Skip to content
Home » [NEW] กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ ในวันที่ก้าวออกจาก ‘ก้านคอคลับ’ เพื่อเติบโตด้วยตัวเอง – THE STANDARD | เพลง พูด อะไร ไม่ ได้ สัก อย่าง – NATAVIGUIDES

[NEW] กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ ในวันที่ก้าวออกจาก ‘ก้านคอคลับ’ เพื่อเติบโตด้วยตัวเอง – THE STANDARD | เพลง พูด อะไร ไม่ ได้ สัก อย่าง – NATAVIGUIDES

เพลง พูด อะไร ไม่ ได้ สัก อย่าง: คุณกำลังดูกระทู้

ถ้านับจากวันแรกที่เราได้ยินชื่อ Fucking Hero ในฐานะแรปเปอร์สุดคะนองที่พร้อมพุ่งชนกับทุกอย่าง วันนี้มีหลายอย่างในตัวเขาเปลี่ยนไป ตั้งแต่การวางอีโก้ในการทำงาน การเรียนรู้จากแรปเปอร์รุ่นใหม่ การทดลองล้มแล้วลุกด้วยตัวเอง ไปจนถึงลูกสาววัย 3 ขวบ ที่ทำให้เขาใจเย็นและเรียนรู้ที่จะพูดคำว่า ‘ขอโทษ’ มากขึ้น

 

ถ้าดูจากงานโชว์ การพูดจาหยอกล้อกันในรายการ รวมทั้งรอยสักบนแขนที่ กอล์ฟ-ณัฐวุฒิ ศรีหมอก หรือฟักกลิ้ง ฮีโร่ ตัดสินใจสลักคำว่า ‘JOEY BOY’ เอาไว้ ทำให้เรานึกภาพไม่ออกว่าวันหนึ่งเขาจะตัดสินใจขอลาออกจากค่ายก้านคอคลับ และบอกลาหนึ่งในผู้ชายที่เขารักและเคารพที่สุดในชีวิต เพื่อออกมาทำเพลงด้วยตัวเองโดยไม่มี ‘เฮียโจ้’ คอยประคองเป็นครั้งแรกในชีวิต อีกทั้งยังตัดสินใจเปลี่ยนชื่อ (ภาษาอังกฤษ) ที่ใช้มาตลอด 15 ปี เป็น F.HERO เพื่อความสบายใจของทุกคน

 

นี่คือการตัดสินใจครั้งสำคัญ เพื่อเดินจาก ‘คอมฟอร์ตโซน’ อันแสนสะดวกสบายโดยที่ไม่มีอะไรการันตีความสำเร็จ และทันทีที่เขาก้าวขาออกมา เขาก็ล้มแล้วล้มอีกมานับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับเป็นการล้มที่สนุก และอยากล้มให้ได้มากที่สุด เพื่อสักวันจะได้ยืนอย่างมั่นคงด้วยขาของตัวเอง

 

ล่าสุดเขาตัดสินใจย้ายเข้าสู่ค่าย What The Duck ค่ายขนาดเล็กพอดีตัวที่เขารู้สึกปลอดโปร่งเมื่อได้ร่วมงานกัน และเพิ่งปล่อยเพลง ออกมาทักทายคนฟังเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา

 

 

จุดประสงค์หลักๆ ที่ทำให้คุณตัดสินใจเข้ามาร่วมในรายการ คืออะไร

ที่ผมเข้ามารายการนี้ จุดประสงค์หลักใหญ่คือ ผมอยากเห็นทุกคนไปด้วยกัน ผมน่าจะเป็นคนเดียวในรายการนี้ที่รู้จักทุกตำแหน่ง ผมเคยร่วมกับบริษัทโต๊ะกลม เคยร่วมงานกับ Rap is Now และคิดว่าผมต้องอยู่ในรายการ เพราะผมอยากให้ 2 ทีมนี้มาเจอกัน เพราะมันน่าจะได้เคมีอะไรที่แปลกใหม่

 

มีภาพในใจเอาไว้หรือเปล่าว่าต้องไปไกลถึงขนาดไหน

อย่างน้อยอยากให้การเป็นศิลปินฮิปฮอป เป็นแรปเปอร์ที่พวกเขาทำอยู่คือเป็นอาชีพได้ ในยุคแรกๆ มีเพื่อนของผมหลายคนที่อาจจะเก่งกว่าผมด้วยซ้ำ แต่ว่าไม่มีที่ซัพพอร์ต ทุกครั้งที่จัดคอนเสิร์ตเราจะเจอแต่หน้าซ้ำๆ เดิมๆ เป็นเพื่อนแล้วชวนกันมาดู วนๆ อยู่แค่นี้ คนอื่นก็ไม่ได้รับการเปิดประตูให้เข้าไป เพราะคิดว่าอยู่กันแค่นี้ก็พอแล้ว ใครไม่เข้าใจก็ช่างมัน แล้วก็อยู่กันแบบคนชายขอบ ทำเป็นอาชีพไม่ได้ ต้องเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น ด้วยวัยและเวลา สุดท้ายก็ทำให้เขาเลิกแรปไปเอง ซึ่งมันน่าเสียดายบุคลากรพวกนี้มากๆ เลยนะ

 

ผมเคยไปคุยกับหลุยส์ Rap is Now (ธชา คงคาเขต a.k.a. 1-Flow ผู้ต่อตั้ง Rap is Now และพิธีกรรายการ ) เขาบอกว่า พวกเราเป็นหมาป่าพี่ เราเข้าใจกันแค่นี้แหละ แต่สิ่งที่ผมพยายามบอกหลุยส์คือ เราจะเป็นหมาป่าอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ เพราะเมื่อเรายึดอีโก้แล้วไม่ยอมเปิดประตูให้คนอื่นเข้ามา เราจะอยู่ในประเทศนี้แบบคนชายขอบ สุดท้ายต้องเลิกแรปไปทีละคนสองคน เพราะไม่สามารถทำอาชีพนี้ได้

 

แรปเปอร์คนไหนที่รู้สึกว่าน่าเสียดายที่สุดที่เขาต้องเลิกแรปไปในยุคนั้น

ผมเสียดายวงชื่อ เอเซี่ยน (AZN) เสียดาย DC Clan โอ้ พรรคพวกอันเดอร์กราวด์หลายคน ที่บางคนก็ไปเป็นตากล้อง บางคนก็เลิกทำเพลงไปเลย ซึ่งถ้ามาอยู่ในยุคนี้ผมว่าพวกมันมาแข่ง แน่ๆ แล้วตอนนี้น่าจะมีงานเยอะมาก เพราะมันเก่งมากเลยนะ

 

นอกจากประสบการณ์ที่ใช้ในการโค้ชผู้เข้าแข่งขันในทีม มีเรื่องไหนบ้างที่ตัวคุณเองก็ได้รับกลับมาจากแรปเปอร์รุ่นใหม่ด้วยเหมือนกัน

เยอะแยะเต็มไปหมดครับ ผมได้เห็นวิธีการสื่อสารละครเวทีแบบแรปเป็นครั้งแรกจาก Puppup (ปุ๊บปั๊บ-กชกร เสน่หา) ผมได้เห็นวิธีการแรปใหม่ๆ ของ CD Guntee (กันต์ธีร์ ปิติธัญ) และ Poppa (อภิวัฒน์ ชินอักษร) ที่ผมไม่มีทางแรปแบบนั้นได้ เพราะผมเป็นโอลด์สคูล ส่วนเขาคือรุ่นใหม่ มันจะมีวิธีการโฟลว์อีกแบบ แม้กระทั่ง Diamond (วรัญญ์ เครือบุตร) ที่เป็นเด็กมากๆ ก็ทำให้ผมเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานแรปเปอร์ที่เด็กมากๆ อายุแค่ 15 ปี เขาก็จะมีวิธีการทำงานที่แตกต่างไป จะใช้วิธีเดียวกับที่โค้ชรุ่นพี่เขาไม่ได้ เพราะความรับผิดชอบเขาอาจจะยังไม่ได้โตเต็มที่ขนาดนั้น เราก็ต้องมีวิธีการวางแผนอีกแบบ ทำให้เข้าใจวิธีคิดของแรปเปอร์รุ่นใหม่มากขึ้น

 

มีผู้เข้าแข่งขันคนไหนในรายการบ้างที่มองเห็นภาพของตัวเองคุณเองสมัยเด็กๆ ซ้อนทับขึ้นมา

มีวิธีเขียนไรม์ของต๊อบ Blacksheep เป็นวิธีคิดที่ผมชอบใจ และวัยหนุ่มเคยคิดว่าจะทำแบบเขา แต่ ณ ขณะนี้ก็ไม่ได้คิดแบบนั้นทั้งหมดแล้ว แต่ต๊อบคือภาพวัยหนุ่มของผม อีกคนคือ เก่ง Repaze ที่รู้สึกว่าใกล้เคียงกันทั้งอุปลักษณะและนิสัยใจคอ

 

มีเรื่องไหนที่เป็นห่วงคนเหล่านี้บ้างไหม เมื่อเขาต้องใช้การแรปและเพลงฮิปฮอปเป็นอาชีพจริงๆ ในอนาคต

ไม่ห่วงคนเหล่านี้แต่ห่วงรุ่นต่อไป เพราะรุ่นนี้เขารู้หมดแล้ว เขาคือฝูงหมาป่าที่ไม่ได้มาจากรายการ เขาทำมาก่อนแล้วค่อยเข้ามาในรายการเท่านั้นเอง แต่จากนี้ไปที่มันกำลังจะเป็นกระแสเข้าสู่ความแมส รุ่นต่อไปที่กำลังจะมาต่างหากที่น่าเป็นห่วง เพราะมันมีความเป็นกระแสนิยมมากๆ มันก็จะยิ่งหาตัวตนกันยากมากขึ้น แต่ผมเชื่อนะว่าถ้าเรารักในสิ่งนี้จริงๆ สุดท้ายไม่ว่าอย่างไรเขาจะหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเจอแน่ๆ

 

 

ในฐานะแรปเปอร์ที่เริ่มต้นจากอันเดอร์กราวด์มากๆ คุณรู้สึกอย่างไรกับการที่การแรปกำลังจะกลายเป็นแมสขึ้นมา

บางคนเขาไม่ชอบรายการ เพราะว่ามันไม่ใช่แค่รายการประกวดร้องเพลงที่จะมาร้องเพลงอะไรก็ได้ พอเป็นแรปมันเลยมีคัลเจอร์ มีเรื่องราว มีประวัติศาสตร์อยู่ในนั้น รุ่นที่โตหน่อยเขาก็กลัวว่า เอ๊ะ เอาแรปมาทำเป็นตลก เอามาดราม่า ร้องไห้ มันผิดคัลเจอร์ไปไหม แต่สำหรับผมนะ สิ่งที่ปลื้มปีติดีใจที่สุดคือ การเปิดประตูให้ฝูงหมาป่าได้เข้าไปใกล้คน และคนได้เข้าใกล้ฝูงหมาป่า มันอาจจะมีเรื่องที่ผิดไปจากคัลเจอร์เดิมบ้าง แต่สุดท้ายต้องยอมรับว่า ที่นี่คือประเทศไทย เราก็ควรจะต้องอยู่อย่างที่เราเป็น

 

คำว่า Keep It Real ของผมคือการเป็นตัวเรา ไม่ได้ปลอมเป็นใคร สุดท้ายผมอยากให้คนเข้าใจว่า เด็กฮิปฮอปไทยเจอกัน เขาทักทายกันด้วยการยกมือไหว้ สวัสดีครับพี่เหมือนกับคนทั่วไป ไม่ได้มา Hey! Yo! What’s Up! แบบนั้น แล้วประตูบานนี้มันกำลังเปิด คนเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าไรม์คืออะไร 8 บาร์คืออะไร อะไรคือไซเฟอร์ (Cypher การแรปต่อกันไปเรื่อยๆ แบบฟรีสไตล์) คนเข้าใจว่าฮิปฮอปไม่ได้แรปสดได้ทุกคน ผมยินดีมากที่เรากำลังพูดภาษาเดียวกันมากขึ้น ผมเห็นภาพแม่ผมเปิดยูทูบดูเคนน้อย (ธีรศานติ์ ปวงกันทะ) แล้วก็เชียร์เคนน้อยมากๆ ผมเลยรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วยังไงวะ เราจะ Keep It Real ในแบบที่เขาเป็น หรือจะ Keep It Real ในแบบที่เราเป็นกันแบบนี้

 

กลัวไหมว่าเมื่อฝูงหมาป่าเพิ่มจำนวนมากขึ้น จะเกิดปรากฏการณ์กัดกินกันเอง หรือต่อสู้กันเองขึ้นมา

ณ ขณะที่มีน้อย มันก็ต้องสู้กันเองอยู่แล้ว หมาป่าเป็นสัตว์ต้องสู้ หมาป่าไม่ได้รักสงบ และจริงๆ หมาไม่ได้อยู่เป็นฝูงด้วยซ้ำ หมาป่าชอบอยู่ตัวเดียว มันเลยอีโก้โคตรๆ คนจะมาอยู่ในวงการนี้ได้ต้องมีอีโก้ แน่นอนว่าทำงานกับคนอีโก้มากเข้า มันต้องมีอีโง่ขึ้นมา ในบางเรื่องมันก็กัดกันฉิบหายวายป่วง เขาถึงบอกว่า วงการนี้มันสามัคคีกันยาก ภาพที่เห็นว่าเรารักกันขนาดนี้ บางกลุ่มที่ไม่รักกับเราก็มี มันเป็นเรื่องปกติอยู่ในสังคมทั่วไปอยู่แล้ว ผมว่าการเปลี่ยนให้ทุกคนมารักกันเป็นเรื่องในอุดมคติ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่อย่างน้อยตอนนี้แค่ให้ทุกคนมีงานทำก่อน ผมโอเคแล้ว

 

คุณมีวิธีจัดการอย่างไร เมื่อวันหนึ่งอีโก้ของคุณเปลี่ยนเป็นอีโง่ขึ้นมา  

อย่างแรก เราจำเป็นต้องมีอีโก้ครับ อีโก้เป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับการทำงาน แต่ ณ อายุหนึ่งที่ผมโตพอที่ต้องไปทำเพลงโฆษณา ตอนนี้ผมเปิด House Music ที่เอาเพลงฮิปฮอปมาทำเพลงโฆษณา ผมก็จำเป็นต้องเอาอีโก้วางไว้ข้างๆ ตัว อีโง่กับอีโก้ต้องแยกจากกันตรงนี้ ต้องดูว่าตำแหน่ง ณ ตอนนั้นของเราคืออะไร เล่นไปตามตำแหน่ง อีโก้จะดีเมื่อเราเล่นตามตำแหน่งที่เหมาะสม

 

ยกตัวอย่างทำงานโฆษณาลูกค้าเป็นคนเคาะทุกอย่าง เราคือโปรดิวเซอร์เพลงโฆษณา หน้าที่ของเราคือบรรลุโจทย์ที่ลูกค้าต้องการ อีโก้ของเราตอนนี้คือ ต้องทำยังไงก็ได้ให้ทำตามโจทย์นั้น ไม่ใช่บอกว่า เฮ้ย อันนี้คือเพลงของกู ลูกค้ามาเกี่ยวอะไรวะ อ้าว ถ้าคิดแบบนี้มึงก็อย่าไปรับงานมาตั้งแต่แรกสิ ถ้าคิดแบบนั้นสิ่งที่เรายึดจะกลายเป็นอีโง่ทันทีเลย ถ้าเราอยู่ในตำแหน่งที่ต้องทำเพื่อคนอื่นแต่ดันอยากทำเพื่อตัวเอง  

 

ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะวางอีโก้ของตัวเองกับการทำเพลงโฆษณาได้

ก็เอาเรื่องอยู่ ใช้เวลาทะเลาะกับลูกค้าอยู่พักใหญ่เหมือนกันนะ แต่ตอนนี้คือบรรลุแล้ว

 

 

เคยคุยกับยอดฝีมือในการทำเพลงโฆษณา 2 คน คือ ตุล อพาร์ตเม้นต์คุณป้า และต้า Paradox คนหนึ่งบอกว่า การทำเพลงโฆษณาคือการทำลายวรยุทธ แต่อีกคนหนึ่งบอกว่า การทำเพลงโฆษณาคือการพัฒนาวรยุทธของตัวเอง สำหรับคุณเป็นแบบไหนมากกว่ากัน

ผมขอคิดโจทย์นี้ให้รอบคอบก่อน ต้องดูว่าทั้ง 2 คน พูดด้วยนัยแบบไหน 2 คนนี้ คือยอดฝีมือและคืออาจารย์ของผมด้วยนะ และที่ทั้งคู่พูดมาน่าสนใจมาก (คิดนาน) สำหรับผมนะ การทำเพลงโฆษณาคือการทำให้หนังจีนดูเป็นรูปธรรมมากขึ้น คนมักจะถามว่าพวกจอมยุทธเขาทำมาหากินอะไร ทำไมสามารถท่องไปทั่วยุทธภพได้โดยมีเงินดื่มสุราไปได้เรื่อยๆ ผมว่าเพลงโฆษณาคือสิ่งที่ทำให้จอมยุทธทำแบบนั้นได้ในโลกของความเป็นจริง แล้วถ้าจะเปรียบนะ เพลงโฆษณานี่คือสุดยอดคัมภีร์การทำมาหากินของจอมยุทธ เพราะในโลกที่เพลงขายไม่ได้อีกต่อไปแล้ว คุณจะมีกินได้ก็จากเพลงโฆษณานี่แหละ

 

กลับมาตอบโจทย์ยอดฝีมือพูดไว้ จริงๆ แล้วสิ่งที่ทั้ง 2 คนพูดคือจุดเดียวกัน คนหนึ่งคือการทำลายวรยุทธที่หมายถึงการล้างอัตตาตัวเอง ในการทำเพลงโฆษณาเราจำเป็นต้องลืมว่าเราเคยเป็นใครให้ได้ก่อน เพื่อบรรลุวรยุทธขั้นต่อไปให้ได้ สุดท้ายการทำลายวรยุทธของพี่ตุลกับการพัฒนาวรยุทธของพี่ต้ามันมีจุดเริ่มต้นเหมือนกันเลยคือลืมอัตตา วางตัวตน เพื่อบรรลุสุดยอดเคล็ดวิชาให้ได้

 

เชื่อว่าก่อนจะบรรลุเคล็ดวิชาการทำเพลงโฆษณาแบบนี้ ตามวิถีของจอมยุทธคุณต้องเคยผ่านช่วงธาตุไฟแตกซ่านมาก่อน

ช่วงธาตุไฟแตกคือ ผมไม่สามารถกลับมาทำเพลงได้เลย เพราะผมไม่มีโจทย์จากตัวเองอีกต่อไป ผมทำเพลงโฆษณาเยอะจนเรียกร้องหาโจทย์จากลูกค้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในการทำงานมันง่ายมากเลยนะ โปรดักต์คุณคืออะไร อยากพูดเรื่องไหน คีย์เวิร์ดคืออะไร เดี๋ยวผมเอาไปแทรกในเพลงให้ พอวันหนึ่งอยากทำเพลงของตัวเองขึ้นมา ธาตุไฟแตกเลยจริงๆ เว้ย มันกลับมาเป็นตัวเองไม่ได้ เขียนเพลงไม่ออก เพราะตั้งโจทย์ให้ตัวเองไม่ได้แล้ว

 

อยู่มาวันหนึ่งไปเจอ The TOYS (ธันวา บุญสูงเนิน) ช่วงที่ผมกำลังงงๆ ว่าจะทำยังไงดี แล้วเหมือนมันมาจี้จุดหยิมต๊ก (จุดชีพจรสำคัญที่มีผลต่อการเดินลมปราณ) ผมเว้ย คือทอยเป็นคนพูดไม่เก่ง สื่อสารก็ไม่เข้าใจ แต่อย่างเดียวที่ทอยเป็นฮีโร่คือเวลานั่งอยู่หลังคอมแล้วทำเพลงแม่งเก่งสัตว์ๆ

 

ผมบอกทอยว่า กูกำลังเขียนเพลงไม่ได้ กูขอเพลงอะไรก็ได้ของมึง แล้วทอยเปิดเพลง  ให้ฟัง แล้วผมบอกทอยแค่ว่า กำหนดจังหวะมาให้หน่อย อยากให้แรปแบบไหน ปกติผมจะเป็นคนกำหนดเอง แต่คราวนี้อยากลอง ทอยก็บอกเอาปึ้กๆๆ ตะดื่ดๆ แล้วให้มีเสียงก๊อกๆ อ่ะพี่ ฉิบหายแล้ว อะไรของมันวะ (หัวเราะ) แต่เอาเว้ย ไม่เคยทำงานอย่างนี้ ลองดู เขียนตามจังหวะที่มันบอก ปรากฏว่าเราสนุกกับการเขียนเพลงอีกครั้ง แทนที่เราจะไปห่วงว่าลูกค้าจะให้ความหมายอะไร ไปห่วงเรื่องจังหวะอย่างเดียวดูบ้าง แล้วมันคิดขึ้นมาได้ง่ายมากเลย ง่ายแบบ เฮ้ย อย่างนี้ก็ได้เหรอวะ หรือที่ผ่านมามันคือการกังวลของเราไปเองทั้งหมดเลย เรายึดมั่นถือมั่นในเรื่องนี้มากเกินไป พอกลับมาที่ตัวเราจริงๆ ลองไม่ได้ต้องคิดถึงอย่างอื่น คิดแค่จังหวะ ปล่อยให้มันไหลไปตามธรรมชาติ สุดท้ายก็กลับมาทำงานได้ตามปกติ

 

เพลง

 

ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์ธาตุไฟแตกเกิดขึ้นมาในชีวิตคุณกี่ครั้ง และทะลวงจุดผ่านมาได้อย่างไร

น่าจะมีอีกหนึ่งครั้งคือ ตอนทำอัลบั้มสอง (พ.ศ. 2548) ก่อนนั้นผมอยู่เชียงราย รู้จักฮิปฮอปว่าคือแรปไทย คือโจอี้ บอย ไม่รู้จักฮิปฮอปเมืองนอกเลย ไม่รู้จัก Dr. Dre ไม่รู้จัก Snoop Dogg ไม่รู้จักการแต่งตัว ไม่รู้จักวัฒนธรรม ตอนทำอัลบั้มหนึ่งก็ทำแบบแก้วเปล่ามากๆ พออัลบั้มสองเริ่มมีชื่อเสียง เริ่มไปศึกษาเพิ่มเติม แล้วเห็น Bone Thugs-n-Harmony ดูดปุ๊น คิดว่าการดูดปุ๊นทำให้เขียนเพลงดี ปุ๊นคือแก่นแท้ของฮิปฮอป ปรากฏว่าดูดไปดูดมาติด แต่เขียนเพลงยังไงก็เขียนออกมาไม่ได้ ทำไมวะ Snoop Dogg เขียนได้เราก็ต้องเขียนได้ดิ สุดท้ายอัลบั้มสองไม่เสร็จตามเวลา เพราะผมเขียนเพลงไม่ได้

 

วันหนึ่งก็โทร.ไปบอกแม่ สารภาพกับแม่ว่าผมดูดกัญชา แต่จากนี้สัญญาว่าจะไม่ดูด แล้วก็เลิกกัญชากลับมาเขียนอัลบั้มสองได้ เป็นการธาตุไฟแตกเพราะพยายามเดินตามเขา เพราะคิดว่านั่นคือเรียล แต่จริงๆ แล้วการพยายามเรียลก็คือการปลอมอย่างหนึ่ง เราเข้าใจแล้วว่าธรรมชาติเราไม่ใช่คนดูดกัญชา ดูดแล้วไม่สนุกจะดูดทำไมวะ เพราะฉะนั้นเรียลที่สุดคือการเป็นตัวเอง ถ้าอ่านหนังสือแล้วเขียนเพลงได้ ทำไมต้องกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเป็นแรปเปอร์กระจอก แรปเปอร์บ้าหนังจีนแล้วต้องดูกระจอกเหรอวะ อะไรที่ทำให้เราทำงานง่าย สิ่งนั้นย่อมดีกว่าอยู่แล้ว ก็ค่อยๆ ฟื้นฟูธาตุไฟตัวเองกลับมาได้

 

 

ตอนอัลบั้มสองคิดว่าแก่นแท้ฮิปฮอปคือกัญชา แล้วหลังจากนั้นพบว่าแก่นแท้ของฮิปฮอปคืออะไรอีกบ้าง

ก่อนหน้านั้นเห็น Eminem ทำเพลงด่าคนอื่น ก็คิดว่าแก่นแท้ของฮิปฮอปคือการด่า เราก็ทำเพลงด่าคนอื่นเละเทะเลย ซึ่งพอมาคิดตอนนี้แม่งคือเด็กมากอะ ด่านักการเมืองทั้งที่เราไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่คิดว่าด่าแล้วเท่ พูดคำหยาบบนเวทีแล้วเท่ แจกอวัยวะ รวยๆๆๆ เราก็ทำ ต่อมาคิดว่าแก่นแท้คือกัญชาก็ดูดกัญชาตามเขา สุดท้ายแม่งก็ไม่ใช่

 

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เพลง เป็นที่รู้จัก คิดว่าแก่นแท้ของฮิปฮอปคือการเมืองเว้ย เราต้องเลือกข้างการเมืองอะไรสักอย่าง แล้วก็ทำเพลงเพื่อปฏิวัติ เรียกร้องประชาธิปไตย ทำแต่เพลงการเมือง พอไปถึงจุดหนึ่งก็ไปเจอว่าจริงๆ แล้วมึงไม่ได้เข้าใจอะไรเกี่ยวกับการเมืองเลย มึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่านโยบายเขามีอะไรแล้วก็เฮตามเขาไป เข้าใจว่าตัวเองเท่มาก และสิ่งที่ไปเข้าข้างเขาน่ะ มึงรู้ได้ยังไงว่ามันถูก สุดท้ายเรารู้ว่าทุกอย่างมีนัยซ่อนเร้นหมด โอเค แก่นแท้ของฮิปฮอปไม่ใช่การเมือง 

 

เพลง

 

ต่อมาแก่นแท้ของฮิปฮอปต้องเป็นการจรรโลงโลกเว้ย ยุคหนึ่งก็ทำเพลงแบบสวยสดงดงาม เรารักกันเถอะ อย่าไปหาเงินเลย ความรักสำคัญที่สุด คิดว่าต้องทำเพลงเพื่อจรรโลงจิตใจคน พอเวลาผ่านไปก็ไม่ใช่อีก โลกไม่ได้สวยขนาดนั้น จน ณ ขณะนี้ผมคิดว่าแก่นแท้ของฮิปฮอปคือการทำสิ่งที่เราเห็น เข้าใจและอธิบายมันออกมา ทุกอย่างมาจากสิ่งที่ตัวเรารู้สึกจริงๆ เท่านั้นเอง

 

ย้อนกลับไปที่รายการ ที่บอกว่า รู้สึกยินดีกับแรปเปอร์รุ่นใหม่ที่มีโอกาสมากขึ้น นอกเหนือจากนั้นแอบมีความรู้สึกอิจฉาคนเหล่านี้แทรกอยู่บ้างไหม ในฐานะคนที่ต้องพยายามเปิดโอกาสให้ตัวเองมาตลอด

ถ้าเรื่องนั้นไม่อิจฉาเลย เพราะรู้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของมัน ยุคผมมีความดีที่ยุคนี้ไม่มี ยุคนี้ก็มีความดีที่ยุคก่อนไม่มี ยุคผมถึงเรฟเฟอเรนซ์ไม่เยอะอย่างเขา ไม่ได้เสิร์ชหายูทูบได้ทุกอย่าง แต่ตอนนั้นผมมีความสุขกับการได้นั่งอ่านปกเทป ดูว่าใครเป็นโปรดิวเซอร์ ใครเป็นคนแต่งเพลง ผมถึงได้วิชาอย่างที่เด็กยุคนี้ไม่มีทางได้รับ ผมศึกษางานของพี่โป้ โยคีเพลย์บอย ศึกษางานของ Zentrady (หนึ่งในนามปากกาของ บอย-ตรัย ภูมิรัตน) ฯลฯ ผมรู้จักนักแต่งเพลงเยอะมาก เพราะฉะนั้นเราโชคดีขนาดไหนที่ได้รู้พวกนี้

 

ถ้ามีเรื่องที่อิจฉาก็คือ ผมดันเริ่มต้นที่จะทำอัลบั้มเองช้ากว่า น้องๆ เขาแซงเราไปไกลมากแล้ว มีรอบหนึ่งในรายการ ที่ผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งร้องเพลงปู่จ๋านได้ ร้องเพลง UrBoyTJ ได้ ร้องเพลงโต้ง Twopee ได้ แต่เขาร้องเพลงเราไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าเรามีเพลงอะไร มันตกใจที่ได้รู้ว่า ฉิบหายแล้ว เราเป็นโค้ชคนเดียวที่มานั่งอยู่ตรงนี้ แต่ไม่มีเพลงประสบความสำเร็จเลย แล้วจะเอาอะไรมาสอนเขา เลยเริ่มคิดว่าไม่ได้ว่ะ ต้องเริ่มทำอะไรบางอย่างที่เป็นของเราบ้างแล้ว

 

แต่ก่อนหน้านั้นคุณก็มีเพลงที่ทำมาตลอด และประสบความสำเร็จหลายเพลงอยู่เหมือนกัน

ก่อนหน้านั้นผมทำเพลงเยอะ ฟีเจอริงเยอะ แต่ไม่เคยมีอะไรชัดเจนเลย เหมือนต้นไม้ที่มีใบ้ไม้เต็มไปหมด แต่ไม่มีราก จุดยืนของเราคืออะไร ผมฟีเจอริงได้ทุกแนวเพลง ลูกทุ่ง ฮิปฮอป ป๊อป ร็อก ฮิปฮอป เรกเก้ ธรรมชาติของเราคือแรปตรงไหนก็ได้ แต่รากฐานคืออะไรล่ะ อยากแรปพรีเซนต์อะไร TwoPee มีเพลงแบบเขา TJ ก็มีเพลงคือ TJ ปู่จ๋านคือเหนือปนลูกทุ่ง แล้วเราล่ะคือใคร

 

 

ซึ่งเราจะได้เห็นรากของคุณในอัลบั้มที่กำลังทำอยู่ตอนนี้

จะได้เห็นในอัลบั้มที่สามครับ ตอนนี้คืออัลบั้มแรก (หัวเราะ) อัลบั้มนี้จะมี 20 เพลง เป็นอัลบั้มที่ผมจะทำผิดพลาด อยากทำอะไรทำไปก่อน แต่มีสลอตให้ 20 เพลง อย่างน้อยมันต้องมีสักเพลงที่ทำงานให้ค่าย What The Duck เขาบ้างล่ะวะ (หัวเราะ) เลยเพิ่มชอยส์ให้ตัวเองว่าอยากทำอะไรทำ อยากทำงานที่เลือกมา แล้วล้มให้เยอะที่สุด การล้มจะเป็นครูที่ดีมากในการสอนว่า อัลบั้มที่สองต้องทำอะไร แล้วค่อยๆ ปอกเปลือกมันออกให้เหลือรูปทรงที่งดงาม แล้วค่อยตกตะกอนเป็นรากฐานจริงๆ ในอัลบั้มที่สาม นี่คือสิ่งที่วางแผนไว้ตอนนี้

 

แต่จากที่ผ่านมาทั้งหมด คุณเองก็น่าจะผ่านการล้มมาหลายครั้ง ยังไม่รู้สึกเบื่อกับการที่จะต้องมาล้มอีกบ้างเหรอ

ใครบอกว่าผมเคยล้ม ผมเพิ่งจะมาล้มตอนนี้เอง เมื่อก่อนอยู่ก้านคอคลับ มีเฮียโจ้คอยประคองตลอด เราเป็นสมาชิกในวง เฮียมีงานให้ตลอดทุกเดือน โจอี้บอยอยู่มา 20 ปี ไม่เคยกระแสดับ เฮียให้ค่าจ้างงานหนึ่งเท่าเงินเดือนถ้าเราทำงานประจำเลยนะ เพราะฉะนั้นเราจะห่วงอะไรล่ะ อยากทำอะไรก็ไปทำสิ อยากฟีเจอริงกับใครก็ไป อย่างนี้เรียกว่าล้มไม่ได้ ตอนนี้ต่างหากที่ผมเพิ่งกระโดดออกมาล้มเองจริงๆ

 

ผมเริ่มล้มมาสักพักแล้วเหมือนกันนะ ผมตัดสินใจลาออกโดยไม่บอกใคร และไม่รู้จะไปไหนมานาน วันหนึ่งขึ้นไปโชว์กับเฮียตามปกติ มองคนเฮกันลั่น ร้องเพลงของเฮีย แล้วรู้สึกว่า เฮ้ย เพลงเราอยู่ตรงไหนวะ มันมาช่วงเดียวกับรายการ ที่คนนั้นร้องเพลงเราไม่ได้ นี่กูทำอะไรอยู่วะ ปีนี้ 36 แล้ว จะเริ่มเมื่อไร ต้องเริ่มตอนนี้เท่านั้น

 

แล้วก็เริ่มวางแผนว่าต้องทำอะไร อ๋อ ต้องมีโชว์ของตัวเอง จะเล่นเพลงอะไรดีวะ มีเพลงของมึงกี่เพลงที่คนจะสนุกไปด้วยได้ แอบรวบรวมทีมไปเล่นเอง ล้มแล้วล้มอีก บางงานคนเดินออกจนเหลือแค่ 3 คน ไม่ได้เว้ย ต้องปรับ แก้แล้วแก้อีกให้ได้โชว์ 1 ชั่วโมงที่เป็นของตัวเองจริงๆ

 

ส่วนอัลบั้มเคยทำเองที่ไหนล่ะ ก็คิดวิธีมีสลอต 20 เพลง ใช่ไหม เอาอย่างนี้แล้วกันเปิด Studio28 สตูดิโอทำเพลงที่ใหญ่มาก วางเงินไว้วันละ 60,000 บาท เรียกโปรดิวเซอร์เข้ามา เรียกคนแต่งเพลงเข้ามา เรียกนักร้องเข้ามา จ่ายสด ณ วันนั้น ยกตัวอย่างวันนี้อยากให้ลิเดียมาร้อง ให้เวลาตั้งแต่เที่ยง ลิเดียมา 2 ทุ่ม ต้องมีเพลงให้ลิเดียร้อง เหมือนการพนัน แล้วปรากฏว่าวันนั้นเสียพนัน เพลงที่ได้ออกมาก็ไม่ใช่เพลงที่ชอบ เสียเงินไปหมดเลย แต่บางวันมันก็เวิร์กเว้ย อย่างเพลง ที่พี่ปู (พงษ์สิทธิ์ คำภีร์) มาร้องให้ก็ทดลองวิธีใหม่แล้วก็เวิร์กจริงๆ

 

อย่าบอกนะว่ากับคนอย่างปู พงษ์สิทธิ์ คุณก็โทร.บอกให้เขามาร้อง โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีเพลงให้เราจริงๆ หรือเปล่า

ไม่ครับๆ ของพี่ปูเป็นเคสแบบนี้ คือทางค่ายวอร์เนอร์ มิวสิคเรียกให้ผมเป็นหนึ่งในทีมทำเพลงให้พี่ปู แต่เพลงไม่ผ่าน แล้ววันหนึ่งไปร้องเพลงที่นครปฐม บังเอิญเจอพี่ปู แกเดินมาคุยบอกว่า “ไม่ต้องเสียใจนะที่เพลงไม่ผ่าน เราคุยแบบตัวผู้กับตัวผู้คุยกัน น้องไปทำเพลงมาหนึ่งเพลง เดี๋ยวพี่ไปร้องให้” โจทย์มันมาจากแค่นั้นเลย คืออัลบั้มนี้ต้องมีเพลงที่เราต้องร้องกับพี่ปู ก็บอกแม็ก (ธิติวัฒน์ รองทอง) นักแต่งเพลงไปแบบนี้ พอแม็กส่งเพลงมาปุ๊บ โคตรโดนเลย วันรุ่งขึ้นนัดพี่ปูมาร้อง พี่ปูบอกว่าอาจจะมาได้ตีหนึ่งจะรอไหม เรารอ ก็เปิดห้องที่สตูดิโอรอไว้ตั้งแต่เที่ยง ทำเพลง ทำอย่างอื่นรอไปก่อน เพิ่มเงินขยายเวลาห้องอัดไปถึงตีหนึ่งให้พี่ปูมาร้อง มันเป็นวิธีการทำงานแบบไหนก็ไม่รู้ แต่เรากำลังสนุกกับการทำแบบนี้ สนุกกับการล้ม และการทำอะไรแบบที่ไม่เคยทำมากๆ

 

ตอนนี้อัตราการเดิมพัน ชนะกับแพ้ เดิมพันฝั่งไหนมากกว่ากัน

ตอนนี้ชนะเยอะกว่า ผมมีเพลงในมือประมาณ 6 เพลง มีไม่สำเร็จแค่ 2 เพลง เพราะส่วนใหญ่คนที่เลือกมาทำงานด้วย เรารู้จักเขาดีอยู่แล้ว  

 

ตอนที่เสียเดิมพัน เงินค่าห้อง 60,000 บาท รวมทั้งค่าทีมงานในวันนั้นที่หายไปฟรี ทำให้หน้าภรรยาหรือน้องชูใจลอยขึ้นมาบ้างหรือเปล่า  

เสียวสิ แต่สุดท้ายมันเป็นเงินที่เรากันไว้สำหรับเรื่องนี้ เราไม่ได้ใช้เงินที่บ้าน เงินก้อนนี้เราเก็บไว้สำหรับงานนี้โดยเฉพาะ ซึ่งสุดท้ายมันจะกลายเป็นสมบัติของที่บ้านด้วยในที่สุด แต่อย่างที่บอกว่า เราไม่ได้วางแผนแค่ชั่วข้ามคืน เราวางแผนมานานแล้ว

 

 

เรื่องลาออกจากก้านคอคลับได้บอกให้โจอี้บอยรู้เป็นคนแรกหรือเปล่า

บันทึกไว้ ณ วันให้สัมภาษณ์คือ 18 กรกฎาคม 2561 ผมยังไม่ได้ไปคุยกับเฮียโจ้เรื่องการลาออกแบบนั่งคุยกันอย่างเป็นทางการเลยนะ มีแต่ไลน์คุยกันเรื่องนี้บ้าง คิดว่าอย่างน้อยวันที่ 23 กรกฎาคม ที่เป็นวันสุดท้ายของการแข่งอาจจะมีโอกาสได้คุย

 

คิดนานไหมกว่าจะกล้าไลน์ไปบอกเขาว่าเราอยากขอลาออก

ไม่ได้ไลน์ไปบอก แต่แกไลน์มาถาม คือแกรู้เรื่องอยู่แล้ว แกรู้ทุกอย่าง แล้วถามว่าเมื่อไรมึงถึงจะบอกกู แต่เรารู้สึกว่าเราทำใจไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่าขอลาออก เราเดินไปพูดกับแกไม่ได้ เราพยายามแล้ว เคยพยายามนัดกินข้าวกับแก 2 คน แต่ก็มีเรื่องให้คลาดกันตลอด แต่สุดท้ายทุกคนก็รู้ เพราะผมไม่ได้คุยกับแก แต่ก็คุยกับผู้จัดการ คุยกับทุกคนว่าผมจะลาออก ตอนนี้ผมเซ็นกับค่าย What The Duck นะ

 

วันที่พี่โจ้ไลน์มาถามรู้สึกอย่างไร

โล่งใจครับ เพราะแกไม่ได้ด่าหรือว่าอะไรเราแม้แต่คำเดียว เสียใจไหมอันนี้ผมไม่รู้นะ แต่ถามว่าคิดร้ายไหม ไม่มีความร้ายอยู่ในนั้นเลยสักนิดเดียว มีแต่ความหวังดี มีแต่ความเป็นห่วง มีแต่ความรักอยู่ในนั้น

 

สำหรับเราคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องใหญ่มากเหมือนกันนะ กับการที่คนที่เคารพคนคนหนึ่งถึงกับยอมสักชื่อของเขาเอาไว้บนแขน แล้วต้องตัดสินใจเดินออกมาเพื่อเติบโตด้วยตัวเอง

สุดท้ายแล้วรอยสักชื่อพี่โจ้ก็ยังอยู่ ผมไม่ได้เดินออกมาแบบต้องลบรอยสักปานแดงปานดำ เช่นเดียวกับที่พี่โจ้ก็จะยังอยู่ในใจของเราเหมือนเดิม ตอนจะลาออกเมียผมก็บอกว่าจะบ้าเหรอ อยู่กับเฮียสบายจะตาย มั่นคงอยู่แล้วจะออกมาทำไม ทำไมไม่คิดถึงลูกบ้าง แต่ผมกลับรู้สึกว่า การเกาะเฮียแดกไปตลอดอย่างนั้นต่างหากที่ไม่มั่นคง

 

การไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเองต่างหากคือความไม่มั่นคงของจริง มึงไม่มีสมบัติพัสถานอะไรที่หามาได้เองโดยไม่มีเฮียช่วย ทุกบาททุกสตางค์เฮียช่วยหาหมด เพราะฉะนั้นสิ่งที่มั่นคงที่สุดคือมึงต้องหาแดกด้วยตัวเอง แล้วถ้าเรายังทำกับเฮียอยู่ มันจะไม่สำเร็จ เรามีความรู้สึกอย่างนั้น เพราะอยู่กับเฮียแล้วทุกอย่างสบายไปหมด เราจะไม่ได้ลองทำอะไรแบบนี้ อย่างเรื่องเอาเงินไปวางเพื่อทำเพลงแบบนั้น เฮียคงด่าฉิบหาย ว่าทำไมไม่วางแผนให้ดีก่อน มึงจะบ้าเหรอ ทำไมทำแบบนั้น ซึ่งผมกำลังสนุกกับวิธีแบบนี้ ผมคงเป็นเหมือนลูกคนเล็กที่ชอบเอาแต่ใจตัวเอง คราวนี้แหละจะได้เอาแต่ใจตัวเองให้ถึงที่สุด วันหนึ่งอาจจะได้รู้ว่า นี่ไงสิ่งที่เขาพูดมันถูกนะ ที่มึงคิดมาทั้งหมดมันผิดจริงๆ

 

ถ้าวันหนึ่งรู้แล้วว่าความคิดของเรามันผิดจริงๆ วันนั้นจะกลับไปหาเฮียอีกครั้งได้หรือเปล่า

ผมคิดว่าเมื่อออกมาแล้วทางเดียวที่ผมจะไปต่อคือต้องสำเร็จ ผิดในที่นี้คือล้ม และต้องเรียนรู้จนกว่าจะทำสำเร็จ ไม่ใช่ล้มแล้วบอกว่า เฮียครับ ผมผิดไปแล้ว ผมขอกลับมาหาเฮีย ไม่ใช่ จากนี้ไปทางเส้นเดียวคือต้องสำเร็จเท่านั้น ล้มแล้วปรับปรุง เฮียคอยบอกเอาไว้แล้วไงว่ามันผิด เข้าใจแล้วปรับปรุง เดินเอง ล้มเอง ลุกเอง แล้วไปต่อด้วยตัวเอง

 

 

ทำไมถึงต้องเป็นค่าย What The Duck

ก่อนหน้านี้มีหลายที่คิดว่าเขาก็พร้อมจะรับเรา แต่ที่เป็น What The Duck เริ่มจากวันที่มาคุยกับทอยเรื่องทำเพลงไม่ได้ แล้วได้คุยกับพี่บอล Scrubb (ต่อพงศ์ จันทบุบผา ผู้บริหารค่าย What The Duck) เรื่องลาออก เล่าเหตุการณ์ให้เขาฟัง พี่บอลก็นัดให้ไปคุยกับพี่มอย (สามขวัญ ตันสมพงษ์ ผู้บริหารอีกคนหนึ่งของค่าย What The Duck) แล้วทุกอย่างง่ายมาก ปลอดโปร่งมากเลย เขาไม่ถามในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ ไม่ได้ถามว่าถ้าบ้านผมเป็นพรีเซนเตอร์ต้องแบ่งให้ค่ายเท่าไร เขาถามแค่เรื่องเพลง เรื่องงานโชว์ นอกนั้นอะไรที่เป็นชื่อเสียง สมบัติพัสถานเขาไม่ยุ่งเลย แล้วที่นี่ทำงานกันเร็ว ทีมงานอายุน้อยแต่ขยันและมีประสิทธิภาพ แล้วเรารู้สึกว่าที่นี่พอดีตัว เราไม่ต้องการใหญ่กว่านี้ ไม่ต้องการเล็กกว่านี้

 

จุดเริ่มต้นของเพลง ที่ใช้เปิดตัวกับค่าย What The Duck มาจากอะไร

แม็ก ธิติวัฒน์ คนแต่งเพลงเป็นคนคิดมาจากวันหนึ่งเขาเห็นตารางงานของผมที่มีงานแทบทุกวัน บางวันไม่ได้นอน แต่ก็ต้องอดหลับอดนอนทำ เขาเลยคิดว่าเรื่องนาฬิกาปลุกนี่แหละสำคัญ เราเชื่อว่าไม่มีใครที่ชอบนาฬิกาปลุก เกลียดเสียงมันทุกคน เพราะทุกคนอยากหลับต่อให้สบาย แต่เราต้องยอมแลกความสบายกับอะไรสักอย่าง ซึ่งบางครั้งมันไม่ใช่เพื่อเรา แต่เพื่อคนที่เรารักที่รออยู่ข้างหลัง

 

ปกติคุณเกลียดเสียงนาฬิกาปลุกมากขนาดไหน

เกลียดฉิบหายเลยครับ เกลียดการทำงานตอนเช้ามากๆ แต่เลือกไม่ค่อยได้ วันที่แม็กส่งเพลงมาให้ฟัง ผมกำลังนั่งรถไปทำงานแล้วผมนั่งร้องไห้ มันใช่มากเลย ยิ่งตรงกับช่วงลาออกมันยิ่งต้องพยายาม จากนี้ไปจะไม่สบายเหมือนเดิม ยิ่งมีลูกเมียที่ต้องรับผิดชอบ ทำยังไงถึงจะออกมาได้โดยที่ลูกเมียไม่ลำบาก ก็ต้องพยายามเข้าไปอีก พยายามล้ม พยายามลอง พยายามรู้ทุกอย่างจนเราเหนื่อยมาก แต่ลูกเมียต้องสบาย

 

เพลง

 

ลูกสาวอย่างน้องชูใจ มีโอกาสได้รับรู้ความลำบากที่คุณพยายามทำทุกอย่างเพื่อเขามากขนาดไหน

ผมเชื่อว่าคนที่มีครอบครัวจะเข้าใจตรงกันคือ ส่วนมากผู้ชายจะไม่เอาเรื่องทุกข์ร้อนเข้าบ้าน ตอนพ่อผมเสีย แล้วรู้สึกว่าพ่อเสียเพราะเรา ตอนนั้นผมอยากฆ่าตัวตายมาก อยากเอาชีวิตคืนให้พ่อ แต่หันไปดูแม่ที่ยังอยู่ หันไปเจอลูกเมียที่ยังอยู่ ถ้าเราแสดงความอ่อนแอให้ทุกคนเห็น บ้านจะไม่สามารถอยู่ได้ เพราะเราเป็นเสาหลักของครอบครัว

 

ทุกวันผมต้องแอบไปนั่งร้องไห้ในห้องน้ำ ออกมาร่าเริงเหมือนว่า พ่อตายเหรอ ไม่เป็นไร ทุกคนลุกขึ้นมา ทุกคนไม่เป็นไร แต่ในใจมันดิ่งมาก บางวันก่อนเข้าบ้านก็นั่งร้องไห้คนเดียว พอเข้าบ้านก็ต้องยิ้ม ไม่ให้ใครเห็นว่าเศร้า คิดอย่างเดียวว่าต้องทำให้แม่รู้สึกดีขึ้น ต้องทำให้เมียที่กำลังเสียขวัญดีขึ้น เราล้มไม่ได้ เราต้องประคองทุกคน และจากนี้ไปถ้าล้มต้องรีบลุก

 

ในภาวะซึมเศร้ามากๆ การต้องแสดงออกว่าเข้มแข็ง ในทางหนึ่งมันคือการไดรฟ์ให้ความรู้สึกในใจของคนนั้นยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม

ใช่ครับ แต่ถ้ามันทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ผมยอมนะ มันมีอะไรที่ผมยอมมากกว่านั้นอีกเยอะแยะมากมาย สุดท้ายต่อให้ชีวิตเราจะพังแค่ไหน แต่ชีวิตคนในบ้านต้องดี

 

คุณมักจะเขียนเรื่องของน้องชูใจลงในเฟซบุ๊กอยู่บ่อยๆ ว่าคนเป็นพ่อไม่ใช่แค่สอนลูกอย่างเดียว แต่ในขณะเดียวกันเราก็จะได้เติบโตไปพร้อมๆ กับลูกด้วย

ทั้งเติบโตขึ้นแล้วก็ผิดพลาดไปพร้อมๆ กับลูกด้วย อย่างที่บอกว่าผมเป็นคนชอบล้ม เพราะฉะนั้นคุณสมบัติที่จำเป็นคือการขอโทษ ผมเป็นคนขอโทษลูกบ่อย ถ้ารู้ว่าเราเลี้ยงเขามาแบบผิดหรือทำผิด เราไม่อายที่จะขอโทษ และเขาก็ได้เรียนรู้ความสำคัญของคำคำนี้ ตอนนี้เขาพูดเป็นด้วยนะว่า “ป๊ะป๋าทำผิดกับแม่ ป๊ะป๋าขอโทษแม่หรือยัง” เราก็ต้องขอโทษ เพราะนี่คือลูกคนแรก และนี่คือการเป็นพ่อครั้งแรกของเรา มันมีหลายเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อน

 

ยกตัวอย่าง ผมเคยเลี้ยงชูใจแบบให้ขนมตลอด อยากหยิบอะไรก็หยิบ วันหนึ่งพอเราไม่ให้แล้วเขางอแง ก็ต้องมาดูว่า อ๋อ เพราะเราเคยให้เขามาตลอดไง วันหนึ่งพอเราไม่ให้จะไปบอกว่าเขาเอาแต่ใจไม่ได้ อันนี้เราผิด เราก็ยอมรับด้วยการขอโทษ “โอเค ป๊ะป๋าเคยให้หนูหยิบอะไรก็ได้ไปกินเอง แต่จากนี้ไปหนูเห็นว่าหนูกำลังอ้วนขึ้น สุขภาพกำลังไม่ดี เอาอย่างนี้นะ จากนี้ป๊ะป๋าจะจัดเรียงการกินใหม่ ที่ผ่านมาป๊ะป๋าเลี้ยงไม่ดีเอง ป๊ะป๋าขอโทษ”

 

 

จากคนที่เคยใช้ชื่อ ‘HERO’ มาตลอด 15 ปี เมื่อก่อนคุณเคยนิยามคำนี้ไว้ว่าอย่างไร แล้วเมื่อเวลาผ่านไปนิยามของคำนี้เปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า

เมื่อก่อนฮีโร่คือคนที่เหนือมนุษย์ แล้วมาช่วยคุ้มครองมนุษย์อีกที แต่ขณะนี้ฮีโร่คือมนุษย์ธรรมดาที่เสียสละให้คนอื่น เมื่อก่อนผมก็เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นฮีโร่ เพลงกูต้องเปลี่ยนโลก ทำไมกูจะหยุดสงครามด้วยเพลงไม่ได้ แต่โตขึ้นมาก็รู้ว่าเราหยุดคนอื่นไม่ได้หรอก การเป็นฮีโร่ต้องเริ่มจากตัวเอง ไม่ใช่ผดุงความยุติธรรมด้วยการชี้หน้าด่าว่า เฮ้ย มึงเป็นคนเลว นักการเมืองขี้โกง ตำรวจขี้โกง แต่ในขณะเดียวกัน พอกลับบ้านไปเรายังขับรถบนทางเท้า เรายังดูหนังโป๊ในเว็บเถื่อน แบบนี้ไม่ใช่แล้ว ไม่ต้องเริ่มจากที่ไหน ง่ายๆ เลย เมื่อไรก็ตามที่เลิกดูหนังจากเว็บเถื่อน เมื่อไรก็ตามที่แยกขยะแล้วทิ้งลงถัง แค่นั้นก็เป็นฮีโร่แล้ว

 

ทำไมถึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อที่เคยใช้มาตลอดเหลือแค่ F.HERO

มันเริ่มจากคลิปรีแอ็กชันของฝรั่งที่เปิดมาเจอชื่อผมแล้วเขาบอกว่า ทำไมผมถึงใช้ชื่อนี้ ชื่อไม่ดี ถ้าเป็นเขาจะไม่ใช้ชื่อนี้เด็ดขาด เลยรู้สึกว่า เออว่ะ ตอนเด็กๆ เราคิดแค่ว่าคำนี้มันคะนองปากดี ไม่คิดว่าชื่อเราจะไปไกลและส่งผลเสียให้คนอื่น วันหนึ่งผมไปเล่นที่ห้างแห่งหนึ่ง เขาปิดลานไอซ์สเกตแล้วขึ้นป้ายว่าจะมีคอนเสิร์ตของ Fucking Hero สิ่งที่เขาได้รับคือมีผู้ปกครองโทรศัพท์มาบอกว่า ผมพาลูกมาที่นี่ประจำ คุณคิดยังไงถึงเอาคำว่า Fuck ขึ้นแบบนี้ มันมีผลกระทบจริงๆ เหมือนให้ลูกสาวเราไปพูดคำว่า ‘รวย’ เราก็ไม่อยากเหมือนกัน เมื่อก่อนเราคิดว่าควรมีอิสระ อยากใช้ชื่ออะไรต้องได้ใช้ แต่ตอนนี้ถ้าอิสระของเรามันไปเบียดเบียนความรู้สึกคนอื่น เราเปลี่ยนเป็น F.Hero เฉยๆ ก็ได้ เรายอม

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อน มีคนมาบอกให้คุณเปลี่ยนชื่อล่ะ

ก็ ‘รวย’ เลยครับ (หัวเราะ)

FYI

  • กอล์ฟได้เจอกับ The Toys จาก แสตมป์ อภิวัชร์ ที่บอกว่าคนนี้คือ 1 ใน 3 สุดยอดโปรดิวเซอร์รุ่นใหม่ที่ต้องทำงานร่วมกันด้วยให้ได้

  • กอล์ฟแอบเปิด MV เพลง

    ให้พวกเราดู เราบอกได้แค่ว่าเป็น MV ที่สะเทือนใจแบบสุดๆ ผลงานกำกับโดย อั๋น-ประพัฒน์ คูศิริวานิชกร (อดีตผู้บริหารค่าย Duckbar) และทุกคนจะได้ดูพร้อมกันในวันที่ 30 กรกฎาคมนี้

  • นอกจาก ปู-พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ยังมีตำนานเพลงเพื่อชีวิตอีกหนึ่งคนคือ หงา คาราวาน ที่จะมาร่วมร้องเพลงให้กอล์ฟในอัลบั้มนี้ด้วย

[Update] สัมภาษณ์ วิโอเลต วอเทียร์ ชีวิต ความรัก ดนตรีกับบทเพลงที่ไม่ได้ทำเพื่อเอาใจใคร | เพลง พูด อะไร ไม่ ได้ สัก อย่าง – NATAVIGUIDES

       ครั้งหนึ่งสาวน้อยลูกครึ่งไทย–เบลเยียมอายุ 20 ปี สามารถทำให้กรรมการ The Voice Thailand Season 2 หันมาครบทั้ง 4 คนในเวลาเพียงไม่กี่วินาที หลังเธอร้องเพลง ‘Leaving on a Jet Plane’ ในรอบ blind audition จากนั้นชื่อของ วี–วิโอเลต วอเทียร์ ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น และหลังลงจากเวทีประกวดในรอบ knock out ไม่นาน เธอก็ฝากผลงานการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง ฝากเอาไว้ในกายเธอ เมื่อปี 2557 ที่วิโอเลตร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันจนมียอดฟังหลายล้านวิว

จากการปรากฏตัวบนเวทีครั้งนั้น ผ่านมาถึงวันนี้เกือบ 7 ปีแล้วที่วิโอเลตยังคงแสดงภาพยนตร์พร้อมออกผลงานเพลงมาเรื่อย ๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใด เนื้อเพลงของเธอยังคงกลั่นกรองออกมาจากห้วงความคิด ผ่านความเชื่อ และอัดแน่นด้วยความรู้สึกอย่างซื่อสัตย์ ทั้งเพลงไทยและสากล ซึ่ง ‘Brassac’ ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานเพลงสากลที่เธอบอกว่า “Based on my opinion…” ในแบบของวี–วิโอเลต

The People: ชีวิตวัยเด็กเป็นอย่างไรบ้าง

วิโอเลต: วีว่าวีเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่นมาก วีเกิดที่ญี่ปุ่น อยู่ที่นั่นจนเกือบ 2 ขวบแล้วก็ย้ายกลับมาไทย คืออยู่ในความ multicultural ประมาณหนึ่ง หลายภาษามาประมาณหนึ่ง แล้วก็โตมากับภาษาพวกนี้มาเรื่อย ๆ

The People: ภาษาแรกที่พูดคือภาษาอะไร

วิโอเลต: ถ้าพูดตอนนี้จะพูดว่าภาษาไทยเป็นภาษาแรก แต่จริง ๆ แล้วตอนอยู่ญี่ปุ่น วีเพิ่งฝึกพูดแล้วแม่คุยด้วยเป็นภาษาไทย ส่วนพ่อคุยด้วยเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่เราตอบเขาเป็นภาษาญี่ปุ่น เพราะว่าเหมือนตอนนั้นแม่ยังเรียนปริญญาเอกอยู่ แล้วพ่อก็ทำงาน บางครั้งก็จะดูแลได้ไม่เต็มที่ เลยไปฝากวีไว้ที่เนอสเซอรี ก็ซึมซับภาษาญี่ปุ่นไปเอง

The People: ดนตรีเริ่มเดินทางเข้ามาในชีวิตได้อย่างไร

วิโอเลต: เท่าที่จำได้คิดว่าเป็นดิสนีย์ เพราะดิสนีย์เป็นการ์ตูนที่มีเพลงด้วย แล้วเหมือนตอนเด็ก ๆ พ่อจะซื้อวิดีโอแยกที่เป็นเฉพาะเพลง เป็น sing-along เป็นคาราโอเกะ เราก็จะชอบเปิดอะไรแบบนั้น จำได้ว่าท้ายหมู่บ้านจะมีเครื่องเล่นเด็ก ซึ่งตอนเด็ก ๆ วีชอบปีนไปบนยอดของเครื่องเล่นให้ลมพัดผมปลิว รู้สึกตัวเองเป็นโพคาฮอนทัส

วีว่าดนตรีเข้ามาตลอดอยู่แล้ว แค่เรายังไม่ได้ทำดนตรี ยังไม่ได้เขียนเพลง แต่ว่าเราร้องมาตลอดตั้งแต่จำความได้ เข้าไปดูโฮมวิดีโอตัวเองตอนเด็ก ๆ ก็จะมีภาพที่วีถือไมค์ร้องเพลงอยู่ แล้วมีน้องชาย (กานต์ วอเทียร์) คาบขวดนมมาเต้นอยู่ข้างๆแบบเราทำอะไรน้องทำด้วยแต่เราก็จะชอบร้องเพลงแล้วก็รำอะไรของเราไป

ตั้งแต่ตอนอนุบาล เวลาเขาให้วาดรูปโตไปอยากเป็นอะไร วีก็จะวาดว่าวีอยากเป็นนักร้อง พอช่วง ม.ต้น มีวิชาแนะแนว ครูก็ถามว่าโตไปอยากทำอะไรให้ยกมือตอบ แต่ละคนก็บอกอยากทำนู่นทำนี่ วีก็บอกหนูอยากเป็นนักร้อง ครูก็ช็อกไปแป๊บหนึ่ง เขาคงไม่รู้ว่าจะแนะแนวยังไงเหมือนกัน เลยอ๋อ…โอเค อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) ซึ่งโอเคมันเป็นความฝันแล้วอยู่ในชีวิตวีมาตลอดวีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

พอขึ้น ม.ปลายวีก็เริ่มเขียนเพลงแต่ตอนนั้นอยากไปเรียนหนังเรารู้ว่าเราอยากเรียนนิเทศจุฬาฯเพราะรู้สึกว่าเราไม่มีความรู้พื้นฐานเรื่องดนตรีเราเรียนเปียโนมาตั้งนานแล้วไม่เห็นเก่งขึ้นสักทีเราเล่นไม่ได้ดั่งใจเหมือนกับไม่ได้เข้าใจทฤษฎีดนตรีขนาดนั้นเลยไม่มีความดันทุรังที่จะไปเรียนดนตรีด้วยมั้งคะแต่ว่าดนตรีก็อยู่ในชีวิตเรามาตลอดแล้วเราก็มีความฝันกับสิ่งนี้มาตลอด

The People: เริ่มมาจริงจังกับการฟังเพลงตอนไหน

วิโอเลต: เพิ่งมาจริงจังตอนทำเพลงนี่แหละ ก่อนหน้านี้วีฟังเพลงเพราะชอบเฉย ๆ ขึ้น ม.ต้น วีฟังเพลงไทยน้อยลงแล้วก็ฟังเพลงภาษาอังกฤษเยอะขึ้นมาก ชอบฟังเพลง soundtrack ของหนังต่าง ๆ นานา บางครั้งเพื่อนก็ไม่ได้ get ว่าเธอฟังอะไรของเธอ ซึ่งตอนนั้นโทรศัพท์จะเป็นรุ่นที่เพิ่งถ่ายรูปได้ ฟังเพลงได้ เมมฯ ไม่เยอะ แล้วในมือถือเราจะมีแต่เพลงอะไรไม่รู้ ซึ่งเพื่อนก็จะไม่ชอบใช้มือถือเราเปิดเพลง

The People: รู้มาว่าช่วงหนึ่งชอบฟังเพลง RS มาก ตอนนั้นชอบศิลปินคนไหน

วิโอเลต: คนที่ชอบมาก ๆ ตอนที่ฟังเพลงไทยคือพี่ลีเดีย (ศรัณย์รัชต์ ดีน) เคยไปประกวดร้องเพลงในโรงเรียน แล้วเหมือนเขาให้ลองเพื่อเข้าชมรมอะไรสักอย่าง เราก็ใช้เพลงของพี่ลีเดียที่ร้องว่า… “ไม่ว่างจริง ๆ หรือว่ามีคนอื่น” (เพลง ‘ว่างแล้วช่วยโทรกลับ’) แล้วก็มี Kamikaze นิดๆหน่อยๆ

The People: เคยได้ยินว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตคือช่วงที่ไป AFS?

วิโอเลต: ค่ะแล้วตอนนี้ก็จะตอบว่ามหาวิทยาลัยด้วย

The People: เพราะอะไรความทรงจำเหล่านั้นถึงยังหอมหวานสำหรับเรา

วิโอเลต: ความทรงจำยังอยู่ คือวีรู้สึกว่าพอมานึกย้อนดี ๆ มันมีหลายตอนมาก แล้วก็เลือกไม่ถูกว่าอันไหนมันดีสุด เพราะดีหมดเลย  อย่าง AFS ทุกอย่างมัน fresh ได้ออกไปผจญภัยตัวคนเดียว against the world ประมาณหนึ่ง เลยรู้สึกว่าสนุกและน่าตื่นตาตื่นใจ แบบ…โอ้โหมาก ๆ เลย  ส่วนชีวิตมหาวิทยาลัยตอนที่เราเรียนอยู่ เราไม่ได้รู้ตัวหรอกว่าสนุกมากขนาดไหน ก็โอเค เรา enjoy ณ ตอนนั้น ๆ แต่ตอนเรียนจบออกมาแล้ว มองกลับไปเรายังคุยกับเพื่อนอยู่เลยว่า เฮ้ย อยากกลับไปเรียนใหม่ อยากกลับไปมีความรู้สึกแบบเดิมใหม่ที่มีความรับผิดชอบแบบไม่ต้องเต็มตัวขนาดนั้น ยังเที่ยวเล่นสนุกสนานได้อยู่

The People: ตอนนั้นที่เลือกเรียนหนังเพราะชอบหนังมานานแล้วเหมือนกัน?

วิโอเลต: ถ้ามองย้อนกลับไปจริง ๆ จะรู้สึกว่าเป็นสิ่งเดียวกันทั้งหมดเลย มันมาด้วยกันตลอด ช่วงประถมปลาย ๆ จนถึง ม.ต้น วีเป็นคนอ่านหนังสือเยอะมาก วีอ่านหนังสือวันละเล่มซึ่งก็คือนิยายแจ่มใส (หัวเราะ) ไม่ได้มีสาระอะไร แต่ว่าอ่านเอาสนุกอย่างเดียว อ่าน ๆๆ อ่านเยอะมาก จนประมาณ ม.1 มั้งรู้สึกว่าฉันจะเขียนนิยายก็เขียนของตัวเองไปมั่วซั่วเรื่องราวห่วยแตกมากแต่ก็เขียนพอวีมาเรียนหนังก็เขียนเพลงไปด้วยซึ่งก็เห็นชัดเจนว่าอ๋อจริงๆแล้ววีคือคนเล่าเรื่องเราแค่เล่าด้วยวิธีต่างๆเฉยๆ

The People: งานภาพยนต์ก็อาจจะไม่ใช่เบอร์หนึ่ง?

วิโอเลต: วีให้ความสำคัญกับการแสดงภาพยนตร์มากเลยนะ แต่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่าภาพยนตร์เรารอโอกาส แต่งานเพลงเราสร้างโอกาส เหมือนในภาพยนตร์เราเป็นผู้สร้างแต่เราเป็นส่วนหนึ่งของผู้สร้าง แต่ในดนตรีเราคือผู้สร้างทั้งหมด เราเป็น God ของเพลงเรา เพราะฉะนั้นสามารถสร้างได้เลย ช่วงที่ไม่มีภาพยนตร์ ก็สร้างเพลงไปไม่ต้องรอโอกาส แต่ช่วงเวลาที่ภาพยนตร์เข้ามานั่นคือโอกาส จะรับไม่รับก็เรื่องของเรา แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะว่าง เพราะยังมีดนตรีที่เป็นของเราที่สามารถสร้างเมื่อไหร่ก็ได้

The People: ชอบขั้นตอนไหนของการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านหนังมากที่สุด

วิโอเลต: วีชอบความเป็นมนุษย์ วีชอบที่มนุษย์คนหนึ่งมีความรู้สึกที่ complex มาก ซับซ้อนมาก ๆ ไม่ได้มีแค่อารมณ์เดียว แฮปปี้ก็ไม่ใช่แฮปปี้ทั้งหมด อาจจะเป็นแฮปปี้อย่างเจ็บปวดก็เป็นได้ ดู contrast กันมาก ๆ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้หมดเลย วีรู้สึกว่ามันสวยงามด้วยอารมณ์พวกนี้ ถ้ามนุษย์เราไม่มีอารมณ์จะไม่สวยงามเลย บอกไม่ถูก บางทีวีเห็นบางคนร้องไห้แล้วรู้สึกว่าเป็นภาพที่สวยมาก เห็นแล้วจะขาดใจตามไปด้วย ไม่รู้สิ…หรือว่าวีเป็นคนโรแมนติกเวอร์อะไรไปเอง เป็นคนแบบว่าทำให้ทุกอย่างเหมือนอยู่ในหนังตลอดเวลาหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน

The People: อะไรผลักดันให้ตัดสินใจก้าวไปเวที The Voice Thailand Season 2

วิโอเลต: จริง ๆ การที่วีเข้าไปประกวด วีเห็นสัมภาษณ์ของหลาย ๆ คน วีดู The Voice ต่างประเทศ แล้วเห็นว่าเขามาทำแบบนี้เพื่อลูก เพื่อแม่ เพื่อคนนู้นคนนี้ แบบคนนี้ของเขาเสียไป เขาเลยอยากมาร้องเพลงเพื่อพ่อหรือเพื่อใครสักคน วีก็หันไปพูดกับแม่และพ่อว่าที่หนูมาประกวด หนูมาเพื่อตัวเองล้วน ๆ เลยนะ ไม่ได้มาเพื่อใคร (หัวเราะ) เพราะสุดท้ายแล้วนี่คือสิ่งที่เราอยากทำคือสิ่งที่เราชอบแล้วเราก็คือเราเรามาประกวดเพื่อตัวเองเพื่อให้ความฝันเป็นจริง

เข้าไปตอนแรกวีแค่อยากรู้ว่าตัวเองร้องดีพอที่จะติดไหมเพราะมีความเชื่อมั่นว่าฉันก็ร้องดีนะแต่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไงก็เลยอยากไปลองดูพอไปลองก็เฮ้ยสนุกว่ะเป็นความฝันที่สนุกดีได้ลองทำแข่งๆๆเป็นเกมอ้าวแพ้เสียใจจบกลับบ้านนั่งกินข้าวกับที่บ้านเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไป

เราแฮปปี้กับประสบการณ์ที่เกิดขึ้น เราได้เพื่อนใหม่เยอะมากต่าง ๆ นานา โห เราเฉียดกับทีวีมากเลย ไม่เคยเห็นการถ่ายทำหรือ studio making ว่าใหญ่ขนาดไหน ก็มีความตื่นตาตื่นใจอยู่ จนพอเทปออกเท่านั้นแหละ ถึงแบบ… อ๋อ เออว่ะ มันดังว่ะ ลืมคิดตรงนี้ไปเลย แล้วพอมันดัง ก็ตกใจว่าทำไมอยู่ ๆ ไลน์เด้งมาเยอะขนาดนี้ อยู่ ๆ ก็มีแฟนเพจเกิดขึ้น วันต่อมาไปมหาวิทยาลัย ทุกคนก็อ้าว เฮ้ย วี The  Voice ว่ะ แต่ก็แค่ 5 วินาทีแรกจากนั้นทุกคนก็คุยกับวีปกติวีเลยรู้สึกว่าชีวิตยังปกติอยู่ไม่ได้เปลี่ยนจนรู้สึกช็อกจนคนใกล้ตัวเราเปลี่ยนเพื่อนเทียร์หนึ่งก็ยังเป็นเพื่อนเทียร์หนึ่งอยู่เทียร์สองก็ยังเป็นเทียร์สองอยู่เลยรู้สึกว่าใกล้เคียงกับชีวิตเดิมของเราเราก็ค่อยๆทำงานปรับตัวมาเรื่อยๆซึ่งคงไม่ต่างกับการที่เราเรียนจบแล้วมาทำงานในที่ต่างๆเพราะเราก็ต้องปรับตัวกับทุกอย่าง

ถ้ามองจริง ๆ วงการบันเทิงก็เหมือนบริษัทหนึ่งเหมือนกันที่เรามาทำงาน แล้วปรับตัวเข้าสู่อะไรต่าง ๆ นานา

The People: รับมือกับฟีดแบ็กจากผู้ชมอย่างไร

วิโอเลต: ก็สนใจนะ พูดได้ไม่เต็มปากหรอกว่าไม่สนใจ แต่เราเทคกับไม่เทคมากกว่า เราหันไปเห็นว่า โอเคมีแบบนี้ ๆ อยู่ที่ว่าเราจะทำให้มันรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า โมเมนต์แรก ๆ ยอมรับว่าแอบนอยด์เหมือนกัน แต่รู้สึกว่าสุดท้ายแล้วคงทำอะไรไม่ได้ ถ้าจะอยู่ตรงนี้ก็ต้อง learn to live with it ประมาณหนึ่ง ต้อง strong ประมาณหนึ่ง ที่จะมองข้ามว่าเธอจะว่าอะไรฉันก็ว่าไป ฉันแค่ต้องรู้ตัวฉันเองว่ามันไม่จริงแค่นั้นเอง แล้วคนที่ฉันรักรู้ว่ามันไม่จริงแค่นั้นเอง

The People: ก่อนประกวด The Voice เคยคิดเรื่องการเป็นศิลปินและออกเพลงไหม

วิโอเลต: ไม่ได้คิด คือจริง ๆ แต่งเพลงด้วยอารมณ์ล้วน ๆ เลย แล้วก็ให้แค่คนใกล้ตัวได้ฟัง ไม่ได้เอาไปให้โลกฟังขนาดนั้น ถ้าถามว่าคิดว่าจะได้เป็นนักร้องไหม ก็มีความฝันว่าอยากเป็น แต่พูดไม่ได้เต็มปากว่าคิดว่าจะมีแบบนี้

The People: เรื่องที่ชอบเล่ามักจะเป็นเรื่องของตัวเองก่อนไหม

วิโอเลต: วีรู้สึกว่าเราจะเล่าเรื่องตัวเองแล้วสนุกที่สุด เพราะว่าเราจะรู้ทุกแง่ทุกมุม เราตอบคำถามได้ว่าอะไร ทำไม เพราะเรารู้ พอเป็นเรื่องแต่งก็ต้องอิงอะไรบางอย่างที่เรารู้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปรีเสิร์ช แต่เขียนเพลงมันไม่เหมือนกัน เพราะมันว่าด้วยความรู้สึก เล่นกับความรู้สึกคน เราต้องการสื่อสารกับคนหมู่กว้าง แล้วเราไม่ได้มีเวลาปูเป็นชั่วโมงเหมือนกับหนัง เพลงมีเวลาแค่ 3 นาทีในการเล่าเราก็เล่าโดยใช้ความรู้สึกและความเป็นตัวเองมากที่สุดนี่แหละเหมือนเราเล่าเรื่องของเราอยู่

The People: ความรู้สึกตอนที่ได้ทำเพลงของตัวเองจริง เป็นอย่างไร

วิโอเลต: เราทำตามใจตัวเองอยู่แล้วว่าอยากทำเพลงแบบนี้ อยากเล่าเรื่องแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกว่าเวลาร้องเพลงไลฟ์โชว์ต่าง ๆ นานา ที่ไม่ใช่เพลงของตัวเอง เราไม่ภูมิใจเท่ากับเป็นเพลงที่เขียนเอง เพราะเป็นเรื่องที่คนฟังกำลังรู้สึกกับเรื่องของเราอยู่ เราได้เล่าเรื่องตัวเองผ่านเพลงของเรา แล้วถึงจุดหนึ่งมันจะเป็นของคนอื่นด้วย เพราะว่าเราได้แชร์ออกไปแล้ว

The People: เข้าวงการแล้วความเป็นส่วนตัวหายไปด้วยไหม

วิโอเลต: ไม่ขนาดนั้น มันค่อย ๆ มาเป็นกราฟของเรา ซึ่งเรื่อง privacy ก็ยัง private อยู่ ถ้าเราเลือกที่จะ private บางเรื่อง เราแค่คัดคอนเทนต์ เลิกโพสต์อะไรตามใจตัวเองด้วยอารมณ์ ถ้าจะโพสต์ก็คือตามใจตัวเอง อย่าใช้อารมณ์ ให้โพสต์อย่างมีสติแค่นั้นเอง มันดีด้วยซ้ำ วีแนะนำทุกคนเลยว่าโพสต์อย่างมีสติ เพราะสุดท้ายแล้ว 1 ปีผ่านไป พอย้อนกลับมาดู จะรู้สึกว่าฉันทำอะไรลงไป หรือบางเรื่องที่ sensitive และส่วนตัวมาก การที่คุณเอามาแชร์จะทำร้ายคุณเองด้วยซ้ำ

The People: สำหรับคนที่เคยโดน body shaming มองเรื่องการตัดสินคนบนโซเชียลมีเดียอย่างไรบ้าง

วิโอเลต: ทุกวันนี้ก็ยังโดนอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็โอเค คือวีรู้สึกว่าการ judge คนไม่ใช่เรื่องผิด คุณ judge คนได้ แต่คุณไม่มีสิทธิ์ไป judge ในสิ่งที่เขาเลือกไม่ได้ เขาเกิดมาเป็นแบบนั้นมันแก้ไม่ได้ไง

วีเกิดมาเป็นฝรั่งสูง 158 เซนติเมตร ทุกคนมาพูดว่าฝรั่งอะไรตัวเล็กจัง แล้วฉันจะทำอะไรได้วะ ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ก็เกิดมาเป็นแบบนี้ จะให้มาต่อขาเหรอ ก็ไม่ใช่ เจ็บตัวเปลืองตังค์ เวิร์กหรือเปล่าก็ไม่รู้ เสี่ยงชีวิตมากเลย เราไม่จำเป็นจะต้องมาเทคกับมันด้วยซ้ำ แล้วคนที่พูดแบบนั้น เขาต้อง ashamed ในสิ่งที่เขาพูดในจุดที่แก้ไขอะไรไม่ได้ มันไม่ใช่ความผิด ไม่ได้เป็นเรื่องของการตัดสินใจเลย แต่ถ้า let’s say ว่าคนคนนี้ไปทำนิสัยแบบนี้ ไปเหวี่ยงไปวีน ไปทำตัวนิสัยไม่น่ารักกับคนอื่น อันนี้คุณ  judge เขาได้เพราะเป็นสิ่งที่เขาเลือกทำ แต่เรื่อง physical บางอย่างเป็นเรื่องที่เขาเลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนที่โพสต์ควรจะต้อง educate ใหม่ แล้วก็แยกแยะใหม่ว่าสิ่งที่เขากำลังว่าอยู่ เขามีสิทธิ์ว่าขนาดไหน

The People: แล้วเรื่องดนตรี คิดอย่างไรกับการทำเพลงสากลออกมาแล้วคนฟังยังเข้าไม่ถึงเท่ากับเพลงไทย

วิโอเลต: ทำใจไว้แล้วประมาณหนึ่งว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะ get แต่เอาจริง ๆ ถึงจะทำเพลงไทยก็เป็นแบบเดียวกันว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะ get เพลงบางเพลงเราเขียนไปคนบางคนก็ไม่ชอบ วีว่าชอบไม่ชอบมันอยู่แค่นั้นเอง ซึ่งเพลงภาษาอังกฤษก็ไม่ต่างกัน แล้วเราก็รู้สึกว่าใช้ไม้บรรทัดเดิมไม่ได้หรอกว่าจะ 10 ล้านวิวเหมือนเพลงไทย เราทำเพราะอยากทำ ทำเพราะสบายใจ ทำเพราะเป็นความสุข แล้วถ้ามีคนชอบ เราก็จะดีใจแบบโคตร ๆ 

โมเมนต์นี้เรารู้สึกว่าไม่ได้อยากประนีประนอมทำเพื่อ please ใคร เราไม่จำเป็นต้องประจบคนฟังว่าฉันจะทำเพียงเพื่อเอาใจเธอ เพราะวีรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วมันเป็นสิ่งที่เราพูด แล้วเราต้องมีความคิดเห็นในสิ่งที่พูด ถ้าเราเพียงแค่หยิบยืมคำพูดคนอื่นมาพูด มันก็ไม่ใช่คำพูดของเรา แล้วเผลอ ๆ เราอาจจะไม่ได้เชื่อสิ่งที่เราพูดอยู่ด้วยซ้ำ วีเลยรู้สึกว่ามันสำคัญว่าทำไมต้องทำในสิ่งที่วีรู้สึก ในสิ่งที่วีอยากทำและเชื่อมั่น

The People: มองว่าเพลงสากลที่ทำจะเข้าถึงคนฟังได้ขนาดไหน

วิโอเลต: วีหวังว่ามันจะกว้างขึ้น หวังว่าเขาจะชอบ ถ้าได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเรากลับมาสู่จุดเริ่มต้นว่าได้ทำในสิ่งที่ชอบ แค่นั้นก็คงจะพอแล้วแหละ

The People: หลักสำคัญในการทำเพลงคืออะไร

วิโอเลต: เอาที่เราสบายใจ แล้วเรา comfortable คือด้วยความที่เราทำงานแบบไม่มี reference ปุ๊บ ก็คงไม่ไปซ้ำใครหรอก โอเค อาจจะมีเมโลดี้ซ้ำ แต่โน้ตมันมีอยู่แค่นั้นเราก็คงไม่รู้ตัว อาจจะเป็นสิ่งที่เราเสพมา แต่วีเชื่อว่าด้วยเรื่องที่เล่า ด้วยดนตรีที่ทำ ด้วยความรู้สึกทั้งหมด ก็คงมีแค่เราแล้วแหละ ทั้งโลกนี้คงมีเพลงนี้เพลงเดียว วีเชื่อมั่นว่าอย่าง ‘Brassac’ ลองไปเปิดดู ไม่น่าจะมีใครเหมือนเพลงนี้ของวี เพราะมันเป็นของเรา

The People: มองอย่างไรกับเรื่องลิขสิทธิ์การเป็นเจ้าของเพลง

วิโอเลต: วีเสียดายมากที่ไม่เข้าใจสิ่งนี้เร็วกว่านี้ด้วยซ้ำพูดตรงๆว่ามีลูกของวีที่ไม่ได้เป็นของวีอยู่เหมือนกันก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้รู้ถึงสิ่งนี้เร็วแต่ตอนนี้เรารู้แล้วเราก็โอเคอย่างน้อยยังเซฟลูกคนอื่นๆของเราทัน

The People: ทำไมการเป็นเจ้าของเพลงตัวเองแบบ 100% ถึงสำคัญ

วิโอเลต: วีว่าทุกวันนี้หลาย ๆ คนคงไม่ยอมยกลิขสิทธิ์ให้แล้วแหละ เพราะว่าฉันเขียนมาด้วยมันสมองของฉัน ฉันเขียนมาด้วยประสบการณ์ของฉันที่ฉันเจออะไรต่าง ๆ นานามา มันเป็นสิ่งที่ส่วนตัวมาก ๆ ทำไมฉันต้องให้อะไรที่ส่วนตัวขนาดนี้กับคนอื่นด้วย เหมือนฉันแชร์ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าฉันจะให้ เป็นคนละความรู้สึกกันเลย

The People: พูดถึงเพลงใหม่ อะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เขียน ‘Brassac’

วิโอเลต: ตอนนั้นเพิ่งกลับจากทริปที่ไป Brassac ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส แล้วก็ขับรถเฉย ๆ เลย เปิดเพลงฟัง แล้วมีอินโทรเพลงหนึ่งดังขึ้นมา วีชอบอินโทรนี้จังเลย ก็วนกลับไปฟังแค่อินโทรนี้ ไม่ปล่อยให้นักร้องร้อง วีชอบทางคอร์ดนี้มาก ๆ เลยลองฮัมอะไรของวีบนคอร์ดนั้น แล้วก็ปิดเพลงลงมือเขียนเลย เพราะรู้สึกว่าเป็นโมเมนต์ที่ดี การไปเที่ยวครั้งนั้นเรารู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตแบบเต็มที่ มันมีความสวยงามและชีวิตเหมือนอยู่ในหนัง รู้สึกว่าดีมากถ้าเขียนได้ แล้วจะดูโรแมนติกมากเลย

The People: เป็นเพลงที่แต่งจากเรื่องจริง?

วิโอเลต: Based on my opinion. true story แต่ว่า not the whole เป็นความจริงในแบบของเรา ซึ่งไม่ใช่ความจริงทั้งหมด บางอันเป็นการแต่งเติม แต่คือความจริงในแบบนั้น เหมือนความรู้สึกที่จริง แต่เรื่องราวก็เป็นไปได้ว่าเป็นเรื่องที่สร้าง

The People: ‘Brassac’ จะเป็นจุดเริ่มต้นของแนวเพลงต่อไปในอนาคตไหม

วิโอเลต: ก็ด้วย เหมือนเมื่อก่อนวีจะมีความ…ฉันจะดาร์ก ฉันจะนู่นนี่นั่น แล้วรู้สึกว่าเครียดเหมือนกัน ดนตรีดาร์กมันแน่นมากเลย สมมติฟังไปทั้งอัลบั้มก็เหนื่อยแล้ว เลยคิดว่าอัลบั้มนี้ควรจะยก ๆ ผ่อน ๆ บ้าง เหยียบ ๆ ผ่อน ๆ เลยมีความหลายอารมณ์อยู่ ซึ่ง ‘Drive’ กับ ‘Smoke’ ก็จะอยู่ในอัลบั้มนี้ แล้ว ‘Brassac’ จะเป็นโทนตรงกลางๆที่สว่างขึ้นมาแต่ไม่ได้สว่างจ้าแบบจ๋าๆขนาดนั้นเป็นเพลงที่เป็นตัววีอยู่มากๆมันเห็นการพัฒนาของดนตรีว่าทำไมถึงมาทางนี้ได้วีเลยแฮปปี้กับเพลงนี้

The People: ภาพรวมอัลบั้มนี้เป็นโทนแบบไหน

วิโอเลต: มันไม่ใช่เทา ๆ เลือกมาแค่สีเดียวไม่ได้เลย สำหรับวีมันคือ… นึกถึงตอนกลางคืนที่มีกลิตเตอร์โรยลงมา มันหม่นแต่ก็ bright สดใสในเวลาเดียวกัน วีว่าเป็น everyday มาก ๆ เลย

The People: ถ้าให้แต่งเพลงผ่านสิ่งต่าง ที่เกิดขึ้นตอนนี้ เพลงนั้นจะเป็นแนวไหน

วิโอเลต: คงเป็นเพลงที่ให้ความหวังและกำลังใจ เพลงเรายังไม่ค่อยมีเพลงให้ความหวังและกำลังใจ มันเป็นเพลงที่ฟังดูส่วนตัวทุกเพลงเลยเพลงที่เราเขียน เพราะงั้นอันนั้นอาจจะเป็น challenge ของวีที่ต้องลองเขียนเพลงที่ภาพกว้างขึ้นบ้าง ไม่ใช่แค่เป็นตัวบุคคลบ้าง ลองมาเป็นหมู่มวลบ้าง แต่อัลบั้มนี้ไม่ทันแล้วแหละ

The People: วีกับความรักครั้งใหม่ในวันนี้ ส่วนตัวเรามองความรักเปลี่ยนไปไหม

วิโอเลต: วียังเป็นแบบเดิมอยู่มองว่าความรักเป็นสิ่งที่ดีมีแล้วดีก็มีแล้วเหมือนค่อนข้างให้กำลังใจอย่างในวันที่เราแย่เราหันไปหาครอบครัวเรามีเขาเราก็จะรู้สึกว่าไม่ได้ตัวคนเดียวเรามีเพื่อนเรามีใครๆรอบตัวนั่นก็คือความรักที่ดีทั้งนั้น

The People: บทเรียนจากรักครั้งเก่าทำให้เราแข็งแรงขึ้น?

วิโอเลต: ทุกคนคงเป็นเหมือนกันว่าเราคงเติบโตขึ้น แล้วก็เคยตัดสินใจอะไรผิดพลาดไป เพราะฉะนั้นทุกคน make mistake ได้แต่ก็ต้องหยุดโทษตัวเองให้เข้าใจว่าโอเคเราพลาดยอมรับเดินออกมาแล้วพยายามทำทุกวันให้ดีที่สุดฟังดูเห่ยมากเลยแต่มันคืออย่างนั้นจริงๆ

The People: อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต

วิโอเลต: พออยู่ไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นว่าความสำคัญของชีวิตเราคืออะไร ครอบครัว คนใกล้ตัว คนที่เรารัก แล้วก็สุขภาพ แค่นั้นเลย นั่นคือโคตรเบสิกเลย แต่นั่นคือสิ่งที่เราควรจะแคร์ที่สุดในชีวิต

The People: การได้ทำเพลงของตัวเองถือเป็นความสุขที่สุดในตอนนี้?

วิโอเลต: เหมือนพอเป็นจริงแล้ว ฝันเราก็จะขยับไปเรื่อย ๆ มีฝันใหม่ ๆ มาเรื่อย ๆ ฝันเป็นจริงไปทีละฝันแหละ ความต้องการมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่แล้ว ถ้าเกิดหยุดฝัน ชีวิตเราคงนิ่งแล้ว เราคงไม่พยายาม ไม่ไปต่อ เราคง… เฮ้อ that’s why มนุษย์ถึงควรมีฝันประมาณหนึ่ง ฝันของบางคนอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องอาชีพก็ได้ ฝันบางคนอาจจะเป็นเรื่องการ travel หรือการได้ปลูกผักฉันได้ใช้ชีวิตที่เชียงใหม่แล้วได้ทำฟาร์มหรือความฝันของฉันคือได้ดูพ่อแม่ไปจนแก่นั่นคือความฝันทั้งหมด

สำหรับวี ตอนนี้ความฝันวีเปลี่ยนไปตามนั้น ถามว่าฝันเป็นจริงไหม ก็ติ๊กช่องเก่า ๆ ไป แล้วก็มีฝันใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บางฝันอาจจะใหญ่ขึ้น และยังไม่ถูกติ๊กออกไปจาก list ของเรา

The People: โดยรวมคิดว่าวงการเพลงให้อะไรกับเราบ้าง

วิโอเลต: วีได้ใช้ชีวิตมาก ได้ใช้ชีวิตใกล้เคียงความฝันตัวเอง จะมีสักกี่คนที่ได้ทำงานอดิเรกของตัวเอง แล้วได้เงินไปด้วย เลย appreciate สิ่งนี้มาก วีได้เจออะไรใหม่ ๆ เยอะเหมือนกัน ได้เจอคนใหม่ ๆ ได้เจอความรู้สึกใหม่ ๆ ได้เจอประสบการณ์ใหม่ ๆ ทำให้รู้สึก enjoy กับสิ่งที่ทำอยู่ วี appreciate วงการมาก ๆ แม้ว่าเราจะมีเรื่องที่ critique เหมือนกันเหมือนฉันรักโรงเรียนฉันมากเลยแต่ฉันก็เบื่อสิ่งนี้ของโรงเรียนฉันมากเลยวงการเพลงก็เป็นอย่างนั้น

ถ้าถามวี วีรักและ appreciate สิ่งนี้มาก เพราะไม่งั้นคงไม่อยู่ตรงนี้ แต่ก็มีบ้างที่หงุดหงิดกับสิ่งนี้จังเลย

The People: มี message อะไรที่อยากฝากถึงแฟนเพลงไหม

วิโอเลต: วี appreciate แฟน ๆ มาก ๆ ที่อยู่ตรงนั้นตลอด ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่วีไม่ได้บ้า สิ่งที่วีฝันอยู่ไม่ได้เป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ต้องขอบคุณเขามาก ๆ ขอบคุณที่ฟังเพลงวี ขอบคุณที่ทำให้ความฝันวีไปต่อได้ leave on ต่อได้ หวังว่าเขาจะชอบเพลงอื่น ๆ ของวีและในอนาคตวีเหมือนกัน พอเราชอบก็อยากแชร์สิ่งดี ๆ ให้ เรารู้สึกว่าเพลงที่เขียนมันดีนะ เราก็แชร์ให้

The People: หลังจาก ‘Brassac’ ในอนาคตจะมีเพลงปล่อยออกมาอีกไหม

วิโอเลต: เดี๋ยวมีอีกแน่นอน ตอนนี้ฝากเพลง ‘Brassac’ ไปก่อน สามารถฟังได้ทุกช่องทาง เอ็มวีปล่อยแล้ว อนาคตจะมีอะไรก็ฝากติดตามไว้เลย เพราะว่าเราอยากจะแชร์สิ่งที่เรารักให้

The People: ตอนนี้อยากให้คนอื่นเรียกเราว่าอะไร

วิโอเลต: ศิลปิน

The People: ตัวตนจริงของวิโอเลต วอเทียร์เป็นแบบไหน

วิโอเลต: วีเป็นมนุษย์มาก ๆ เป็นคนที่มีทุกอารมณ์ เป็นคนที่มีโมเมนต์ที่เฟรนด์ลี โมเมนต์ที่รู้สึกว่าอยากปิดตัวเอง อยู่ในโลกของตัวเอง คือมีทุกอารมณ์อยู่แล้ว แต่โดยรวม ๆ วีเป็นคนที่นิสัยดีแหละมั้ง ไม่งั้นไม่มีเพื่อนหรอกเนอะ รู้สึกว่าเป็นที่รักของครอบครัว แล้วก็คิดว่า… คิดว่านะ เป็นที่รักของเพื่อน ๆ อื้ม… น่าจะถูกแหละ

 

เรียบเรียงโดย: ศุภจิต ภัทรจิรากุล


คำที่ฆ่าคน-วงธรรมดา [OFFICIAL MV ]


เพลงคำที่ฆ่าคน
ศิลปิน : วงธรรมดา
คำร้อง / ทำนอง : ปิ๊ก ขจรจารุกุล
เรียบเรียง : เสก ผานชื่น
SPACEBAR MUSIC PROJECT
Music Video by SPACEBAR STUDIO
โทร.0897272711
คำที่ฆ่าคน มีแค่ใจ วงธรรมดา

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

คำที่ฆ่าคน-วงธรรมดา [OFFICIAL MV ]

พูดไม่ได้ – POTATO「Official MV」


ฟังเพลง ‘ พูดไม่ได้ ‘ ได้แล้ววันนี้ที่ JOOX !
♪ JOOX : https://open.joox.com/s/rd?k=Zz7T4
MV พูดไม่ได้
POTATO
อัลบั้ม Friends
genie records
Follow POTATO : https://potatoofficial.com​
FB http://www.fb.com/potatoband​​ | IG @potatoband | Twitter @potatoband
เนื้อร้อง : โอฬาร ชูใจ
ทำนอง : โอฬาร ชูใจ
เรียบเรียง : Potato
ขอบคุณที่เธอยังห่วงใยฉัน
ขอบคุณที่เธอยังทักทายกัน
เรื่องเราก็ผ่าน และเธอได้พบเจอคนที่ดี
ได้เห็นว่าเธอยืนอยู่ข้างเขา
ก็พบความจริงในหัวใจ
ว่าวันคืนที่ผ่าน ไม่อาจทำให้ฉันลืมเธอได้เลย
ส่งยิ้มแทนคำที่ฉันไม่อาจ จะบอกเธอให้เข้าใจ
อยากบอกว่ายังรัก รักเธอเหลือเกิน
ไม่อยากจะรับรู้ว่าเธอรักเขา
ไม่อยากให้ใครยืนที่เดิมของเรา
แต่ติดตรงที่ฉันนั้นพูดไม่ได้
ว่าฉันนั้นรักเธออยู่ พูดไม่ได้จริงๆ
ต้องฝืนทำเป็นไม่สั่นไหว
ทั้งๆ ที่ภายในใจ ยังคงรู้สึก
อยากให้เป็นฉันที่ยืนข้างเธอ
ส่งยิ้มแทนคำที่ฉันไม่อาจ จะบอกเธอให้เข้าใจ
อยากบอกว่ายังรัก รักเธอเหลือเกิน
ไม่อยากจะรับรู้ว่าเธอรักเขา
ไม่อยากให้ใครยืนที่เดิมของเรา
แต่ติดตรงที่ฉันนั้นพูดไม่ได้
ว่าฉันนั้นรักเธออยู่ พูดไม่ได้จริงๆ
ต่อให้ฉันพูดไปไม่มีความหมาย
เมื่อมันสายเกินไป
ให้ทุกความจริงอยู่ในหัวใจของฉัน
อยากบอกว่ายังรัก รักเธอเหลือเกิน
ไม่อยากจะรับรู้ว่าเธอรักเขา
ไม่อยากให้ใครยืนที่เดิมของเรา
แต่ติดตรงที่ฉันนั้นพูดไม่ได้
ว่าฉันนั้นรักเธออยู่ พูดไม่ได้จริงๆ
Producer : NYQ / กัณฑ์กณัฐ อังคณาจีรธิติ
Recorded at Kandee Ztudio
Digital editor : กัณฑ์กณัฐ อังคณาจีรธิติ, ทีฆทัศน์ ทวิอารยกุล
Mixed by ‎Ghun Wangthamkua at Ladaland Studio
Mastered by Ted Jensen at Sterling Sound NYC
ฟังเพลงใหม่จาก ‘ พูดไม่ได้ ‘ ได้แล้ววันนี้ทุกช่องทาง…
♪ Spotify : https://spoti.fi/2XYSyNO
♪ Apple Music : https://apple.co/3GpALkd
potatoBand potatoFriends genierecords

พูดไม่ได้ - POTATO「Official MV」

พูดอะไรไม่ได้สักอย่าง| ฟิล์ม บงกช|Ost.รหัสริษยา| Official MV


จัดทำวิดีโอเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
เพลง : พูดอะไรไม่ได้สักอย่าง
ศิลปิน : ฟิล์ม บงกช
ทำนอง ปฏิเวธ อุทัยเฉลิม
เรียบเรียง ธีระปริญญ์ รัตนบุต
เนื้อเพลง🎶
เก็บไว้เรื่อยไป
เก็บเอาไว้ในใจเรื่อยไป
แม้ว่ามันรักเธอสักเท่าไหร่
ก็ต้องซ่อนในใจอย่างนี้
เก็บงำผู้เดียว
เก็บเอาไว้ในใจผู้เดียว
ต้องยอมให้ทุกคืนทุกวันเปล่าเปลี่ยว
ที่ไม่มีเธอเคียงข้างกาย
เธอคงไม่รู้ว่าฉันปวดใจแค่ไหน
ที่ต้องทำอาการไม่หวั่นไหว
แต่เมื่อสองเราใกล้ชิดกัน
ใจมันจะเป็นจะตาย
รัก ที่พูดอะไรออกไปไม่ได้สักอย่าง
รัก ที่ทำอะไรเหมือนใจไม่ได้สักครั้ง
มันช่างทรมานหัวใจ
กว่าการต้องทนอ้างว้าง
ทุกอย่างเธอคงไม่เคยเข้าใจ
กี่วันพ้นไป
แต่ละวันที่มันพ้นไป
ไม่มีสักครั้งหนึ่งที่ทำอะไร
ได้อย่างใจข้างในต้องการ
เธอคงไม่รู้ว่าฉันปวดใจแค่ไหน
ที่ต้องทำอาการไม่หวั่นไหว
แต่เมื่อสองเราใกล้ชิดกัน
ใจมันจะเป็นจะตาย
รัก ที่พูดอะไรออกไปไม่ได้สักอย่าง
รัก ที่ทำอะไรเหมือนใจไม่ได้สักครั้ง
มันช่างทรมานหัวใจ
กว่าการต้องทนอ้างว้าง
ทุกอย่างเธอคงไม่เคยเข้าใจ
รัก ที่พูดอะไรออกไปไม่ได้สักอย่าง
รัก ที่ทำอะไรเหมือนใจไม่ได้สักครั้ง
มันช่างทรมานหัวใจ
กว่าการต้องทนอ้างว้าง
ทุกอย่างเธอคงไม่เคยเข้าใจ….

พูดอะไรไม่ได้สักอย่าง| ฟิล์ม บงกช|Ost.รหัสริษยา| Official MV

COVER LIVE : พูดอะไรไม่ได้สักอย่าง (Acoustic ver.) By ฟิล์ม บงกช


ฟิล์ม บงกช มา cover 2 เพลง พูดอะไรไม่ได้สักอย่าง และ รักเธอคนเดียวเท่านั้น (Yes’sir Days)
ติดตามชมรายการ Live@G ทุกวันจันทร์ศุกร์ 18.0020.00 น.
www.facebook.com/gmmmusic
www.gmmmusic.com/live

COVER LIVE : พูดอะไรไม่ได้สักอย่าง (Acoustic ver.) By ฟิล์ม บงกช

รักเธอทั้งชีวิต (Ost. สามี) – Zeal 【OFFICIAL MV】


เพลง : รักเธอทั้งชีวิต (เพลงประกอบละคร สามี)
ศิลปิน : Zeal
ทำนอง ปฏิเวธ อุทัยเฉลิม
เรียบเรียง ธีระปริญญ์ รัตนบุตร
Digital Download : 123 0016
iTunes Download : http://goo.gl/pZthIe
อัพเดทผลงานศิลปินที่คุณชื่นชอบได้ที่
https://www.youtube.com/user/gmmgrammyofficial
http://www.facebook.com/gmmgrammyofficia

รักเธอทั้งชีวิต (Ost. สามี) - Zeal 【OFFICIAL MV】

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ เพลง พูด อะไร ไม่ ได้ สัก อย่าง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *