Skip to content
Home » [NEW] บทสนทนาภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์ พูดคุยโทรศัพท์กับลูกค้าฉบับจัดเต็ม! ห้ามพลาด! | สาย วัด ตัว ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES

[NEW] บทสนทนาภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์ พูดคุยโทรศัพท์กับลูกค้าฉบับจัดเต็ม! ห้ามพลาด! | สาย วัด ตัว ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES

สาย วัด ตัว ภาษา อังกฤษ: คุณกำลังดูกระทู้

106

SHARES

Facebook

Twitter

บทสนทนาภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์ ไว้ฝึกพูดคุยกับลูกค้า การติดต่อทางโทรศัพท์เป็นช่องทางการติดต่อที่ค่อนข้างรวดเร็วกว่าช่องทางอื่น และการสนทนาทางโทรศัพท์ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เพราะคุณแค่จำประโยคไม่กี่ประโยค ก็สามารถรับสาย พูดคุยกันได้แล้วครับ

บทสนทนา ภาษา อังกฤษ ทาง โทรศัพท์

Table of Contents

บทสนทนาภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์

ลองมาดูตัวอย่างการสนทนาภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์กันดูสักหน่อยนะครับ ที่บอกว่ามันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยนั้น มันเป็นความจริงหรือเปล่า

ตัวอย่างบทสนทนา 1

Operator: Hello, ABC Travel, Somying speaking. How can I help you?
โอเปอเรเตอร์ : เฮ็ลโล เอบีซี แทร๊เวิล สมหญิง สปีคคิง ฮาว แคน ไอ เฮ็ลพ ยู๊
(สวัสดีค่ะ เอบีซีทราว็ล ดิฉันสมหญิงรับสาย มีอะไรให้ช่วยเหลือคะ)

You: Yes, can I speak to Mr. John Doe, please?
คุณ: เย็ส แคน ไอ สปีค ทู มิ๊สเตอะ จอน โด พลีส
(ค่ะ ฉันขอคุยสายกับคุณจอห์นโดหน่อยค่ะ)

Operator: Who’s calling please?
โอเปอเรเตอร์ : ฮูส ค๊อลลิง พลีส
(ไม่ทราบว่าใครโทรมาคะ)

You: It’s Jenny White from  XYZ Tour.
คุณ: อิทส เจ็นนิ ไวท ฟรอม เอ็กซ วาย เซ็ด ทัว
(ชื่อเจนนี่ไวท์ จากเอ็กซ์วายแซดทัวร์ค่ะ)

Operator: Please hold and I’ll put you through.
โอเปอเรเตอร์ : พลีส โฮลด์ แอน ไอล พุท ยู ธรู
(ถือสายรอสักครู่ ฉันจะโอนสายให้นะคะ)

You: Thank you.
คุณ : แธ็งคิว
(ขอบคุณค่ะ)

ตัวอย่างบทสนทนาภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์ด้านบนนี้ หมายความว่า คนที่คนโทรมาต้องการคุยด้วยอยู่ในสำนักงานนะครับ จะเห็นได้ว่ามีการโอนสายให้ได้พูดคุยกัน

ตัวอย่างบทสนทนา 2

Operator: Hello, ABC Travel. How may I help you?
โอเปอเรเตอร์ : เฮ็ลโล เอบีซี แทร๊เวิล ฮาว เม ไอ เฮ็ลพ ยู๊
(สวัสดีค่ะ เอบีซีทราว็ล มีอะไรให้ช่วยเหลือค่ะ)

You: Hello, this is Jenny White from  XYZ Tour.
May I speak to Mr. John Doe, please.
คุณ : เฮ็ลโล ดิส อิส เจ็นนิ ไวท ฟรอม เอ็กซ วาย เซ็ด ทัว
เม ไอ สปีค ทู มิ๊สเตอะ จอน โด พลีส
(สวัสดีค่ะ นี่คือเจนนี่ไวท์จากเอ็กซ์วายแซดทัวร์)
(ฉันขอคุยสายกับคุณจอห์นโดหน่อยค่ะ)

Operator: I’m sorry. He’s out.
Would you like to leave a message?
โอเปอเรเตอร์ : ไอม ซ๊อริ ฮีส เอ๊า
วุด ยู ไลค ทุ ลิฝ อะ เม็สสิจ
(ฉันขอโทษด้วยค่ะ เขาออกไปข้างนอก)
(คุณต้องการจะฝากข้อความไหมคะ)

You: Yes, please tell him to call me back later.
คุณ : เย็ส พลีส เท็ล ฮิม ทู คอล มี แบ็ค เล๊เทอะ
(ค่ะ ช่วยบอกให้เขาโทรหาฉันด้วยนะค่ะ)

Operator: Does he have your number?
โอเปอเรเตอร์ : ดัส ฮี แฮฝ ยัว นัมเบ๊อะ
(เขามีเบอร์โทรของคุณไหมคะ)

You: Yes, he does.
คุณ : เย็ส ฮี ดัส
(ครับ เขามี)

Operator: Okay, I’ll tell him to call back you as soon as possible.
Thanks for calling.
โอเปอเรเตอร์ : โอเค ไอล เท็ล ฮิม ทู คอล ยู แบ็ค แอ็ส ซูน แอ็ส พ๊อซเซอะเบิล
แธ็งส์ ฟอ ค็อลลิง
(ตกลงค่ะ ฉันจะบอกเขาให้โทรหาคุณโดยเร็วที่สุด)
(ขอบคุณค่ะที่โทรมา)

You: Thank you.
คุณ : แธ็งคิว
(ขอบคุณค่ะ)

สนทนาทางโทรศัพท์

ประโยคสำหรับการรับสาย

การรับสายโทรศัพท์ โดยมากจะเป็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ หรือ โอเปอเรเตอร์ของหน่วยงาน ซึ่งประโยคที่ใช้ในการรับสายโทรศัพท์มีง่ายๆ ดังนี้

การการทักทาย

การทักทายโดยใช้ภาษาสุภาพทั่วไปคือ Hello.

หรือจะใช้ภาษาทางการหน่อยก็จะใช้คำทักทายตามช่วงเวลาของวันคือ

  • Good morning.
    สวัสดีตอนเช้า
  • Good afternoon.
    สวัสดีตอนบ่าย
  • Good evening.
    สวัสดีตอนเย็น

การบอกชื่อบริษัท หรือแผนก

ถ้าเป็นบริษัทไม่ใหญ่โตมาก หรือเป็นสำนักงานเล็กๆ ก็จะบอกชื่อบริษัทไปเลย แต่ถ้าเป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีหลายแผนก อาจจะบอกชื่อแผนกไปเลยก็ได้ เช่น

  • Hello, ABC Company.
    สวัสดีค่ะ บริษัทเอบีซี
  • Good morning, the marketing department.
    สวัสดียามเช้า ฝ่ายการตลาด
  • Hello, the customer service.
    สวัสดีค่ะ ฝ่ายบริการลูกค้า

การบอกชื่อผู้รับสาย

การบอกชื่อผู้รับสาย เพื่อให้ผู้โทรมาได้ทราบข้อมูลผู้ที่สามารถประสานงานได้ ในภายหลัง หรือจะไม่บอกก็ไม่เป็นไร

  • Hello, ABC Company, Somyin speaking.
    สวัสดีค่ะ บริษัทเอบีซี ดิฉันสมหญิงรับสาย
  • Good morning, the marketing department, Somchai speaking.
    สวัสดียามเช้า ฝ่ายการตลาด กระผมสมชายรับสาย

การถามความต้องการ

ประโยคสุดท้ายในการรับสายคือ ถามความต้องการของผู้ที่โทรมานั้นเอง ภาษาสุภาพจะใช้สำนวน “มีอะไรให้ช่วยเหลือคะ” ความหมายคือ “โทรมาทำไมคะ” นั่นแหละ

  • Hello, ABC Company, Somyin speaking. May I help you?
    สวัสดีค่ะ บริษัทเอบีซี ดิฉันสมหญิงรับสาย มีอะไรให้ช่วยเหลือคะ

สำนวนที่ใช้ถามความต้องการ หรือเสนอความช่วยเหลือให้ใช้สำนวนต่อไปนี้้ ซี่งมีความหมายเดียวกัน

  • May I help you?
  • Can I help you?
  • How may I help you?
  • How can I help you?

ประโยคสำหรับการบอกความต้องการ

ประโยคในการบอกความต้องการ จะเป็นฝ่ายคนที่โทรไปนะครับ ว่าจุดประสงค์ของการโทรไปเพื่ออะไร เช่น เพื่อพูดกับผู้จัดการ เพื่อยืนยัน เพื่อแจ้ง เพื่อร้องเรียน เป็นต้น

การแนะนำตัว

ถ้าเป็นการติดต่อประสานงานระหว่างบริษัท ประการแรกเลยให้แนะนำตัวเองก่อนว่าเป็นใคร มาจากไหน เพื่อให้ผู้รับสายได้ทราบข้อมูลเบื้องต้น แต่ถ้าคุณเป็นลูกค้าโทรไปหาบริษัท คงไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวนะครับ

  • Hello, this is Jenny White from ABC Company.
    สวัสดี นี่คือเจนนี่ไวท์ จากบริษัทเอบีซี
  • Hello, it’s Jenny White from ABC Company.
    สวัสดี นี่คือเจนนี่ไวท์ จากบริษัทเอบีซี
  • Hello, I’m Jenny White from ABC Company.
    สวัสดี ฉันคือเจนนี่ไวท์ จากบริษัทเอบีซี

การบอกความต้องการ

ต่อมาคือการแจ้งให้ผู้รับสายทราบว่าที่เราโทรไปนั้น เรามีจุดประสงค์ใด

  • I’d like to speak to Mr. John Doe.
    ผมต้องการพูดกับคุณจอห์นโด
  • May I speak to Mr. John Doe?
    ผมขอพูดกับคุณจอห์นโดหน่อย
  • I’m calling to confirm the meeting next week.
    ผมโทรมาเพื่อยืนยันการประชุมสัปดาห์หน้า
  • I’m calling to inform the payment.
    ผมโทรมาเพื่อแจ้งการทำธุรกรรมการเงิน
  • I’m calling to cancel the reservation.
    ผมโทรมาเพื่อยกเลิกการจอง
  • I’m calling to claim the product.
    ผมโทรมาเพื่อเคลมสินค้า
  • I’d like to know more about your new phone.
    ผมต้องการทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทรศัพท์รุ่นใหม่ของคุณ
  • I want to buy a ticket.
    ผมต้องการซื้อตั๋ว
  • I want to buy an iPhone XS.
    ผมต้องการซื้อโอโฟน XS
  • etc…

การถามชื่อผู้โทรมา

การติดต่อกันระหว่างบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้บริหาร ผู้ที่มีตารางการทำงานชัดเจน การโทรไปคุยเล่นๆ ถ้าไม่ใช่เพื่อนกันคงทำไม่ได้ ดังนั้นโอเปอเรตอร์ต้องถามไถ่ก่อนว่าคนที่โทรมาเป็นใคร ต้องการอะไร สำนวนในการถามชื่อมีดังนี้

  • Who shall I say is calling? 
    ใครโทรมาคะ
  • Who’s calling, please?
    ใครโทรมาคะ
  • Who’s speaking?
    ใครกำลังพูดสายอยู่
  • Could I ask who’s calling, please?
    ขอถามหน่อยนะคะ ว่าใครโทรมา
  • May I have your name, please?
    ขอทราบชื่อด้วยค่ะ

การบอกให้สะกดชื่อ

การบอกให้สะกดชื่อในกรณีที่เขาบอกชื่อเราแล้ว แต่เราไม่แน่ใจว่าจะเขียนถูกไหม ก็สามารถให้เขาสะกดชื่อได้ครับ โดยใช้สำนวน

How do you spell….?

  • Operator: I’m sorry. He’s out. Would you like to leave a message?
    ขอโทษคะ เขาออกไปข้างนอก คุณต้องการฝากข้อความไหมคะ
  • You: Okay, please tell him that Ana Thomson Call?
    ค่ะ ช่วยบอกเขาด้วยว่าอันนา ทอมสันโทรมา
  • Operator: How do you spell Ana?  
    คุณสะกดคำว่าอันนาอย่างไร
  • You: It’s A-N-A.
    มันคือ A-N-A

ประโยคบอกให้รอสาย และการโอนสาย

หลังจากที่ทราบความต้องการของผู้โทรแล้ว ถ้าต้องการให้เขารอสาย เพื่อตามคนที่เขาต้องการคุยด้วย เพื่อหาข้อมูลตอบกลับไป หรือถือสายรอเพื่อโอนสาย สามารถใช้สำนวนเหล่านี้ได้เลย

  • Hold the line, please. I’ll check if he is available now.
    ถือสายรอสักครู่ ฉันจะเช็คดูว่าเขาว่างจะคุยหรือยัง
  • One moment please. I’ll put you through.
    ขอเวลาสักครู่ ฉันจะโอนสายให้
  • Please hold.  I’ll put you through to Mr. White. 
    กรุณาถือสายรอสักครู่ ฉันจะโอนสายคุณไปยังคุณไวท์

ประโยคบอกปฏิเสธ

การบอกปฏิเสธ หมายถึง ไม่สามารถปฏิตามที่ผู้โทรต้องการได้ เช่น ต้องการคุยกับผู้จัดการ แต่ผู้จัดการไม่อยู่ ไม่ว่าง เป็นต้น ถ้าคนนั้นไม่ว่าง หรือไม่อยู่ เราสามารถใช้สำนวนเหล่านี้ได้

  • I’m sorry, she’s not here today.
    ขอโทษครับ หล่อนไม่มาทำงานวันนี้
  • I’m sorry, he’s out.
    ขอโทษครับ เขาออกไปข้างนอก
  • I’m sorry, he’s in the meeting room.
    ขอโทษครับ เขากำลังประชุมอยู่
  • I’m sorry, he’s not available at the moment.
    ขอโทษครับ เขาไม่ว่างตอนนี้
  • I’m sorry, she’s busy.
    ขอโทษครับหล่อนไม่ว่าง
  • I’m sorry, you got the wrong number.
    ขอโทษครับ คุณโทรผิดแล้ว
  • I’m sorry, there’s nobody here by that name.
    ขอโทษครับ ไม่มีคนชื่อนั้นในนี้เลย

การรับฝากข้อความ

อันนี้ต่อเนื่องมาจากไม่สามารถพูดคุยกับคนที่คุณต้องการได้ ทำอย่างไรจะสามารถติดต่อกันได้ ก็โดยการฝากข้อความ  การฝากข้อความสั้นๆ ก็อาจจะจดโน๊ตไว้ หรือฝากด้วยวาจาก็ได้ เช่น ฝากบอกว่าบริษัท ABC ยอมรับข้อเสนอ หรือ ยืนยันการนัดหมาย เป็นต้น  แต่ถ้าเป็นการพูดคุยเพิ่มเติม ก็คงต้องฝากบอกให้โทรกลับอย่างเดียว

โอเปอเรเตอร์

  • Can I take a message?
    ขอรับฝากข้อความไว้นะคะ
  • Would you like to leave a message?
    คุณต้องการฝากข้อความไหมคะ

ผู้ติดต่อ

  • Can I leave a message?
    ขอฝากข้อความไว้หน่อยนะครับ
  • Could you give him a message?
    ช่วยฝากข้อความไปให้เขา/เธอด้วยนะครับ
  • Could you tell Mr. White that ABC Company accepted the offer?
    ช่วยบอกคุณไวท์ด้วยนะครับว่าบริษัทเอบีซียอมรับข้อเสนอ
  • Could you tell him that the flight will be delayed over 2 hours?
    คุณช่วยบอกเขาหน่อยว่าเที่ยวบินจะดีเลย์เกิน 2 ชั่วโมง
  • Could you tell her that Jo called?
    ช่วยบอกเธอหน่อยว่าโจโทรมา
  • Could you tell him to call me back?
    ช่วยบอกเขาให้โทรกลับหาผมหน่อย

การกล่าวลา

การกล่าวลาจากการพูดคุย ถ้าเป็นภาษาเราก็คือ สวัสดี ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า Goodbye หรือ ง่ายๆกันเองคือ Bye แต่มีสำนวนอื่นๆ ที่ควรนำไปใช้ ดังนี้

  • Thanks for calling.
    ขอบคุณที่โทรมา
  • Thanks for calling. Bye for now.
    ขอบคุณที่โทรมา สวัสดีค่ะ
  • Thank you for your time.
    ขอบคุณที่สละเวลา

ขอ 5 ดาวให้บทเรียนด้วยครับผม…

คลิกดาวดวงที่ขวามือสุดเลยครับครับ…

Average rating 4.6 / 5. Vote count: 108

ยังไม่มีใครให้ดาว คุณคือคนแรก….

[NEW] เจาะลึก! เรียน “เอกอังกฤษ” ต้องเทพอังกฤษระดับไหน และเขาเรียนอะไรกันบ้าง? | สาย วัด ตัว ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว

Dek-D.com

วันนี้

พี่พิซซ่า

จะมาดูสาขาการเรียนที่เป็นสาขาในฝันของคนสนใจภาษาอังกฤษ อย่างเอกภาษาอังกฤษหรือเอกอิ๊งค์ (Eng) ที่เรียกกันโดยทั่วไปนั่นเอง หลายคนคิดว่าจะเข้าเอกอังกฤษได้คือต้องเป็นเทพภาษาอังกฤษที่พูดอังกฤษได้ประหนึ่งภาษาแม่ หรือต้องเคยไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศมาตอนมัธยม หรือไม่ก็จบนานาชาติเท่านั้นถึงจะเข้าได้ มาทำความรู้จักสาขานี้ให้ลึกซึ้งกันดีกว่าค่ะว่ามันเหมือนที่เขาว่ากันว่ามาจริงมั้ย


 

หมายเหตุ: บทความนี้จะเน้นไปที่เอกภาษาอังกฤษ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหลัก
เพราะผู้เขียนบทความจบมาโดยตรง เอกอังกฤษของมหาวิทยาลัยอื่นอาจมีหลักสูตรที่แตกต่างออกไป

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการเรียนเอกภาษาอังกฤษ

1. เป็นหลักสูตรนานาชาติที่เรียนทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ

X

     จริงๆ แล้วเอกภาษาอังกฤษเป็นหลักสูตรภาคปกติไม่ใช่หลักสูตรนานาชาติค่ะ เรายังต้องเรียนวิชาพื้นฐานทั่วไปเหมือนเอกอื่นๆ ตัวอย่างวิชาพื้นฐานคณะอักษรศาสตร์ก็เช่น วรรณคดีไทย, การเขียนภาษาไทยเพื่อวิชาชีพ, อารยธรรมตะวันออก, อารยธรรมตะวันตก, ปรัชญาทั่วไป, ปริทัศน์ศิลปการละคร หรือภาษาทัศนา ซึ่งวิชาเหล่านี้เรียนเป็นภาษาไทยค่ะ แต่พอขึ้นปี 2 ที่เลือกเอกกันแล้ว เอกอังกฤษก็จะเรียนวิชาของเอกเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ว่าอาจารย์จะเป็นอาจารย์ชาวไทยหรือชาวต่างชาติก็ตาม เวลาสอนอาจารย์จะแทบไม่พูดภาษาไทยเลย ยกเว้นก็วิชาการแปลที่จะใช้ภาษาไทยเยอะเป็นพิเศษทั้งแปลอังกฤษ-ไทยและแปลไทย-อังกฤษ เพราะการใช้ภาษาไทยให้ถูกก็เป็นเรื่องสำคัญด้วยเช่นกัน ส่วนหนังสือเรียนก็ภาษาอังกฤษล้วนเลยค่ะ

2. คนที่เข้าเอกอังกฤษได้เคยไปอยู่เมืองนอกกันมาแล้วทั้งนั้น 

X

     ข้อนี้ก็ไม่ใช่ความจริงนะคะ จริงอยู่ว่าหลายคนในเอกเคยไปแลกเปลี่ยนสมัยมัธยม แต่ก็ไม่ใช่แค่เอกอังกฤษค่ะ เอกอื่นๆ ในคณะก็มีคนไปแลกเปลี่ยนมาแล้วเช่นกัน แต่ประชากรส่วนมากในคณะก็เป็นนักเรียนที่ไม่เคยไปแลกเปลี่ยนมาก่อนนะคะ หลายคนไม่เคยไปต่างประเทศเลยด้วย และก็ไม่จำเป็นว่าต้องจบจากโรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนคริสต์ หรือโรงเรียนระบบไบลิงกวลเท่านั้นที่ระดับภาษาเก่งพอจะเข้าเอกได้ เด็กโรงเรียนรัฐบาลไทยทั่วไปจากทั่วประเทศก็สามารถเข้าเอกอังกฤษได้ทั้งนั้นค่ะ

3. คนที่เข้าเอกอังกฤษได้ต้องพูดอังกฤษปร๋อมาก่อนแล้ว 

X

     นี่ก็ไม่ใช่เรื่องจริงเช่นกันค่ะ อย่างรุ่นที่พี่เรียนมีเอกอังกฤษประมาณ 80 คน คนที่พูดอังกฤษเก่งมาก่อนในระดับเป็นภาษาแม่มีประมาณ 5 คนเอง ซึ่งพี่ก็ไม่ใช่หนึ่งในนั้นด้วย 555 ส่วนมากตอนที่อยู่ปี 2 ก็ไม่ได้เก่งกันแบบฟังพูดอ่านเขียนระดับสูงเลยนะคะ ส่วนใหญ่จะอยู่ระดับกลางๆ กัน และหลายคนไม่ได้เก่งครบทุกทักษะด้วย อย่างพี่ตอนนั้นได้แค่ฟัง ส่วนพูดอ่านเขียนนี่ระดับกลางๆ เอง แต่พอได้เข้าเอกอังกฤษแล้วก็ได้เรียนวิชาโน้นวิชานี้ จนได้พัฒนาหลายๆ ทักษะไปพร้อมๆ กัน และไปไกลกว่าตอนเป็นเฟรชชี่เยอะเลยค่ะ

4. คนที่เข้าเอกอังกฤษได้ ต้องได้เกรดรวมสูงๆ ในปี 1  

X

     ถ้าหมายถึงเกรดเฉลี่ยรวมก็บอกได้เลยว่าไม่ใช่ค่ะ เพราะวิชาเรียนในปี 1 เป็นวิชาพื้นฐานคณะอักษรศาสตร์ ที่นอกจากสายภาษาแล้วก็มีทั้ง ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สารนิเทศ ปรัชญา และศิลปการละคร ดังนั้นจะเอาเกรดจากวิชาเหล่านี้มาเป็นตัวตัดสินว่าเข้าเอกอังกฤษได้มั้ยก็คงไม่แฟร์แน่ๆ ฉะนั้นเกรดที่เอามาตัดสินว่าจะได้เข้าเอกอังกฤษรึเปล่าคือเกรดวิชาภาษาอังกฤษ 2 (English II) และ แปลอังกฤษขั้นต้น (Introduction to Translation) ที่เป็นวิชาบังคับคณะตอนปี 1 เทอม 2 ค่ะ น้องต้องทำให้ได้อย่างน้อยเกรด B ทั้ง 2 ตัวถึงจะเข้าเอกอังกฤษได้
     ถามว่ายากมั้ย ก็ขึ้นกับตัวบุคคลนะคะ แต่น้องจะได้เรียนวิชาภาษาอังกฤษ 1 (English I) ในเทอมแรกของปี 1 วิชานี้เป็นเหมือนวิชาที่แนะนำให้น้องได้รู้จักกับการเรียนภาษาอังกฤษของอักษรศาสตร์ ซึ่งไม่เหมือนวิชาบังคับภาษาอังกฤษที่คณะอื่นเรียนกัน หลายคนได้เกรดวิชานี้ไม่ค่อยดีเพราะเพิ่งเข้ามาเลยยังปรับตัวไม่ได้ ทางภาควิชาจึงไม่เอาเกรดวิชาแรกนี้มาพิจารณาค่ะ ให้โอกาสน้องได้ปรับตัวและจับทางให้ได้ก่อน แม้วิชาในเทอม 2 จะยากกว่าแต่พอปรับตัวกับการเรียนมหาวิทยาลัยได้แล้ว หลายคนก็ทำเกรด 2 วิชานี้ได้ดีกว่าเกรดของอังกฤษ 1 อีก เลยทำให้ได้เกรดสูงพอที่จะเลือกเข้าเอกอังกฤษได้ ฉะนั้นถ้าใครเห็นเกรดอังกฤษ 1 แล้วช็อกก็ไม่เป็นไรนะคะ เทอม 2 อาจดีขึ้นก็ได้ การเข้าเอกอังกฤษไม่ได้ยากขนาดนั้นค่ะ

แนะนำหลักสูตรมัธยมที่

5. จะเข้าเอกอังกฤษได้ ต้องอ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษเยอะๆ

     ถ้ายิ่งอ่านเยอะก็ยิ่งทำให้มีโอกาสเข้าได้สูง แถมยังทำให้การเรียนวิชาบังคับสายวรรณคดีของเอกเป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วย แต่ถึงไม่เคยอ่านพวกเชคสเปียร์หรือหนังสือคลาสสิกที่ได้รางวัลมากมายมาก่อน ก็ยังมีโอกาสเข้าเอกอังกฤษได้อยู่ดีค่ะ อย่างที่บอกไปว่าปี 1 เทอม 1 จะได้เรียนวิชาภาษาอังกฤษ 1 (English I) ซึ่งในวิชานี้ก็จะได้อ่านอะไรเยอะเลยค่ะ มีหนังสือนอกเวลาที่อ่านทั้งตอนเปิดเทอมและปิดเทอมด้วย ถ้าก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเราต้องอยู่กับหลายวิชาเพื่อทำให้ได้คะแนนสูงๆ จนไม่ได้อยู่กับภาษาอังกฤษเป็นพิเศษมาก่อน ช่วงปี 1 เทอมแรกและช่วงปิดเทอมเล็กนี่แหละที่เราต้องพัฒนาตัวเองค่ะ และหลายคนก็ใช้ช่วงเวลาแค่นี้พัฒนาตัวเองได้เยอะเลยด้วย

6. จบเอกอังกฤษแล้วพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนฝรั่ง

     ก่อนอื่นต้องตีความก่อนว่า “พูดได้เหมือนฝรั่ง” หมายความว่าอะไร จะแปลว่าได้สำเนียงแบบฝรั่งเป๊ะ หรือพูดได้น้ำไหลไฟดับเหมือนเจ้าของภาษา จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าทุกคนที่จบเอกอังกฤษมาจะพูดสำเนียงบริติชหรืออเมริกันได้เป๊ะๆ นะคะ คนที่ได้เป๊ะจริงก็มี แต่อีกหลายคนก็ยังติดสำเนียงไทยบ้าง และก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะพูดได้คล่องเท่ากันค่ะ
     เรื่องแบบนี้ขึ้นกับตัวบุคคลด้วย เนื่องจากในคณะมีวิชาเรียนให้เลือกมากมาย ถ้าใครชอบด้านวรรณคดีและลงวิชาวรรณคดีเยอะๆ ส่วนวิชาที่เน้นทักษะพูดลงเรียนแค่ตัวที่เป็นวิชาบังคับเท่านั้นไม่ลงตัวอื่นเพิ่ม คนนี้ก็อาจจะพูดได้ไม่คล่องมาก แต่เขาอาจจะมีทักษะการเขียนที่เลิศเลอมากเลยก็ได้ นอกจากนี้การมีโอกาสพูดบ่อยๆ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้บางคนพูดคล่องเป็นพิเศษ เช่นอาจจะไปปรึกษาพูดคุยกับอาจารย์ต่างชาติบ่อย หรือมีเพื่อนต่างชาติไว้พูดคุยด้วย ก็ทำให้มีความคล่องมากขึ้นได้ค่ะ

7. จบเอกอังกฤษต้องแปลออกหมดทุกคำ  

X

     นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เข้าใจผิดกันไปใหญ่ จบเอกอังกฤษไม่ได้แปลว่าจะแปลศัพท์อังกฤษทุกคำออกหมดเหมือนกินพจนานุกรมเข้าไปนะคะ ทุกวันนี้เราก็ยังใช้พจนานุกรมกันอยู่ค่ะ แต่คนนอกมักคิดว่าเราแปลได้ทุกอย่างบนโลก อย่างพี่ที่ไม่เคยท่องศัพท์เลยก็ไม่รู้ศัพท์เยอะอยู่เหมือนกันค่ะ อ่านข่าวต่างประเทศบางทีก็เจอคำที่ต้องไปเสิร์ชหาอยู่ตลอด ศัพท์บางตัวที่เจอ 10 ทีแล้วยังจำคำแปลไม่ได้ก็มี แต่ส่วนมากทักษะที่เราเก่งกันคือการเดาความหมายจากบริบทรอบข้าง บางทีแปลคำนั้นตรงๆ ไม่ได้ แต่อ่านทั้งย่อหน้าแล้วก็ทำให้เดาได้ว่าคำนั้นน่าจะสื่อความประมาณไหน และมีความหมายแง่บวกหรือลบหรือยังไง เท่านี้ก็ทำให้อ่านรู้เรื่องโดยที่ไม่ต้องแปลออกครบทุกตัว

เอกอังกฤษเขาเรียนอะไรกัน

     แน่นอนว่าการเรียนเอกภาษาอังกฤษในประเทศที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่กับประเทศที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ย่อมต่างกัน พี่พิซซ่าเลยเลือกตัวแทนหลักสูตรเอกภาษาอังกฤษมาเทียบกันจาก 4 ประเทศค่ะ คือ
 

      ประเทศไทย

ที่ใช้หลักสูตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นตัวแทน
      

เกาหลีใต้

ที่ใช้หลักสูตรของ Seoul National University เป็นตัวแทน
      

สหรัฐอเมริกา

ที่ใช้หลักสูตรของ University of California, Los Angeles เป็นตัวแทน
      และ

สหราชอาณาจักร

ที่ใช้หลักสูตรของ University of Cambridge เป็นตัวแทน

     สำหรับ

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิชาเอกภาษาอังกฤษเป็นวิชาเอกแบบเอก-โท แปลว่าเรียนวิชาเอกภาษาอังกฤษ 51 หน่วยกิต และต้องไปเรียนโทสาขาอื่นหรือคณะอื่นอีก 21 หน่วยกิต ซึ่งวิชาในเอกภาษาอังกฤษก็แบ่งเป็นวิชาบังคับ 24 หน่วยกิตหรือ 8 วิชา และวิชาเลือก 27 หน่วยกิตหรือ 9 วิชา แล้ววิชาเลือกในเอก 9 วิชานี้เนี่ย บังคับเป็นสายภาษา 3 วิชา สายวรรณคดี 3 วิชา และจะเลือกจากสายภาษาและ/หรือวรรณคดีก็ได้อีก 3 วิชาค่ะ จะเห็นว่าคนเรียนเอกอังกฤษเหมือนกันก็อาจถนัดและชอบไม่เหมือนกันก็ได้ อย่างพี่ที่ไม่ชอบอ่านวรรณกรรมเยอะๆ ตรงวิชาเลือกที่ให้เลือกฝั่งไหนก็ได้พี่ก็ลงสายภาษา เรียนการพูดกับการเขียนเพิ่มไปค่ะ

     สำหรับวิชาบังคับเอก 8 วิชานั้นมีทั้งสายภาษาและสายทักษะเท่าๆ กันอย่างละ 4 วิชา ได้แก่ ทักษะการพูดภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ, เรียงความอังกฤษ 1, ทักษะการอ่านอังกฤษ, ระบบเสียงและโครงสร้างภาษาอังกฤษขั้นต้น, การศึกษาวรรณกรรมอังกฤษเบื้องต้น, การอ่านวิเคราะห์เพื่อการศึกษาวรรณกรรมอังกฤษ, ภูมิหลังของวรรณคดีอังกฤษ, และภูมิหลังของวรรณคดีอเมริกัน ถ้าถามว่าแล้วเรียนแกรมมาร์ตรงไหน แกรมมาร์สอดแทรกอยู่ในภาษาอังกฤษ 1 และ 2 ที่เป็นวิชาบังคับปี 1 ไปเรียบร้อยแล้วค่ะ
     เมื่อเข้าเอกแล้วก็เหมือนอย่างที่บอกไปว่า มีวิชาทั้งสายภาษาและวรรณคดีให้เลือกเรียนมากมาย ซึ่งหลายคนก็อยากเรียนเยอะเกินหน่วยกิตที่ต้องเรียนอีก ตัวอย่างวิชาสายภาษาก็เช่น English Business Writing, Translation: Thai – English I, Phonetics for English Pronunciation, และ Creative Writing ส่วนสายวรณคดีก็มีวิชาที่น่าเรียนมากมายเช่นกัน อาทิ Mythological and Biblical Background to English Literature, Drama from the Twentieth Century to the Present,  Literature and Film, หรือ Shakespeare สายวรรณคดีก็มีให้เลือกอีกว่าชอบเรียนร้อยแก้วหรือร้อยกรอง หรือชอบสไตล์งานยุคไหน หรือชอบทางอังกฤษหรืออเมริกันอีก ใครชอบอ่านนิยายน่าจะเลือกยาก

     ทีนี้ลองมาดู

เอกอังกฤษของมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล

กันบ้าง ที่นี่ก็เลือกเอกอังกฤษกันทีหลังเหมือนกันค่ะ แต่ของเขาจะดูทั้งเกรดเฉลี่ยรวม เกรดเฉลี่ยเฉพาะวิชาที่ต้องใช้เข้าเอก ผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษและข้อสอบสรุปความและแปลความระหว่างภาษาเกาหลีและอังกฤษ รวมไปถึงยังต้องเขียน study plan เพื่อเข้าเอกด้วย โดยวิชาเฉพาะที่ใช้เข้าเอกจะมี 3 ตัวคือ Introduction to English Linguistics, Introduction to English Literature และ The World of English Masterpieces มีทั้งตัวสายภาษาและสายวรรณคดีเหมือนของไทยเลย
     เมื่อเข้าเอกได้แล้วก็มีวิชาเอกให้เลือกเรียนทั้งสายภาษาและสายวรรณคดีไม่ต่างกัน เช่น English Grammar, English Composition, Structure of English, Applied English Linguistics และ History of English Language สำหรับสายภาษา หรือ 18th and 19th-Century English Novel, English Poetry 1, English Drama, หรือ English and American Literary Criticism สำหรับสายวรรณคดี

     จะเห็นว่าของไทยกับของเกาหลีมีลักษณะคล้ายกัน อาจจะเพราะเป็นหลักสูตรปกติในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเหมือนกันด้วยก็ได้ โดยจะวัดความสามารถก่อนให้เข้าเอกเหมือนกัน และวิชาพื้นฐานที่ใช้เป็นคะแนนเข้าเอกก็จะเป็นวิชาวัดทักษะพื้นฐานทางภาษารวมถึงแกรมมาร์ด้วยค่ะ

     เอาล่ะ! มาดูของประเทศเจ้าของภาษากันบ้าง เริ่มจากของอเมริกาก่อนละกันนะคะ เพราะปริญญาตรีเรียน 4 ปีเหมือนบ้านเราค่ะ จะได้เห็นภาพง่ายๆ ส่วนปริญญาตรีของอังกฤษเรียน 3 ปี

     หลักสูตร

เอกภาษาอังกฤษของ UCLA

มีวิชาเตรียมก่อนเข้าเอกดังนี้
   – วิชา English Composition 3: English Composition, Rhetoric, and Language วิชาทักษะการเขียนขั้นสูงที่หากใครมีผลสอบ AP วิชาการเขียนมาแล้วก็ใช้แทนเกรดวิชานี้ได้
   – วิชา English 4W/4HW/4WS: Critical Reading and Writing วิชาที่เน้นทักษะการเขียนและการอ่านเชิงวิเคราะห์
   – กลุ่มวิชา English 10 (English 10A: Literatures in English to 1700; English 10B: Literatures in English, 1700-1850; English 10C: Literatures in English, 1850-Present) ทั้ง 3 วิชานี้ต้องเรียนทั้งปี เพื่อวัดความรู้ด้านวรรณคดี การอ่านและวิเคราะห์วรรณคดี และทักษะที่เกี่ยวข้อง
   
     นอกจากนี้ด้วยความที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักของประเทศอยู่แล้ว ทำให้มีข้อบังคับเพิ่มด้วยว่าเด็กเอกนี้ต้องได้ภาษาต่างประเทศอื่นๆ อีกอย่างน้อย 1 ภาษาในระดับ 5 (สูง) หรืออย่างน้อย 2 ภาษาในระดับ 3 (กลาง)
     เรามาดูกันต่อว่าพอเข้าเอกแล้ว เรียนอะไรกันอีกบ้าง? หลักสูตรของ UCLA จะบังคับให้เรียนวรรณคดีตามยุคสมัยอีก 4 วิชา วิชาละยุค และเรียนวรรณคดีตามธีมอีก 3 ตัว เช่น ธีมการศึกษาด้านเพศ ชาติพันธุ์ และความพิการ หรือธีมยุคหลังยุคล่าอาณานิคม นอกจากนี้ก็มีวิชาเลือกอีก 2 ตัว และมีวิชาสัมมนาทางวิชาการในชั้นปีสุดท้ายอีกตัวนึงค่ะ

     ส่วน

เอกภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์

นั้น จะแบ่งสไตล์การเรียนระหว่างปี 1-2 และปี 3 ที่เป็นปีสุดท้ายไว้ต่างกันค่ะ ช่วงปี 1-2 จะเน้นเรียนกว้างๆ แบบยังไม่ลงลึกมาก แต่เรียนด้านวรรณคดีล้วนๆ เลย โดยวิชาบังคับ 2 ตัวได้แก่ English Literature and its Contexts 1300-1550 และ Shakespeare จากนั้นก็มีวิชาบังคับเลือกอีก 4 จาก 5 ตัว ซึ่งก็คือยุคต่างๆ ของวรรณคดี นอกจากนี้ก็ต้องทำสารนิพนธ์อีก 2 ฉบับในธีมต่างๆ ที่สนใจเกี่ยวกับภาษาอังกฤษค่ะ
     ของปี 3 นั้นจะเรียนและทำรายงานวิชาบังคับ 2 ตัวคือ Practical Criticism และ Tragedy นอกจากนี้ก็ต้องทำวิทยานิพนธ์ 6,000-7,500 คำ 2 ฉบับ หรือจะเลือกทำวิทยานิพนธ์ 1 ฉบับ และทำสารนิพนธ์ที่บางกว่าอีก 2 ฉบับแทนก็ได้ ซึ่งธีมที่จะให้เลือกทำจะเปลี่ยนไปทุกปีการศึกษาค่ะ อย่างปีการศึกษานี้มีให้เลือก 14 หัวข้อ เช่น Shakespeare in Performance, Literature and Visual Culture และ Contemporary Writing in English

     จะเห็นว่าถ้าเป็นหลักสูตรเอกภาษาอังกฤษของประเทศเจ้าของภาษา จะไม่สอนเรื่องแกรมมาร์หรือทักษะฟังพูดอ่านเขียนระดับพื้นฐานอีก เริ่มต้นกันก็ที่การอ่านและเขียนในเชิงวิเคราะห์ระดับสูงเลย จากนั้นก็เน้นด้านวรรณคดีกันล้วนๆ ยิ่งถ้าเป็นของประเทศอังกฤษก็เน้นทำวิทยานิพนธ์กันตั้งแต่ปริญญาตรีเลยค่ะ เห็นแบบนี้แล้วนับถือนักศึกษาเคมบริดจ์เลยว่ามั้ย

    

วกกลับมาที่เรื่องการเข้าเอกภาษาอังกฤษในไทยของเรากันต่อ อย่างที่บอกไปค่ะว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเข้า และการจบออกมาก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ด้วยเช่นกัน ส่วนหลักสูตรเอกภาษาอังกฤษของไทยก็ออกแบบมาให้เหมาะกับคนไทยและการนำไปต่อยอดแล้ว ใครอยากเรียนเพื่อทำงานเกี่ยวกับภาษาก็มีวิชาสายภาษาให้เลือก แต่ถ้าใครอยากไปเรียนต่อด้านวรรณคดีโดยเฉพาะก็มีวิชาด้านวรรณคดีให้เลือกมากมายเช่นกัน บทความนี้ก็น่าจะคลายข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับการเรียนเอกภาษาอังกฤษได้ไม่มากก็น้อยนะคะ


Head, Shoulders, Knees \u0026 Toes – Exercise Song For Kids


To download and watch this video anywhere and at any time, get the ChuChu TV Pro app now by clicking the below link!
For Android Phones and Tablets https://chuchu.me/ChuChuTVAndroid
For Apple iPhones and iPads https://chuchu.me/ChuChuTViOS
.
.
. Global English Version https://bit.ly/2WggrvV
🎧 Listen to ChuChu TV on Spotify https://spoti.fi/2R4e4L1
\”Head, Shoulders, Knees and Toes\” Nursery Rhyme Exercise song. Make your kids Jump, Punch, March and do all sorts of exercises to keep themselves fit. We hope your kids enjoy themselves with their favorite ChuChu TV characters.
\”Head, Shoulders, Knees and Toes\” Exercise Song Lyrics:
Hi kids…
Let’s shake our body…
C’mon… dance to the tune.
Workout is a boon.
We are healthy soon.

Head, shoulders, knees and toes,
Knees and toes.
Head, shoulders, knees and toes,
Knees and toes.
And eyes, and ears, and mouth,
And nose.
Head, shoulders, knees and toes,
Knees and toes.
March march march Let us all March
March March March Get your body charged

Head, shoulders, knees and toes,
Knees and toes.
Head, shoulders, knees and toes,
Knees and toes.
And eyes, and ears, and mouth,
And nose.
Head, shoulders, knees and toes,
Knees and toes.
Jump Jump Jump, Lets all Jump
Jump Jump Jump, make your muscle pump

Punch Punch Punch, Lets all Punch
Punch Punch Punch, Have a hearty munch
Head, shoulders, knees and toes,
Knees and toes.
Head, shoulders, knees and toes,
Knees and toes.
And eyes, and ears, and mouth,
And nose.
Head, shoulders, knees and toes,
Knees and toes.
Please Subscribe to our channel https://bit.ly/32NxN7y
NEW 3D Animated Nursery Rhymes with Baby Taku from ChuChu TV:
Baby goes to Old MacDonald’s Farm https://www.youtube.com/watch?v=mBgOlyGpKrw
Baby Loves Stargazing Twinkle Twinkle Little Star https://www.youtube.com/watch?v=s1DtPUYby94
Baby is Sick Song https://www.youtube.com/watch?v=NjIEhuRG0Ks
Pat A Cake Song https://www.youtube.com/watch?v=XuLyllv3sU
ChuChu’s Baa Baa Black Sheep https://www.youtube.com/watch?v=0FxhksvgHcw
The Boo Boo Song https://www.youtube.com/watch?v=TmqbbtyyUQ
Baby’s Humpty Dumpty Song https://www.youtube.com/watch?v=x8oinWzA0Fs
Baby’s First Steps Song https://www.youtube.com/watch?v=sWkiwlFQ7cQ
Bath Song 2 https://www.youtube.com/watch?v=Qs_ll8GwhIE
Baby Care and Share Song https://www.youtube.com/watch?v=UYMm_zgAGaQ
No No Brush My Teeth Song https://www.youtube.com/watch?v=fyI_eCTPT_A
The Muffin Man https://www.youtube.com/watch?v=ZjbvlfxTgQw
No No Milk Song https://www.youtube.com/watch?v=kgRF3qhXlqI
Color Song The Wheels On The Bus https://www.youtube.com/watch?v=C4hvMJOvXWo
Hello Song https://www.youtube.com/watch?v=El9VkQCh4sg
ABC Song with ChuChu Toy Train https://www.youtube.com/watch?v=Nkmarl4ynRM
Doctor Checkup Song https://www.youtube.com/watch?v=R3XAfpxqfqQ
Yes Yes Fruits Song https://www.youtube.com/watch?v=nKm0g1boEhE
Wheels on the Bus Song Baby Starts Crying https://www.youtube.com/watch?v=0FwA1hMAb4
Baa Baa Black Sheep Song Colors of the Rainbow https://www.youtube.com/watch?v=_OuH7Ihbfc
Baby Goes Swimming Song https://www.youtube.com/watch?v=YvKHNShAaa4
Hickory Dickory Dock https://www.youtube.com/watch?v=Z2jRSAOdwx0
Johny Johny Yes Papa Grandparents Version https://www.youtube.com/watch?v=GAtj5v27heE
No No Yes Yes Go to School Song https://www.youtube.com/watch?v=4GcLWywzQXY
Yes Yes Wake Up Song https://www.youtube.com/watch?v=V7si2KRHLls
Nursery rhymes in English,Piosenki dla dzieci po angielsku, canciones en inglés para niños,เพลงภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก, Comptines en anglais,Kinderlieder in Englisch, Lagulagu anak berbahasa Inggeris, Musik Untuk Anak,Engelse kinderliedjes, Músicas em inglês para crianças, Gyerekzene, barnvisorna på engelska, 英文兒歌, Písničky v angličtině, أناشيد أطفال باللغة الإنجليزية, अंग्रेजी में नर्सरी कविताएं, Barnerim på engelsk, Canzoni per bambini in inglese
===============================================
Video: Copyright 2020 ChuChu TV® Studios
Music and Lyrics: Copyright 2020 ChuChu TV® Studios
ChuChu TV ®, Cutians ®, all the characters and logos
used are the registered trademarks of ChuChu TV Studios
===============================================
ChuChuTV NurseryRhymes

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

Head, Shoulders, Knees \u0026 Toes - Exercise Song For Kids

วิธีใช้มัลติมิเตอร์แบบง่ายๆ ตอนที่ 1 มัลติมิเตอร์ดิจิตอล


วิธีใช้มัลติมิเตอร์แบบง่ายๆ ตอนที่ 1 มัลติมิเตอร์ดิจิตอล แนะนำฟังชั่นการใช้งานต่างๆ ของมิเตอร์ดิจิตอล

วิธีใช้มัลติมิเตอร์แบบง่ายๆ ตอนที่ 1 มัลติมิเตอร์ดิจิตอล

วิชาภาษาอังกฤษ (T.Tong) | ป.2 | Say hello2 P.27-28 | My clothes 1


วิชาภาษาอังกฤษ (T.Tong) | ป.2 | Say hello2 P.27-28 | My clothes 1

EP.1 | การวัดตัวเพื่อตัดเสื้อผ้า [ขอมาจัดไป]::byแมวJARAD


อธิบายการวัดตัวลูกค้าอย่างละเอียด บอกเทคนิคการเช็คเอว ดูสะโพกที่แท้จริง วัดตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
สอบถามเกี่ยวกับการตัดเย็บเสื้อผ้าและสมัครคอร์สเรียนออนไลน์ได้ที่
Line ▶ http://line.me/ti/p/~@jarad
Facebook fanpage:https://www.facebook.com/jaradbag/

EP.1 | การวัดตัวเพื่อตัดเสื้อผ้า [ขอมาจัดไป]::byแมวJARAD

ภาษาอังกฤษ 40 คำที่ใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน | คำนี้ดี EP.477


เตรียมกดพอสและพูดตามได้เลย เพราะ 40 คำศัพท์นี้จำง่ายและนำไปใช้ได้จริง!
คำนี้ดีเอพิโสดนี้ เราได้รวบรวมศัพท์ที่ทุกๆ คนควรจะรู้จักเอาไว้ให้แล้ว เป็นศัพท์คุ้นหูคุ้นตาที่เราเจอได้บ่อยมากๆ เวลาใช้หรือพูดคุยภาษาอังกฤษกัน ระดับของคำศัพท์ส่วนใหญ่จะเป็น ‘ง่าย’ และ ‘ยากกว่าง่ายขึ้นมานิดหนึ่ง’ พร้อมกับประโยคตัวอย่างให้คุณผู้ชมได้นำไปท่องและใช้กันได้ทุกวัน
มีคำไหนที่อยากรู้ความหมายและวิธีใช้ก็คอมเมนต์กันไว้ได้เลยนะครับ
———————————————
THE STANDARD PODCAST : EYEOPENING FOR YOUR EARS
พอดแคสต์จากสำนักข่าว THE STANDARD
Website : https://www.thestandard.co/podcast
SoundCloud: https://soundcloud.com/thestandardpodcast
Spotify : https://open.spotify.com/show/7o7TF3zfPyoydhWxtGSzLC?si=Nb_LuV8NS3C9mJ6ePdXLA
Twitter : https://twitter.com/TheStandardPod
Facebook : https://www.facebook.com/thestandardth/
คำนี้ดี TheStandardPodcast TheStandardco TheStandardth

ภาษาอังกฤษ 40 คำที่ใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน | คำนี้ดี EP.477

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ สาย วัด ตัว ภาษา อังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *