Skip to content
Home » [NEW] การใช้ Prepositions of time ในภาษาอังกฤษ | since ใช้ยังไง – NATAVIGUIDES

[NEW] การใช้ Prepositions of time ในภาษาอังกฤษ | since ใช้ยังไง – NATAVIGUIDES

since ใช้ยังไง: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

Prepositions of time คือ คำบุพบทที่ใช้กับเวลา ที่ควรทราบได้แก่
กลุ่มที่ 1 : at, in, on
กลุ่มที่ 2 : during, for, while, since
กลุ่มที่ 3 : by, till/until, from..to, before, after
กลุ่มที่ 4 : on time, in time

กลุ่มที่ 1: at, in, on
1. ใช้ at ในกรณีต่อไปนี้
at + time เช่น
at 2 p.m.     at 6.30     at midnight     at noon (= at 12)
at lunchtime     at night     at midday     at this/that time
at dawn     at dusk
at + weekends เช่น at weekends     at the weekend
at + เทศกาล/วันหยุดนักขัตฤกษ์ เช่น at Christmas     at Easter
at + อายุ เช่น at the age of 14
ตัวอย่าง
A : Shall we go swimming at 3 p.m. ?
B : That’s fine.
ก – เราไปว่ายนํ้าด้วยกันตอนบ่าย 3 โมงดีไหม
ข – ตกลง
A : When could you swim ?
B : At the age of six.
ก – คุณว่ายน้ำเป็นเมื่อไร
ข – เมื่ออายุ 6 ปี

2. ใช้ in ในกรณีต่อไปนี้
in + ส่วนของวัน เช่น
in the morning     in the afternoon     in the evening
in + เดือน เช่น
in July     in March     in December     in August     in April
in + ปี เช่น
in 2000     in 1990     in 1968     in the year 2050     in 1948
in + ฤดูกาล เช่น
in (the) summer     in (the) winter     in (the) spring
in + ศตวรรษ เช่น
in the 20th century     in the 19th century
in + ช่วงเวลา เช่น
in Ramadan (ช่วงรอมฎอน ในศาสนาอิสลาม) in a week’s time
ตัวอย่าง
A : What will the world be like in the year 2050 ?
B : It will be overpopulated.
ก – โลกจะเป็นเช่นไรในปี ค.ศ. 2050
ข – ประชากรจะล้นโลก
A : What did Nostradamus say ?
B : He said World War III would break out in the 21st century.
ก – นอสตราดามุสกล่าวว่าอะไร
ข – เขากล่าวว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21

3. ใช้ on ในกรณีต่อไปนี้
on + วัน เช่น
on Monday     on Wednesday     on Christmas day
on + วัน + ส่วนของวัน เช่น
on Monday morning     on Wednesday night
on + วัน + วันที่ เช่น
on 4th June     on Monday, July 14     on December 1st
on + โอกาสพิเศษ เช่น  on my birthday     on that day
on + วันเฉลิมฉลอง เช่น
on New Year’s Day     on Christmas day
ตัวอย่าง
A : What will you be doing on New Year’s Day ?
B : We’ll be having a party.
ก – คุณจะทำอะไรในวันปีใหม่
ข – เราจะจัดงานเลี้ยง
A : Do you study on Saturday ?
B : No.
ก – คุณเรียนวันเสาร์หรือเปล่า
ข-ไม่

4. ไม่ใช้คำบุพบท at, on, in หน้าคำต่อไปนี้คือ next, last, every, all, each, some, any และ one
เช่น on next Monday X        next Monday /
in this evening X            this evening /
at every weekend X            every weekend /
in last summer X            last summer /
ตัวอย่าง
A :    What did you do last Friday ?
B :    We went to Rayong.
ก –    คุณทำอะไรเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
ข –    เราไประยอง
A :    What do you usually do every weekend ?
B :    I usually play tennis.
ก –    ปกติคุณทำอะไรทุกวันหยุดสุดสัปดาห์
ข –    ปกติผมเล่นเทนนิส

5. ไม่ใช้คำบุพบท at, on, in หน้าคำต่อไปนี้คือ tomorrow, yesterday เช่น
in tomorrow evening X
tomorrow evening /
at yesterday midnight X
yesterday midnight /
ตัวอย่าง
A : What are you doing tomorrow afternoon ?
B : I’m attending a business conference.
ก – คุณจะทำอะไรบ่ายวันพรุ่งนี้
ข – ผมจะเข้าประชุมธุรกิจ
A : What did you do yesterday evening ?
B : I went to the cinema.
ก – คุณทำอะไรเมื่อเย็นวานนี้
ข – ผมไปชมภาพยนตร์

6. ใช้ in เมื่อเอ่ยถึงช่วงเวลาในอนาคต เช่น in half an hour, in two weeks, in early April, in two months, in an hour
ตัวอย่าง
A : When will you finish your work ?
B : In an hour.
ก – คุณจะทำงานเสร็จเมื่อไร
ข – ในอีกหนึ่งชั่วโมง
We’re meeting in three weeks.
เราจะประชุมในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า

7. ใช้ in เพื่อบอกว่าในกิจกรรมหรือการกระทำนั้นๆ จะใช้เวลายาวนาน เท่าไร เช่น in an hour, in ten minutes, in a year, in ten years
ตัวอย่าง
I can walk from my home to the town center in only ten minutes. ผมสามารถเดินจากบ้านไปยังใจกลางเมืองได้โดยใช้เวลาเพียง 10 นาที
We can drive from Chonburi to Bangkok in fifty minutes.
เราสามารถขับรถจากชลบุรีไปกรุงเทพโดยใช้เวลา 50 นาที
ข้อควรจำ ไม่ใช้ in, on, at กับช่วงเวลาที่มีคำว่า this, next, every, tomorrow, yesterday, last ประกอบด้วย
ตัวอย่าง
We are very busy this weekend.
เรายุ่งมากในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้
Do you work every Saturday?
คุณทำงานทุกวันเสาร์หรือเปล่า
He came to see me yesterday evening.
เขามาหาผมเมื่อเย็นวานนี้
They met me last Friday.
พวกเขาได้พบกันเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

กลุ่มที่ 2 : during, for, while, since
1. ใช้ in หรือ during เมื่อเอ่ยถึงช่วงเวลา ทั้งสองคำนี้มีความหมายอย่างเดียวกัน
ตัวอย่าง
We were in Paris during/in the summer.
เราอยู่ในปารีสในช่วงฤดูร้อน
It rained during/in the night.
ฝนตกในช่วงกลางคืน

2. ใช้ during เมื่อกล่าวถึงการกระทำหรือกิจกรรมที่ดำเนินไปโดยตลอด ในช่วงเวลาหนึ่ง
ตัวอย่าง
ผิด We were in Rome in the whole of the summer.
ถูก We were in Rome during the whole of the summer.
เราอยู่ที่โรมตลอดช่วงฤดูร้อน
ผิด I’ll be in Paris in the whole of June.
ถูก I’ll be in Paris during the whole of June.
ผมจะอยู่ปารีสตลอดเดือนมิถุนายน

3. ใช้ during ไม่ใช้ in เมื่อกล่าวถึงกิจกรรม อาทิ การเยี่ยมเยียน (a visit) การทานอาหาร (a meal)
ตัวอย่าง
ผิด We visited the Colosseum in our visit to Rome.
ถูก We visited the Colosseum during our visit to Rome.
เราได้ไปชมโคลอสเซียมในช่วงที่เราไปเยือนกรุงโรม
ผิด In lunch I explained my plans.
ถูก During lunch I explained my plans.
ในช่วงที่ทานอาหารเที่ยง ผมได้อธิบายถึงแผนการของผม

4. ใช้ for เพื่อกล่าวถึงระยะเวลาที่ใช้ไปในการทำกิจกรรมหนึ่งๆ ว่า ยาวนานเท่าไร เช่น for two hours, for three weeks, for five years
ตัวอย่าง
It has been raining for two days.
ฝนตกมาตลอดเป็นเวลา 2 วันแล้ว
We were in Rome for ten days.
เราอยู่ที่กรุงโรมเป็นเวลา 10 วัน

5. สำหรับ while มีความหมายเช่นเดียวกับ during แต่ต่างกันตรงโครงสร้างคือ
during + noun            while+ clause

คำว่า clause (คลอส) หมายถึง ข้อความที่มีโครงสร้างเช่นเดียวกับ sentence (เซ็นเท้นซฺ) หรือ “ประโยค” นั่นคือประกอบด้วย “ภาคประธาน + ภาคกริยา + ภาคกรรมหรือส่วนขยาย (ถ้ามี)”
ตัวอย่าง
I met Susan during my holidays.
I met Susan while I was on holiday.
ผมพบกับซูซานในช่วงที่ผมไปพักผ่อนวันหยุด
It started to rain during their picnic.
It started to rain while they were having a picnic.
ฝนได้ตกลงมาในช่วงที่พวกเขากำลังปิกนิก

6. ใช้ since (ซิ้นซฺ) ในความหมายว่า “ตั้งแต่” เมื่อเรากล่าวถึงจุดเริ่ม ต้นของเหตุการณ์หรือการกระทำ (starting point of the period) หากนำมาเทียบเคียงกับ for จะพบว่า for ใช้เพื่อบ่งบอกความยาวของช่วงเวลา (length of the period) และพบว่าตั้ง 2 คำมักจะถูกนำมาใช้ใน Present perfect tense
ตัวอย่าง
I have been waiting for two hours.
ผมรอมาเป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว
I have been waiting since 1 o’clock.
ผมรอมาตั้งแต่บ่ายโมง
He’s known her for six months.
เขาได้รู้จักเธอมาเป็นเวลา 6 เตอนแล้ว
He’s known her since April.
เขาได้รู้จักกับเธอมาตั้งแต่เดือนเมษายน

กลุ่มที่ 3 : by, till/until, from..to, before, after
1. ใช้ until (อันทิล) หรือ till (ทิล) ในความหมายว่า “จนกระทั่ง, จนถึง” (up to the time when)
ตัวอย่าง
I’ll stay here until/till Sunday.
ผมจะอยู่ที่นี่จนถึงวันอาทิตย์
He’ll be out until/till 11 o’clock.
เขาจะออกไปข้างนอกจนถึงเวลา 11.00 น.

2. ใช้ by (บาย) ในความหมายว่า “ไม่เกินเวลาที่เอ่ยถึงนั้น” (not later than)
ตัวอย่าง
I’ll have to leave here by Sunday.
ผมจะต้องออกจากที่นี่ไม่เกินวันอาทิตย์
He’ll be home by 11 o’clock.
เขาจะมาถึงบ้านไม่เกิน 11.00 น.

3. ใช้ from…to/until/till ในความหมายว่า “จากหรือตั้งแต่ (วัน, เวลา, เดือน, ปี, …) …จนถึง (วัน, เวลา, เดือน, ปี,…)”
ตัวอย่าง
The shop opens from 8.30 to 5.30 every day.
ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่ 8.30 น. จนถึงบ่าย 5.30 น.
I’ll be on holiday from Monday until/till Friday next week.
ผมจะไปพักผ่อนวันหยุดตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันศุกร์สัปดาห์หน้า

4. ใช้ before (บิฟอ) ในความหมายว่า “ก่อน” (earlier than that time or event)
ตัวอย่าง
We arrived home just before 2 o’clock.
เรามาถึงบ้านก่อนบ่าย 2 โมง
Can I see you before you go ?
ผมมาพบคุณก่อนที่คุณจะไปได้ไหม

5. ใช้ after (อัฟเทอะ) ในความหมายว่า “หลังจาก” (later than that time or event)
ตัวอย่าง
He was ill after eating the meal.
เขาป่วยหลังจากรับประทานอาหารเข้าไป
After dinner we went for a walk in the park,
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จเราได้ออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ

กลุ่มที่ 4  on time, in time
1. ใช้ on time (ออน ไทมฺ) ในความหมายว่า “ตรงเวลา” (at exactly the right time)
ตัวอย่าง
The 10 o’clock train arrived on time.
รถไฟเที่ยว 10 นาฬิกา มาถึงตรงเวลา
You must attend class on time next time.
ครั้งหน้าคุณจะต้องเข้าชั้นเรียนให้ตรงเวลา

2. ใช้ in time (อิน ไทม) ในความหมายว่า “ทันเวลาพอดี” (early enough)
ตัวอย่าง
We arrived at the station in time to catch the train.
เรามาถึงสถานีทันเวลาพอดีที่จะขึ้นรถไฟ
I won’t be home in time for dinner today.
วันนี้ผมคงจะกลับไปไม่ทันทานอาหารเย็นได้ทันเวลา

ที่มา:รองศาสตราจารย์ทณุ  เตียวรัตนกุล

(Visited 42,312 times, 9 visits today)

[Update] ประโยคความรวม (Compound Sentence) | since ใช้ยังไง – NATAVIGUIDES

 

สวัสดีค่ะนักเรียนชั้นม.2 ที่น่ารักทุกคน เจอกันอีกแล้วจร้ากับไวยากรณ์การเขียนภาษาอังกฤษและวันนี้ครูจะพาไปดูเทคนิคการการใช้ประโยคความรวมในภาษาอังกฤษกันค่ะ ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมามากกับคนที่ไม่ชอบเขียน  ครูเอาใจช่วยทุกคนค่า ไปลุยกันเลย

 

 

ประโยคความรวม (Compound Sentence)

 

Compound sentence

ประโยคความรวม ภาษาอังกฤษคือ Compound Sentence อ่านว่า เคิมพาวดฺ เซนเท่นสฺ เป็นประโยคที่ประกอบด้วยประโยคความเดียวอย่างน้อย 2 ประโยคโดยมีคำเชื่อมระหว่างประโยค เช่น for, and, nor, but, or, yet, so ให้ท่องว่า FANBOYS นักเรียนจะได้จำได้ง่ายขึ้นและนานขึ้นค่ะ และทั้งสองประโยคจะคั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,) ก็เพื่อให้ทั้งสองประโยคกลายเป็นประโยคเดียวกันสังเกตว่าจบประโยคจะมีเครื่องหมาย full stop (.) เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ตัวอย่างของประโยคความรวม

โครงสร้าง: ประโยคความเดียว+ คำเชื่อม +ประโยคความเดียว

Compound sentence example

ในส่วนของคำเชื่อมที่ใช้ในการเชื่อมประโยคความรวมนั้น ก็มีอยู่หลากหลายคำด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น คำว่า  not only….but also, and, in addition, in the same way จะใช้ในประโยคที่คล้อยไปในทางเดียวกัน คำว่า but, nor, in contrast จะใช้ในการเชื่อมประโยคที่มีความหมายตรงข้ามกันกัน คำว่า because, for, since, as, seeing that, now that  ใช้ในการเชื่อมประโยคเพื่อบอกเหตุผลหรือยกตัวอย่างเพิ่มเติม  นอกจากนี้แล้ว ยังมีคำเชื่อมอื่นๆ อีก เช่น Although, even though, even if, therefore, consequently, thereby, hence, thus และอีกนับไม่ถ้วนจร้า

ประโยค
คำเชื่อม
คำแปล

The exams are hard, and the students are smart.
and
ข้อสอบยากและนักเรียนก็เก่งด้วย

People here are lazy, but they are nice.
but
ถึงเขาจะขี้เกียจแต่เขาเป็นคนดี

He studied hard, so he passed the exam.
so
เขาขยันเรียนมากดังนั้นจึงสอบผ่าน

Will you go out or will you stay at home?
or
เธอจะออกไปข้างนอกมั้ยหรือเธอจะอยู่บ้าน

They are well organized,
as well as,
they are well mannered.
as well as= and
พวกเขาเป็นระเบียบและกริยาดี

Bella is a good wife, but
she is a bad friend.
but
เบลล่าเป็นภรรยาที่ดีแต่เธอเป็นเพื่อนที่แย่

Should Jenny go to school or should she work in the farm?
or
เจนนี่ควรจะไปเรียนหรือไปทุ่งนาดี

Would you like a tea, or would you prefer a coffee sir?
or
ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายจะรับชาหรือกาแฟดีครับ/ค่ะ

I love you, yet I dislike your personality.
yet
ฉันรักเธอนะแต่ฉันไม่ชอบบุคลิกของเธอ

 

ข้อควรรู้: ในกรณีของโครงสร้างคู่ขนานที่เชื่อมด้วย and (และ) หน้าและหลังประโยคจะต้องสอดคล้องกัน
ส่วนโครงสร้างที่ ขัดแย้งมักเชื่อมด้วย but, yet

FANBOYS-Simple and Compound Sentence

 

เทคนิค “FANBOYS”

 

เทคนิคการจำคำเชื่อมตระกูลประโยคความรวมว่า “FANBOYS”  (แฟนบอย) ครูก็ท่องมาตั้งแต่สมัยเรียนว่าอยากมีแฟนเป็นบอย จำได้ไม่ลืมแน่ จำแล้วนำไปใช้ด้วยนะคะ

F = for  แปล เพราะว่า
A = And
แปล และ
N = Nor  
แปล ไม่ทั้งสอง
B = But 
แปล แต่ว่า
O = Or
แปล หรือ
Y = Yet
แปล แต่
S = So
แปล ดังนั้น

 

เทคนิคสร้างประโยค Compound

 

มีดังต่อไปนี้

 

1.ใช้เครื่องหมายวรรคตอน (punctuation)

เครื่องหมายที่ใช้รวมประโยค simple สองประโยคคือ เครื่องหมาย; (semicolon)

 

เช่น       

Jane sits on the window seat.
เจนนั่งอยู่ตรงที่นั่งริมหน้าต่าง

 

The flight attendant serves a cup of tea.

พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเสิร์ฟชาถ้วยหนึ่ง

 

 จะได้ Compound Sentences โดยการนำสองประโยคนี้มารวมกันดังนี้จร้า


Jane sits on the window seat; the flight attendant serves a cup of tea.
เจนนั่งอยู่ตรงที่นั่งริมหน้าต่างส่วนพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเสิร์ฟชา

 

จะสังเกตว่าการใช้เครื่องหมายวรรคตอน ไม่ได้ทำให้ความหมายของประโยคเพิ่มเติม เครื่องหมาย; (semicolon) บอกเพียงว่า ข้อความสองข้อความนี้มีความเกี่ยวข้องกัน ถ้าจะทำประโยค Compound มีความหมายเพิ่มขึ้นเราถึงจะใช้กลุ่มคำตระกูล coordinators หรือ conjunction นั่นเองค่า

 

 2.ใช้ coordinators หรือบางครั้งเรียก conjunctions หรือ คำศัพท์ตระกูล conjunctive adverbs ดังตัวอย่างด้านล่าง

 

coordinators หรือ conjunction ที่นำมาวางไว้ระหว่างประโยค simple เพื่อทำให้เป็นประโยคcompound ได้คือ and or yet but for so nor

 

เช่น         


Tina likes John, and George likes Gina.
แปล ตีน่าชอบจอนและจอร์จชอบจีน่า

ข้อให้สังเกต: ต้องใช้เครื่องหมาย , (comma) หน้า conjunction ในประโยค compound
นอกจากนี้เรายังสามารถใช้ for ที่ปรกติจะแปลว่า สำหรับ แต่ for ที่เป็น conjunction นั้นจะแปลว่า “เพราะว่า” เหมือนกันกับ because เลยจร้า

เช่น        

Jonathan becomes a famous YouTuber, for he works really hard on it.
โจนาธานกลายเป็นยูทูปเบอร์ที่โด่งดังมากเพราะว่าเขาขยันทำมันจริงๆ
work hard ไม่ได้แปลว่า ทำงานหนักอย่างเดียวนะคะ ยังแปลว่าขยันอีกด้วย

 หรือเพื่อเชื่อมความขัดแย้งจะใช้ yet แทน but ในบางครั้งที่เราอยากเปลี่ยนคำศัพท์บ้าง เช่น

Tiffani exercises so much, yet she still gets fat.

แปล ทิฟฟานี่ออกกำลังกายเยอะมาก แต่เธอก็ยังอ้วนอยู่
***นักเรียนอาจจะเคยเห็นคำว่า yet ที่แปลว่าหรือยังมาก่อนบ้างแล้ว แต่เมื่อ เจอ yet ใน ประโยคความรวมแบบนี้ ให้แปลเหมือนกันเลยกับคำว่า but (แต่) นะจ้ะ

 

 หากต้องให้เลือก บางสิ่ง บางอย่าง เช่น

You must stop talking to her, or I must break up with you.
แปล คุณต้องเลิกคุยกับหล่อน หรือไม่อย่างงั้นก็เป็นฉันที่ต้องเลิกกับคุณ

 หรือ ไม่เลือกทั้งสอง ได้ด้วยการใช้ “nor”

Jane will not go abroad, nor will she further her studies in Thailand.

เจนจะไม่ไปต่างประเทศและไม่เรียนต่อในไทย

 

3.การใช้เครื่องหมาย ; (semicolon)

ตามโครงสร้าง “ conjunctive adverb” + , (comma)

คำศัพท์ตระกูล conjunctive adverbs ได้แก่  furthermore, however,  indeed, meanwhile, moreover, still, therefore, thus, accordingly, also, besides, nevertheless, otherwise, similarly, consequently, finally

 

ตัวอย่างการใช้ประโยคสอดคล้อง เป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน เช่น       

 Jennifer wanted to continue her master degree; therefore, she applied for it last month.

แปล เจนนิเฟอร์ต้องการเรียนต่อระดับปริญญาโทดังนั้นเธอจึงสมัครไปเมื่อเดือนที่แล้ว
***therefore คำนี้แปลเหมือนกับ so (ดังนั้น) เป็นศัพท์หรูที่เจอบ่อยในงานเขียนเชิงวิชาการนะคะ

 

 

การขยายความด้วยการใช้ “moreover” และ “furthermore” 

Steve Jobs is very smart; moreover, he is very determined.
สตีฟจอบส์เป็นคนที่ฉลาดมาก นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่มุ่งมั่น

Stephany is very smart; moreover, she is very hard-working.
สเตฟานี่เป็นผู้หญิงที่ฉลากมาก ยิ่งกว่านี้ หล่อนยังขยันอีกด้วย

 การใช้คำเชื่อมสรุป  “consequently”

Ticha works very hard and smart; consequently, she gets promoted.
ติช่าขยันและทำงานเก่งมาก ดังนั้น เธอจึงได้รับเลื่อนตำแหน่ง

***Consequently แปลว่า ดังนั้น เหมือนกันกับ คำว่า “so” คำนี้ดีมาก ทำให้ภาษาเขียนของเราไม่กร่อยและทำให้เราดู “มีความรู้เรื่องคำศัพท์หรู”

 

 

เป็นยังไงกันบ้างคะทุกคนสำหรับหัวข้อ “การเขียนประโยคความรวมอย่างง่าย”  โดยเราสามารถเลือกใช้คำศัพท์ให้เหมาะสมกับบริบทได้ด้วยการท่องศัพท์ให้มากที่สุด เขียนให้บ่อยที่สุด ยังไงก็ตามขอให้ทุกคนสนุกกับการเรียนภาษาอังกฤษให้มากๆนะคะ และครูขอให้บทความนี้เป็นประโยชน์กับทุกคนมากๆ อย่าลืมดูวีดีโอด้านล่างเพื่อไปทบทวนบทเรียนให้เข้าใจและเห็นภาพยิ่งขึ้นนะคะ แล้วเจอกันครั้งหน้ากับบทเรียนครั้งต่อไป  เลิฟๆ

กดปุ่มเพลย์แล้วไปเรียนให้สนุกกันจร้า

0


การใช้ Since และ For อย่างง่าย /Since and For / Finz English


การใช้ Since และ For อย่างง่าย
โดย Finz English\r
ช่องทางติดต่อและติดตาม\r
Facebook : https://www.facebook.com/FinzEnglish/\r
IG : Finz English\r
TikTok : Finz English

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

การใช้ Since และ For อย่างง่าย /Since and For /  Finz English

ติว TOEIC : Present Perfect สอบบ่อยสุด! ทำยังไงให้รอด⁉


จำไม่เคยได้ ❌ โครงสร้าง Present Perfect 🔥
ออกสอบบ่อยสุด!! ทำยังไงให้รอด⁉ คลิปนี้มีคำตอบ
.
แจกกลอน ไปท่องจำ แต่งอย่างดี!‼
จำโคตรง่าย ท่องครั้งเดียวก็จำได้ ใช้ได้จริงในห้องสอบ
ไม่อยากตกม้าตาย รีบกดแชร์ ⚠ ครูดิวเตือนแล้วนะคะ
‍‍ ‍‍‍‍‍‍‍‍ ‍‍ ‍‍ ‍‍ ‍‍
อ่อนแกรมม่า!🚫 ถ้ายังไม่มั่นใจว่า TOEIC จะรอด
ต้องเริ่มติวได้แล้ว!!
‍‍‍‍‍‍‍‍ ‍‍ ‍‍ ‍‍ ‍‍
อยากได้คะแนนสูงๆ✨ให้ครูดิวติวให้ชัวร์ ตั้งแต่ตอนนี้!!
การันตีผล 750+ ไปสอบแล้วไม่ถึง ยินดีให้เรียนซ้ำฟรี!
‍‍ ‍‍‍‍‍‍‍‍ ‍‍ ‍‍ ‍‍ ‍‍
📍สนใจสมัครคอร์ส 💬
📍สอบถามรายละเอียดคอร์สกับแอดมิน ได้ทาง
📍Inbox : m.me/TOEICKruDew
📍ทดลองเรียนฟรี : www.opendurian.com/toeic_krudew
📍Add Line : https://lin.ee/nrn6h06
📍IG\u0026TikTok : @krudewtoeic
‍‍ ‍‍ ‍‍
toeic krudewtoeic ติวtoeic grammar english

ติว TOEIC : Present Perfect สอบบ่อยสุด! ทำยังไงให้รอด⁉

จำศัพท์ยังไง? แนะนำแอพฝึกภาษา Quizlet แบบละเอียด | NoteworthyMF


แนะนำแอพฝึกภาษา Quizlet แบบละเอียด ฝึกได้ทุกภาษาเลย~
ช่วยให้จำศัพท์ง่ายและสนุกมากขึ้น หรือเอาไปใช้จำเนื้อหาก็ได้นะ
(ทำเหมือนข้อสอบคือใส่คำถามกับคำตอบลงไปแทนศัพท์กับความหมาย)
ใครอยากเริ่มท่องศัพท์ ลองเอาวิธีไปใช้ดูน้า
Quizlet เล่นได้ทั้งในเว็บหรือโหลด app ก็ได้ ฟรีจ้า ไม่จำกัดจำนวนเซตการ์ดด้วยนะ
Website : https://quizlet.com
Vocab : IG @noteworthy.mf
Sound by www.bensound.com

Find me more !
Fanpage : Noteworthy.mf (https://www.facebook.com/noteworthy.mf)
Instagram : @ffim.medcu60 (https://www.instagram.com/ffim.medcu60)

Contact for work
Instagram : @ffim.medcu60 (https://www.instagram.com/ffim.medcu60)

จำศัพท์ยังไง? แนะนำแอพฝึกภาษา Quizlet แบบละเอียด | NoteworthyMF

ติว TOEIC: Perfect Tense (คำใบ้ Since และ For)


✿ ถ้าพื้นฐานน้อย แนะนำหาคอร์สติวดีกว่าค่ะ! ✿
👉 สมัครคอร์ส KruDew ติว New TOEIC 2020 (ทดลองติวฟรี!) ➡️ https://bit.ly/2wR4Gmu
✿ คอร์ส KruDew ติว TOEIC มีอะไรให้บ้าง? ✿
✅Grammar ที่ใช้สอบ TOEIC ให้ครบ เริ่มสอนจากพื้นฐาน เรียนได้ทุกคนแน่นอน
✅เทคนิคช่วยจำต่างๆ จำง่าย เอาไปใช้กับข้อสอบได้จริงๆ
✅เก็งศัพท์ TOEIC ออกข้อสอบบ่อยๆ ให้ครบ ไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งรวบรวมเอง
✅ อัพเดทข้อสอบ New TOEIC ล่าสุด ครบ 200 ข้อ
✅สามารถสอบถามข้อหรือจุดที่สงสัยได้ตลอด
✅การันตี 750+ (ถ้าสอบแล้วไม่ถึง สามารถทวนคอร์สได้ฟรี)
📣 ถ้าไม่อยากพลาดคลิปดีๆแบบนี้ อย่าลืมกด ❤️ Subscribe ❤️กันนะคะ

ติว TOEIC: Perfect Tense (คำใบ้ Since และ For)

จบที่คลิปนี้ Do you /Are you/ Have you ต่างยังไง II Line: @englishfitandfirm


สอบถาม ไลน์ @englishfitandfirm
💡คอร์สOnline ราคาประหยัด 1,990.
เพิ่มชั่วโมงใช้ภาษาปูพื้นฐานเทนส์ + ฝึกสร้างประโยคแบบSpeaking

.
Thanks for following
IG: chutamas_sommy
FB: English Fit and Firm

จบที่คลิปนี้ Do you /Are you/ Have you ต่างยังไง II Line: @englishfitandfirm

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ since ใช้ยังไง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *