Skip to content
Home » [NEW] รูปกริยาแบบอื่นๆ ในประโยคเงื่อนไขภาษาอังกฤษ | รูป ประโยค ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES

[NEW] รูปกริยาแบบอื่นๆ ในประโยคเงื่อนไขภาษาอังกฤษ | รูป ประโยค ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES

รูป ประโยค ภาษา อังกฤษ: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

รูปกริยาแบบต่างๆ ในประโยคเงื่อนไข
รูปกริยาในประโยคเงื่อนไขดังที่กล่าวมาแล้วเป็นเพียงแบบมาตรฐาน (คือเป็นแบบที่ใช้กันมาก) เท่านั้น ยังอาจใช้รูปกริยาอย่างอื่นได้อีก ซึ่งจะอธิบายโดยละเอียดยิ่งขึ้นอีกครั้งหนึ่งดังต่อไปนี้

เงื่อนไขที่เป็นจริงเสมอ
เป็นกฎตายตัวว่าถ้ามีเหตุเกิดขึ้นเช่นนั้นก็จะได้ผลเช่นนั้นแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด รูปกริยา คือ

(If+ Present) + Present

เช่น
1. If people are sleepy, they generally go to bed.
ถ้าคนง่วงนอน ก็มักจะเข้านอน (ถ้าง่วงก็ต้องไปนอนเป็นกฎตายตัว)

2. If my dog sees a stranger, he barks out loud.
ถ้าหมาของผมเห็นคนแปลกหน้า มันเห่าออกมาดังทีเดียว
(เป็นกฎตายตัวที่ผมเห็นเป็นประจำ)

3. If you speak Russian, I don’t understand you.
ถ้าคุณพูดภาษารัสเซีย ผมก็ไม่เข้าใจคุณ
(เพราะผมไม่รู้ภาษารัสเซีย เป็นความจริงอย่างไม่มีปัญหาที่ว่าผมจะไม่มีวันเข้าใจคุณ)

เงื่อนไขที่เป็นจริงเสมอ อาจลดความหนักแน่นลงได้ โดยใช้รูปกริยาดังนี้

(If+ Present) + Future

ธรรมดา: If water boils, it will change into steam.
หนักแน่น : If water boils, it changes into steam.
ถ้าน้ำเดือด มันจะกลายเป็นไอ

ธรรมดา:  If people are sleepy, they will go to bed.
หนักแน่น : If people are sleepy, they go to bed.
ถ้าคนง่วงเขาก็นอน

ธรรมดา: If my dog sees a stranger, he will bark out loud.
หนักแน่น : If my dog sees a stranger, he barks out loud.
ถ้าหมาของผมเห็นคนแปลกหน้า มันจะเห่าดังทีเดียว

ธรรมดา : If you speak Russian, he won’t understand you.
หนักแน่น : If you speak Russian, he doesn’t understand you.
ถ้าคุณพูดรัสเซีย เขาจะไม่รู้เรื่อง

Note. รูปกริยาซึ่งเขียนไว้ว่า Present ในกรอบข้างบนนี้ หมายความว่าจะเป็น Present แบบไหนก็ได้ เช่น อาจเป็น Present Simple หรือ Present Continuous ก็ได้ แล้วแต่ใจความที่ต้องการจะพูดเป็นหลัก สำหรับคำ Future ก็เช่นเดียวกัน จะเป็น Future แบบใดก็ได้แล้วแต่ความหมาย เช่น

1. If he begins tomorrow, he will finish it on Friday.
ถ้าเขาเริ่มพรุ่งนี้ เขาก็จะทำเสร็จในวันศุกร์

2. If he begins now, he will have finished it by noon.
ถ้าเขาเริ่มต้นแต่เดี๋ยวนี้ ถึงเที่ยงวันเขาก็คงทำเสร็จ

3. If my dog sees a stranger, he barks.
ถ้าหมาของผมเห็นคนแปลกหน้า มันจะเห่า

4. If my dog is barking, he lowers his head.
ถ้าหมาของผมกำลังเห่า มันจะเอาหัวลงต่ำ

5. If my dog has seen a stranger, he has found his enemy.
ถ้าหมาของผมเห็นคนแปลกหน้า ก็แสดงว่ามันได้พบศัตรูของมันแล้ว

6. If my dog has eaten raw meat, he will be sick.
ถ้าหมาของผมกินเนื้อดิบ มันจะไม่สบาย

7. If my dog is eating his meal, he won’t pay any attention to anything.
ถ้าหมาของผมกำลังกินอาหาร มันจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

8. If my dog is barking, he has found something wrong.
ถ้าหมาของผมกำลังเห่า แสดงว่ามันได้พบอะไรผิดปกติเข้าแล้ว

เงื่อนไขธรรมดา
เงื่อนไขธรรมดา คือเงื่อนไขซึ่งเราพบเห็นมากที่สุด เป็นเงื่อนไขซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตและปัจจุบัน ซึ่งอาจเกิดขึ้นจริงหรืออาจไม่เกิดขึ้นจริงก็ได้ รูปกริยาของเงื่อนไขแบบนี้ มีได้หลายแบบขึ้นอยู่กับความมั่นใจมากน้อยของผู้พูดประโยคนั้นๆ ซึ่งอาจแยกได้ดังนี้

1. ผู้พูดเชื่อว่าเหตุการณ์น่าจะเกิดขึ้นอย่างที่สมมุตินั้น
2. ผู้พูดสมมุติขึ้นมาลอยๆ ไม่มีความแน่ใจอะไรเป็นพิเศษ

ถ้าผู้พูดเชื่อว่าเหตุการณ์น่าจะเกิดขึ้นจริงตามสมมุติ ใช้รูปกริยา

(If + Present) + Future

รูปกริยาที่เขียนไว้กว้างๆ ว่า Present หรือ Future นี้ หมายความว่าจะเป็น Present แบบใดก็ได้แล้วแต่ใจความ จะเป็น Future แบบใดก็ได้แล้วแต่ใจความ เช่น

1. If he leaves tomorrow, he will reach New York on Sunday.
ถ้าเขาออกเดินทางพรุ่งนี้ เขาก็จะไปถึงนิวยอร์ควันอาทิตย์

ผู้พูดแน่ใจว่าถ้าเขาออกเดินทางพรุ่งนี้ เขาจะไปถึงนิวยอร์ควันอาทิตย์แน่ๆ (การที่เขาแน่ใจเช่นนี้ อาจเป็นเพราะว่าเขาเคยเดินทางมาแล้ว หรือว่าเขามีความรู้เกี่ยวกับการเดินทางเป็นอย่างดี)

2. If you drive too fast, you’ll get killed.
ถ้าคุณขับรถเร็วเกินไปคุณจะตายแน่
ผู้พูดมั่นใจ เพราะว่าเขาเคยเห็นตัวอย่างมามากแล้ว

3. If you invest in that business, you will be ruined.
ถ้าคุณลงทุนทำการค้าอันนั้นคุณจะหายนะ
ผู้พูดมั่นใจอาจเพราะว่าผู้พูดรู้ลู่ทางมาก่อนแล้ว จึงเชื่อว่าขืนลงทุนเป็นหมดตัวแน่ๆ

4. If you knock at the door, they will let you in.
ถ้าคุณเคาะประตู เขาก็จะเปิดรับ
ผู้พูดมั่นใจว่ามีคนอยู่ข้างในแน่ และถ้าคุณเคาะประตูพวกนั้นก็คงจะมาเปิดให้ ผู้พูดประโยคนี้มีความเชื่อมั่น ทำนองนี้

5. If you move, I’ll shoot you.
ถ้าคุณขยับเขยื้อน ผมเป็นยิงคุณ
เป็นความตั้งใจแน่วแน่ ว่าถ้าขืนขยับเป็นยิงแน่ ข้อนี้จะถือเป็นเงื่อนไขแบบที่ 1 คือเงื่อนไขที่เป็นจริงเสมอก็ได้ เพราะเข้าหลักอย่างเดียวกัน และรูปกริยาก็อย่างเดียวกัน

จากที่กล่าวมานี้จะเห็นว่า เงื่อนไขธรรมดา ซึ่งผู้พูดมีความมั่นใจว่าจะเป็นเช่นนั้นแน่ๆ ใช้รูปกริยาได้เช่นเดียวกับเงื่อนไขที่เป็นจริงเสมอ คือ

(If+ Present) + Future

เงื่อนไขที่จริงเสมอ : If water boils, it will change into steam.
เงื่อนไขที่ผู้พูดมั่นใจ: If you drive too fast, you will get killed.

Note. คำ “if” อาจวางไว้กลางประโยคก็ได้ เช่น
If my dog sees a stranger, he will bark out loud.
= My dog will bark out loud if he sees a stranger.

ข้อควรสังเกตคือ ถ้าวาง if ไว้กลางประโยค ไม่ต้องมี comma แยก clause ทั้งสองออกจากกัน ถ้าวาง if ไว้หน้าประโยคใช้ comma แยก clause แรกออกจาก clause หลัง

อย่างไรก็ตาม แม้จะวาง if ไว้ต้นประโยค แต่ถ้า if-clause เป็นข้อความสั้นๆ จะไม่ใช้ comma แยก clause ออกจากกันก็ได้ เช่น

If he sees me he will bark out loud.
= If he sees me, he will bark out loud.

และโดยหลักการเดียวกัน แม้จะวาง if ไว้กลางประโยค แต่ถ้า clause เป็นข้อความยาวๆ จะใช้ comma แยกออกจากกันก็ได้ เช่น

I am sure she will appreciate it very much, if somebody brings back her lost book.
ผมเชื่อว่าหล่อนจะยินดีมาก ถ้าจะมีใครสักคนหนึ่งนำหนังสือของหล่อนที่หายไปมาคืนให้

ประโยคนี้ถ้าไม่ใช้ comma ก็ไม่ผิด แต่ประโยคจะยาวมากเกินไป

ประโยค (If+Present) + Future อาจเน้นถึงความแน่ใจให้หนักแน่นยิ่งขึ้นได้ โดยใช้รูปกริยาดังนี้

If+ (is to หรือ are to + กริยาช่องที่ 1) + Future

มั่นใจ : If he leaves tomorrow, he will reach New York City on Sunday.
เน้นความมั่นใจ: If he is to leave tomorrow, he will reach New York City on Sunday.
ถ้าเขาออกเดินทางพรุ่งนี้ เขาก็จะถึงนครนิวยอร์ควันอาทิตย์

มั่นใจ : If you drive too fast, you’ll get killed.
เน้นความมั่นใจ: If you are to drive too fast, you’ll get killed.
ถ้าคุณขับรถเร็วเกินไปคุณจะตาย

เงื่อนไขธรรมดาแบบ (If+Present) + Future นี้ ถ้าเป็นคำกล่าวตักเตือน หรือเป็นทำนองสุภาษิต คำพังเพย จะใช้รูปประโยคดังนี้

Imperative + AND + Future

เช่น 1. See a pin and let it lie,
You’ll want a pin before you die.
(= If you see a pin and you do not pick it up, you will one day find yourself in need of a pin.)
ถ้าเห็นเข็มแล้วไม่เก็บ วันหนึ่งข้างหน้าอาจจะนึกถึงมัน(เมื่อไม่มีเข็มจะใช้)

2. Spare the rod and spoil the child.
(= If you spare the rod, you’ll spoil the child.)
ถ้าไม่เฆี่ยนตี ก็จะทำให้เด็กเสีย(=รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี)

3. Give us tools and we will finish the job.
(= If you give us tools, we will finish the job.)
ถ้าให้เครื่องมือแก่เรา เราก็จะทำงานนั้นได้

เงื่อนไขในรูป  If+Present + Future ซึ่งเรียกว่าเงื่อนไขธรรมดานี้ คำว่า Future หมายความรวมถึง กริยาซึ่งมีความหมายเทียบเท่า (equivalent) ด้วย ได้แก่

(1) can, may, must, needn’t, have to, ought
(2) กริยาคำสั่งหรือคำขอร้อง (imperative)

ดังนั้นรูปกริยา If+ Present + Future จึงอาจเขียนเป็นตารางได้อีกอย่างหนึ่ง ดังนี้

(If+ Present) + will, shall, can, may, must, have to, ought to

หรือ    (If+ Present) + ประโยค Imperative

เช่น 1. If he comes, you must tell him the truth.
ถ้าเขามา คุณต้องบอกความจริงแก่เขา

2. If he comes, you ought to tell him the truth.
ถ้าเขามา คุณควรบอกความจริงแก่เขา

3. If he comes, tell him the truth.
ถ้าเขามา (จง) บอกความจริงแก่เขา

4. If he comes, don’t let him in.
ถ้าเขามาอย่าให้เขาเข้ามา

5. If he comes, please be nice to him.
ถ้าเขามาละก้อ ปฏิบัติต่อเขาให้ดีๆ หน่อย

6. Buy me a pound if you find good meat.
มาฝากฉันสักปอนด์หนึ่งนะ ถ้าคุณพบเนื้อดีๆ

ประโยคที่ไม่มี if นอกจากจะเป็นคำสั่ง คำขอร้องดังกล่าวแล้ว อาจเป็นคำถามหรือปฏิเสธก็ได้ (แต่รูปกริยา ก็คงต้องเป็นไปตามกฎ) เช่น

If he has seen her, he won’t be so sad.
ถ้าเขาได้พบหล่อนแล้ว เขาคงไม่เศร้า

If he sees her, will he dare to speak to her ?
ถ้าเขาพบหล่อน เขาจะกล้าพูดกับหล่อนไหม

If you have enough money, will you buy a color TV set ?
ถ้าคุณมีเงินพอ คุณจะซื้อทีวีสี สักเครื่องหนึ่งไหม

ถ้าผู้พูด พูดสมมุติขึ้นมาลอยๆ ไม่มีความแน่ใจอะไรเป็นพิเศษ คือไม่ถึงกับปักใจเชื่อว่า จะเป็นไปจริงตามเงื่อนไขนั้น แต่ก็ไม่ถึงกับจะไม่เชื่อ คงกล่าวสมมุติขึ้นมาอย่างเป็นกลาง ไม่หนักข้างไหน รูปกริยาที่ใช้ คือ

(If+ Past Simple)+(ประโยค would กริยาช่องที่ 1)
รวมทั้งค่าเทียบเท่าของ would เช่น should, could, might

ข้อควรระลึกในการสร้างประโยคโดยใช้รูปกริยาแบบนี้ คือ

(1) เหตุการณ์ตามที่สมมุตินั้นยังไม่ได้เกิดขึ้น (ควรสังเกตว่า แม้กริยาจะมีรูป past แต่มีความหมายถึงปัจจุบันหรืออนาคตเท่านั้น)
(2) ผู้พูดไม่แน่ใจอะไรเป็นพิเศษ

ขอให้สังเกตจากคำอธิบายประกอบประโยคต่อไปนี้

1. If he left tomorrow, he would reach New York City on Sunday.
ถ้าเขาออกเดินทางพรุ่งนี้เขาก็จะไปถึงนิวยอร์ควันอาทิตย์

ผู้พูดไม่มีความแน่ใจอะไรเป็นพิเศษ อาจเป็นว่าผู้พูดมีความรู้เกี่ยวกับการเดินทางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่างกับประโยคข้อ 1 ในหัวข้อที่แล้ว คือถ้าผู้พูดมีความแน่ใจว่า ถ้าเขาออกเดินทางพรุ่งนี้แล้วเขาจะต้องถึงนิวยอร์ควันอาทิตย์ ผู้พูดก็จะใช้รูปกริยา lf+ Present + Future คือ

แน่ใจ: If he leaves tomorrow, he will reach New York City on Sunday.
ลอยๆ : If he left tomorrow, he would reach New York City on Sunday.

2. If you drove too fast, you would get killed.
ถ้าคุณขับรถเร็วเกินไป คุณจะตาย

ผู้พูดประโยคนี้กล่าวออกมาอย่างธรรมดา ไม่มีความแน่ใจเป็นพิเศษ คือคล้ายๆ กับว่าพูดออกมาเป็นเชิงเตือนอย่างปกติ อาจเป็นเพราะว่าผู้พูดยังไม่เคยเห็นคุณขับรถ หรืออาจเป็นเพราะว่าผู้พูดยังไม่เคยนั่งรถในถนนสายนี้ จึงไม่ทราบว่าถนนจะดีหรือไม่ หรืออาจจะมีเหตุอื่นๆ ซึ่งสรุปความได้ว่า ผู้พูดเพียงแต่พูดออกมาอย่างลอยๆ ไม่มั่นใจอะไรเป็นพิเศษ ในกรณีที่ผู้พูดมีความมั่นใจเป็นพิเศษ เขาก็จะใช้รูปกริยาเป็น If+Present + Future คือ

แน่ใจ : If you drive too fast, you’ll get killed.
ลอยๆ : If you drove too fast, you’d get killed.

3.  If you invested in that business, you would be ruined.
ถ้าคุณลงทุนในการค้าอันนั้น คุณจะหายนะ

ผู้พูดประโยคนี้พูดสมมุติขึ้นมาลอยๆ ไม่มีความแน่ใจเป็นพิเศษ คืออาจเป็นการคาดคะเน โดยความคิดธรรมดาของเขา เขาไม่มีความรู้ในการค้านั้นมากพอ หรือเขาอาจไม่สนใจนักเขาจึงไม่แสดงความแน่ใจออกมา ถ้าเขาแน่ใจว่าคุณจะหายนะแน่ๆ ถ้าลงทุนในการค้าอันนั้นแล้ว เขาก็จะใช้รูปกริยาเป็น  If+Present + Future คือ

แน่ใจ : If you invest in that business, you’ll be ruined.
ลอยๆ : If you invested in that business, you’d be ruined.

ประโยค  If+[กริยาช่อง 2] นี้ อาจเน้นให้หนักแน่นถึงความไม่แน่ใจ โดยใช้รูปกริยา

If+ (were to + กริยาช่องที่ 1) + [ประโยค would]
*ใช้ was to ในภาษาพูดก็ได้

ลอยๆ : If he left tomorrow, he would reach New York on Sunday.

ไม่แน่ใจ : If he were to leave tomorrow, he would reach New York on Sunday.

Cf. แน่ใจ : If he leaves tomorrow, he will reach New York on Sunday.
Cf.เน้นแน่ใจ : If he is to leave tomorrow, he will reach New York on Sunday.

ในกรณีที่เป็นการสมมุติอย่างเลือนลาง คือนอกจากผู้พูดจะไม่แน่ใจแล้วผู้พูดยังคิดเลยไปถึงว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็เป็นเรื่องของความบังเอิญ หรือโชคช่วยมากกว่า (ผู้พูดคิดว่า คงไม่มีทางเป็นไปอย่างที่สมมุติ ถ้าหากเป็นไปได้จริงก็เป็นเพราะโชคมากกว่า) การสมมุติอย่างเลือนลางเช่นนี้ใช้รูปกริยา

If+ [should + กริยาช่องที่ 1] + ประโยค would หรือ will

เช่น If he should leave at eight, he would (หรอ will) reach Bangkok at noon.
ถ้าเขาออกเดินทางเวลา 8 โมงเช้า เขาก็พอจะมีทางถึงกรุงเทพฯ เวลาเที่ยง

ผู้พูดเห็นว่าคงไม่มีทางถึงกรุงเทพ ฯ เวลาเที่ยงวันได้ ถ้ามาถึงเที่ยงวันได้ก็แสดงว่าโชคดีเต็มที เช่นลมคงจะแรงช่วยพัดใบเรือให้เดินทางได้เร็วขึ้น หรือว่าถ้าเดินทางโดยรถยนต์ก็คงถนนว่างเต็มที ไม่มีรถที่จะต้องแซงเลยเป็นต้น

ต่อไปนี้เป็นการเปรียบเทียบแสดงการสมมุติ เริ่มตั้งแต่การสมมุติอย่างเลือนลางที่สุด จนถึงมั่นใจที่สุด

เลือนลาง(โชค) : If he should leave at eight, he would (หรือ will) reach Bangkok at noon.

ไม่แน่ใจ : If he were to leave at eight, he would reach Bangkok at noon.

ธรรมดา : If he left at eight, he would reach Bangkok at noon.

แน่ใจ : If he leaves at eight, he will reach Bangkok at noon

แน่ใจมาก : If he is to leave at eight, he will reach Bangkok at noon.

เงื่อนไขซึ่งตรงข้ามกับความจริง
การสมมุติแบบนี้ใช้เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว และผู้พูดก็ทราบว่าเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างไร แต่ผู้พูดนำมาพูดสมมุติเสียใหม่ ตรงข้ามกับความจริงที่เกิดขึ้น รูปกริยาที่ใช้คือ

(If+Past Perfect) + [would have + กริยาช่องที่ 3]
หรือคำอื่นในทำนองเดียวกับ would เช่น should, could, might

ข้อควรระลึกในการสร้างประโยคโดยใช้รูปกริยาแบบนี้ คือ
1. เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว
2. ผู้พูดทราบว่าเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างไร
3. ผู้พูดนำมาพูดสมมุติเสียใหม่
4. คำพูดสมมุตินี้ตรงข้ามกับความจริงที่เกิดขึ้น

ขอให้สังเกตจากคำอธิบายประกอบประโยคตัวอย่างต่อไปนี้

1. If he had seen her, he would have known it already.
ถ้าเขาพบหล่อน เขาก็คงจะรู้เรื่องนั้นหมดแล้ว
[ผู้พูดทราบว่าความจริงที่เกิดขึ้นคือ เขาไม่ได้พบหล่อน และดังนั้นเขาจึงยังไม่ได้รู้เรื่องนั้น]

2. If he had worked steadily, he would not have failed.
ถ้าเขาทำงาน (เรียน) อย่างสม่ำเสมอ เขาก็คงไม่สอบตก
[ผู้พบทราบว่าความจริงที่เกิดขึ้น คือ เขาไม่ได้ขยันเรียน เขาจึงสอบตก]

3. The soldiers would have fought better if they had been given clear orders.
พวกทหารจะต่อสู้ได้ดีกว่านั้น ถ้าพวกเขาได้รับคำสั่งที่ชัดเจน
[ผู้พูดทราบว่าความจริงที่เกิดขึ้นคือ พวกทหารไม่ได้รับคำสั่งที่ชัดเจน ดังนั้นพวกเขาจึงทำการสู้รบไม่ได้ดีเท่าที่ควร]

อาจใช้ Past Perfect Continuous แทน Past Perfect ธรรมดาได้ ถ้าต้องการให้มีความหมายถึงความต่อเนื่องจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน
เช่น
If he had been listening carefully, he wouldn’t have misunderstood.
ถ้าเขาได้ตั้งใจฟังมาตลอดเขาคงไม่เข้าใจผิด

ความจริงที่ผู้พูดประโยคนี้ทราบก็คือ เขาไม่ได้ตั้งใจฟังมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงเข้าใจผิด

ผู้พูดไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คาดคะเนเอาเอง
การสมมุติแบบนี้ใช้เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว แต่ผู้พูดไม่ทราบว่าเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างไร คงสมมุติขึ้นเอาเองตามความคิดของตน รูปกริยาที่ใช้ คือ

(If+ Past) + Future

ข้อควรระลึกในการสร้างประโยคโดยใช้รูปกริยาแบบนี้ คือ
1. มีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว
2. ผู้พูดไม่ทราบว่าเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างไร
3. ผู้พูดคาดคะเนผลเอาเองว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ (ซึ่งอาจจะถูกหรือจะผิดก็ได้)

ถ้าผลที่จะเกิดขึ้นนี้ ผู้พูดคาดว่าเกิดขึ้นมาแล้วก่อนพูดประโยคนี้ ใช้ Future Perfect ในรูป

(If+ Past) + Future Perfect

If he saw her yesterday, he will have told her the truth.
ถ้าเมื่อวานนี้เขาพบหล่อน เขาก็คงจะบอกความจริงแก่หล่อนไปแล้ว

ผู้พูดไม่ทราบว่าเมื่อวานนี้เขาพบหล่อนหรือไม่ และดังนั้นจึงไม่แน่ใจว่าเขาจะบอกความจริงแก่หล่อนแล้วหรือยัง แต่ผู้พูดคาดคะเนว่าเขาคงจะบอกไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ (คือก่อนการพูดประโยคนี้)

ถ้าผู้พูดคาดว่าผลจะเกิดภายหลังการพูดประโยคนั้น ใช้ Future Simple ในรูป

(If+ Past) + Future*
*จะเป็น Future ชนิดใด ขึ้นอยู่กับความหมายของแต่ละประโยค

1. If he left at six, he will reach Bangkok at noon.
ถ้าเขาออกเดินทางเวลาหกโมงเช้า เขาก็คงจะถึงกรุงเทพฯ เวลาเที่ยงวัน

ผู้พูดไม่ทราบว่าเขาออกเดินทางเมื่อใด แต่ถ้าออกเวลาหกโมงเช้าแล้ว ผู้พูดเชื่อว่าเขาจะถึงกรุงเทพฯ เวลาเที่ยงวัน ประโยคนี้ will reach เป็น Future Simple แสดงว่าขณะที่พูดประโยคนี้ยังไม่ถึงเวลาเที่ยงวัน ขอให้เปรียบเทียบกับประโยคข้อ 2 ซึ่งใช้ will have reached (Future Perfect แสดงว่าขณะที่พูดประโยค ข้อ 2 ได้เลยเวลาเที่ยงวันมาแล้ว)

2. If he left at six, he will have reached Bangkok at noon.
ถ้าเขาออกเดินทางเวลา 6 โมงเช้า เขาก็คงจะถึงกรุงเทพฯ ไปแล้วตั้งแต่เที่ยงวัน

ผู้พูดไม่ทราบว่าเขาออกเดินทางเวลา 6 โมงเช้าหรือไม่ แต่เชื่อว่าถ้าออกเวลา 6 โมงจริง ก็คงถึงกรุงเทพฯ ไปแล้วตั้งแต่เที่ยง ขณะที่พูดประโยคนี้ เลยเวลาเที่ยงวันมาแล้ว

3. If he studied hard as he said, he will not fail.
ถ้าเขาขยันเรียนอย่างเขาว่า เขาคงไม่ตก

ผู้พูดไม่ทราบว่าเขาได้ขยันเรียนมาจริงอย่างเขาว่าหรือไม่ แต่คิดว่าถ้าหากเขาขยันจริงอย่างว่า เขาก็คงไม่ตก ประโยคนี้ใช้ will not fail ซึ่งเป็น Future ธรรมดา แสดงว่าขณะที่พูดประโยคนี้การสอบยังมาไม่ถึง (จะ มาถึงในอนาคตข้างหน้า)

4. If he studied hard as he said, he will not have failed.
ถ้าเขาขยันเรียนจริงอย่างเขาว่า เขาก็คงจะไม่ตกแล้วละ

ประโยคนี้ใช้ will not have failed ซึ่งเป็น Future Perfect แสดงว่าขณะที่พูดประโยคนี้การสอบได้ผ่านไปแล้ว ผู้พูดไม่รู้ว่าเขาขยันจริงหรือไม่และก็ไม่รู้ว่าเขาสอบได้หรือตก ผู้พูดเพียงแต่คาดคะเนเท่านั้นว่าถ้าเขาขยันเรียนจริงอย่างเขาว่า เขาก็คงสอบได้ไปแล้ว

เงื่อนไขซึ่งเป็นไปไม่ได้
ประโยคเงื่อนไขแบบนี้เป็นแบบง่ายที่สุด เพราะมีกรณีเพียงกรณีเดียว คือข้อความของประโยค if เป็นสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ (impossible) เช่น ถ้าฉันเป็นนก … หรือ ถ้าฉันเป็นเธอ… เป็นต้น รูปกริยาที่ใช้ คือ

(If+ Past Simple) + [would + กริยาช่องที่ 1]
หรือเทียบเท่า would เช่น should, could, might

กริยาใน Past Simple ถ้าเป็น verb to be นิยมใช้ were เสมอ ฟังในภาษาพูดและภาษาเขียน (แต่จะใช้ was ก็ไม่ถือว่าผิด)

1. If I were you, I wouldn’t accept the plan.
ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่ยอมรับแผนการอันนั้น

2. If he were the president of the United States, what could he do in this case ?
ถ้าเขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เขาจะสามารถทำอะไรในกรณีนี้

3. If I were on Mars, would I weigh more or less ?
ถ้าผมอยู่บนโลกพระอังคาร ตัวผมจะหนักขึ้นหรือเบาลง
[เป็นไปไม่ได้ (อย่างน้อยก็ในขณะนี้) ที่ผมจะไปอยู่บนโลกพระอังคาร ประโยคนี้อาจถือเป็นเงื่อนไขธรรมดาก็ได้]

เปรียบการใช้รูปกริยาในเงื่อนไขแบบต่าง ๆ ที่พบเห็นอยู่เสมอ
ประโยคต่อไปนี้ใช้รูปกริยาต่างกัน ดังนั้นความหมายจึงแตกต่างกัน

1. If he begins the work by himself, he doesn’t succeed.
2. If he begins the work by himself, he won’t succeed.
3. If he began the work by himself, he wouldn’t succeed.
4. If he had begun the work by himself, he wouldn’t have succeeded.
5. If he began the work by himself, he won’t succeed.
6. If he began the work by himself, he won’t have succeeded.

รูปกริยาในข้อ 1 ถึง 4 เป็นรูปที่เราพบเห็นมากที่สุด ความหมายของประโยคทั้ง 6 มีดังนี้

1. If he begins the work by himself, he doesn’t succeed.
ข้อนี้ใช้ If+ Present + Present แสดงว่าเป็นกฎหมายตายตัว หรือผู้พูดได้พบเห็นเป็นประจำจนสรุปเป็นกฎได้ ประโยคหมายความว่า ผู้พูดได้พบเห็นจนตั้งเป็นกฎได้ว่า ถ้าเขาคนนั้นเริ่มต้นทำงานโดยลำพังแล้ว ไม่มีวันที่เขาจะทำได้สำเร็จ

2. If he begins the work by himself, he won’t succeed.
ข้อนี้ใช้ If+Present + Future แสดงว่าเป็นเงื่อนไขที่ผู้พูดมั่นใจ แต่ไม่ถึงกับได้เคยพบเห็นจนตั้งเป็นกฎได้ เหมือนข้อ 1 สำหรับข้อนี้เพียงแต่ผู้พูดมั่นใจมากเท่านั้นว่า ถ้าเขาเริมต้นทำงานนั้นโดยลำพังคนเดียวแล้ว เขาจะไม่สำเร็จ อาจเป็นเพราะผู้พูดมีความรู้ว่างานนั้นจะเริ่มต้นด้วยคนๆ เดียวไม่ได้ หรือผู้พูดอาจจะรู้มาก่อนว่า เขาคนนั้นไม่เคยทำงานชนิดนั้นมาก่อน ดังนั้นผู้พูดจึงมั่นใจว่า ถ้าเขาทำคงไม่สำเร็จแน่

3. If he began the work by himself, he wouldn’t succeed.
ข้อนี้ใช้ If+ Past + [would + กริยาช่องที่ 1] แสดงว่ามีความหมายเหมือนข้อ 2 ทุกประการ เพียงแต่ผู้พูดไม่มั่นใจเท่านั้น ควรสังเกตอีกด้วยว่า แม้กริยาจะมีรูปเป็น past แต่มีความหมายเป็น Present หรือ Future เท่านั้น

4. If he had begun the work by himself, he wouldn’t have succeeded.
ข้อนี้ใช้ If+ Past Perfect + [would have + กริยาช่อง 3] แสดงว่าเป็นการสมมุติตรงข้ามกับความจริงซึ่ง ได้เกิดขึ้นแล้ว และผู้พูดก็รู้ว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไร แต่นำมาพูดสมมุติเสียใหม่ ตรงข้ามกับความจริงที่เกิดขึ้น ประโยคข้อนี้แปลว่า ถ้าเขาเริ่มต้นทำงานนั้นด้วยตนเองแล้วเขาก็คงจะทำไม่สำเร็จหรอก หมายความว่าความจริงที่เกิดขึ้น (ซึ่งผู้พูดรู้) คือเขาคนนั้นไม่ได้เริ่มงานนั้นลำพังตนเอง (ดังนั้น) งานจึงสำเร็จ

5. If he began the work by himself, he won’t succeed.
ข้อนี้ใช้ If+Past + Future Simple แสดงว่าเป็นการสมมุติในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ผู้พูดไม่ทราบว่าเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างไร ผู้พูดเพียงแต่เดาหรือคาดคะเนเอาเอง ประโยคข้อนี้หมายความว่า ผู้พูดไม่ทราบว่า เขาเริ่มงานนั้นด้วยตนเองหรือไม่ แต่ผู้พูดคิดว่า ถ้าเขาได้เริ่มงานนั้นโดยลำพังตนเองมาแล้ว งานนั้นคงจะไม่สำเร็จ (ผู้พูดคิดว่าขณะที่พูดนี้เขาก็คงทำอยู่ แต่ถึงจะทำต่อไปก็คงจะไม่สำเร็จ)

6. If he began the work by himself, he won’t have succeeded.
ข้อนี้ใช้ If+Past + Future Perfect แสดงว่าเป็นการสมมุติในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ผู้พูดไม่ทราบว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร ผู้พูดคิดเอาเองว่าคงจะเป็นอย่างนั้นๆ ประโยคข้อนี้หมายความว่าผู้พูดไม่ทราบว่า เขาคนนั้นเริ่มทำงานนั้นด้วยตนเองหรือไม่ แต่ผู้พูดคิดว่าถ้าเขาได้เริ่มงานนั้นโดยลำพังตนเองแล้ว งานนั้นก็คงล้มเหลวไปแล้ว (คือได้ล้มเหลวไปก่อนที่ผู้พูดจะพูดประโยคนี้) ขอให้เปรียบกับประโยคข้อ 5 ซึ่งต่างกับข้อ 6 นี้ เพราะในข้อ 6 ขณะที่ผู้พูดพูดประโยคนั้น ผู้พูดคิดว่าการทำงานได้ล้มเหลวลงไปแล้วก่อนการพูดประโยคนั้น (คือผู้พูดคิดว่าการทำไม่สำเร็จเกิดขึ้นก่อนการพูดประโยคนั้น)

แบบการใช้รูปกริยาในประโยคเงื่อนไขโดยพิสดาร

ที่มา:เลิศ  เกษรคำ

Table of Contents

[Update] 50++ โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษรู้แล้วรอดเเน่ | รูป ประโยค ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES

ปัญหาของผู้เรียนหลายคนคือเห็นว่าการเรียนไวยากรณ์เป็นเรื่องที่ยาก เพราะมีเยอะเเละจดจำยาก เเต่ถ้าเรามีเเนวทางการเรียนที่ถูกต้อง เรียนรู้ตามโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษที่มักจะใช้บ่อย รู้เเล้วรับรองรอดเเน่นอน ทั้งหมดมีในบทความเดียว อย่าพลาดนะจ๊ะ

เริ่มจากโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษที่ง่ายที่สุด

1. S +V
ยกตัวอย่างเช่น
– I stand here. ฉันยืนตรงนี้
– You sit there. คุณนั่งตรงนั้น
– He sleeps on the sofa. เขานอนบนโซฟา

2. S + V + O
ยกตัวอย่างเช่น
– He buys a car. เขาซื้อรถยนต์
– She likes cats. หล่อนชอบแมว
– They clean the room. พวกเขาทำความสะอาดห้อง

3. S + V + IO + DO
ยกตัวอย่างเช่น
– He buys me a coffee. หมายถึง เขาซื้อกาแฟให้ฉัน
– Mom gives me a present. แม่ให้ของขวัญแก่ฉัน
– Dad makes a dog a house. พ่อทำบ้านให้หมา

4. S + V + OC ( ประธาน + กริยา + ส่วนเติมเต็มประธาน )
ยกตัวอย่างเช่น
– He is a doctor. (เป็นใคร) เขาเป็นหมอ
– I am tall. (เป็นยังไง) ฉันตัวสูง
– She is a nice student. (เป็นใคร) หล่อนเป็นนักเรียนที่ดี

5. S + V + O + OC
ยกตัวอย่างเช่น
– They painted the car white. พวกเขาทาสีรถยนต์ให้เป็นสีขาว
– He made me happy. เขาทำให้ฉันมีความสุข
– We consider John silly พวกเราถือว่าจอห์นงี่เง่า

6. S + V+ too + adj/adv + (for someone) + to do something (มาก….เพื่อให้ใครทำอะไร…)
ตัวอย่างบางส่วนใช้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน:
– He ran too fast for me to follow.
– This exercise was too easy for me to do. แบบฝึกหัดนี้ง่ายเกินไปสำหรับฉันที่จะทำ

7. S + V + so + adj/ adv + that +S + V (มาก… ถึงขนาดที่…)
ยกตัวอย่างเช่น
– This box is so heavy that I cannot take it. กล่องนี้หนักมากจนฉันไม่สามารถเอามันไปได้
– He speaks so soft that we can’t hear anything.  เขาพูดเสียงเบาจนเราไม่ได้ยินอะไรเลย

8. It + V + such + (a/an) + N(s) + that + S +V (มาก… ถึงขนาดที่…)
ตัวอย่างบางส่วนใช้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน:
– It is such a heavy box that I cannot take it. มันเป็นกล่องที่หนักมากจนฉันไม่สามารถรับมันได้
– It is such interesting books that I cannot ignore them at all. เป็นหนังสือที่น่าสนใจมากจนไม่สามารถมองผ่านได้เลย

9. To be/get Used to + V-ing: (คุ้นเคยกับอะไร)
ยกตัวอย่างเช่น
– We are used to getting up early เราเคยชินกับการตื่นเช้า

10. Have/ get + something + done (Vpp.) (ฝากหรือจ้างใครทำอะไร…)
ตัวอย่างบางส่วนใช้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน:
– I had my hair cut yesterday. ฉันตัดผมเมื่อวานนี้
– I’d like to have my shoes repaired. ฉันต้องการซ่อมรองเท้า

โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษไม่ยากอย่างที่คิด

ด้านล่างนี้คือโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษทั่วไปอื่น ๆ

11. It + be + time + S + V / It’s +time +for someone +to do something (ถึงเวลาที่ใครต้องทำอะไรสักอย่าง…)
ตัวอย่างบางส่วนใช้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน:
– It is time you had a shower. ได้เวลาอาบน้ำแล้ว
– It’s time for me to ask all of you for this question. ถึงเวลาที่ฉันจะถามพวกคุณทุกคนคำถามนี้

12. It + takes/took + someone + amount of time + to do something (ทำอะไร… เสียเวลาเท่าไหร่…)
ยกตัวอย่างเช่น
– It takes me 5 minutes to get to school. ฉันใช้เวลา 5 นาทีในการไปโรงเรียน
– It took him 10 minutes to do this exercise yesterday.  เขาใช้เวลา 10 นาทีในการทำแบบฝึกหัดนี้เมื่อวานนี้

13. To prevent/stop + someone/something + From + V-ing (ป้องกันคน / อะไร … ไม่ทำอะไร .. )
ตัวอย่างบางส่วนใช้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน:
– I can’t stop her from tearing ฉันไม่สามารถทำให้เธอหยุดร้องให้

14. S + find + it + adj to do something (พบว่า … เพื่อทำอะไร…)
ยกตัวอย่างเช่น
– I find it very difficult to learn about Japanese ฉันพบว่ามันยากมากที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่น
– They found it easy to overcome that problem. พวกเขาพบว่ามันง่ายที่จะเอาชนะปัญหานั้น

15. To prefer + Noun/ V-ing + to + N/ V-ing. (ชอบทำอะไรมากกว่า/ ทำอะไร)
ยกตัวอย่างเช่น
– I prefer dog to cat. ฉันชอบสุนัขมากกว่าแมว
– I prefer reading books to watching TV. ฉันชอบอ่านหนังสือเพื่อดูทีวี

16. Would rather + V(infinitive) + than + V (infinitive) (ชอบอะไรมากกว่า)
ตัวอย่างบางส่วนใช้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน:
– She would rather play games than read books. เธอชอบเล่นเกมมากกว่าอ่านหนังสือ
– I’d rather learn English than learn Math. ฉันอยากเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าเรียนคณิตศาสตร์

17. To be/get Used to + V-ing (คุ้นเคยกับอะไร)
ยกตัวอย่างเช่น
– I am used to eating with chopsticks.

18. Used to + V (infinitive) (มักจะทำอะไรเมื่อก่อนแต่ตอนนี้ไม่ทำอีกแล้ว)
ยกตัวอย่างเช่น
– I used to go fishing with my friend when I was young. ตอนเป็นเด็กๆ ฉันเคยไปตกปลากับเพื่อนของฉัน

19. by chance = by accident (adv): โดยบังเอิญ
ยกตัวอย่างเช่น
– I met her in Paris by chance last week.  ฉันพบเธอที่ปารีสโดยบังเอิญเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

20. to be/get tired of + N/V-ing (เหนื่อยเพราะ…)
ยกตัวอย่างเช่น
– My mother was tired of doing too much housework everyday.  แม่เหนื่อยกับการทำงานบ้านมากเกินไปทุกวัน

โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษเป็นส่วนหนึ่งของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

เมื่อใช้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษคุณต้องใส่ใจกับกาลของกริยาหลักด้วย

21. to be keen on/ to be fond of + N/V-ing (ชอบทำอะไรสักอย่าง…)
ยกตัวอย่างเช่น
– I am fond of listening to music = I like listening to music. ฉันชอบฟังเพลง

22. to be interested in + N/V-ing (สนใจต่อ…)
ยกตัวอย่างเช่น
– We were interested in the movie we saw yesterday. เราสนใจภาพยนตร์ที่เราเห็นเมื่อวานนี้

23. to waste + time/ money + V-ing (เสียเงินและเวลาเกี่ยวกับ)
ยกตัวอย่างเช่น
– You have been wasted my time surfing the internet. คุณเสียเวลาไปกับการท่องอินเทอร์เน็ต

24. To spend + amount of time/ money + V-ing (ใช้เวลาเท่าไหร่เพื่อ…)
ตัวอย่างบางส่วนใช้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน:
– To spend + amount of time/ money + on + something (ใช้เวลาเพื่อทำอะไร…)
– I spend 2 hours reading books a day. ฉันใช้เวลาอ่านหนังสือ 2 ชั่วโมงต่อวัน

25.  feel like + V-ing (รู้สึกอยากทำอะไรบางอย่าง…)
ยกตัวอย่างเช่น
– I feel like going for a picnic ฉันรู้สึกอยากไปปิกนิก

26. would like/ want/wish + to do something (ชอบทำอะไร…)
ยกตัวอย่างเช่น
– I would like to go to the cinema with you tonight. ฉันอยากไปดูหนังกับคุณคืนนี้

27. have + (something) to + Verb (มีบางอย่างที่ต้องทำ)
ยกตัวอย่างเช่น
– I have many things to do this week. ฉันมีหลายสิ่งที่ต้องทำในสัปดาห์นี้

28. It + be + something/ someone + that/ who
ยกตัวอย่างเช่น
– It is Tom who got the best marks in my class. Tom เป็นคนที่ได้คะแนนดีที่สุดในชั้นเรียนของฉัน

29. Had better + V(infinitive) (ควรทำอะไร….)
ยกตัวอย่างเช่น
– He had better go to hospital. เขาควรไปโรงพยาบาลดีกว่า

โครงสร้างประโยคบางส่วนเกี่ยวข้องกับวลีกริยา

30. hate/ enjoy/ like/ dislike/ finish/ avoid/ mind/ practise/ postpone/ deny/ consider/ delay/ keep/ suggest/ fancy/ risk/ imagine + V-ing
ยกตัวอย่างเช่น
– I always practise speaking English everyday. ฉันมักจะฝึกพูดภาษาอังกฤษทุกวัน

31. To remember doing (จดจำว่าได้ทำอะไรบ้าง)
ตัวอย่างบางส่วนใช้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน:
– I remember reading this book ฉันจำได้ว่าอ่านหนังสือเล่มนี้
– I remember visiting this place ฉันจำได้ว่าเคยไปที่นี่

32.FAIL TO DO SOMETHING (ล้มเหลวในบางสิ่ง)
ยกตัวอย่างเช่น
– He failed to pass the police test. เขาสอบตำรวจไม่ผ่าน
– John failed to do exercises. Johnทำแบบฝึกหัดไม่สำเร็จ

33. SUCCEED IN DOING SOMETHING (ประสบความสำเร็จในบางสิ่ง)
ยกตัวอย่างเช่น
– She succeeded in finishing the race. เธอประสบความสำเร็จในการแข่งขัน
– Henry succeeded in the final exam. เฮนรี่ประสบความสำเร็จในการสอบปลายภาค

34. BORROW SOMETHING FROM SOMEBODY (ยืมสิ่งของของใคร)
ตัวอย่างบางส่วนใช้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน:
– I borrow those books from Mary. ฉันยืมหนังสือเหล่านั้นจากแมรี่
– Anna borrows that glass from her mother. แอนนายืมแก้วใบนั้นมาจากแม่

35. TRY DOING SOMETHING (ลองทำอะไร)
ยกตัวอย่างเช่น
– I try playing football.ผมลองเล่นฟุตบอล
– He tried playing piano. เขาลองเล่นเปียโน

36. NEED TO DO SOMETHING (ต้องทำอะไร)
ยกตัวอย่างเช่น
– I need to see him next morning. ฉันต้องเจอเขาในเช้าวันพรุ่งนี้
– We need to plan the trip first. เราจำเป็นต้องวางแผนการเดินทางก่อน

37. NEED DOING (ต้องการทำอะไร)
ยกตัวอย่างเช่น
– His shirt needs washing. เสื้อของเขาต้องซัก
– Our kids needs cleaning. เด็กๆ ต้องการการอาบน้ำ

38. REMEMBER DOING SOMETHING (จำว่าต้องทำอะไร)
ตัวอย่างบางส่วนใช้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน:
– We remembered turning the lights off before coming out.เราจำได้ว่าปิดไฟก่อนเดินทางไปข้างนออก
– You should remember to clean up before leaving.  คุณควรอย่าลืมทำความสะอาดก่อนออกเดินทาง

ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามต้องใช้ความเพียรพยายาม

ทำงานหนักและคุณจะมีความสำเร็จที่ดี

39.To prefer + N/ V-ing + to + N/ V-ing ชอบอะไร ชอบทำอะไรมากกว่า
ตัวอย่างบางส่วนใช้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน:
– I prefer cat to dog ฉันชอบแมวมากกว่าสุนัข
– She Prefer watching TV to reading books เธอชอบดูทีวีมากกว่าอ่านหนังสือ
– My Mom prefers having dinner at home to going out.  แม่ของฉันชอบทานอาหารเย็นที่บ้านมากกว่าออกไปข้างนอก

40. HAVE SOMEBODY DO SOMETHING
ยกตัวอย่างเช่น
– My boss asked me to have Jerry come to his office before 5pm. เจ้านายของฉันขอให้เจอร์รี่มาที่ออฟฟิศก่อน 17.00 น.
– I had Jon fix my bike. ฉันฝากให้จอนซ่อมจักรยานของฉัน

41. BE ABLE TO DO SOMETHING (ความสามารถในการทำบางสิ่ง)
ยกตัวอย่างเช่น
– May is able to draw a picture. May สามารถวาดรูปได้

42. BE GOOD AT SOMETHING (ทำอะไรเก่ง)
ยกตัวอย่างเช่น
– He is very good at music. เขาเก่งโดนตรีมาก/ เขาถนัดดนตรีมาก
– She is good at playing games. เธอเล่นเกมเก่ง

43. BE BAD AT SOMETHING  (ทำอะไรไม่เก่ง)
ยกตัวอย่างเช่น
– Harry is bad at singing. Harry ร้องเพลงไม่เก่งเลย

44. Make progress (มีความก้าวหน้า)
ยกตัวอย่างเช่น
– Harriet is making progress with all her schoolwork. แฮเรียตกำลังก้าวหน้ากับ=การเรียน=ของเธอ

45. APOLOGIZE FOR DOING SOMETHING (ขอโทษที่ทำอะไรบางอย่าง)
ยกตัวอย่างเช่น
– He apologized for being late. เขาขอโทษที่มาช้า
– I apologized for not call him back. ฉันขอโทษที่ไม่โทรกลับเขา

46. HAD BETTER DO SOMETHING (ควรทำอะไรดีกว่า)
ยกตัวอย่างเช่น
– You had better hang out with them. คุณออกไปเที่ยวกับพวกเขาดีกว่า
– I had better go to sleep now.ไปนอนก่อนดีกว่า

47. BE BUSY DOING SOMETHING (ไม่ว่างจะทำอะไร)
ตัวอย่างบางส่วนใช้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน:
– I was busy finishing my reports. ฉันยุ่งกับการทำรายงานให้เสร็จ
– My family was busy cooking dinner at 7pm. ครอบครัวของฉันยุ่งอยู่กับการทำอาหารเย็นตอน 19.00 น

48. WOULD RATHER SOMEBODY DID SOMETHING (อยากให้ใครทำอะไร)
ยกตัวอย่างเช่น
– I would rather him went to school. ฉันอยากให้เขาไปโรงเรียน
– Henry would rather his brother went swimming. เฮนรี่อยากให้พี่ชายของเขาไปว่ายน้ำ

โครงสร้างภาษาอังกฤษที่สำคัญบางประการไม่ควรมองข้าม

49. SUGGEST SOMEBODY (SHOULD) DO SOMETHING (เเนะนำให้ใครทำอะไร)
ยกตัวอย่างเช่น
– The teacher suggested his students should learn that lesson hard.  ครูแนะนำนักเรียนของเขาควรเรียนรู้บทเรียนนั้นอย่างหนัก

50. TRY TO DO SOMETHING (ตั้งใจทำอะไร)
ยกตัวอย่างเช่น
– He tried to learn all lessons before the test on Monday. เขาพยายามเรียนรู้บทเรียนทั้งหมดก่อนการทดสอบวันจันทร์

51. GET/HAVE SOMETHING DONE (สำเร็จเรื่องอะไร)
ยกตัวอย่างเช่น
– I have my Mom’s car washed.ฉันล้างรถของแม่แล้ว
แล้วคุณเป็นอย่างไรบาง…

52. It + takes/took + someone + amount of time + to do something (ทำอะไร…เสียเวลาเท่าไหร่…)
ตัวอย่างบางส่วนใช้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน:
– It takes me 5 minutes to get to school. ฉันไปถึงโรงเรียนเสียเวลาห้านาที
– It took him 10 minutes to do this exercise yesterday.เขาใช้เวลา 10 นาทีในการทำแบบฝึกหัดนี้เมื่อวานนี้

53. want/ plan/ agree/ wish/ attempt/ decide/ demand/ expect/ mean/ offer/ prepare/ happen/ hesitate/ hope/ afford/ intend/ manage/ try/ learn/ pretend/ promise/ seem/ refuse + TO + V-infinitive
ยกตัวอย่างเช่น
– I decide to study English.  ฉันตัดสินใจเรียนภาษาอังกฤษ

54. LOOK FORWARD TO SOMETHING (รอคอยในอะไรสักอย่าง)
ยกตัวอย่างเช่น
– We are looking forward to go hiking next week.เรารอคอยที่จะไปปีนเขาในสัปดาห์หน้า
– I am looking forward to hear from you. ฉันกำลังรอคำตอบจากคุณ อันนี้ใช้บ่อยในการส่งเมล์นะคะ

55. PLAN TO DO SOMETHING (วางแผน / วางแผนที่จะทำบางสิ่ง)
ตัวอย่างบางส่วนใช้โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษด้านบน:
– We plan to go camping next week. เราวางแผนจะไปตั้งแคมป์ในสัปดาห์หน้า
– He plans to check up tomorrow. เขาวางเเผนจะตรวจสอบสุขภาพวันพรุ่งนี้

56. to be interested in + N/V-ing: สนใจถึง….
ยกตัวอย่างเช่น
– Mrs Brown is interested in going shopping on Sundays. คุณบราวน์สนใจจะไปซื้อของในวันอาทิตย์

57. To be bored with : เบื่อที่ต้องทำอะไร
ยกตัวอย่างเช่น
– We are bored with doing the same things every day. เราเบื่อกับการทำอะไรเดิม ๆ ทุกวัน

แบ่งปันสิ่งดีๆแล้วคุณจะได้รับสิ่งดีๆตอบแทน

ถ้าคุณเห็นว่าบทความนี้มีผลประโยน์ต่อคุณอย่าลืมแชร์ให้เพื่อนๆ ของคุณได้ทราบด้วยนะคะ เราจะได้แชร์กันความรู้ดีๆ ช่วยกันเรียนภาษาอังกฤษให้ดีขึ้นทุกวัน การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีวันหยุดนิ่งอยู่แล้ว เราต้องพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มาตลอด เรียนเพื่อกลายเป็นคนดี คนเก่งเพื่อจะได้งานและอนาตคที่สดใสนะคะ

และอย่าลืมไม่ว่าเราจะทำอะไรยากขนาดไหน ถ้าเราตั้งใจที่จะทำ มุ่งมันกับสิ่งที่ทำ มีแผนการเรียนอย่างชัดเจนว่าคสรเรามเรียนจากอะไรก่อนอะไรเป็นสิ่งสำคัญไม่ควรพลาด รับรองว่าอีกไม่กี่เดือนคุณก็จะเห็นความก้าวกระโดดในการเรียนรู้ของตัวเองในการเรียนภาษาอังกฤษแน่นอน

ความคิดเห็น 635 รายการ

 


ฝึกโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ ชุดที่ 2 ( 11-20 )


สวัสดีครับ ^_^
ขอให้ทุกคนสนุกในการเรียนภาษาอังกฤษกับผมครับ
สำหรับใครที่สนใจสั่งซื้อหนังสือของผม
สามารถดูรายละเอียด, ราคาและตัวอย่างหนังสือแต่ละเล่มได้ที่
https://www.englishbychris.com/ร้านค้า
สามารถสั่งผ่านเว็ปไซต์ได้ หรือจากแอดมินไลน์
@LINE ID = @EnglishbyChris
และถ้าต้องการเรียนคอร์สออนไลน์ตัวต่อตัวกับผม ฿900 บาท ต่อเดือน
สามารถดูรานละเอียดตามลิงค์นี้ได้ครับ
https://www.youtube.com/watch?v=JVcjL0298Xo
ขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยสนับสนุนผมครับ
Thank you!
900 บาท ต่อเดือน สมัครเป็นสมาชิกช่องนี้!!!
สมาชิกจะได้สิทธิพิเศษเรียนผ่านวีดีโอเฉพาะสมาชิก
ซึ่งสามารถดูตอนไลฟ์สดหรือย้อนหลังได้เสมอ
พร้อมทำการบ้านส่งให้ผมตรวจและแก้ไข
เพื่อช่วยให้คุณสามารถแต่งประโยคได้อย่างถูกต้อง
แถมได้ฝึกการออกเสียงให้ผมฟังด้วย
ผ่านคลิปเสียงที่คุณอ่านการบ้านทั้งหมดให้ผมฟังนะครับ
กดตามลิงค์นี้เพื่อรับชมวีดีโออธิบายรายละเอียดอย่างครบถ้วนได้ครับ
https://youtu.be/JVcjL0298Xo
กดปุ่ม \”สมัคร\” ข้างล่างวีดีโอใน Youtube เพื่อเป็นสมาชิกได้ครับ
หรือกดลิงค์นี้ได้เลยนะครับ
https://www.youtube.com/channel/UC93A91EZTtZW55WEKCz_jYA/join
สั่งซื้อหนังสือ/สอนถามเรียนตัวต่อตัว
ติดต่อแอดมินได้ที่
@LINE ID = @EnglishbyChris
WEBSITE
http://www.EnglishbyChris.com
Facebook
ค้นหา = EnglishbyChris

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

ฝึกโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ ชุดที่ 2 ( 11-20 )

55 ประโยค คุยกับลูกเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมคำอธิบาย คำอ่าน ในชีวิตประจำวัน


💖 ถ้าอยากให้กำลังใจ มาสมัครสมาชิกกันนะครับ 💖
กดตรงนี้ 👉 https://www.youtube.com/channel/UCaiwEWHCdfCi23EYN1bWXBQ/join
รวม 55 ประโยคภาษาอังกฤษ ฝึกพูดคุยกับลูกเป็นภาษาอังกฤษ ในชีวิตประจำวัน พร้อมคำอ่าน และคำอธิบายวิธีการใช้วลี ประโยคอังกฤษ สำหรับพ่อแม่ สอนลูกพูดภาษาอังกฤษ คำศัพท์ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน
รวมวิดีโอฝึกฟัง ฝึกพูดภาษาอังกฤษ สำหรับเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง
https://www.youtube.com/playlist?list=PLrstMNlAK0Iu3XViE08wFLjyxyRFFhKYl
เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ฟรี! คลิก: https://www.tonamorn.com/
แจกศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐาน 1,000 คลิก: https://www.tonamorn.com/vocabulary
สอน การแต่งประโยคภาษาอังกฤษ
https://www.tonamorn.com/english/writesentences/
เรียนภาษาอังกฤษ จากภาพสวยๆ บนอินสตาแกรม
https://instagram.com/ajtonamorn
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ บทสนทนาภาษาอังกฤษ ไวยากรณ์ แบบฝึกหัดพร้อมเฉลย และบทเรียนภาษาอังกฤษอีกมากมาย เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่พื้นฐาน จนถึงระดับสูง ฟรี 100% โดย อาจารย์ต้นอมร

55 ประโยค คุยกับลูกเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมคำอธิบาย คำอ่าน ในชีวิตประจำวัน

โครงสร้างประโยคในภาษาอังกฤษ ตอนที่ 1 ( SV / SVO / SVOO )


โครงสร้างประโยค SV / SVO / SVOO
SV = S + V
SVO = S + V + Direct Object
SVOO = S + V + Indirect Object + Direct Object

จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้
ติดตาม Facebook และ Instagram : The Happy Time with Q
หากผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขออภัยมานะที่นี้ด้วยค่ะ 😀

โครงสร้างประโยคในภาษาอังกฤษ ตอนที่ 1 ( SV / SVO / SVOO )

100 โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ English by Chris


900 บาท ต่อเดือน สมัครเป็นสมาชิกช่องนี้!!
กดปุ่ม \”สมัคร\” ข้างล่างวีดีโอใน Youtube หรือกดลิงค์นี้ได้เลยนะครับ https://www.youtube.com/channel/UC93A91EZTtZW55WEKCz_jYA/join
สั่งซื้อหนังสือได้จากแอดมิน
@LINE ID = @EnglishbyChris
รับสอนตัวต่อตัว ติดต่อผมได้ที่
@LINE ID = @TeacherChris
WEBSITE
http://www.EnglishbyChris.com
Facebook
ค้นหา = EnglishbyChris
1 according to ตาม 00:02:03
2 almost เกือบถึง 00:03:28
3 although ถึงแม้ 00:04:46
4 always เสมอ 00:06:25
5 actually, จริงๆ แล้ว 00:07:48
6 after หลังจาก 00:09:41
7 anymore อีกต่อไปแล้ว 00:11:15
8 apart from นอกจาก 00:12:42
9 around แถวนี้ 00:14:27
10 around here แถวนี้ 00:15:50
11 as…as เท่าๆ กับ 00:17:09
12 as long as ตราบใดที่ / ก็ต่อเมื่อ 00:18:32
13 as often as sub can บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ 00:20:23
14 as much as เท่ากับ / มากถึง 00:22:07
15 (not) at all ไม่…เลย 00:23:36
16 at a time ทีละ 00:25:11
17 at least อย่างน้อย 00:26:28
18 at the same time ในขณะเดียวกัน 00:28:20
19 barely แทบไม่ 00:29:57
20 basically พูดง่ายๆ ก็คือ 00:31:25
21 because เพราะ 00:33:13
22 before ก่อน 00:34:33
23 between ระหว่าง 00:36:04
24 both ทั้งสอง 00:37:50
25 but แต่ 00:39:23
26 by โดย 00:41:31
27 by oneself โดยลำพัง / ด้วยตัวเอง 00:43:01
28 certain เฉพาะ 00:44:24
29 Could you please คุณช่วย…ได้ไหม 00:45:44
30 definitely แน่ๆ 00:47:10
31 depends on ขึ้นอยู่กับ 00:48:44
32 despite ทั้งๆ ที่ 00:50:12
33 don’t อย่า 00:51:46
34 either…or หรือไม่ก็ 00:52:56
35 else อีก / อื่น 00:54:28
36 enough เพียงพอ 00:56:17
37 especially โดยเฉพาะ 00:57:44
38 even แม้แต่ 00:59:24
39 except ยกเว้น 01:01:08
40 for สำหรับ / เพื่อ 01:02:34
41 free time เวลาว่าง 01:03:49
42 get (+adj) ทำให้รู้สึก 01:05:24
43 good at เก่ง 01:07:00
44 happy to ยินดี 01:08:31
45 Have…ever…? เคย…ไหม 01:10:08
46 if ถ้า 01:11:38
47 improve พัฒนา 01:13:10
48 in fact จริงๆ แล้ว 01:14:53
49 in order to เพื่อที่จะ 01:16:40
50 instead of แทนที่จะ 01:18:19
51 in terms of ในด้านของ / ในเชิงของ 01:20:42
52 in that case ถ้าอย่างนั้น / งั้น 01:22:30
53 just แค่ / เพียงแต่ 01:24:15
54 just about to กำลังจะ…พอดี 01:25:52
55 just in case เผื่อ 01:27:19
56 keep เรื่อยๆ / ต่อเนื่อง 01:29:12
57 kinds of แบบ/อย่าง ต่างๆ 01:31:01
58 let ยอมให้ 01:32:34
59 looks like ดูเหมือน 01:34:11
60 mainly ส่วนมาก / โดยหลัก 01:35:53
61 make sure ทำให้แน่ใจ / อย่าลืม 01:38:00
62 meant to ตั้งใจจะ / กะว่าจะ 01:39:37
63 mind รังเกียจ / จะว่า 01:41:15
64 most ส่วนมาก 01:42:52
65 next ต่อไป 01:44:25
66 no matter ไม่ว่า 01:46:02
67 only เท่านั้น 01:47:43
68 on top of that ยิ่งกว่านั้น / แถม 01:49:02
69 otherwise ไม่อย่างนั้น 01:50:52
70 pretty much แทบจะ 01:52:39
71 probably น่าจะ / คงจะ 01:54:11
72 quite ค่อนข้าง 01:55:46
73 rather than แทนที่ / มากกว่า 01:57:12
74 really จริงๆ / มาก / จัง 01:58:50
75 recommend แนะนำ 02:00:22
76 rely on พึ่งพา 02:02:43
77 reminds me of ทำให้นึกถึง 02:04:24
78 right? ใช่ไหม 02:05:56
79 sort of ค่อนข้าง / แบบว่า / …ไปหน่อย 02:07:22
80 so that’s why ก็เลย / ดังนั้น 02:08:53
81 still ยัง…อยู่ 02:10:26
82 such a มาก / จัง 02:11:45
83 tend(s) to น่าจะ / ย่อมจะ 02:13:08
84 than กว่า 02:14:25
85 that ขนาดนั้น 02:15:51
86 the more … the more ยิ่ง … ก็ยิ่ง 02:17:15
87 though ถึงแม้ … ก็ตาม 02:19:00
88 together ด้วยกัน 02:20:48
89 too much มากเกินไป 02:22:12
90 unless เว้นแต่ 02:23:30
91 usually มักจะ / ปกติจะ 02:25:10
92 used to เมื่อก่อนเคย 02:26:37
93 whatever (ไม่ว่า) อะไรก็ตาม 02:28:30
94 whether … or not หรือไม่ 02:29:57
95 which ซึ่ง / ที่ 02:31:45
96 within ภายใน 02:33:21
97 without โดยที่ไม่ 02:35:05
98 too ด้วย / เช่นกัน 02:36:40
99 Would like อยาก 02:38:33
100 yet หรือยัง 02:39:57

100 โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ English by Chris

ฝึกแต่งประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐาน | V.to be | is am are was were | เรียนง่ายภาษาอังกฤษ


เรียนภาษาอังกฤษ ฝึกแต่งประโยคในชีวิตประจำวัน ฟรีภาษาอังกฤษ
คลิปนี้จะมาสอนการฝึกแต่งประโยคด้วยการใช้ verb to be จะมาทำความรู้จักกับ verb to be is am are was were แต่งประโยคปัจจุบันอดีตอนาคตโครงสร้างประโยคทั่วไปประธานกริยากรรมจำที่ใช้หลัง verb to be

ฝึกแต่งประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐาน | V.to be | is am are was were | เรียนง่ายภาษาอังกฤษ

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่MAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ รูป ประโยค ภาษา อังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *