช้ v.to do ซึ่งมีโครงสร้างคือ Do/Does + S +  v.infinitive + ?

ข้อ C. ผิด เพราะ ถูกตามหลักการตั้งประโยคคำถามโดยใช้ v.to be ซึ่งมีโครงสร้างคือ  Is/Am/Are + s + adj/n. ?

ข้อ D. และ E.  ผิด เพราะถูกตามหลักการตั้งประโยคคำถามโดยใช้ Wh-question แล้ว ซึ่งมีโครงสร้างคือ  Wh-question + do/does + s + v.infinitive?

  1. Bobby: _______________ a foreigner ?

    Liliana: ________________ He can’t understand our language.

A. Is he / Yes, he isn’t.
B. Is he / No, he isn’t.
C. Is he / Yes, he is.
D. He is / Yes, he is.
Is he / Yes, he does.

 

เฉลย: ข้อ C

จากโจทย์สามารถแปลได้ว่า:   บ็อบบี้: “_______คนต่างชาติรึเปล่านะ”

                                            ลิเลียน่า: “_______ เขาฟังภาษาพวกเราไม่ออก”

จากโจทย์ ในประโยคแรกจะต้องเป็นประโยคคำถามเนื่องจากประโยคมีการลงท้ายด้วย ? ซึ่งโครงสร้างของประโยคคำถามคือของ present simple คือ  Is/ Am / Are + S +  complement (adj /n) ?

และในประโยคที่สองที่ต้องเป็นคำตอบต้องเป็นเชิงบวก เนื่องจาก He can’t understand our language. เป็นตัวบ่งบอกว่าเขาที่พูดถึงคือคนต่างชาติจริงๆ ดังนั้นในการตอบจึงต้องใช้โครงสร้าง Yes, s + is/ am /are. และในที่นี้ประโยคที่เป็นคำตอบสื่อถึงประธานเอกพจน์ (He) จึงต้องใช้ “is”

ข้อ A.  ผิด เพราะ การตอบแบบเห็นด้วย จะมีโครงสร้าง Yes, s + is/ am /are. ห้ามใช้ not  และจากบริบทของโจทย์ต้องการรูปประโยคปฏิเสธ ไม่ใช่ประโยคบอกเล่า

ข้อ B.  ผิด เพราะ เนื่องจาก He can’t understand our language. เป็นตัวบ่งบอกว่าเขาที่พูดถึงคือคนต่างชาติจริงๆ ดังนั้นรูปประโยคปฏิเสธ (No, he isn’t.) จึงไม่เข้ากับบริบท

ข้อ D.  ผิด เพราะ ในประโยคแรกจะต้องเป็นประโยคคำถามเนื่องจากประโยคมีการลงท้ายด้วย ? แต่ในตัวเลือกเป็นประโยคบอกเล่า (He is)

ข้อ E.  ผิด เพราะ ในประโยคที่สองต้องการการตอบที่ลงท้ายด้วย is, am, are เนื่องจากคำถามขึ้นต้นด้วย Is จึงไม่สามารถใช้ does ในการตอบได้

  1. Change the sentence into the negative form of present simple:

    “ Kimberly is always late to class.”

A. Kimberly does not always late to class.
B. Is Kimberly not always late to class?
C. Kimberly are not always late to class.
D. Kimberly is not always late to class.
E. Kimberly do not always late to  class.

 

เฉลย: ข้อ D

เพราะในโจทย์จะแปลได้ว่า “ คิมเบอรี่มักจะมาเข้าชั้นเรียนสาย”

โครงสร้างในประโยคปฏิเสธของ present simple ที่ใช้คู่กับ v. to be  คือ S + is am are + not + complement (adj / n).  ซึ่งจากโจทย์เราเห็น adj. หรือคำคุณศัพท์ late เพราะฉะนั้นเราต้องใช้ v. to be ในประโยค และเนื่องจากประธานของประโยคซึ่งก็คือ Kimberly เป็นเอกพจน์จึงต้องใช้ is คำตอบที่ถูกต้องคือ D. Kimberly is not always late to class.

 ข้อ A. และ E. ผิด เพราะโจทย์ต้องการโครงสร้างประโยคปฏิเสธที่ใช้ v.to be เป็นกริยาช่วย ไม่ใช่ v.to do 

 ข้อ B.  ผิด เพราะโจทย์ต้องการโครงสร้างประโยคปฏิเสธ ไม่ใช่ประโยคคำถาม

 ข้อ C.  ผิด เพราะ Kimberly เป็น ประธานเอกพจน์ ต้องใช้ กริยา is ไม่ใช่ are 

  1. Durian is the king of fruit, but I _______________
    A. like it.
    B. do not like it.
    C. am not like it.
    D. not like it.
    E. does not like it.

เฉลย: ข้อ B

เพราะในประโยคนี้แปลว่า “ทุเรียนคือราชาผลไม้แต่_______”

จากโจทย์ มีการใช้ but ที่แปลว่าแต่ ซึ่งเป็นคำที่แสดงถึงความขัดแย้งกันของประโยคข้างหน้าและข้างหลัง ทำให้ประโยคด้านหลังต้องกลายเป็นประโยคปฏิเสธที่มีโครงสร้าง S + do/ does + not + v

เนื่องจากประธานเป็น I จึงต้องใช้ “do”  เข้ามาเป็นกริยาช่วย จึงได้ประโยคสมบูรณ์ว่า  Durian is the king of fruit, but I do not like it. หรือ “ทุเรียนคือราชาผลไม้แต่ฉันไม่ชอบมัน”

 

ข้อ A.  ผิด เพราะโจทย์ มีการใช้ but ที่แปลว่า “แต่” ซึ่งเป็นคำที่แสดงถึงความขัดแย้งกันของประโยคข้างหน้า และข้างหลัง ทำให้ประโยคหลังต้องการความหมายในเชิงปฏิเสธ จึงต้องเปลี่ยนจาก like it. เป็น do not like it.

ข้อ C.  ผิด เพราะโครงสร้างประโยคปฏิเสธในข้อนี้ โจทย์ต้องการกริยาช่วยที่จะมาขยายคำว่า like เราจึงต้องใช้ v. to do (ใช้ขยายกริยาทั่วไป) ไม่ใช่ v.to be (ใช้ขยาย adj. / noun)

ข้อ D.  ผิด เพราะโครงสร้างประโยคปฏิเสธในข้อนี้ โจทย์ต้องการกริยาช่วยที่จะมาขยายคำว่า like ตามโครงสร้าง S + do/does + not + v.infinitive  จึงต้องเติม do ข้างหน้า not 

ข้อ E.  ผิด เพราะ I  เป็นประธานที่ต้องใช้คู่กับคำกริยาพหูพจน์ ดังนั้นต้องใช้ do not ไม่ใช่ does not 

 

เป็นยังไงกันบ้าง ถูกกันหมดทุกข้อไหมเอ่ย ถ้าเพื่อน ๆ ถูกหมด ก็ถือว่ามีความเข้าใจเรื่อง Present Simple Tense พอสมควรเลยทีเดียว ส่วนเพื่อน ๆ ที่ทำบางข้อผิด ลองอาจเฉลยแสนละเอียดของเราดูได้นะ รับรองว่าถ้าเจอข้อสอบสไตล์นี้อีกในวันข้างหน้า เพื่อน ๆ ต้องทำได้แน่นอน สู้ ๆ นะทุกคน

 


เอาชีวิตรอดจากน้ำท่วม! กินMREบนหลังคา!! งบถุงละ300บาท ตกหลังคาทีมีตาย!!!


หวังว่าทุกคนจะสนุกกับวีดีโอของผมนะครับ
ขอบคุณที่ติดตามรับชมกันมาโดยตลอดครับ 🙂
[ Have a Nice Day! ครับผม ]

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

เอาชีวิตรอดจากน้ำท่วม! กินMREบนหลังคา!! งบถุงละ300บาท ตกหลังคาทีมีตาย!!!

Present Perfect และ Past Simple Tense ตอนที่ 4 ภาษาอังกฤษ ป.4 – ม.6


Present Perfect และ Past Simple Tense
ภาษาอังกฤษ ป.4 ม.6
มาตราฐาน ต 2.2
มาดูหลักการใช้และความแตกต่างระหว่าง Present Perfect และ Past Simple Tense กับ Bobby และผองเพื่อนกัน
โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ DLIT (Distance Learning Information Technology)
http://www.dlit.ac.th

Present Perfect และ Past Simple Tense ตอนที่ 4 ภาษาอังกฤษ ป.4 - ม.6

Past Simple และ Past ContinuousTense ตอนที่ 6 ภาษาอังกฤษ ป.4 – ม.6


Past Simple และ Past ContinuousTense
ภาษาอังกฤษ ป.4 ม.6
มาตราฐาน ต 2.2
มาดูหลักการใช้และความแตกต่างระหว่าง Past Simple และ Past Continuous กับ Bobby และผองเพื่อนกัน
โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ DLIT (Distance Learning Information Technology)
http://www.dlit.ac.th

Past Simple และ Past ContinuousTense ตอนที่ 6 ภาษาอังกฤษ ป.4 - ม.6

สรุป English Tenses ง่ายๆเข้าใจใน 30 นาที!


ฝากกดติดตามช่องด้วยนะคะ

สรุป English Tenses ง่ายๆเข้าใจใน 30 นาที!

Tense คู่


อธิบาย tense คู่อย่างละเอียด

Tense คู่

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆMAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ tense ที่ใช้คู่กัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *