สวัสดีน้องๆ ชาว

Dek-D

ทุกคนค่ะ ใครที่กำลังเบื่อๆ กับการอยู่บ้าน และต้องการพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองให้เป๊ะให้ปังขึ้น วันนี้

พี่ปุณ

ก็มีคอร์สเรียนภาษาอังกฤษที่เน้นในเรื่องของ

Grammar

มาฝากกันแบบฟรีๆ เลยค่ะ แกรมมาร์ถือเป็นไวยากรณ์ภาษาอังกฤษพื้นฐานที่สำคัญและมีประโยชน์ทั้งต่อการเขียนและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ดังนั้น

“พื้นฐานแกรมมาร์ที่ดีจะนำไปสู่การเรียนภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

ค่ะ ใครพร้อมแล้วที่จะอัปสกิลภาษาก็ตามพี่มาได้เลย!
 

Noun Clauses and Conditionals

จัดสอนโดย University of California

ระยะเวลาคอร์ส 4 สัปดาห์

            

คอร์สนี้จะให้ความรู้เรื่องของ Noun Clauses หรือนามานุประโยคซึ่งก็คือคำนามที่อยู่ในรูปของอนุประโยคและมักจากนำหน้าด้วยคำเหล่านี้ ได้แก่ who, whom, what, where, when, whatever, if, whether เป็นต้น โดย Noun Clauses เองก็สามารถทำหน้าที่เป็นได้ทั้งประธาน กรรมของกริยา กรรมของคำบุพบท และส่วนเติมเต็มประโยคด้วย
 

            

นอกจากนี้น้องๆ ยังจะได้เรียนรู้เรื่องของประโยคเงื่อนไขหรือที่เราเรียกกันว่าประโยค If-Clause หรือ Conditional Clauses นั่นเอง น้องคนไหนที่ยังสับสนกับรูปแบบและการใช้งานของประโยคเงื่อนไข หรือยังมีคำถามเกี่ยวกับ If-Clause ในรูปแบบ mixed ที่นำประโยคเงื่อนไขสองแบบมาผสมกันล่ะก็ พี่เชื่อว่าคอร์สนี้จะสามารถตอบโจทย์น้องๆ ได้อย่างดีเลยค่ะ
 

* คอร์สนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษและต้องการพัฒนาไปในระดับที่สูงขึ้น

** เรียนฟรี กดตรงคำว่า Audit แต่จะไม่ได้รับใบประกาศฯ รับรอง
 

Adjectives and Adjective Clauses

จัดสอนโดย University of California

ระยะเวลาคอร์ส 4 สัปดาห์

         คำที่ทำหน้าที่ขยายคำนามอย่างคำคุณศัพท์หรือ Adjectives มีมากมายหลายรูปแบบ ทั้งแบบที่เป็นคำ เป็นวลี หรือเป็นอนุประโยคที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า ‘คุณานุประโยค’ หรือ Adjective clauses ค่ะ นอกจากจะได้ความรู้เบื้องต้นแล้ว คอร์สนี้ยังจะช่วยให้น้องๆ สามารถนำคำคุณศัพท์เหล่านี้ไปเพิ่มความน่าสนใจให้คำนามและเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับประโยคของน้องๆ ได้แน่นอนค่ะ!
 

* เรียนฟรี กดตรงคำว่า Audit (หากต้องการรับใบประกาศฯ จะต้องจ่าย $49)
 

Perfect Tenses and Modals

จัดสอนโดย University of California

ระยะเวลาคอร์ส 4 สัปดาห์

            คอร์สนี้จะรวมรวบเรื่องราวของ Tenses หรือการเปลี่ยนรูปกริยาตามกาลเวลา โดยจะเน้นไปที่ Perfect Tenses ซึ่งประกอบด้วย Present Perfect Tenses (has/have + V3) และ Past Perfect Tenses (had+V3) นั่นเอง
 

           

 

เท่านั้นยังไม่พอ! เพราะน้องๆ ยังจะได้รู้จักกับ Modals หรือคำกริยาช่วยที่มีความหมายในตัวเอง อย่างเช่น can, could, will, would, may, might, must, ought to เป็นต้น ที่หลายคนคงเคยได้เห็นผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้ว ใครที่สนใจไวยากรณ์เหล่านี้ก็สามารถตามไปเรียนกันได้เลยนะคะ เพราะนอกจากจะได้ความรู้เน้นๆ แล้วยังจะได้ดูวิดีโอและทำกิจกรรมที่จะช่วยพัฒนาภาษาอังกฤษของน้องๆ ได้อีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งคอร์สที่คุ้มค่าและมีประโยชน์มากเลยล่ะค่ะ
 

* เรียนฟรี กดตรงคำว่า Audit (หากต้องการรับใบประกาศฯ จะต้องจ่าย $49)
 

Conjunctions, Connectives, and Adverb Clauses

จัดสอนโดย University of California

ระยะเวลาคอร์ส 4 สัปดาห์

คำสันธานและคำเชื่อม รวมไปถึง Adverb Clauses หรือวิเศษณานุประโยคที่สามารถใช้เชื่อมคำ (Words) กลุ่มคำ (Phrases) หรือประโยค (Sentences) ไว้ในที่เดียวเลยค่ะ โดยการเชื่อมประโยคก็สามารถแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบเลย ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมประโยคที่คล้อยตามกัน ประโยคที่ขัดแย้งกัน ประโยคบอกตัวอย่าง ประโยคที่ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นต้น ใครที่อยากจะรู้ว่าคำเชื่อมไหนใช้กับประโยคแบบไหนได้บ้าง ก็ตามไปดูในคอร์สนี้ได้เลยค่า

สำหรับใครที่เบื่อกับการสร้างประโยคที่มีแค่ประธาน กริยา กรรม และอยากจะได้ประโยคที่ซับซ้อนขึ้น มีมิติมากขึ้น ก็ต้องคอร์สนี้เลยค่ะ เพราะคอร์สนี้ได้รวบรวมความรู้เรื่องรวมไปถึงที่สามารถใช้เชื่อมคำ (Words) กลุ่มคำ (Phrases) หรือประโยค (Sentences) ไว้ในที่เดียวเลยค่ะ โดยการเชื่อมประโยคก็สามารถแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบเลย ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมประโยคที่คล้อยตามกัน ประโยคที่ขัดแย้งกัน ประโยคบอกตัวอย่าง ประโยคที่ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นต้น ใครที่อยากจะรู้ว่าคำเชื่อมไหนใช้กับประโยคแบบไหนได้บ้าง ก็ตามไปดูในคอร์สนี้ได้เลยค่า

* เรียนฟรี กดตรงคำว่า Audit (หากต้องการรับใบประกาศฯ จะต้องจ่าย $49)
 

English Grammar – Articles & Nouns (Intermediate level)

จัดสอนโดย Alison

ระยะเวลาคอร์ส 1 – 2 ชั่วโมง

            ไวยากรณ์เรื่อง Articles หรือคำนำหน้านามเป็นไวยากรณ์อีกหนึ่งเรื่องที่ยากแต่สำคัญมากทีเดียวค่ะ นอกจาก A, An, The จะสร้างความสับสนทุกครั้งที่ใช้แล้วยังมีข้อยกเว้นให้เราต้องระมัดระวังมากมายเลย! และแน่นอนว่าคำนำหน้านามก็ต้องมาพร้อมกับความรู้เรื่องคำนามค่ะ ทั้งประเภทของคำนาม หน้าที่ของคำนามในประโยค และตัวอย่างการใช้ ใครที่ยังรู้จัก “คำนาม” ไม่ดีพอก็ไปทำความรู้จักกันต่อได้ที่คอร์สนี้เลยค่ะ
 

* เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานระดับปานกลาง

*

*

 หากต้องการรับใบประกาศฯ จะมีค่าธรรมเนียม €12
 

English Grammar – Prepositions & Conjunctions (Intermediate level)

จัดสอนโดย Alison

ระยะเวลาคอร์ส 1 – 2 ชั่วโมง

Prepositions จะแปลว่า “ตำแหน่งก่อนหน้า” ซึ่งชื่อของไวยากรณ์นี้ก็ได้บ่งบอกหน้าที่ของมันไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ เพราะ Prepositions หรือคำบุพบทคือคำนำหน้าคำนาม สรรพนาม และกริยาเพื่อบ่งบอกเวลา สถานที่ วิธีการ ทิศทาง และเหตุผล อย่างเช่น in, on, at, among, upon, for เป็นต้น

‘Pre’ แปลว่า ก่อน ส่วน ‘Position’ แปลว่า ตำแหน่ง รวมกันจะแปลว่า “ตำแหน่งก่อนหน้า” ซึ่งชื่อของไวยากรณ์นี้ก็ได้บ่งบอกหน้าที่ของมันไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ เพราะ Prepositions หรือคำบุพบทคือคำนำหน้าคำนาม สรรพนาม และกริยาเพื่อบ่งบอกเวลา สถานที่ วิธีการ ทิศทาง และเหตุผล อย่างเช่น in, on, at, among, upon, for เป็นต้น

            

นอกจากคำบุพบทแล้ว คอร์สนี้ยังให้ความรู้เรื่อง Conjunctions หรือคำสันธานอีกด้วย ส่วนตัวอย่างคำสันธานที่มักเห็นได้บ่อยก็อย่างเช่น and, or, when, since, because, not only…but also…, neither…nor… เป็นต้นค่ะ ใครที่เรียนจบแล้วก็อย่าลืมทำแบบฝึกหัดท้ายบทเรียนเพื่อทดสอบความรู้ความเข้าใจกันด้วยน้า

นอกจากคำบุพบทแล้ว คอร์สนี้ยังให้ความรู้เรื่องอีกด้วย ส่วนตัวอย่างคำสันธานที่มักเห็นได้บ่อยก็อย่างเช่น and, or, when, since, because, not only…but also…, neither…nor… เป็นต้นค่ะ ใครที่เรียนจบแล้วก็อย่าลืมทำแบบฝึกหัดท้ายบทเรียนเพื่อทดสอบความรู้ความเข้าใจกันด้วยน้า

* เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานระดับปานกลาง

*

*

 หากต้องการรับใบประกาศฯ จะมีค่าธรรมเนียม €12
 

English Course – Gerunds and Infinitives (Upper-Intermediate Level)

จัดสอนโดย Alison

ระยะเวลาคอร์ส 1 – 2 ชั่วโมง

            คอร์สนี้น้องๆ จะได้เรียนรู้คำศัพท์และวลีที่ใช้อธิบายคน สิ่งของและสถานที่ พร้อมทำแบบทดสอบเรื่อง Gerund หรือคำนามที่อยู่ในรูปแบบของคำกริยาเติม -ing และ Infinitives คำกริยาไม่แท้ชนิดหนึ่งที่สามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบคือ Infinitives with to และ Infinitives without to ค่ะ ไวยากรณ์เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่มีความสับสนและต้องอาศัยทั้งความจำและความเข้าใจเลยค่ะ เพราะ Infinitives แต่ละรูปแบบก็มีหน้าที่และวิธีการใช้แตกต่างกัน ถ้าใครพอมีพื้นฐานและต้องการทบทวนความรู้ พี่ก็ขอแนะนำคอร์สนี้ให้เลยค่า
 

* เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานระดับปานกลางค่อนข้างสูง

*

*

 หากต้องการรับใบประกาศฯ จะมีค่าธรรมเนียม €12
 

ติวออนไลน์ Double Tenses

จัดสอนโดย ครูพี่ติงลี่ Dek-D School

ระยะเวลาคอร์ส 1 เดือนนับจากวันที่ Activate (เนื้อหาบทเรียน 10 นาที 45 วินาที)

           

 

และคอร์สสุดท้ายนี้เป็นคอร์สที่พี่ภูมิใจนำเสนอมากๆ ค่ะ เพราะน้องๆ จะได้เรียนรู้หลักการใช้ “Tense คู่” ในภาษาอังกฤษที่สามารถใช้สอบได้ทั้ง CU-TEP, TU-GET, TOEFL, IELTS, TOEIC ซึ่ง Tense คู่ก็คือการใช้ Tense 2 Tense หรือมากกว่าสองเพื่อบรรยายเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน โดย Tense คู่ก็มีหลากหลายรูปแบบเลยนะคะ อย่างเช่น การใช้ Past Simple Tense คู่กับ Past Perfect Tense เพื่อใช้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันในอดีต เป็นต้น นอกจากการจับคู่ Past Tense แล้วจะมีการจับคู่แบบไหนอีก ตามไปเรียน ตามไปดู กับครูพี่ติงลี่ Dek-D School ได้เลยค่า
 

           

 

และทั้งหมดนี้ก็เป็นคอร์สเรียนภาษาอังกฤษฟรี! ที่พี่ได้รวบรวมมาฝากกันค่า ใครที่อยากจะปูพื้นฐานด้านแกรมมาร์ ก็อย่ารอช้า ลงไปทีละคอร์ส เรียนไปทีละนิด มาพิชิตไวยากรณ์ภาษาอังกฤษไปด้วยกันนะคะ ^^

 

Tense คือไวยากรณ์ภาษาอังกฤษชนิดหนึ่ง ที่ไว้แสดง “กาล” (tense) ของคำกริยาในภาษาอังกฤษ  (Verb) ซึ่งสรุปรวมๆ แล้วจะมีทั้งหมด 12 แบบ

บทความนี้จะพาไปดูกันค่ะว่า โครงสร้าง Tense แต่ละแบบนั้นมีอะไรบ้าง? แต่จะมีวิธีการจำโครงสร้างยังไงได้บ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

ตารางสรุป Tenses ทั้ง 12 แบบ

บทความนี้มีอะไรบ้าง?

▶ วิธีเข้าใจ Tense แบบเห็นภาพ

▶ Keywords ช่วยจำแต่ละ Tense

▶ โครงสร้างทั้ง 12 Tenses

▶ ตัวอย่างข้อสอบ TOEIC เรื่อง Tense

▶ แนะนำคอร์ส KruDew TOEIC ติวข้อสอบใหม่ล่าสุด!

★ STEP 1 – จำว่า TENSE มี 3 แบบหลัก ★

ให้ดูที่ช่องสีชมพูในตารางนะคะ ก็จะแบ่งเป็น

★ STEP 2 – แต่ละแบบแตกได้ 4 กาล ★

ย้ายไปดูที่ช่องสีเหลืองในตารางกันค่ะ 4 กาลนี้ จะเอาไว้ไป “จับคู่” กับ TENSE ทั้ง 3 แบบ ซึ่งก็จะครบ 12 Tenses พอดี ลองมาดูการจับคู่กันนะคะ

ให้เริ่มจากช่องสีชมพูก่อน แล้วไปจับคู่กับทางฝั่งสีเหลือง เราก็จะได้โครงสร้างของ Tense นั้นๆ ค่ะ เช่น

(1) Past Simple = V.2

(2) Present Continuous = is/am/are + V.ing

(3) Future Perfect = will have + V.3

แค่นี้ เราก็สามารถบอกโครงสร้างของ Tense แต่ละแบบได้สบายๆ แล้วค่า ลองฝึกบอก Tense ที่เหลือดูนะคะ (เอาให้ครบ 12 Tense เลย)
 

อยากเก็บครบทุกหัวข้อ Grammar ออกสอบ TOEIC ต้องเล่มนี้เลย!

สั่งซื้อทาง Shopee

สั่งซื้อทาง Facebook

★ Keyword สำคัญของแต่ละ Tense ★

แต่ละ Tense นั้นก็จะมีจุดเด่น หรือ “keyword” ที่ทำให้เรารู้ได้ว่า อันนี้คือโครงสร้างของ Tense ไหน ลองไปดูเพิ่มเติมกันค่ะ 

สรุป Keyword ของแต่ละ Tense

สรุปโครงสร้าง 12 Tense

will have been + V.ing

ตารางที่ 1 จะแยกจุดเด่นของ Tense 3 แบบหลัก (สีชมพู) และจุดเด่นของกาลทั้ง 4 (สีเหลือง)  ส่วนข้างล่างไว้ใช้ดูประกอบเวลาต้องการทวนโครงสร้างนะคะ เวลาฝึก ให้ลองเอาสองอย่างมาผสมกัน

★ การฝึกจำ Keyword และบอกโครงสร้าง Tense ★

➤ PRESENT SIMPLE

➤ PRESENT CONTINUOUS

➤ PRESENT PERFECT

➤ PRESENT PERFECT CONTINUOUS

➤ PAST SIMPLE

➤ PAST CONTINUOUS

➤ PAST PERFECT

➤ PAST PERFECT CONTINUOUS

➤ FUTURE SIMPLE

➤ FUTURE CONTINUOUS

➤ FUTURE PERFECT

➤ FUTURE PERFECT CONTINUOUS

ถ้าเริ่มคล่องกันแล้ว ลองไปดูตัวอย่างข้อสอบ TOEIC ที่ออกเรื่อง Tense กันดีกว่าค่ะ

★ ตัวอย่างข้อสอบ TOEIC เรื่อง Tense ★

[will + V.1] [will be + V.ing] [will have + V.3] [will have been + V.ing]

Mr. Chen supervised the construction of the new factory and will _____ operations when it opens next August.

แนวข้อสอบ TOEIC จริง

During the workshop last week, Financial adviser Kendrick Koluso ____helping professionals devise a strategy for managing their finances.

(A) is

(B) was

(C) are

(D) were

โจทย์ให้ V.ing มาแล้ว แต่สิ่งที่เราต้องหาคือด้านหน้าที่ควรเป็น v. to be (เพราะเป็นโครงสร้างของ Continuous) แบบไหนถึงจะถูก ซึ่ง v. to be จะใช้ตัวไหนต้องย้อนไปดูประธานด้านหน้าคือ Financial adviser Kendrick Koluso เป็นคน และมีคนเดียว ดังนั้นสามารถตัด (C), (D) ไปได้ก่อน เพราะ are, were ต้องใช้กับประธานที่มากกว่า 1 หรือ I และ You

เหลือ is, was ทีนี้จะใช้เป็น PRESENT หรือ PAST เราดูได้จากในประโยคด้านหน้า เขามีคำใบ้มาให้คือ ‘last week’ หมายถึงอาทิตย์ที่แล้ว แสดงว่าเป็นเหตุการณ์ใน “อดีต” ดังนั้น v. to be ก็ต้องผันเป็นอดีตด้วย ตอบ (B) was นั่นเอง