Skip to content
Home » [NEW] เที่ยวเองไกด์ England, UK ตอนที่ 1 “London” 20 ชั่วโมงเที่ยวเมืองหลวงแดนผู้ดีอังกฤษ | ที่ เที่ยว ลอนดอน – NATAVIGUIDES

[NEW] เที่ยวเองไกด์ England, UK ตอนที่ 1 “London” 20 ชั่วโมงเที่ยวเมืองหลวงแดนผู้ดีอังกฤษ | ที่ เที่ยว ลอนดอน – NATAVIGUIDES

ที่ เที่ยว ลอนดอน: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

“อังกฤษ”
อีกครั้ง ต้องซ้ำลอนดอน

มากกว่า 10 ปีแล้วที่เราไม่ได้มาอังกฤษ ปีนี้ได้เวลาอันสมควรในการกลับมาเยือนอีกครั้ง
ทริปนี้เราตั้งใจมาทำ 2 เรื่องหลักๆ คือ เที่ยว United Kingdom (England, Scotland, Wales, Northern Ireland) รวมถึง Republic of Ireland เพื่อเขียนรีวิวเมืองหลักๆ ของยุโรปให้ครบเพราะยังไม่เคยเขียนรีวิวสหราชอาณาจักรเลย และไปชมการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษที่สนาม Anfield ของ Liverpool

photo credit: www.slideshare.net

แผนเที่ยว “อังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ ไอร์แลนด์เหนือ และไอร์แลนด์” สามารถจัดได้หลากหลายมากๆ โดยเฉพาะอังกฤษที่มีเมืองท่องเที่ยวและเมืองน่าเที่ยวเพียบ แต่เนื่องจากเราเคยไปเที่ยวเองมาแล้วเกิน 20 เมืองรอบเกาะอังกฤษ ครั้งนี้จึงขอเลือกไปเที่ยวเมืองที่ยังไม่เคยไปเพิ่ม ยกเว้น London กับ Liverpool ที่ขอไปซ้ำ (เพราะชอบเป็นการส่วนตัว) 🙂

อย่างที่บอกไปว่าทริปนี้จัดแผนได้หลากหลายมาก
จึงขอไม่บอกแผนเป็นทีละวันๆ เพราะคนที่ไม่ได้จะไปดูฟุตบอลก็คงไม่เลือกไปเมือง Liverpool
แต่อาจจะเลือกแวะเที่ยวครึ่งทางระหว่าง London กับ Edinburgh ที่เมือง York หรือเลือกไปเมืองใกล้ๆ
London เช่น Oxford, Bath, Cambridge ที่นั่งรถไฟไม่ถึง
2 ชั่วโมงแทน

ขอใช้แผนที่แสดงเส้นทางทั้งหมดของทริปประกอบรีวิวทุกตอนแทนครับ

ทริปนี้เราจัดแผนตามนี้

บินจากกรุงเทพฯ ไปกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
นั่งรถไฟขึ้นไปทางสก็อตแลนด์ก่อน นั่งรถบัสไปต่อเรือข้ามทะเลไปไอร์แลนด์เหนือ
นั่งรถบัสเข้าประเทศไอร์แลนด์ ขับรถเที่ยวรอบเกาะ
แล้วข้ามเรืออีกครั้งไปขึ้นฝั่งที่เวลส์ นั่งรถไฟกลับเข้าอังกฤษอีกครั้ง
สิ้นสุดทริปที่กรุงลอนดอน

เหตุผลที่เลือกเข้าอังกฤษก่อนเพราะสามารถใช้วีซ่าอังกฤษซึ่งปกติจะได้เป็น Multiple Entry อยู่แล้ว เข้าประเทศไอร์แลนด์ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าไอร์แลนด์ (ถ้าบินลงไอร์แลนด์เลยจะต้องขอวีซ่าไอร์แลนด์)

เราจึงเลือกใช้บริการของสายการบินไทย
#สบายต่างกัน บินตรงข้ามคืนสู่กรุงลอนดอนและกลับเมืองไทยจากลอนดอนเช่นกัน

เช็คตารางเวลาและซื้อตั๋วเครื่องบินได้ที่ www.thaiairways.com

ลูกค้าการบินไทยสามารถใช้บริการต่างๆ
ในราคาพิเศษผ่านช่องทางออนไลน์ได้ เช่น ซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม เช่ารถ ใช้บริการรถลีมูซีนของ
แบล็ค ไท เซอร์วิส เป็นต้น

รายละเอียดบริการเสริมต่างๆ ที่ www.thaiairways.com

เข้าเช็คอินแบบสบายๆ
ไม่ต้องต่อคิวยาวเพราะใช้บัตรทอง Royal Orchid Plus
สะดวกรวดเร็ว ได้น้ำหนักกระเป๋าเพิ่มเป็น 30 กิโล
แถมกระเป๋าเป็น priority ด้วย

ใช้สิทธิ์เข้าใช้
Royal
Silk Lounge
ของ TG ไปนั่งกินชิลล์ๆ รอเวลาเครื่อง Boarding
พาน้องชายเข้าได้ด้วยครับ

ตอนขึ้นเครื่องก็เข้าไปกลุ่มแรกพร้อมบิสซิเนสคลาสเลย

00.55 น. ไฟลท์ TG 910 บินตรงสู่ London Heathrow Airport
ใช้เวลาเดินทาง 12 ชั่วโมง 20 นาที

07.15
น. (เวลาอังกฤษ) เดินทางถึงสนามบิน Heathrow กรุงลอนดอน

วิธีการเดินทางเข้าเมืองลอนดอน

  • รถไฟด่วนพิเศษ Heathrow Express คือวิธีการเดินทางที่รวดเร็วที่สุด มีรถไฟทุก 15 นาทีจาก Terminal 2, 3 ใช้เวลา 15 นาที และจาก Terminal 5 ใช้เวลา 21 นาที ถึงสถานีรถไฟ Paddington

          ค่าตั๋วช่วง peak time (วันจันทร์-ศุกร์ 06.30-09.30 น. และ 16.00-19.00 น.) ราคาเที่ยวละ 25 GBP, ช่วง off-peak time ราคาเที่ยวละ 22 GBP, ตั๋วไป-กลับราคา 37 GBP ตลอดทั้งวัน เด็กอายุไม่เกิน 15 เดินทางพร้อมผู้ปกครองฟรี

          ถ้าซื้อออนไลน์ล่วงหน้า 14 วัน ราคา 16.50 GBP, ล่วงหน้า 30 วัน ราคา 14.30 GBP

          อัพเดทราคาและซื้อตั๋วออนไลน์ได้ที่ www.heathrow.com

  • รถไฟใต้ดิน (Tube) สาย Piccadilly มีรถไฟจาก Terminal
    2, 3, 4, 5 ทุก 5-10 นาทีไปยังสถานีต่างๆ
    ใน Central London (Zone 1) ใช้เวลา
    50 นาที – 1 ชั่วโมง วันศุกร์-เสาร์เปิด 24
    ชั่วโมง ตั๋วรถไฟใต้ดินโซน 1-6 ราคาเที่ยวละ 6
    GBP หรือใช้ 1 Day Travelcard แบบ Zone 1-6 ราคา 18.60 GBP, ใช้ Oyster
    card ประเภท Pay as you go จะตัดเงินในบัตร 5.10
    GBP (วันจันทร์-ศุกร์ 06.30-09.30 น.) และ 3.10 GBP ในช่วงเวลาอื่น

          อัพเดทราคาได้ที่ www.heathrow.com

  • TfL Rail รถไฟออกทุก 30 นาทีจาก Terminal 2, 3, 4 ใช้เวลา 30 นาที ถึงสถานีรถไฟ Paddington จ่ายเงินโดย Oyster card ประเภท Pay as you go, ใช้ Travelcard Zone 1-6 หรือซื้อจากเครื่องขายตั๋ว
  • National Express coach ไปยังสถานีรถบัส Victoria coach station ใช้เวลา 40-80 นาที ค่ารถเริ่มต้นที่ 10 GBP

          อ่านรายละเอียดวิธีการเดินทางต่างๆ ได้ที่ How to get to Central London

          ดูแผนที่ประกอบได้ที่ London Heathrow Airport – London Map

เราวางแผนจะเดินทางในอังกฤษ สก็อตแลนด์ และเวลส์ โดยรถไฟเป็นหลักจึงใช้ BritRail Pass แบบ 4 วัน Flexi Regular, 2nd Class ราคาใบละ 243 ยูโร ซื้อได้จากตัวแทนจำหน่ายตั๋วชื่อ RTS แทนการซื้อตั๋วรถไฟทีละเที่ยวๆ ซึ่งรวมๆ แล้วแพงกว่าค่าพาส

(บัตรโดยสารแบบ Flexi เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการโดยสารรถไฟติดต่อกันทุกวัน สามารถใช้รถไฟวันไหนก็ได้ตามจำนวนวันที่ซื้อภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่วันที่ใช้รถไฟครั้งแรก)

BritRail Pass นี้สามารถใช้โดยสารรถไฟด่วนพิเศษ Heathrow Express ได้ฟรีด้วย แต่ต้องทำการเปิดใช้ตั๋ว (valid) ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถไฟก่อนขึ้นรถหรือจะเปิดใช้ตั๋วที่ RTS จากเมืองไทยไปก่อนเลยก็ได้

สอบถามข้อมูลและซื้อ Eurail Pass ชนิดต่างๆ ได้ที่ Realtime Travel Solution

นั่ง Heathrow Express แค่ 15 นาทีก็ถึงสถานีรถไฟ Paddington ในเขตศูนย์กลางกรุงลอนดอน

ที่พักในลอนดอน

กรุงลอนดอนคือมหานครหนึ่งของยุโรปที่มีโรงแรมที่พักให้เลือกทุกประเภท หลากหลายระดับราคา และกระจายอยู่ทั่วทั้งเมือง สามารถเลือกได้จากเว็บจองโรงแรมทั่วไปตามความพอใจได้เลย

เราชอบที่พักที่เดินทางไปไหนมาไหนในเมืองได้สะดวก รวมทั้งไปสนามบินด้วย จึงเลือกพักใกล้ๆ สถานีรถไฟและรถไฟใต้ดิน Paddington ซึ่งมีโรงแรมให้เลือกกว่า 10 แห่ง และมีหลายแห่งราคาคืนละไม่เกิน 100 ปอนด์

เราเลือกที่พักแบบ Airbnb ที่ Talbot Square สามารถเข้าไปฝากกระเป๋าก่อนเวลาเช็คอินได้เพราะโฮสอยู่ตลอดเวลา โฮสชื่อ Litsa บริการดีมากๆ เอาชากาแฟและคุ้กกี้มาเสิร์ฟด้วย แถมให้อาหารเช้าฟรีที่โรงแรมอีกแห่งของเธอที่อยู่ใกล้ๆ เป็นพิเศษด้วย

หาและจองที่พักได้ที่ www.airbnb.com

หน้าตาห้องพักเป็นแบบนี้

การเดินทางภายในเมือง

วิธีการเดินทางไปยังที่ต่างๆ ในกรุงลอนดอนและชานเมืองหลักๆ คือ รถไฟใต้ดิน (underground / tube) รถเมล์ และเดิน เราใช้แค่ 2 วิธีคือนั่งรถไฟใต้ดินและเดินครับ

สำหรับนักท่องเที่ยวที่วางแผนเที่ยวในลอนดอน 1-4 วันควรซื้อตั๋ววันที่เรียกว่า Travelcard ที่มีให้เลือกแบบ Zone 1-4 และ 1-6 รายละเอียดดังนี้

Travelcard ที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวมีแบบ 1 วัน และ 7 วัน ใช้โดยสารรถเมล์, รถไฟใต้ดิน, รถราง, Docklands Light Railway (DLR), รถไฟ London Overground, รถไฟของ National Rail ในเขตลอนดอน, TfL Rail ได้ไม่จำกัดภายใน 1 หรือ 7 วัน ใช้เดินทางได้เลยไปจนถึงก่อนตี 4 ครึ่งหลังจากวันที่หมดอายุแล้ว และได้ส่วนลดค่า The Thames cable car (Emirates Air Line) และ River Boat

บัตร Travelcard แบบ 1 วัน มีให้เลือกแบบใช้ได้ทุกเวลากับแบบใช้ได้เฉพาะช่วง off-peak time, แบบ 7 วัน ต้องใช้รูปถ่ายตอนซื้อบัตร

1 Day Travelcard Zone 1-4 ราคา 13.10 GBP ใช้เดินทางได้ทุกเวลา
1 Day Travelcard Zone 1-6 แบบ peak time (ใช้ในวันจันทร์-ศุกร์ ก่อน 09.30 น. ได้ด้วย) ราคา 18.60 GBP, off-peak time ราคา 12.70 GBP

ซื้อได้หลายที่ เช่น เครื่องขายตั๋วในสถานีรถไฟใต้ดิน, เคาน์เตอร์ขายในสถานีรถไฟต่างๆ, London Transport Visitor Centre ที่สถานีรถไฟใต้ดิน Piccadilly Circus และ King’s Cross

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://tfl.gov.uk
อัพเดทราคาได้ที่ www.toptiplondon.com

ถ้าอยู่ใน London 5 วันขึ้นไป อ่านข้อแนะนำที่ www.londontoolkit.com

Single ticket คือตั๋วเที่ยวเดียว คิดราคาตามโซนที่เดินทาง ราคาแพงคือโซน 1-3 ราคา 4.90 GBP

เช็คค่าโดยสารได้ที่ https://tfl.gov.uk
เช็คโซนต่างๆ ของ London ได้ที่ https://visitorshop.tfl.gov.uk
ดาวน์โหลดแผนที่รถไฟใต้ดินของ London ได้ที่ http://content.tfl.gov.uk

สำหรับผู้ที่อยู่ในลอนดอนเป็นเวลานาน Oyster cards เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

บัตรเติมเงินนี้มีหลายประเภท ได้แก่ Pay as you go, Bus & Tram Pass, Travelcard ใช้สำหรับโดยสารรถเมล์, รถไฟใต้ดิน, รถราง, Docklands Light Railway (DLR), รถไฟ London Overground, รถไฟของ National Rail ในเขตลอนดอน, TfL Rail, The Thames cable car (Emirates Air Line) และ River Bus

เลือกใช้แบบ Pay as you go ต้องแตะบัตรทั้งตอนขึ้นและลงรถ เงินก็จะถูกตัดตามโซนที่โดยสาร สามารถให้ผู้อื่นยืมบัตรไปใช้ได้ แต่ถ้าเดินทางพร้อมกันจะต้องมีบัตรกันคนละใบ

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://tfl.gov.uk

ซื้อ Oyster card และเติมเงินได้ที่สถานีรถไฟใต้ดินต่างๆ และอื่นๆ อีกมาก บัตรมีราคาตั้งแต่ 15-55 GBP แต่มีเงินคงเหลือในบัตรน้อยลง 5 GBP เป็นค่ามัดจำบัตร เมื่อเงินหมดก็สามารถเติมเงินเพิ่มได้ ถ้าจะใช้เดินทางจากสนามบิน Heathrow เข้าเมืองลอนดอนและใช้โดยสารรถในเมืองก็ควรซื้อขั้นต่ำ 20 GBP

ถ้าซื้อใน
London
จะได้เป็น Oyster card ธรรมดาซึ่งมีค่ามัดจำบัตร
5 GBP เมื่อคืนบัตรจะได้เงินคืน แต่ถ้าซื้อนอก London
เช่น สนามบิน Heathrow
จะได้เป็น
Visitors
Oyster card ซึ่งมีค่าเปิดบัตร (activation fee) 5 GBP ที่ไม่สามารถขอเงินคืนได้ และมีค่ามัดจำบัตร
5 GBP
ที่สามารถได้เงินคืนเมื่อเลิกใช้บัตร

รายละเอียดที่ Oyster cards
เช็คค่าโดยสารได้ที่ https://tfl.gov.uk

Oyster Card และ Visitors Oyster card เหมาะสำหรับคนที่อยู่ในลอนดอนนานๆ และแต่ละวันใช้รถสาธารณะไม่เกิน 5 เที่ยว

ซื้อบัตรออนไลน์ได้ที่ https://visitorshop.tfl.gov.uk

ใช้ Oyster card จ่ายค่ารถถูกกว่าซื้อทีละเที่ยว ดูตารางเปรียบเทียบราคานี้
ข้อมูลจาก www.londontoolkit.com

เที่ยว
London

เนื่องจากลอนดอนเป็นมหานครขนาดใหญ่ที่มีสถานที่สำคัญทั้งที่เป็นแลนด์มาร์คชื่อดังระดับโลก
พระราชวังต่างๆ อาคารราชการสวยงาม โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ
ย่านช้อปปิ้ง ตลาด แหล่งสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ รวมไปถึงสนามฟุตบอล

เราจึงขอคัดเลือกเฉพาะสถานที่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและจัดแบ่งโซนเที่ยวเป็น
2
วัน โดยเรียงลำดับสถานที่ตามช่วงเวลาที่ควรไป ดังนี้

photo credit: mapaplan.com

วันแรก

เก็บไฮไลต์ทั่วลอนดอน

เริ่มต้นที่สถานีรถไฟใต้ดิน Paddington

ใช้ 1 Day Travelcard Zone 1-4 ราคา 13.10
GBP โดยสารรถไฟใต้ดินและรถสาธารณะอื่นๆ ได้ไม่จำกัดภายใน 1 วัน

นั่งรถไฟใต้ดินไปที่สถานี London
Bridge

ขึ้นจากสถานีคือ The Shard หรือชื่อเดิมว่า
London
Bridge Tower ตึกระฟ้าความสูง 309.7 เมตรแห่งนี้เปิดอย่างเป็นทางการในเดือนก.ค.
ปีค.ศ. 2012 ปัจจุบันยังคงเป็นตึกที่สูงที่สุดของกรุงลอนดอน

นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยัง
Top
of The
Shard ที่ชั้น 68, 69, 72 เพื่อชมมวิวจากจุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเมืองซึ่งจะเห็นแนวโค้งของแม่น้ำเทมส์และเมืองลอนดอนได้สุดลูกหูลูกตา
เวลาขึ้นตึกแบ่งเป็นรอบ ทุก 30 นาที ตั้งแต่ 10.00-21.00
น. Standard Ticket สำหรับผู้ใหญ่ราคา
32 GBP ถ้าซื้อออนไลน์ล่วงหน้าราคาเริ่มต้น 24 GBP

ซื้อตั๋วออนไลน์ได้ที่ www.the-shard.com

เดินไปใต้สะพานรถไฟแล้วเลี้ยวซ้ายไปยัง
Borough
Market
ตลาดขายอาหารและของสดเปิดทุกวัน
ยกเว้นวันอาทิตย์ โดยในวันพุธ, พฤหัสบดี, เสาร์ เปิดเต็ม (Full
Market) ตั้งแต่ 10.00-17.00 น.
วันศุกร์เปิดถึง 18.00 น. วันเสาร์เปิด 08.00-17.00 น. ส่วนวันจันทร์และอังคาร เปิดไม่เต็ม
บางร้านไม่เปิด เริ่มขายตั้งแต่ 10.00-17.00 น.

นั่งรถไฟใต้ดินสาย
Jubilee
(สีเทา) จากสถานี London Bridge 3 สถานีไปที่สถานี Westminster

ขึ้นจากสถานีก็ถึงหอนาฬิกา Big
Ben
ซึ่งตอนนี้กำลังซ่อมทั้งหมด
อีกหลายปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์

Big
Ben
หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ Elizabeth
Tower หอนาฬิกาสูง 96 เมตรแห่งนี้คือสัญลักษณ์สำคัญของกรุงลอนดอนและประเทศอังกฤษ

หอนาฬิกาบิ๊กเบนสร้างขึ้นหลังเหตุไฟไหม้พระราชวังเวสต์มินสเตอร์เมื่อปีค.ศ.
1834 ในสถาปัตยกรรมโกธิคสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Gothic
Revival หรือ neo-Gothic) โดยการออกแบบของ Charles
Barry ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 24 ปีจึงแล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่
31 พ.ค. 1859

บิ๊กเบนคือหอนาฬิกาประจำพระราชวังเวสต์มินสเตอร์
(Palace
of Westminster) ซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐสภาอังกฤษ ความจริงชื่อบิ๊กเบนเป็นชื่อของระฆัง
1 ใน 5 ใบซึ่งแขวนไว้ตรงช่องลมเหนือหน้าปัดนาฬิกา
โดยบิ๊กเบนเป็นระฆังใบใหญ่ที่สุดซึ่งมีน้ำหนักถึง 13.76 ตันเลยทีเดียว
ส่วนหน้าปัดนาฬิกานั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกโดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 7 เมตร

ชื่อ Big Ben มาจากหัวหน้าคุมงานติดตั้งระฆังชื่อ Benjamin Hall ซึ่งเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่จนเพื่อนๆ เรียกว่า “บิ๊กเบน”

ส่วนชื่อ
Elizabeth Tower ตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองพระราชพิธีพัชราภิเษกหรือพระราชพิธีมหามงคลฉลองสิริราชสมบัติครบ
60 พรรษาของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2

ข้าม
Westminster
Bridge
ไปถ่ายรูปอาคารรัฐสภาและหอนาฬิกาบิ๊กเบนจากอีกฝั่งแม่น้ำ
Thames

คนละฝั่งแม่น้ำเป็นที่ตั้งของ London Eye (Millennium Wheel) ชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ตั้งอยู่บนฝั่ง South Bank ของแม่น้ำเทมส์ เป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในยุโรป มีความสูง 135 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 120 เมตร และสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก เป็นรองแค่ High Roller ที่ Las Vegas (167.6 เมตร), Singapore Flyer ที่สิงคโปร์ (165 เมตร) และ Star of Nanchang ที่เมือง Nanchang ประเทศจีน (160 เมตร) แต่ยังคงได้รับตำแหน่งชิงช้าสวรรค์ที่ก่อสร้างด้วยโครงเหล็กค้ำข้างเดียวที่สูงที่สุดในโลก

นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชิงช้าสวรรค์ไปชมวิวกรุงลอนดอนได้
โดยค่าตั๋วแบบ London Eye Standard Ticket สำหรับผู้ใหญ่ราคา
30 GBP ถ้าซื้อออนไลน์ล่วงหน้าราคา 27 GBP
เพื่อหลีกเลี่ยงคิวยาวจึงควรซื้อตั๋วล่วงหน้าโดยเลือกวันและช่วงเวลาที่จะขึ้นชมซึ่งแบ่งเป็นรอบๆ
ละ 15 นาที

เช็คเวลาให้บริการได้ที่ London Eye opening hours
อัพเดทราคาได้ที่ London Eye prices

มาลอนดอนคราวนี้เราใช้กระเป๋าสะพายของ pacsafe ที่ดีไซน์เรียบเท่แบบ urban look เหมาะกับการสะพายเดินในเมืองและมีตัวล็อคซิปหลักที่ช่วยป้องกันการล้วงกระเป๋าตอนอยู่ในที่ที่คนเยอะๆ เช่น รถไฟใต้ดินในเวลาเร่งด่วน ขนาดกำลังดี ไม่ใหญ่เทอะทะ แต่ใส่ของได้เยอะมาก ใส่ร่มได้เพราะลอนดอนฝนตกประจำ ข้างในมีช่องเล็กช่องน้อยเพียบ แถมกันน้ำได้ระดับหนึ่ง ฝนตกลงมาก็ไม่เปียกซึมเข้าไปข้างในกระเป๋าครับ

หาซื้อได้ที่ร้าน URBAN AKTIVE ชั้น 2 ศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่า, สาขาเซ็นทรัลบางนา, ลาดพร้าว เซ็นทรัลเวิลด์ และร้าน pacsafe เซ็นทรัลพระราม 3 นะครับ

เดินกลับไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน
Westminster เลยไปนิดก็เลี้ยวซ้ายไปทาง St Margaret’s Church
เดินลัดสวน Parliament Square Garden ไปยังด้านหน้า Westminster
Abbey โบสถ์เก่าแก่ที่เริ่มสร้างครั้งแรกในปีค.ศ.
960 และได้ต่อเติมเรื่อยมาจนถึงปีค.ศ. 1245 จึงมีลักษณะเหมือนในปัจจุบัน

โบสถ์โกธิคหอคอยคู่แห่งนี้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกมาเเล้ว
38 ครั้ง พิธีอภิเษกสมรสอีก 26 ครั้ง และเป็นที่ฝังพระบรมศพของพระมหากษัตริย์อังกฤษ
พระบรมวงศานุวงศ์ และร่างของบุคคลที่มีชื่อเสียงของชาติมากมายในระหว่างปีค.ศ. 1546-1556

นั่งรถไฟใต้ดินสาย Circle (สีเหลือง) / District (สีเขียว) จากสถานี Westminster 1 สถานีไปที่สถานี Embankment ต่อสาย Bakerloo (สีน้ำตาล) / Northern (สีดำ) 1 สถานีไปที่สถานี Charing Cross

ขึ้นจากสถานีเดินตาม Duncannon Street
ผ่านโบสถ์ St Martin-in-the-Fields ไปยัง
National Gallery พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.
1824 ที่ Trafalgar Square

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นสถานที่เก็บรักษาผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าตั้งแต่กลางศตวรรษที่
13
จนถึงปีค.ศ. 1900 กว่า 2,300 ชิ้น เช่น ภาพวาด Venus and Mars ของ Sandro
Botticelli, The Virgin and Child with St Anne and St John the Baptist ของ Leonardo da Vinci
และ
The
Fighting Temeraire ของ Joseph Mallord William Turner

พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน 10.00-18.00 น. วันศุกร์เปิดถึง 21.00 น.
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit National Gallery

Trafalgar
Square
คือจัตุรัสขนาดใหญ่ใจกลางลอนดอนที่ตั้งชื่อเพื่อเป็นอนุสรณ์ยุทธนาวีที่แหลม
Trafalgar
ซึ่งกองทัพเรืออังกฤษมีชัยเหนือฝรั่งเศสและสเปนในสงครามนโปเลียน

ตรงกลางจัตุรัสมี Nelson’s Column
เสาคอลัมน์สูง 51.6 เมตรที่มีสิงโตปกป้องทั้ง 4
ทิศนี้สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พลเรือโท Horatio Nelson ผู้เสียชีวิตในยุทธนาวี Trafalgar เมื่อปีค.ศ. 1805

นั่งรถไฟใต้ดินสาย
Bakerloo
(สีน้ำตาล) จากสถานี Charing Cross ไปที่สถานี
Piccadilly Circus ย่านช้อปปิ้งและเอ็นเตอร์เทนเมนต์อันคึกคัก

เดินตาม
Coventry
Street ไปเลี้ยวซ้ายเข้า Wardour Street หรือเดินตาม
Shaftesbury Ave แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนน Wardour ก็ถึง China Town (ระยะทางราว 300 เมตร)

สถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ China Town ที่สุดคือ Leicester Square

กลับมาลอนดอนอีกทีเพราะติดใจเป็ดย่างและหมูกรอบของร้าน
Four
Seasons
ครับ 555

เดินเข้า Lisle
Street ตรงประตูจีน ตรงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน Leicester
Square
เลี้ยวซ้ายและขวาเข้า Great Newport Street ไปเลี้ยวซ้ายที่ห้าแยก เดินตรงตามถนน Upper St.
Martin’s Lane แล้วตรงเข้าถนนทางซ้ายชื่อ Monmouth Street จนถึงวงเวียนหกแยกที่มีเสาคอลัมน์ Seven Dials ตรงผ่านเสาคอลัมน์เข้าถนน Monmouth เหมือนเดิม
นิดเดียวก็เลี้ยวขวาเข้าซอยแคบๆ ใต้อาคารชื่อ Neal’s Yard (ระยะทางราว 700 เมตร)

Neal’s
Yard

คือย่านน่าสนใจซึ่งซ่อนตัวอยู่ใจกลางลอนดอนที่สร้างเพื่อเป็นสถานที่อันน่าจดจำของเมืองโดยตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติให้กับ
Thomas Neale สถาปนิกผู้พัฒนาพื้นที่นี้เมื่อศตวรรษที่ 17
ในบริเวณนี้รายล้อมด้วยอาคารหลากสีซึ่งเป็นร้านค้า ร้านอาหาร
และคาเฟ่เพื่อสุขภาพมากมาย เช่น ร้าน Neal’s Yard Salad Bar

สถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดคือ Covent
Garden

เดินออกทางเดิมไปที่ถนน Monmouth เลี้ยวขวาตรงไปเข้า Shaftesbury Avenue โค้งขวาแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตรงตาม Bloombury Street ไม่ไกลก็เลี้ยวขวาเข้า GT. Russell Street ไปยัง British Museum (ระยะทางราว 550 เมตร)

British
Museum
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมนุษย์ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีพื้นที่ถึง
75,000
ตารางเมตร ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1753 และเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมเป็นครั้งแรกในวันที่
15 ม.ค. 1759 แรกเริ่มวัตถุที่เก็บรวบรวมไว้ส่วนใหญ่เป็นของสะสมของ Sir
Hans Sloane แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชาวไอริช เวลาผ่านไปกว่า 2
ศตวรรษครึ่งพิพิธภัณฑ์ได้ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นสถานที่เก็บรวบรวมวัตถุโบราณต่างๆ
ทั่วโลกมากกว่า 8 ล้านชิ้นซึ่งล้วนมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมีการบันทึกเรื่องราวของวัฒนธรรมมนุษย์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
เช่น รูปปั้นศักดิ์สิทธิ์จากอียิปต์

พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน 10.00-17.30 น. วันศุกร์เปิดถึง 20.30 น.
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit British Museum

สถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดคือ
Tottenham
Court Road

เดินประมาณ
450
เมตรไปสถานีรถไฟใต้ดิน Tottenham Court Road
หรือ 500 เมตรไปสถานี Holborn ก็ได้

ออกจากพิพิธภัณฑ์ เดินไปทางขวาแล้วเลี้ยวซ้ายเข้า Museum
Street ตรงไปจนถึงสี่แยกใหญ่ ข้ามถนนแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตาม New
Oxford Street ตรงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน Holborn

นั่งรถไฟใต้ดินสาย
Central
(สีแดง) 2 สถานีไปที่สถานี St.
Paul’s

เดินไปทางขวาไปยังด้านหน้า St. Paul Cathedral ซึ่งมีอนุสาวรีย์ของพระนางเจ้าวิคตอเรียตั้งอยู่

มหาวิหารเซนต์พอลคือโบสถ์คริสต์นิกายแองกลิคันเก่าแก่ที่สร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปีค.ศ.
1256
บนเนิน Ludgate Hill ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเมืองลอนดอนเพื่ออุทิศแด่นักบุญเปาโล

400
ปีเศษต่อมา Sir Christopher Wren สถาปนิกชื่อดังได้เริ่มออกแบบและซ่อมแซมวิหาร
กระทั่งปีค.ศ. 1666 ได้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ทำให้วิหารได้รับความเสียหายอย่างมาก
โดยต้องใช้เวลาบูรณะใหม่ถึง 31 ปี 3 เดือนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์เป็นวิหารหลังใหม่และเปิดใช้งานเมื่อปีค.ศ.
1697 ในศตวรรษที่ 17 วิหารใช้เป็นสถานที่ฝังศพของบุคคลสำคัญของอังกฤษและใช้จัดงานพระราชพิธีสำคัญๆ
ของประเทศ

มหาวิหารสถาปัตยกรรมบาโรคแบบอังกฤษแห่งนี้ไม่เพียงแค่ภายนอกที่ยิ่งใหญ่อลังการจากโดมขนาดมหึมาเท่านั้น แต่การออกแบบตกแต่งภายในวิหารก็สวยงามวิจิตรไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นแท่นบูชาหินอ่อนแกะสลัก ภาพวาดฝาผนัง ที่นั่งของนักร้องประสานเสียง

มหาวิหารเซนต์พอลเป็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2
ของอังกฤษ รองจาก Liverpool Cathedral ที่เมืองลิเวอร์พูล
และเป็นสถานที่จัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์แห่งเวลส์กับเจ้าหญิงไดอาน่า

มหาวิหารเปิดให้เข้าชมวันจันทร์-เสาร์
08.30-16.30
น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไปราคา
20 GBP ถ้าซื้อออนไลน์ล่วงหน้าราคา 17 GBP

เข้าชมห้องโถงของวิหารและขึ้นบันได 259 ขั้นไปยังระเบียงจุดชมวิวด้านบนที่สูงประมาณ 111
เมตร ซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามทั่วกรุงลอนดอน

อัพเดทข้อมูลได้ที่ visit St. Paul Cathedral

เดินตามถนนใหญ่ข้างมหาวิหารไปยังโดม
เลี้ยวขวาเดินไปยัง Millennium Bridge
ที่อยู่ข้างหน้า ถ่ายรูปจากสะพานกลับไปยังโดมของมหาวิหารเซนต์พอล
(แต่ด้านข้างสะพานซ่อมอยู่จึงถ่ายรูปได้ไม่ค่อยสวย)

เดินกลับไปทางมหาวิหาร
พอถึงถนนแรกก็เลี้ยวขวาเดินตรงตาม Queen Victoria Street ประมาณ 300 เมตรไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน Mansion
House

นั่งรถไฟใต้ดินสาย
Circle
(สีเหลือง) / District (สีเขียว)
3 สถานีไปที่สถานี Tower Hill

ออกจากสถานีเดินไปยังทางเข้า Tower
of London
ป้อมปราการอันแข็งแกร่งกลางกรุงลอนดอนแห่งนี้สร้างมาตั้งเเต่ปีค.ศ. 1078 โดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 ได้สร้างหอคอย White Tower ขึ้นมาก่อน ต่อมาจึงได้ทำการต่อเติมส่วนต่างๆ
เรื่อยๆ จนขยายกว้างใหญ่เหมือนเช่นทุกวันนี้

ในยุคกลางหอคอยแห่งลอนดอนเป็นทั้งศูนย์กลางการเมืองการปกครองเเละการบัญชาการทางทหารของอังกฤษที่สำคัญมาก
รวมทั้งเป็นที่คุมขังนักโทษที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกด้วย
ปัจจุบันนั้นที่นี่กลายเป็นสถานที่เก็บรักษาสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ของชาติมากมาย
อาทิ Imperial State Crown มงกุฎของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่
2 และเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บสะสมอาวุธโบราณจำนวนมหาศาล เช่น ชุดเกราะของพระเจ้าเฮนรีที่
8 ที่นี่ถูกกล่าวขวัญเกี่ยวกับตำนานวิญญาณหลอนเพราะในอดีตหอคอย
Bloody Tower เป็นที่คุมขังและประหารชีวิตนักโทษมากมาย
จนกลายเป็นอีกสถานที่ที่บรรดานักล่าวิญญาณเเวะเวียนมาพิสูจน์กัน

หอคอยแห่งลอนดอนเปิดให้เข้าชมทุกวัน
ระหว่างวันที่ 1 มี.ค.-31 ต.ค.
วันอังคาร-เสาร์ 09.00-17.30 น.,
วันอาทิตย์และจันทร์เปิด 10.00-17.30 น., วันที่ 1 พ.ย.-28 ก.พ.
วันอังคาร-เสาร์ 09.00-16.30 น.,
วันอาทิตย์และจันทร์เปิด 10.00-16.30 น.
ต้องเข้าชมก่อนเวลาปิด 30 นาที วันที่ 24-26 ธ.ค. และ 1 ม.ค. ปิด

ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อายุ 18-59
ปี ราคา 24.70 GBP ถ้าซื้อออนไลน์

เช็ควันและเวลาเปิด-ปิดได้ที่ Tower of London opening hours
อัพเดทข้อมูลได้ที่ Tower of London entrance fee

เดินเลียบแม่น้ำเทมส์ไปยัง
Tower
Bridge
หรือสะพานหอคอย ชื่อของสะพานมาจากที่ตั้งที่อยู่ใกล้กับหอคอยแห่งลอนดอน
(Tower
of London) นั่นเอง

สะพานหอคอยโกธิคคู่ที่เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินคู่ขนานด้านบนแห่งนี้สร้างข้ามแม่น้ำเทมส์ในระหว่างปีค.ศ. 1886-1894 โดยออกแบบให้เป็นสะพานยกและสะพานแขวนในสะพานเดียว สมัยก่อนใช้ระบบไฮดรอลิกกำลังไอน้ำในการยกสะพานให้เรือใหญ่สัญจรไปมาได้ แต่ตอนนี้เป็นการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า

สะพานสัญลักษณ์กรุงลอนดอนมีความยาว
244 เมตร กว้าง 61 เมตร มีหอคอยสูง 65 เมตร แต่ละวันมีผู้คนสัญจรไปมามากกว่า 40,000 คน

ข้ามสะพานไปอีกฝั่งแม่น้ำ
ลงสะพานเดินเลียบแม่น้ำผ่าน City Hall ระยะทางประมาณ
900
เมตรก็จะกลับไปที่ตึก The Shard และสถานีรถไฟใต้ดิน
London Bridge อีกครั้ง

นั่งรถไฟใต้ดินสาย
Jubilee
(สีเทา) สถานีรถไฟใต้ดิน London Bridge
หรือข้าม Tower Bridge เดินกลับไปขึ้นรถไฟใต้ดินจากสถานี Tower
Hill
กลับสถานี Paddington หรือไปที่อื่นในเมือง

ตอนมาลอนดอนครั้งแรกเราเคยไป Greenwich แล้ว
ครั้งนี้เลยไม่ได้วางแผนจะไป

ถ้าจะไป Greenwich ควรไปตั้งแต่เช้าเป็นที่แรก โดยนั่งรถไฟใต้ดินและรถไฟไปลงที่สถานี Greenwich ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน

ออกจากสถานีเดินไปทางซ้ายแล้วเลี้ยวขวาที่สามแยกใหญ่
ตรงไปนิดก็เลี้ยวซ้ายเดินตาม Circus Street ตรงไปจนสุดถนนที่สวน
โค้งขวาเดินเลียบรั้วสวนไปเลี้ยวขวาเดินไปสุดทาง ข้ามถนนเข้าประตูสวน Greenwich
Park เดินแยกไปทางขวาแล้วตรงไปขึ้นเนินอีกประมาณ 5 นาทีก็จะถึง Royal Observatory Greenwich หอดูดาวแห่งกรีนิช
(ระยะทางรวมประมาณ 1.1 กิโลเมตร)

เดินตาม Prime Meridian Line
หรือเส้นเมริเดียนสากลคือเส้นเวลาแรกของโลก (Greenwich Mean
Time) ที่ลองจิจูด 0°

สามารถเข้าชมได้ทุกวันตั้งแต่ 10.00-17.00
น. ค่าผ่านประตูสำหรับผู้ใหญ่อายุ 16 ปีขึ้นไปราคา
13.50 GBP (ซื้อออนไลน์)

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.rmg.co.uk

ไป Greenwich ได้หลายวิธี เช็ควิธีการเดินทางได้ที่ https://tfl.gov.uk

ค้างคืนแรกที่
London

วันที่ 2

เที่ยวสบายๆ สายช้อปปิ้ง

photo credit: mapaplan.com

ซื้อ 1 Day Travelcard Zone 1-4 ราคา 13.10 GBP (ใช้เดินทางได้ทุกเวลา)

นั่งรถไฟใต้ดินสาย
Hammersmith
& City (สีชมพู) จากสถานี Paddington 3 สถานีไปที่สถานี Ladbroke Grove

ออกจากสถานีเดินไปทางขวา (ทางซ้ายมีสะพานรถไฟ)
นิดเดียวก็เลี้ยวซ้ายเข้า Lancaster Road ตรงอีกราว 250 เมตรก็ถึงจุดตัดกับ Portobello Road

แถวนี้เรียกว่าย่าน Notting Hill

เลี้ยวขวาเดินตามถนน
Portobello บริเวณนี้คือ Portobello Market ตลาดนัดขายของเก่าที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้เป็นแหล่งรวมสินค้าหลากหลายชนิดที่เดินเลือกกันจนเพลินได้ทั้งวัน

ตลาดเปิดตั้งแต่ 09.00 น.
แต่ละวันขายสินค้าแตกต่างกันและเวลาปิดไม่ตรงกัน

เช็คข้อมูลได้ที่ www.portobelloroad.co.uk

เดินตามถนน
Portobello
ประมาณ 700 เมตรก็สุดเขตตลาด
เลี้ยวขวาที่สี่แยกแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตรงยาวผ่านวงเวียนเล็กๆ
เลี้ยวซ้ายที่สามแยกใหญ่ก็เห็นสถานีรถไฟใต้ดิน Notting Hill Gate (ระยะทางราว 600 เมตร)

นั่งรถไฟใต้ดินสาย Circle (สีเหลือง) / District (สีเขียว)
3 สถานีไปที่สถานี Kensington ต่อสาย Piccadilly
(สีน้ำเงิน) 1 สถานีไปที่สถานี Knightsbridge

ขึ้นจากสถานีก็ถึง Harrods
ห้างสรรพสินค้าชื่อดังของลอนดอน วันจันทร์-เสาร์เปิด 10.00-21.00
น. วันอาทิตย์เปิด 11.30-18.00 น.

นั่งรถไฟใต้ดินสาย
Piccadilly
(สีน้ำเงิน) จากสถานี Knightsbridge 1 สถานีไปที่ Hyde Park Corner หน้าทางเข้า Hyde
Park
สวนสาธารณะขนาดใหญ่ประจำเมืองลอนดอนซึ่งพระเจ้าเฮนรีที่
8 ทรงโปรดให้สร้างเมื่อปีค.ศ. 1536

เดินผ่านประตู
Wellington
Arch

ตรงตามถนนเข้าไปในบริเวณ Green Park

ตรงต่ออีกประมาณ
700
เมตรก็ถึง Buckingham Palace พระราชวังบัคกิงแฮมคือพระราชฐานที่ประทับอย่างเป็นทางการของพระราชวงศ์อังกฤษตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเมื่อปีค.ศ.
1837 จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งใช้เป็นสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองและจัดงานของสำนักพระราชวัง

เดิมทีอาคารแห่งนี้คือ Buckingham House หรือคฤหาสน์บัคกิงแฮมที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นบ้านพักของ John
Sheffield ดยุคคนแรกแห่งบัคกิงแฮมเมื่อปีค.ศ. 1703 ต่อมาในปีค.ศ. 1761 พระเจ้าจอร์จที่ 3 ทรงซื้อคฤหาสน์นี้เพื่อใช้เป็นพระราชฐานส่วนพระองค์และพระราชินี Sophia
Charlotte จึงรู้จักกันในชื่อ The Queen’s House หรือวังพระราชินี

75 ปีต่อมา
John
Nash และ Edward Blore สองสถาปนิกชาวอังกฤษได้ทำการขยายการต่อเติมครั้งใหญ่โดยเพิ่มปีกทั้ง
3 และลานกลางพระราชวังซึ่งแล้วเสร็จตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
บริเวณด้านหน้าของพระราชวังมี Victoria memorial ตั้งอยู่

โดยปกติ
ทุกวันระหว่างเดือนเม.ย.-ก.ค. ในเวลาประมาณ 11 โมง (วันอาทิตย์จะเริ่มประมาณ 10.30 น.) จะมีพิธีผลัดเวรยามของทหารรักษาการณ์ของสมเด็จพระราชินีฯ
ซึ่งเป็นประเพณีของราชวงศ์ที่สืบทอดต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน พิธีใช้เวลาประมาณ 30
นาที

สามารถเข้าชมบางส่วนพระราชวังได้ในบางช่วงของปี เช่น The State Rooms ห้องสาธารณะที่สมเด็จพระราชินีและราชวงศ์ใช้รับแขกซึ่งมีทั้งหมด 19 ห้อง

เวลาเปิด-ปิด 09.30-17.15 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อายุ 17 ปีขึ้นไปราคา 25 GBP
เช็คข้อมูลได้ที่ visit Buckingham Palace

เดินออกทางเดิม
ข้ามถนนตรงเข้าไปใน Green Park เดินลัดสวนสาธารณะไปออกอีกทางหนึ่งแล้วเลี้ยวขวาไปก็เห็นสถานีรถไฟใต้ดิน
Green Park (ระยะทางประมาณ 700 เมตร)

นั่งรถไฟใต้ดินสาย Jubilee (สีเทา) 1 สถานีไปที่สถานี Bond Street เดินช้อปที่ถนนช้อปปิ้งชื่อดัง Oxford Street

เดินประมาณ
500
เมตรไปสถานีรถไฟใต้ดิน Oxford Circus นั่งรถไฟใต้ดินกลับที่พัก

บินกลับกรุงเทพฯ
จากสนามบิน
Heathrow

เดินทางไปสนามบินโดยรถไฟด่วนพิเศษ Heathrow Express ใช้เวลาเพียง 15 นาที
(ซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้า 14 วัน ราคา 16.50 GBP, ล่วงหน้า 30 วัน ราคา 14.30 GBP)

ขากลับ ใช้สิทธิพิเศษจากบัตรทอง Royal Orchid Plus ของการบินไทยเข้าใช้เลานจ์ของสายการบินในกลุ่ม Star Alliance Gold ที่สนามบินต่างๆ ทั่วโลก

ที่สนามบิน Heathrow นี้เราใช้เลานจ์ของ United Airlines เลานจ์ดีมาก มีอาหารให้เลือกเยอะอยู่ มีห้องอาบน้ำด้วย อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้หลับบนเครื่องขากลับได้สบาย

21.25
น. สายการบินไทย เที่ยวบิน TG 917 ออกเดินทางกลับประเทศไทย

15.00 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ
ใช้เวลาเดินทาง11 ชั่วโมง 35 นาที

พูดถึงในแง่การของศึกษาสักหน่อย ลอนดอนนั้นเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำมากมาย เช่น University College London (UCL), Queen Mary, SOAS, University of the Arts London (UAL), Imperial College, LSE, หรือมหาวิทยาลัยสุดชิคอย่าง Brunel และ Kingston University ถัดออกไปชานเมืองหน่อยก็จะมี University of Surrey มหาวิทยาลัยที่เด่นทั้ง Business และ Engineering

เลยไปอีกหน่อยประมาณ 30 นาทีเมืองใกล้ๆ ก็จะมีมหาวิทยาลัย University of Reading ที่เป็นที่ตั้งของ ICAM Centre อันโด่งดัง เพื่อนๆ ที่สนใจเรียนต่อในลอนดอน แนะนำให้ติดต่อ BRIT – Education UK ได้ที่โทร 02-168-7890 หรือไลน์: @brit-ed ที่นี่จะดูแลเรื่องเรียนต่อ UK ประเทศเดียวนานกว่า 20 ปี สถาบันก่อตั้งโดยคุณ Gareth Baxter-Jones ซึ่งเป็นศิษย์เก่าจาก Oxford หรือถ้าพร้อมสมัครแล้ว สามารถพบกับตัวแทนจากมหาวิทยาลัยต่างๆของ UK ได้ในงานศึกษาต่ออังกฤษประจำปีที่ www.UK-University-Fair.com หรือทาง www.brit-ed.com/contact-us

*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต

[NEW] เที่ยวเองไกด์ England, UK ตอนที่ 1 “London” 20 ชั่วโมงเที่ยวเมืองหลวงแดนผู้ดีอังกฤษ | ที่ เที่ยว ลอนดอน – NATAVIGUIDES

“อังกฤษ”
อีกครั้ง ต้องซ้ำลอนดอน

มากกว่า 10 ปีแล้วที่เราไม่ได้มาอังกฤษ ปีนี้ได้เวลาอันสมควรในการกลับมาเยือนอีกครั้ง
ทริปนี้เราตั้งใจมาทำ 2 เรื่องหลักๆ คือ เที่ยว United Kingdom (England, Scotland, Wales, Northern Ireland) รวมถึง Republic of Ireland เพื่อเขียนรีวิวเมืองหลักๆ ของยุโรปให้ครบเพราะยังไม่เคยเขียนรีวิวสหราชอาณาจักรเลย และไปชมการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษที่สนาม Anfield ของ Liverpool

photo credit: www.slideshare.net

แผนเที่ยว “อังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ ไอร์แลนด์เหนือ และไอร์แลนด์” สามารถจัดได้หลากหลายมากๆ โดยเฉพาะอังกฤษที่มีเมืองท่องเที่ยวและเมืองน่าเที่ยวเพียบ แต่เนื่องจากเราเคยไปเที่ยวเองมาแล้วเกิน 20 เมืองรอบเกาะอังกฤษ ครั้งนี้จึงขอเลือกไปเที่ยวเมืองที่ยังไม่เคยไปเพิ่ม ยกเว้น London กับ Liverpool ที่ขอไปซ้ำ (เพราะชอบเป็นการส่วนตัว) 🙂

อย่างที่บอกไปว่าทริปนี้จัดแผนได้หลากหลายมาก
จึงขอไม่บอกแผนเป็นทีละวันๆ เพราะคนที่ไม่ได้จะไปดูฟุตบอลก็คงไม่เลือกไปเมือง Liverpool
แต่อาจจะเลือกแวะเที่ยวครึ่งทางระหว่าง London กับ Edinburgh ที่เมือง York หรือเลือกไปเมืองใกล้ๆ
London เช่น Oxford, Bath, Cambridge ที่นั่งรถไฟไม่ถึง
2 ชั่วโมงแทน

ขอใช้แผนที่แสดงเส้นทางทั้งหมดของทริปประกอบรีวิวทุกตอนแทนครับ

ทริปนี้เราจัดแผนตามนี้

บินจากกรุงเทพฯ ไปกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
นั่งรถไฟขึ้นไปทางสก็อตแลนด์ก่อน นั่งรถบัสไปต่อเรือข้ามทะเลไปไอร์แลนด์เหนือ
นั่งรถบัสเข้าประเทศไอร์แลนด์ ขับรถเที่ยวรอบเกาะ
แล้วข้ามเรืออีกครั้งไปขึ้นฝั่งที่เวลส์ นั่งรถไฟกลับเข้าอังกฤษอีกครั้ง
สิ้นสุดทริปที่กรุงลอนดอน

เหตุผลที่เลือกเข้าอังกฤษก่อนเพราะสามารถใช้วีซ่าอังกฤษซึ่งปกติจะได้เป็น Multiple Entry อยู่แล้ว เข้าประเทศไอร์แลนด์ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าไอร์แลนด์ (ถ้าบินลงไอร์แลนด์เลยจะต้องขอวีซ่าไอร์แลนด์)

เราจึงเลือกใช้บริการของสายการบินไทย
#สบายต่างกัน บินตรงข้ามคืนสู่กรุงลอนดอนและกลับเมืองไทยจากลอนดอนเช่นกัน

เช็คตารางเวลาและซื้อตั๋วเครื่องบินได้ที่ www.thaiairways.com

ลูกค้าการบินไทยสามารถใช้บริการต่างๆ
ในราคาพิเศษผ่านช่องทางออนไลน์ได้ เช่น ซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม เช่ารถ ใช้บริการรถลีมูซีนของ
แบล็ค ไท เซอร์วิส เป็นต้น

รายละเอียดบริการเสริมต่างๆ ที่ www.thaiairways.com

เข้าเช็คอินแบบสบายๆ
ไม่ต้องต่อคิวยาวเพราะใช้บัตรทอง Royal Orchid Plus
สะดวกรวดเร็ว ได้น้ำหนักกระเป๋าเพิ่มเป็น 30 กิโล
แถมกระเป๋าเป็น priority ด้วย

ใช้สิทธิ์เข้าใช้
Royal
Silk Lounge
ของ TG ไปนั่งกินชิลล์ๆ รอเวลาเครื่อง Boarding
พาน้องชายเข้าได้ด้วยครับ

ตอนขึ้นเครื่องก็เข้าไปกลุ่มแรกพร้อมบิสซิเนสคลาสเลย

00.55 น. ไฟลท์ TG 910 บินตรงสู่ London Heathrow Airport
ใช้เวลาเดินทาง 12 ชั่วโมง 20 นาที

07.15
น. (เวลาอังกฤษ) เดินทางถึงสนามบิน Heathrow กรุงลอนดอน

วิธีการเดินทางเข้าเมืองลอนดอน

  • รถไฟด่วนพิเศษ Heathrow Express คือวิธีการเดินทางที่รวดเร็วที่สุด มีรถไฟทุก 15 นาทีจาก Terminal 2, 3 ใช้เวลา 15 นาที และจาก Terminal 5 ใช้เวลา 21 นาที ถึงสถานีรถไฟ Paddington

          ค่าตั๋วช่วง peak time (วันจันทร์-ศุกร์ 06.30-09.30 น. และ 16.00-19.00 น.) ราคาเที่ยวละ 25 GBP, ช่วง off-peak time ราคาเที่ยวละ 22 GBP, ตั๋วไป-กลับราคา 37 GBP ตลอดทั้งวัน เด็กอายุไม่เกิน 15 เดินทางพร้อมผู้ปกครองฟรี

          ถ้าซื้อออนไลน์ล่วงหน้า 14 วัน ราคา 16.50 GBP, ล่วงหน้า 30 วัน ราคา 14.30 GBP

          อัพเดทราคาและซื้อตั๋วออนไลน์ได้ที่ www.heathrow.com

  • รถไฟใต้ดิน (Tube) สาย Piccadilly มีรถไฟจาก Terminal
    2, 3, 4, 5 ทุก 5-10 นาทีไปยังสถานีต่างๆ
    ใน Central London (Zone 1) ใช้เวลา
    50 นาที – 1 ชั่วโมง วันศุกร์-เสาร์เปิด 24
    ชั่วโมง ตั๋วรถไฟใต้ดินโซน 1-6 ราคาเที่ยวละ 6
    GBP หรือใช้ 1 Day Travelcard แบบ Zone 1-6 ราคา 18.60 GBP, ใช้ Oyster
    card ประเภท Pay as you go จะตัดเงินในบัตร 5.10
    GBP (วันจันทร์-ศุกร์ 06.30-09.30 น.) และ 3.10 GBP ในช่วงเวลาอื่น

          อัพเดทราคาได้ที่ www.heathrow.com

  • TfL Rail รถไฟออกทุก 30 นาทีจาก Terminal 2, 3, 4 ใช้เวลา 30 นาที ถึงสถานีรถไฟ Paddington จ่ายเงินโดย Oyster card ประเภท Pay as you go, ใช้ Travelcard Zone 1-6 หรือซื้อจากเครื่องขายตั๋ว
  • National Express coach ไปยังสถานีรถบัส Victoria coach station ใช้เวลา 40-80 นาที ค่ารถเริ่มต้นที่ 10 GBP

          อ่านรายละเอียดวิธีการเดินทางต่างๆ ได้ที่ How to get to Central London

          ดูแผนที่ประกอบได้ที่ London Heathrow Airport – London Map

เราวางแผนจะเดินทางในอังกฤษ สก็อตแลนด์ และเวลส์ โดยรถไฟเป็นหลักจึงใช้ BritRail Pass แบบ 4 วัน Flexi Regular, 2nd Class ราคาใบละ 243 ยูโร ซื้อได้จากตัวแทนจำหน่ายตั๋วชื่อ RTS แทนการซื้อตั๋วรถไฟทีละเที่ยวๆ ซึ่งรวมๆ แล้วแพงกว่าค่าพาส

(บัตรโดยสารแบบ Flexi เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการโดยสารรถไฟติดต่อกันทุกวัน สามารถใช้รถไฟวันไหนก็ได้ตามจำนวนวันที่ซื้อภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่วันที่ใช้รถไฟครั้งแรก)

BritRail Pass นี้สามารถใช้โดยสารรถไฟด่วนพิเศษ Heathrow Express ได้ฟรีด้วย แต่ต้องทำการเปิดใช้ตั๋ว (valid) ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถไฟก่อนขึ้นรถหรือจะเปิดใช้ตั๋วที่ RTS จากเมืองไทยไปก่อนเลยก็ได้

สอบถามข้อมูลและซื้อ Eurail Pass ชนิดต่างๆ ได้ที่ Realtime Travel Solution

นั่ง Heathrow Express แค่ 15 นาทีก็ถึงสถานีรถไฟ Paddington ในเขตศูนย์กลางกรุงลอนดอน

ที่พักในลอนดอน

กรุงลอนดอนคือมหานครหนึ่งของยุโรปที่มีโรงแรมที่พักให้เลือกทุกประเภท หลากหลายระดับราคา และกระจายอยู่ทั่วทั้งเมือง สามารถเลือกได้จากเว็บจองโรงแรมทั่วไปตามความพอใจได้เลย

เราชอบที่พักที่เดินทางไปไหนมาไหนในเมืองได้สะดวก รวมทั้งไปสนามบินด้วย จึงเลือกพักใกล้ๆ สถานีรถไฟและรถไฟใต้ดิน Paddington ซึ่งมีโรงแรมให้เลือกกว่า 10 แห่ง และมีหลายแห่งราคาคืนละไม่เกิน 100 ปอนด์

เราเลือกที่พักแบบ Airbnb ที่ Talbot Square สามารถเข้าไปฝากกระเป๋าก่อนเวลาเช็คอินได้เพราะโฮสอยู่ตลอดเวลา โฮสชื่อ Litsa บริการดีมากๆ เอาชากาแฟและคุ้กกี้มาเสิร์ฟด้วย แถมให้อาหารเช้าฟรีที่โรงแรมอีกแห่งของเธอที่อยู่ใกล้ๆ เป็นพิเศษด้วย

หาและจองที่พักได้ที่ www.airbnb.com

หน้าตาห้องพักเป็นแบบนี้

การเดินทางภายในเมือง

วิธีการเดินทางไปยังที่ต่างๆ ในกรุงลอนดอนและชานเมืองหลักๆ คือ รถไฟใต้ดิน (underground / tube) รถเมล์ และเดิน เราใช้แค่ 2 วิธีคือนั่งรถไฟใต้ดินและเดินครับ

สำหรับนักท่องเที่ยวที่วางแผนเที่ยวในลอนดอน 1-4 วันควรซื้อตั๋ววันที่เรียกว่า Travelcard ที่มีให้เลือกแบบ Zone 1-4 และ 1-6 รายละเอียดดังนี้

Travelcard ที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวมีแบบ 1 วัน และ 7 วัน ใช้โดยสารรถเมล์, รถไฟใต้ดิน, รถราง, Docklands Light Railway (DLR), รถไฟ London Overground, รถไฟของ National Rail ในเขตลอนดอน, TfL Rail ได้ไม่จำกัดภายใน 1 หรือ 7 วัน ใช้เดินทางได้เลยไปจนถึงก่อนตี 4 ครึ่งหลังจากวันที่หมดอายุแล้ว และได้ส่วนลดค่า The Thames cable car (Emirates Air Line) และ River Boat

บัตร Travelcard แบบ 1 วัน มีให้เลือกแบบใช้ได้ทุกเวลากับแบบใช้ได้เฉพาะช่วง off-peak time, แบบ 7 วัน ต้องใช้รูปถ่ายตอนซื้อบัตร

1 Day Travelcard Zone 1-4 ราคา 13.10 GBP ใช้เดินทางได้ทุกเวลา
1 Day Travelcard Zone 1-6 แบบ peak time (ใช้ในวันจันทร์-ศุกร์ ก่อน 09.30 น. ได้ด้วย) ราคา 18.60 GBP, off-peak time ราคา 12.70 GBP

ซื้อได้หลายที่ เช่น เครื่องขายตั๋วในสถานีรถไฟใต้ดิน, เคาน์เตอร์ขายในสถานีรถไฟต่างๆ, London Transport Visitor Centre ที่สถานีรถไฟใต้ดิน Piccadilly Circus และ King’s Cross

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://tfl.gov.uk
อัพเดทราคาได้ที่ www.toptiplondon.com

ถ้าอยู่ใน London 5 วันขึ้นไป อ่านข้อแนะนำที่ www.londontoolkit.com

Single ticket คือตั๋วเที่ยวเดียว คิดราคาตามโซนที่เดินทาง ราคาแพงคือโซน 1-3 ราคา 4.90 GBP

เช็คค่าโดยสารได้ที่ https://tfl.gov.uk
เช็คโซนต่างๆ ของ London ได้ที่ https://visitorshop.tfl.gov.uk
ดาวน์โหลดแผนที่รถไฟใต้ดินของ London ได้ที่ http://content.tfl.gov.uk

สำหรับผู้ที่อยู่ในลอนดอนเป็นเวลานาน Oyster cards เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

บัตรเติมเงินนี้มีหลายประเภท ได้แก่ Pay as you go, Bus & Tram Pass, Travelcard ใช้สำหรับโดยสารรถเมล์, รถไฟใต้ดิน, รถราง, Docklands Light Railway (DLR), รถไฟ London Overground, รถไฟของ National Rail ในเขตลอนดอน, TfL Rail, The Thames cable car (Emirates Air Line) และ River Bus

เลือกใช้แบบ Pay as you go ต้องแตะบัตรทั้งตอนขึ้นและลงรถ เงินก็จะถูกตัดตามโซนที่โดยสาร สามารถให้ผู้อื่นยืมบัตรไปใช้ได้ แต่ถ้าเดินทางพร้อมกันจะต้องมีบัตรกันคนละใบ

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://tfl.gov.uk

ซื้อ Oyster card และเติมเงินได้ที่สถานีรถไฟใต้ดินต่างๆ และอื่นๆ อีกมาก บัตรมีราคาตั้งแต่ 15-55 GBP แต่มีเงินคงเหลือในบัตรน้อยลง 5 GBP เป็นค่ามัดจำบัตร เมื่อเงินหมดก็สามารถเติมเงินเพิ่มได้ ถ้าจะใช้เดินทางจากสนามบิน Heathrow เข้าเมืองลอนดอนและใช้โดยสารรถในเมืองก็ควรซื้อขั้นต่ำ 20 GBP

ถ้าซื้อใน
London
จะได้เป็น Oyster card ธรรมดาซึ่งมีค่ามัดจำบัตร
5 GBP เมื่อคืนบัตรจะได้เงินคืน แต่ถ้าซื้อนอก London
เช่น สนามบิน Heathrow
จะได้เป็น
Visitors
Oyster card ซึ่งมีค่าเปิดบัตร (activation fee) 5 GBP ที่ไม่สามารถขอเงินคืนได้ และมีค่ามัดจำบัตร
5 GBP
ที่สามารถได้เงินคืนเมื่อเลิกใช้บัตร

รายละเอียดที่ Oyster cards
เช็คค่าโดยสารได้ที่ https://tfl.gov.uk

Oyster Card และ Visitors Oyster card เหมาะสำหรับคนที่อยู่ในลอนดอนนานๆ และแต่ละวันใช้รถสาธารณะไม่เกิน 5 เที่ยว

ซื้อบัตรออนไลน์ได้ที่ https://visitorshop.tfl.gov.uk

ใช้ Oyster card จ่ายค่ารถถูกกว่าซื้อทีละเที่ยว ดูตารางเปรียบเทียบราคานี้
ข้อมูลจาก www.londontoolkit.com

เที่ยว
London

เนื่องจากลอนดอนเป็นมหานครขนาดใหญ่ที่มีสถานที่สำคัญทั้งที่เป็นแลนด์มาร์คชื่อดังระดับโลก
พระราชวังต่างๆ อาคารราชการสวยงาม โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ
ย่านช้อปปิ้ง ตลาด แหล่งสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ รวมไปถึงสนามฟุตบอล

เราจึงขอคัดเลือกเฉพาะสถานที่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและจัดแบ่งโซนเที่ยวเป็น
2
วัน โดยเรียงลำดับสถานที่ตามช่วงเวลาที่ควรไป ดังนี้

photo credit: mapaplan.com

วันแรก

เก็บไฮไลต์ทั่วลอนดอน

เริ่มต้นที่สถานีรถไฟใต้ดิน Paddington

ใช้ 1 Day Travelcard Zone 1-4 ราคา 13.10
GBP โดยสารรถไฟใต้ดินและรถสาธารณะอื่นๆ ได้ไม่จำกัดภายใน 1 วัน

นั่งรถไฟใต้ดินไปที่สถานี London
Bridge

ขึ้นจากสถานีคือ The Shard หรือชื่อเดิมว่า
London
Bridge Tower ตึกระฟ้าความสูง 309.7 เมตรแห่งนี้เปิดอย่างเป็นทางการในเดือนก.ค.
ปีค.ศ. 2012 ปัจจุบันยังคงเป็นตึกที่สูงที่สุดของกรุงลอนดอน

นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยัง
Top
of The
Shard ที่ชั้น 68, 69, 72 เพื่อชมมวิวจากจุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเมืองซึ่งจะเห็นแนวโค้งของแม่น้ำเทมส์และเมืองลอนดอนได้สุดลูกหูลูกตา
เวลาขึ้นตึกแบ่งเป็นรอบ ทุก 30 นาที ตั้งแต่ 10.00-21.00
น. Standard Ticket สำหรับผู้ใหญ่ราคา
32 GBP ถ้าซื้อออนไลน์ล่วงหน้าราคาเริ่มต้น 24 GBP

ซื้อตั๋วออนไลน์ได้ที่ www.the-shard.com

เดินไปใต้สะพานรถไฟแล้วเลี้ยวซ้ายไปยัง
Borough
Market
ตลาดขายอาหารและของสดเปิดทุกวัน
ยกเว้นวันอาทิตย์ โดยในวันพุธ, พฤหัสบดี, เสาร์ เปิดเต็ม (Full
Market) ตั้งแต่ 10.00-17.00 น.
วันศุกร์เปิดถึง 18.00 น. วันเสาร์เปิด 08.00-17.00 น. ส่วนวันจันทร์และอังคาร เปิดไม่เต็ม
บางร้านไม่เปิด เริ่มขายตั้งแต่ 10.00-17.00 น.

นั่งรถไฟใต้ดินสาย
Jubilee
(สีเทา) จากสถานี London Bridge 3 สถานีไปที่สถานี Westminster

ขึ้นจากสถานีก็ถึงหอนาฬิกา Big
Ben
ซึ่งตอนนี้กำลังซ่อมทั้งหมด
อีกหลายปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์

Big
Ben
หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ Elizabeth
Tower หอนาฬิกาสูง 96 เมตรแห่งนี้คือสัญลักษณ์สำคัญของกรุงลอนดอนและประเทศอังกฤษ

หอนาฬิกาบิ๊กเบนสร้างขึ้นหลังเหตุไฟไหม้พระราชวังเวสต์มินสเตอร์เมื่อปีค.ศ.
1834 ในสถาปัตยกรรมโกธิคสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Gothic
Revival หรือ neo-Gothic) โดยการออกแบบของ Charles
Barry ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 24 ปีจึงแล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่
31 พ.ค. 1859

บิ๊กเบนคือหอนาฬิกาประจำพระราชวังเวสต์มินสเตอร์
(Palace
of Westminster) ซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐสภาอังกฤษ ความจริงชื่อบิ๊กเบนเป็นชื่อของระฆัง
1 ใน 5 ใบซึ่งแขวนไว้ตรงช่องลมเหนือหน้าปัดนาฬิกา
โดยบิ๊กเบนเป็นระฆังใบใหญ่ที่สุดซึ่งมีน้ำหนักถึง 13.76 ตันเลยทีเดียว
ส่วนหน้าปัดนาฬิกานั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกโดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 7 เมตร

ชื่อ Big Ben มาจากหัวหน้าคุมงานติดตั้งระฆังชื่อ Benjamin Hall ซึ่งเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่จนเพื่อนๆ เรียกว่า “บิ๊กเบน”

ส่วนชื่อ
Elizabeth Tower ตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองพระราชพิธีพัชราภิเษกหรือพระราชพิธีมหามงคลฉลองสิริราชสมบัติครบ
60 พรรษาของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2

ข้าม
Westminster
Bridge
ไปถ่ายรูปอาคารรัฐสภาและหอนาฬิกาบิ๊กเบนจากอีกฝั่งแม่น้ำ
Thames

คนละฝั่งแม่น้ำเป็นที่ตั้งของ London Eye (Millennium Wheel) ชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ตั้งอยู่บนฝั่ง South Bank ของแม่น้ำเทมส์ เป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในยุโรป มีความสูง 135 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 120 เมตร และสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก เป็นรองแค่ High Roller ที่ Las Vegas (167.6 เมตร), Singapore Flyer ที่สิงคโปร์ (165 เมตร) และ Star of Nanchang ที่เมือง Nanchang ประเทศจีน (160 เมตร) แต่ยังคงได้รับตำแหน่งชิงช้าสวรรค์ที่ก่อสร้างด้วยโครงเหล็กค้ำข้างเดียวที่สูงที่สุดในโลก

นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชิงช้าสวรรค์ไปชมวิวกรุงลอนดอนได้
โดยค่าตั๋วแบบ London Eye Standard Ticket สำหรับผู้ใหญ่ราคา
30 GBP ถ้าซื้อออนไลน์ล่วงหน้าราคา 27 GBP
เพื่อหลีกเลี่ยงคิวยาวจึงควรซื้อตั๋วล่วงหน้าโดยเลือกวันและช่วงเวลาที่จะขึ้นชมซึ่งแบ่งเป็นรอบๆ
ละ 15 นาที

เช็คเวลาให้บริการได้ที่ London Eye opening hours
อัพเดทราคาได้ที่ London Eye prices

มาลอนดอนคราวนี้เราใช้กระเป๋าสะพายของ pacsafe ที่ดีไซน์เรียบเท่แบบ urban look เหมาะกับการสะพายเดินในเมืองและมีตัวล็อคซิปหลักที่ช่วยป้องกันการล้วงกระเป๋าตอนอยู่ในที่ที่คนเยอะๆ เช่น รถไฟใต้ดินในเวลาเร่งด่วน ขนาดกำลังดี ไม่ใหญ่เทอะทะ แต่ใส่ของได้เยอะมาก ใส่ร่มได้เพราะลอนดอนฝนตกประจำ ข้างในมีช่องเล็กช่องน้อยเพียบ แถมกันน้ำได้ระดับหนึ่ง ฝนตกลงมาก็ไม่เปียกซึมเข้าไปข้างในกระเป๋าครับ

หาซื้อได้ที่ร้าน URBAN AKTIVE ชั้น 2 ศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่า, สาขาเซ็นทรัลบางนา, ลาดพร้าว เซ็นทรัลเวิลด์ และร้าน pacsafe เซ็นทรัลพระราม 3 นะครับ

เดินกลับไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน
Westminster เลยไปนิดก็เลี้ยวซ้ายไปทาง St Margaret’s Church
เดินลัดสวน Parliament Square Garden ไปยังด้านหน้า Westminster
Abbey โบสถ์เก่าแก่ที่เริ่มสร้างครั้งแรกในปีค.ศ.
960 และได้ต่อเติมเรื่อยมาจนถึงปีค.ศ. 1245 จึงมีลักษณะเหมือนในปัจจุบัน

โบสถ์โกธิคหอคอยคู่แห่งนี้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกมาเเล้ว
38 ครั้ง พิธีอภิเษกสมรสอีก 26 ครั้ง และเป็นที่ฝังพระบรมศพของพระมหากษัตริย์อังกฤษ
พระบรมวงศานุวงศ์ และร่างของบุคคลที่มีชื่อเสียงของชาติมากมายในระหว่างปีค.ศ. 1546-1556

นั่งรถไฟใต้ดินสาย Circle (สีเหลือง) / District (สีเขียว) จากสถานี Westminster 1 สถานีไปที่สถานี Embankment ต่อสาย Bakerloo (สีน้ำตาล) / Northern (สีดำ) 1 สถานีไปที่สถานี Charing Cross

ขึ้นจากสถานีเดินตาม Duncannon Street
ผ่านโบสถ์ St Martin-in-the-Fields ไปยัง
National Gallery พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.
1824 ที่ Trafalgar Square

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นสถานที่เก็บรักษาผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าตั้งแต่กลางศตวรรษที่
13
จนถึงปีค.ศ. 1900 กว่า 2,300 ชิ้น เช่น ภาพวาด Venus and Mars ของ Sandro
Botticelli, The Virgin and Child with St Anne and St John the Baptist ของ Leonardo da Vinci
และ
The
Fighting Temeraire ของ Joseph Mallord William Turner

พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน 10.00-18.00 น. วันศุกร์เปิดถึง 21.00 น.
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit National Gallery

Trafalgar
Square
คือจัตุรัสขนาดใหญ่ใจกลางลอนดอนที่ตั้งชื่อเพื่อเป็นอนุสรณ์ยุทธนาวีที่แหลม
Trafalgar
ซึ่งกองทัพเรืออังกฤษมีชัยเหนือฝรั่งเศสและสเปนในสงครามนโปเลียน

ตรงกลางจัตุรัสมี Nelson’s Column
เสาคอลัมน์สูง 51.6 เมตรที่มีสิงโตปกป้องทั้ง 4
ทิศนี้สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พลเรือโท Horatio Nelson ผู้เสียชีวิตในยุทธนาวี Trafalgar เมื่อปีค.ศ. 1805

นั่งรถไฟใต้ดินสาย
Bakerloo
(สีน้ำตาล) จากสถานี Charing Cross ไปที่สถานี
Piccadilly Circus ย่านช้อปปิ้งและเอ็นเตอร์เทนเมนต์อันคึกคัก

เดินตาม
Coventry
Street ไปเลี้ยวซ้ายเข้า Wardour Street หรือเดินตาม
Shaftesbury Ave แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนน Wardour ก็ถึง China Town (ระยะทางราว 300 เมตร)

สถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ China Town ที่สุดคือ Leicester Square

กลับมาลอนดอนอีกทีเพราะติดใจเป็ดย่างและหมูกรอบของร้าน
Four
Seasons
ครับ 555

เดินเข้า Lisle
Street ตรงประตูจีน ตรงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน Leicester
Square
เลี้ยวซ้ายและขวาเข้า Great Newport Street ไปเลี้ยวซ้ายที่ห้าแยก เดินตรงตามถนน Upper St.
Martin’s Lane แล้วตรงเข้าถนนทางซ้ายชื่อ Monmouth Street จนถึงวงเวียนหกแยกที่มีเสาคอลัมน์ Seven Dials ตรงผ่านเสาคอลัมน์เข้าถนน Monmouth เหมือนเดิม
นิดเดียวก็เลี้ยวขวาเข้าซอยแคบๆ ใต้อาคารชื่อ Neal’s Yard (ระยะทางราว 700 เมตร)

Neal’s
Yard

คือย่านน่าสนใจซึ่งซ่อนตัวอยู่ใจกลางลอนดอนที่สร้างเพื่อเป็นสถานที่อันน่าจดจำของเมืองโดยตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติให้กับ
Thomas Neale สถาปนิกผู้พัฒนาพื้นที่นี้เมื่อศตวรรษที่ 17
ในบริเวณนี้รายล้อมด้วยอาคารหลากสีซึ่งเป็นร้านค้า ร้านอาหาร
และคาเฟ่เพื่อสุขภาพมากมาย เช่น ร้าน Neal’s Yard Salad Bar

สถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดคือ Covent
Garden

เดินออกทางเดิมไปที่ถนน Monmouth เลี้ยวขวาตรงไปเข้า Shaftesbury Avenue โค้งขวาแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตรงตาม Bloombury Street ไม่ไกลก็เลี้ยวขวาเข้า GT. Russell Street ไปยัง British Museum (ระยะทางราว 550 เมตร)

British
Museum
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมนุษย์ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีพื้นที่ถึง
75,000
ตารางเมตร ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1753 และเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมเป็นครั้งแรกในวันที่
15 ม.ค. 1759 แรกเริ่มวัตถุที่เก็บรวบรวมไว้ส่วนใหญ่เป็นของสะสมของ Sir
Hans Sloane แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชาวไอริช เวลาผ่านไปกว่า 2
ศตวรรษครึ่งพิพิธภัณฑ์ได้ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นสถานที่เก็บรวบรวมวัตถุโบราณต่างๆ
ทั่วโลกมากกว่า 8 ล้านชิ้นซึ่งล้วนมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมีการบันทึกเรื่องราวของวัฒนธรรมมนุษย์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
เช่น รูปปั้นศักดิ์สิทธิ์จากอียิปต์

พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน 10.00-17.30 น. วันศุกร์เปิดถึง 20.30 น.
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit British Museum

สถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดคือ
Tottenham
Court Road

เดินประมาณ
450
เมตรไปสถานีรถไฟใต้ดิน Tottenham Court Road
หรือ 500 เมตรไปสถานี Holborn ก็ได้

ออกจากพิพิธภัณฑ์ เดินไปทางขวาแล้วเลี้ยวซ้ายเข้า Museum
Street ตรงไปจนถึงสี่แยกใหญ่ ข้ามถนนแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตาม New
Oxford Street ตรงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน Holborn

นั่งรถไฟใต้ดินสาย
Central
(สีแดง) 2 สถานีไปที่สถานี St.
Paul’s

เดินไปทางขวาไปยังด้านหน้า St. Paul Cathedral ซึ่งมีอนุสาวรีย์ของพระนางเจ้าวิคตอเรียตั้งอยู่

มหาวิหารเซนต์พอลคือโบสถ์คริสต์นิกายแองกลิคันเก่าแก่ที่สร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปีค.ศ.
1256
บนเนิน Ludgate Hill ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเมืองลอนดอนเพื่ออุทิศแด่นักบุญเปาโล

400
ปีเศษต่อมา Sir Christopher Wren สถาปนิกชื่อดังได้เริ่มออกแบบและซ่อมแซมวิหาร
กระทั่งปีค.ศ. 1666 ได้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ทำให้วิหารได้รับความเสียหายอย่างมาก
โดยต้องใช้เวลาบูรณะใหม่ถึง 31 ปี 3 เดือนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์เป็นวิหารหลังใหม่และเปิดใช้งานเมื่อปีค.ศ.
1697 ในศตวรรษที่ 17 วิหารใช้เป็นสถานที่ฝังศพของบุคคลสำคัญของอังกฤษและใช้จัดงานพระราชพิธีสำคัญๆ
ของประเทศ

มหาวิหารสถาปัตยกรรมบาโรคแบบอังกฤษแห่งนี้ไม่เพียงแค่ภายนอกที่ยิ่งใหญ่อลังการจากโดมขนาดมหึมาเท่านั้น แต่การออกแบบตกแต่งภายในวิหารก็สวยงามวิจิตรไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นแท่นบูชาหินอ่อนแกะสลัก ภาพวาดฝาผนัง ที่นั่งของนักร้องประสานเสียง

มหาวิหารเซนต์พอลเป็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2
ของอังกฤษ รองจาก Liverpool Cathedral ที่เมืองลิเวอร์พูล
และเป็นสถานที่จัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์แห่งเวลส์กับเจ้าหญิงไดอาน่า

มหาวิหารเปิดให้เข้าชมวันจันทร์-เสาร์
08.30-16.30
น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไปราคา
20 GBP ถ้าซื้อออนไลน์ล่วงหน้าราคา 17 GBP

เข้าชมห้องโถงของวิหารและขึ้นบันได 259 ขั้นไปยังระเบียงจุดชมวิวด้านบนที่สูงประมาณ 111
เมตร ซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามทั่วกรุงลอนดอน

อัพเดทข้อมูลได้ที่ visit St. Paul Cathedral

เดินตามถนนใหญ่ข้างมหาวิหารไปยังโดม
เลี้ยวขวาเดินไปยัง Millennium Bridge
ที่อยู่ข้างหน้า ถ่ายรูปจากสะพานกลับไปยังโดมของมหาวิหารเซนต์พอล
(แต่ด้านข้างสะพานซ่อมอยู่จึงถ่ายรูปได้ไม่ค่อยสวย)

เดินกลับไปทางมหาวิหาร
พอถึงถนนแรกก็เลี้ยวขวาเดินตรงตาม Queen Victoria Street ประมาณ 300 เมตรไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน Mansion
House

นั่งรถไฟใต้ดินสาย
Circle
(สีเหลือง) / District (สีเขียว)
3 สถานีไปที่สถานี Tower Hill

ออกจากสถานีเดินไปยังทางเข้า Tower
of London
ป้อมปราการอันแข็งแกร่งกลางกรุงลอนดอนแห่งนี้สร้างมาตั้งเเต่ปีค.ศ. 1078 โดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 ได้สร้างหอคอย White Tower ขึ้นมาก่อน ต่อมาจึงได้ทำการต่อเติมส่วนต่างๆ
เรื่อยๆ จนขยายกว้างใหญ่เหมือนเช่นทุกวันนี้

ในยุคกลางหอคอยแห่งลอนดอนเป็นทั้งศูนย์กลางการเมืองการปกครองเเละการบัญชาการทางทหารของอังกฤษที่สำคัญมาก
รวมทั้งเป็นที่คุมขังนักโทษที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกด้วย
ปัจจุบันนั้นที่นี่กลายเป็นสถานที่เก็บรักษาสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ของชาติมากมาย
อาทิ Imperial State Crown มงกุฎของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่
2 และเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บสะสมอาวุธโบราณจำนวนมหาศาล เช่น ชุดเกราะของพระเจ้าเฮนรีที่
8 ที่นี่ถูกกล่าวขวัญเกี่ยวกับตำนานวิญญาณหลอนเพราะในอดีตหอคอย
Bloody Tower เป็นที่คุมขังและประหารชีวิตนักโทษมากมาย
จนกลายเป็นอีกสถานที่ที่บรรดานักล่าวิญญาณเเวะเวียนมาพิสูจน์กัน

หอคอยแห่งลอนดอนเปิดให้เข้าชมทุกวัน
ระหว่างวันที่ 1 มี.ค.-31 ต.ค.
วันอังคาร-เสาร์ 09.00-17.30 น.,
วันอาทิตย์และจันทร์เปิด 10.00-17.30 น., วันที่ 1 พ.ย.-28 ก.พ.
วันอังคาร-เสาร์ 09.00-16.30 น.,
วันอาทิตย์และจันทร์เปิด 10.00-16.30 น.
ต้องเข้าชมก่อนเวลาปิด 30 นาที วันที่ 24-26 ธ.ค. และ 1 ม.ค. ปิด

ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อายุ 18-59
ปี ราคา 24.70 GBP ถ้าซื้อออนไลน์

เช็ควันและเวลาเปิด-ปิดได้ที่ Tower of London opening hours
อัพเดทข้อมูลได้ที่ Tower of London entrance fee

เดินเลียบแม่น้ำเทมส์ไปยัง
Tower
Bridge
หรือสะพานหอคอย ชื่อของสะพานมาจากที่ตั้งที่อยู่ใกล้กับหอคอยแห่งลอนดอน
(Tower
of London) นั่นเอง

สะพานหอคอยโกธิคคู่ที่เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินคู่ขนานด้านบนแห่งนี้สร้างข้ามแม่น้ำเทมส์ในระหว่างปีค.ศ. 1886-1894 โดยออกแบบให้เป็นสะพานยกและสะพานแขวนในสะพานเดียว สมัยก่อนใช้ระบบไฮดรอลิกกำลังไอน้ำในการยกสะพานให้เรือใหญ่สัญจรไปมาได้ แต่ตอนนี้เป็นการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า

สะพานสัญลักษณ์กรุงลอนดอนมีความยาว
244 เมตร กว้าง 61 เมตร มีหอคอยสูง 65 เมตร แต่ละวันมีผู้คนสัญจรไปมามากกว่า 40,000 คน

ข้ามสะพานไปอีกฝั่งแม่น้ำ
ลงสะพานเดินเลียบแม่น้ำผ่าน City Hall ระยะทางประมาณ
900
เมตรก็จะกลับไปที่ตึก The Shard และสถานีรถไฟใต้ดิน
London Bridge อีกครั้ง

นั่งรถไฟใต้ดินสาย
Jubilee
(สีเทา) สถานีรถไฟใต้ดิน London Bridge
หรือข้าม Tower Bridge เดินกลับไปขึ้นรถไฟใต้ดินจากสถานี Tower
Hill
กลับสถานี Paddington หรือไปที่อื่นในเมือง

ตอนมาลอนดอนครั้งแรกเราเคยไป Greenwich แล้ว
ครั้งนี้เลยไม่ได้วางแผนจะไป

ถ้าจะไป Greenwich ควรไปตั้งแต่เช้าเป็นที่แรก โดยนั่งรถไฟใต้ดินและรถไฟไปลงที่สถานี Greenwich ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน

ออกจากสถานีเดินไปทางซ้ายแล้วเลี้ยวขวาที่สามแยกใหญ่
ตรงไปนิดก็เลี้ยวซ้ายเดินตาม Circus Street ตรงไปจนสุดถนนที่สวน
โค้งขวาเดินเลียบรั้วสวนไปเลี้ยวขวาเดินไปสุดทาง ข้ามถนนเข้าประตูสวน Greenwich
Park เดินแยกไปทางขวาแล้วตรงไปขึ้นเนินอีกประมาณ 5 นาทีก็จะถึง Royal Observatory Greenwich หอดูดาวแห่งกรีนิช
(ระยะทางรวมประมาณ 1.1 กิโลเมตร)

เดินตาม Prime Meridian Line
หรือเส้นเมริเดียนสากลคือเส้นเวลาแรกของโลก (Greenwich Mean
Time) ที่ลองจิจูด 0°

สามารถเข้าชมได้ทุกวันตั้งแต่ 10.00-17.00
น. ค่าผ่านประตูสำหรับผู้ใหญ่อายุ 16 ปีขึ้นไปราคา
13.50 GBP (ซื้อออนไลน์)

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.rmg.co.uk

ไป Greenwich ได้หลายวิธี เช็ควิธีการเดินทางได้ที่ https://tfl.gov.uk

ค้างคืนแรกที่
London

วันที่ 2

เที่ยวสบายๆ สายช้อปปิ้ง

photo credit: mapaplan.com

ซื้อ 1 Day Travelcard Zone 1-4 ราคา 13.10 GBP (ใช้เดินทางได้ทุกเวลา)

นั่งรถไฟใต้ดินสาย
Hammersmith
& City (สีชมพู) จากสถานี Paddington 3 สถานีไปที่สถานี Ladbroke Grove

ออกจากสถานีเดินไปทางขวา (ทางซ้ายมีสะพานรถไฟ)
นิดเดียวก็เลี้ยวซ้ายเข้า Lancaster Road ตรงอีกราว 250 เมตรก็ถึงจุดตัดกับ Portobello Road

แถวนี้เรียกว่าย่าน Notting Hill

เลี้ยวขวาเดินตามถนน
Portobello บริเวณนี้คือ Portobello Market ตลาดนัดขายของเก่าที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้เป็นแหล่งรวมสินค้าหลากหลายชนิดที่เดินเลือกกันจนเพลินได้ทั้งวัน

ตลาดเปิดตั้งแต่ 09.00 น.
แต่ละวันขายสินค้าแตกต่างกันและเวลาปิดไม่ตรงกัน

เช็คข้อมูลได้ที่ www.portobelloroad.co.uk

เดินตามถนน
Portobello
ประมาณ 700 เมตรก็สุดเขตตลาด
เลี้ยวขวาที่สี่แยกแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตรงยาวผ่านวงเวียนเล็กๆ
เลี้ยวซ้ายที่สามแยกใหญ่ก็เห็นสถานีรถไฟใต้ดิน Notting Hill Gate (ระยะทางราว 600 เมตร)

นั่งรถไฟใต้ดินสาย Circle (สีเหลือง) / District (สีเขียว)
3 สถานีไปที่สถานี Kensington ต่อสาย Piccadilly
(สีน้ำเงิน) 1 สถานีไปที่สถานี Knightsbridge

ขึ้นจากสถานีก็ถึง Harrods
ห้างสรรพสินค้าชื่อดังของลอนดอน วันจันทร์-เสาร์เปิด 10.00-21.00
น. วันอาทิตย์เปิด 11.30-18.00 น.

นั่งรถไฟใต้ดินสาย
Piccadilly
(สีน้ำเงิน) จากสถานี Knightsbridge 1 สถานีไปที่ Hyde Park Corner หน้าทางเข้า Hyde
Park
สวนสาธารณะขนาดใหญ่ประจำเมืองลอนดอนซึ่งพระเจ้าเฮนรีที่
8 ทรงโปรดให้สร้างเมื่อปีค.ศ. 1536

เดินผ่านประตู
Wellington
Arch

ตรงตามถนนเข้าไปในบริเวณ Green Park

ตรงต่ออีกประมาณ
700
เมตรก็ถึง Buckingham Palace พระราชวังบัคกิงแฮมคือพระราชฐานที่ประทับอย่างเป็นทางการของพระราชวงศ์อังกฤษตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเมื่อปีค.ศ.
1837 จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งใช้เป็นสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองและจัดงานของสำนักพระราชวัง

เดิมทีอาคารแห่งนี้คือ Buckingham House หรือคฤหาสน์บัคกิงแฮมที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นบ้านพักของ John
Sheffield ดยุคคนแรกแห่งบัคกิงแฮมเมื่อปีค.ศ. 1703 ต่อมาในปีค.ศ. 1761 พระเจ้าจอร์จที่ 3 ทรงซื้อคฤหาสน์นี้เพื่อใช้เป็นพระราชฐานส่วนพระองค์และพระราชินี Sophia
Charlotte จึงรู้จักกันในชื่อ The Queen’s House หรือวังพระราชินี

75 ปีต่อมา
John
Nash และ Edward Blore สองสถาปนิกชาวอังกฤษได้ทำการขยายการต่อเติมครั้งใหญ่โดยเพิ่มปีกทั้ง
3 และลานกลางพระราชวังซึ่งแล้วเสร็จตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
บริเวณด้านหน้าของพระราชวังมี Victoria memorial ตั้งอยู่

โดยปกติ
ทุกวันระหว่างเดือนเม.ย.-ก.ค. ในเวลาประมาณ 11 โมง (วันอาทิตย์จะเริ่มประมาณ 10.30 น.) จะมีพิธีผลัดเวรยามของทหารรักษาการณ์ของสมเด็จพระราชินีฯ
ซึ่งเป็นประเพณีของราชวงศ์ที่สืบทอดต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน พิธีใช้เวลาประมาณ 30
นาที

สามารถเข้าชมบางส่วนพระราชวังได้ในบางช่วงของปี เช่น The State Rooms ห้องสาธารณะที่สมเด็จพระราชินีและราชวงศ์ใช้รับแขกซึ่งมีทั้งหมด 19 ห้อง

เวลาเปิด-ปิด 09.30-17.15 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อายุ 17 ปีขึ้นไปราคา 25 GBP
เช็คข้อมูลได้ที่ visit Buckingham Palace

เดินออกทางเดิม
ข้ามถนนตรงเข้าไปใน Green Park เดินลัดสวนสาธารณะไปออกอีกทางหนึ่งแล้วเลี้ยวขวาไปก็เห็นสถานีรถไฟใต้ดิน
Green Park (ระยะทางประมาณ 700 เมตร)

นั่งรถไฟใต้ดินสาย Jubilee (สีเทา) 1 สถานีไปที่สถานี Bond Street เดินช้อปที่ถนนช้อปปิ้งชื่อดัง Oxford Street

เดินประมาณ
500
เมตรไปสถานีรถไฟใต้ดิน Oxford Circus นั่งรถไฟใต้ดินกลับที่พัก

บินกลับกรุงเทพฯ
จากสนามบิน
Heathrow

เดินทางไปสนามบินโดยรถไฟด่วนพิเศษ Heathrow Express ใช้เวลาเพียง 15 นาที
(ซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้า 14 วัน ราคา 16.50 GBP, ล่วงหน้า 30 วัน ราคา 14.30 GBP)

ขากลับ ใช้สิทธิพิเศษจากบัตรทอง Royal Orchid Plus ของการบินไทยเข้าใช้เลานจ์ของสายการบินในกลุ่ม Star Alliance Gold ที่สนามบินต่างๆ ทั่วโลก

ที่สนามบิน Heathrow นี้เราใช้เลานจ์ของ United Airlines เลานจ์ดีมาก มีอาหารให้เลือกเยอะอยู่ มีห้องอาบน้ำด้วย อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้หลับบนเครื่องขากลับได้สบาย

21.25
น. สายการบินไทย เที่ยวบิน TG 917 ออกเดินทางกลับประเทศไทย

15.00 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ
ใช้เวลาเดินทาง11 ชั่วโมง 35 นาที

พูดถึงในแง่การของศึกษาสักหน่อย ลอนดอนนั้นเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำมากมาย เช่น University College London (UCL), Queen Mary, SOAS, University of the Arts London (UAL), Imperial College, LSE, หรือมหาวิทยาลัยสุดชิคอย่าง Brunel และ Kingston University ถัดออกไปชานเมืองหน่อยก็จะมี University of Surrey มหาวิทยาลัยที่เด่นทั้ง Business และ Engineering

เลยไปอีกหน่อยประมาณ 30 นาทีเมืองใกล้ๆ ก็จะมีมหาวิทยาลัย University of Reading ที่เป็นที่ตั้งของ ICAM Centre อันโด่งดัง เพื่อนๆ ที่สนใจเรียนต่อในลอนดอน แนะนำให้ติดต่อ BRIT – Education UK ได้ที่โทร 02-168-7890 หรือไลน์: @brit-ed ที่นี่จะดูแลเรื่องเรียนต่อ UK ประเทศเดียวนานกว่า 20 ปี สถาบันก่อตั้งโดยคุณ Gareth Baxter-Jones ซึ่งเป็นศิษย์เก่าจาก Oxford หรือถ้าพร้อมสมัครแล้ว สามารถพบกับตัวแทนจากมหาวิทยาลัยต่างๆของ UK ได้ในงานศึกษาต่ออังกฤษประจำปีที่ www.UK-University-Fair.com หรือทาง www.brit-ed.com/contact-us

*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต


Eat Singapore Chinatown in An Afternoon「EP. 1」(ENG Sub)


ทุกที่เดินถึงกัน กินได้ในบ่ายวันเดียว 555
อยากรู้ว่าไปที่ไหน กินอะไร จานละเท่าไหร่ ก็ดูไปจดไปได้เลยยยย
ครั้งนี้ใช้บริการจองที่พักผ่าน HotelsCombined ไม่ต้องปวดหัวเปิดเทียบราคาไปมา เพราะแอปนี้ได้รวบรวมราคาจากทุกเว็บไซต์มาไว้ที่เดียว สบายใจได้ว่าจองได้ราคาคุ้มที่สุดๆแล้วววว
singapore HotelsCombined comparewiththebear
Download Apps : https://bit.ly/2Dbcu40
Follow me:
Facebook I Roam Alone
Instagram iroamalone

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

Eat Singapore Chinatown in An Afternoon「EP. 1」(ENG Sub)

Etihad B787-10 Greenliner Special Sustainable Flight – Can Flying Go Green?


On 23 October, Etihad Airways operated a special sustainable flight onboard its B78710 “Greenliner” from London to Abu Dhabi. I was onboard this flight to discover what’s a sustainable flight about?
I was initially skeptical about these marketing “green” flights but I discovered a few good initiatives onboard. The flight demonstrates several initiatives to reduce CO2 emissions including using no plastic inflight products, coordination with air traffic control for optimized flight routing, use of sustainable aviation fuel (SAF), contrail avoidance technology and airport handling processes.
The flight was able to perform continuous ascent and descent from both London and Abu Dhabi to reduce flight time and emission. After landing, the flight was powered by one engine only in Abu Dhabi. At the end of the flight, I interview the pilot on the technology deployed, coordination with ANSP and other industry stakeholders.

Etihad B787-10 Greenliner Special Sustainable Flight - Can Flying Go Green?

VLOG ทับทิมพาเที่ยวอังกฤษหน้าหนาวด้วยตัวเอง 2019 ฉบับเต็ม ! (Manchester to London)


เที่ยวอังกฤษในหน้าหนาวกับทริป 5 วัน 4 คืน เริ่มจากออกเดินทางจากสวิตไปลงแมนเชสเตอร์และต่อด้วยเที่ยวลอนดอน ติดตามบรรยากาศการเที่ยวสบายๆของเราเสมือนไปเที่ยวด้วยกัน บวกกับการรีวิวร้านอาหารและโรงแรมได้นะคะ
Manchester:
แลนด์มาร์คที่ 1 ประจำเมือง Old Trafford… เยี่ยมชมสนามหญ้าที่ได้รับรางวัลหญ้าสวยที่สุดในโลก
แลนด์มาร์คที่ 2 … วิหารแมนเชสเตอร์ (Manchester Cathedral) โบสถ์นิกาย Anglican สร้างขึ้นเมื่อปี 1421 ในสถาปัตย์แบบกอธิค จุดเด่นคือหอนาฬิกาความสูง 135 ฟุต ปัจจุบันใช้ประกอบพิธีทางศาสนาที่สำคัญประจำเมือง ในฐานะที่ผ่านการทัวร์วิหารมาหลายที่ในยุโรป สังเกตเห็นว่า วิหารในอังกฤษจะค่อนข้าง cosy ขณะที่ในส่วนของยุโรปอื่นๆ จะมีความอลังการ
London:
พาเที่ยวลอนดอนแบบง่ายๆ ทั้ง London Bridge, Oxford street, Covent Garden, Notting Hill, Portobello market, Harrod, Borough market และอีกมากมาย รวมทั้งรีวิวโรงแรม Andaz London Liverpool street พร้อมบรรยากาศการ Shopping ในเมืองลอนดอนช่วง winter
Review ร้านอาหารในลอนดอน:
10 ร้านอาหารในลอนดอนที่ไม่ควรพลาด ทั้งแพงและไม่แพง ทั้งอาหารฝรั่ง จีน อินเดีย fish \u0026 chips อาหารทะเล กาแฟ และไอติม
1. La Petite Maison London (ร้านอาหารฝรั่งเศสราคาสูงแต่ไม่มาก อร่อยสุดๆแต่ต้องจองล่วงหน้านาน)
2. Polo Bar (ร้านอาหารเช้าตรง Liverpool station ราคาไม่แพง ให้เยอะ แนะนำเมนูอาหารเช้าแบบอังกฤษ)
3. Gold Mine (อาหารจีนที่ดังมากในหมู่คนไทย โดยเฉพาะเมนูเป็ดและติ่มซ่ำ แนะนำว่าต้องจองล่วงหน้า)
4. Poppie’s (Fish\u0026Chip ให้เยอะมาก ราคาไม่แพงมีหลายสาขา)
5. Dishoom (อาหารอินเดียบรรยากาศร้านดี นั่งสบายๆ บริการดี เมนูมีให้เลือกเยอะมาก)
6. Amorino (ไอติมตักเป็นรูปทรงดอกไม้ มีหลายสาขาทั่วลอนดอน)
7. Sushinoen (อาหารญี่ปุ่นรสชาติ Authentic อยู่แถวๆ Aldgate)
8. Monmouth (ร้านกาแฟที่คิวยาวมากในตลาด Borough market รอคิวประมาณ 15 20นาที)
9. Wright Brothers (ร้านอาหารทะเล โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชื่นชอบเมนูหอย oyster สดมากๆ)
10. Fish!Kitchen (Fish\u0026chips แบบ take away กรอบสุดๆ)
ช่องทางอื่นๆหากต้องการติดต่อเรา:
Facebook : https://www.facebook.com/MrAndMrsPwetravel
Instagram Mrs P : https://www.instagram.com/tubtimkk/
Instagram Mr P : https://www.instagram.com/ekaphatp/
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามและ subscribe นะคะ
london england เที่ยวลอนดอน ร้านอาหารในลอนดอน poppies lapetitemaison goldmine dishoom monmouth polobar amorino manchester manchesterunited เที่ยวอังกฤษ ลอนดอน เที่ยวยุโรป

VLOG ทับทิมพาเที่ยวอังกฤษหน้าหนาวด้วยตัวเอง 2019 ฉบับเต็ม ! (Manchester to London)

Street Food in Tehran, Iran「EP. 3」(ENG Sub)


มิ้นท์พาทุกคนไปเดินกินอาหารข้างทางที่อิหร่านตอนกลางคืนค่ะ
มาติดตามดูว่ารสชาติเป็นยังไง? อร่อยไม่อร่อย?
พากินทั้งลาบู ซดก๋วยเตี๊ยวอาช ขนมลาวาชาร์ค แทะบัคเคลี่ ม้วนกุฟเฟะตบรีซี และอื่นๆอีกมากมาย
เพราะอาหารข้างทาง คือ ที่สุดแห่งอาหาร และที่สุดแห่งการได้เห็นชีวิตของคน
ขอให้อร่อยไปด้วยกันนะคะ รัก 🙂
iran streetfoodtehran Tehran เตหะราน
Follow me:
Facebook I Roam Alone
Instagram iroamalone

Street Food in Tehran, Iran「EP. 3」(ENG Sub)

พา ‘กิน’ อาหารถิ่นเกาหลี ตลาดเก่าแก่สุดในโซล | Eat Away Korean Food at Gwangjang Market


พา ‘กิน’ อาหารถิ่นเกาหลีที่ตลาดเก่าแก่ที่สุดในกรุงโซล!
เมนูเด็ดๆอร่อยๆเพียบ ทั้งต๊อกบ๊อกกีเผ็ดๆกินกับข้าวปั้นเกาหลี เนื้อดิบฮยุเคว ปลาหมึกดิ้นพลาดๆ ไส้กรอกเลือด ครั้งนี้มีเพื่อนสาวเกาหลีนักร้องเพลงแจ๊สที่สวยมากๆพาไป (เอาใจหนุ่มๆบ้าง 5555) บอกได้คำเดียวว่า ไม่ควรพลาด!
คลิปนี้ใช้กล้อง CanonEOSRP เลนส์ 24105 F4.0 ในการถ่ายนะคะ
ข้อดี คือ เป็นกล้องกล้องฟูลเฟรมที่มีน้ำหนักเบา หน้าจอจิ้มได้และหมุนจอได้ง่ายต่อการถ่าย ต่อ wifi ลงรูปได้ปุ๊บปั๊บ สีสวยทั้งวิดีโอและภาพนิ่งค่ะ ถึงแบ็ตหมดเร็วไปนิดแต่ก็ชาร์จง่ายๆด้วย power bank โดยรวมชอบมากๆ
ส่วนใครสนใจอยากไปเรียนภาษาเกาหลีไว้หลีอปป้าบ้างก็นี่เลยค่ะ https://bit.ly/learnatef
เรียนเกาหลีไว้หลีอปป้า
CanonEOSRP

พา ‘กิน’ อาหารถิ่นเกาหลี ตลาดเก่าแก่สุดในโซล | Eat Away Korean Food at Gwangjang Market

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ ที่ เที่ยว ลอนดอน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *