Skip to content
Home » [NEW] การใช้คำเชื่อมในภาษาอังกฤษ « Pitukpong’s Blog | หน้า หลัง ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

[NEW] การใช้คำเชื่อมในภาษาอังกฤษ « Pitukpong’s Blog | หน้า หลัง ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

หน้า หลัง ภาษาอังกฤษ: คุณกำลังดูกระทู้

And (และ)ใช้เชื่อมข้อความคล้อยตาม กันสอดคล้องกันหรือเป็นไปทำนองเดียวกัน เช่น
We eat with fork and a spoon.
Tina and Tom are playing football.

Or (หรือ)
ใช้เชื่อมข้อความเพื่อเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
Is your house big or small
Would you like tea or coffee

But (แต่)
ใช้เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน เช่น
That house is beautiful but very expensive.
I can ride a bicycle but I can’t ride a horse.

Because (เพราะว่า) ใช้เชื่อมข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลกันโดย becauseจะนำหน้าประโยคที่เป็น สาเหตุ
เช่น
I like my sister because she is pretty.
She can pass the exam because she studies hard.

So (ดังนั้น)
ใช้เชื่อมข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลกันโดย so จำนำหน้าประโยคที่เป็นผล
เช่น
Cathy eats a lot so she is fat.
My sister is pretty so I like her.

Though/although (แม้ว่า) ใช้เชื่อมข้อความที่ขัดแย้งกัน เช่น
Although he ran very fast, he didn’t win the first prize.

Either….or (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งใน 2อย่าง) ถ้านำมาเชื่อมประโยคในส่วนที่เป็นประธานจะ ใช้คำกริยาตามประธานตัวหลัง เช่น
Either you or he is wrong.
You can get either this pen or that pencil.

Neither …….nor (ไม่ทั้ง 2อย่าง)
ถ้านำมาเชื่อมประโยคในส่วนที่เป็นประธานจะ ใช้คำกริยาตามประธานตัวหลัง
เช่น
Neither I nor she speaks English.

o that: (เพื่อว่า, เผื่อว่า)
ตามด้วยประโยค (Clause) เสมอ
กริยาของประโยคที่ตามหลัง so that จะต้องอยู่ในรูป may หรือ might หรือ should + Verb ช่องที่ 1 เช่น
I stepped a side “so that” she “might” go in. (ผมก้าวไปข้าง ๆ เพื่อว่าหล่อนจะได้เข้าไปข้างในได้)
ถ้าต้องการเปลี่ยนประโยค Complex Sentence ที่มี so that มาเชื่อม ไปเป็น Simple Sentence
ก็สามารถทำได้โดยใช้ in order to หรือ so as to + Verb ช่องที่ 1 ได้ เช่น
He gave up smoking “in order to (หรือ so as to)” get better. (เขาเลิกบุหรี่ก็เพื่อให้อาการ (ของเขา) ดีขึ้น)

so……that: (เสีย…จนกระทั่ง)
คำที่อยู่ระหว่าง so…that ได้แก่ Adjective (คุณศัพท์) หรือ Adverb (กริยาวิเศษณ์) เท่านั้น
แต่บางครั้งหลัง Adjective จะมีนามมาร่วมด้วยก็ได้ มีโครงสร้างดังนี้ so + [Adverb/Adjective/Adj+Noun] + that เช่น
Wichai runs “so” fast “that” I cannot overtake him.

such…..that: (เสีย…จน)
คำที่อยู่ระหว่าง such…that ได้แก่ นาม โดยมี Adjective มาขยายอยู่ข้างหน้า มีโครงสร้างดังนี้
แบบ A: such a + Adjective + นามเอกพจน์นับได้ + that เช่น
He is “such” a good boy “that” everyone likes him. (เขาเป็นเด็กดีเสียจนทุก ๆ คนชอบเขา)
such a + Adjective + นามเอกพจน์นับได้ ในแบบ A นั้นจะใช้ so…that มาแทนก็ได้ แต่ต้องเขียนโครงสร้างใหม่ คือ ให้ a มาอยู่ชิดกับนามเอกพจน์ที่นับได้ เป็นดังนี้ so + Adjective + a + นามเอกพจน์นับได้ + that เช่น
He is “so” good “a” boy “that” I like him.
(= He is “such a” good boy “that” I like him.)
แบบ B: such + [Adjective+นามพหูพจน์ / Adjective+นามนับไม่ได้] + that เช่น
They are  “such” heavy boxes “that” I can hardly lift them up.

in order to, so as to: (เพื่อที่จะ)
ตามด้วย Infinitive (กริยาช่องที่ 1) ทั้งนี้เพื่อเชื่อมเนื้อความ 2 ประโยคให้เป็นหนึ่งประโยค เช่น
I shall go on working late tonight “so as to” be free tomorrow.
(= I shall go on working late tonight. I shall be free tomorrow.)
(ผมจะทำงานต่อไปจนดึกเพื่อที่จะว่าง (ไม่ต้องทำงาน) ในวันพรุ่งนี้)

in order that: (เพื่อว่า)
in order that ต่างจาก in order to ตรงที่ว่า in order to ตามด้วย infinitive ส่วน in order that ตามด้วยประโยค (Clause) ตลอดไป
Children go to school “in order that” they may learn things.
(= Children go to school “in order to” learn things.)

lest: (มีความหมายเท่ากับ so that…not แปลว่า “เพื่อจะได้ไม่”)
ประโยคที่ตามหลัง lest ต้องใช้ should (แทน may, might) ตลอดไป และใช้ได้กับทุกบุรุษอีกด้วย เช่น
He works harder “lest” he should (may) fail. (เขาทำงานหนักขึ้น เพื่อจะได้ไม่ประสบความล้มเหลว)

as long as, so long as: (เมื่อ, ถ้า)
สันธานคู่ (Correlative Conjunction) ตัวนี้ นิยมวางไว้ต้นประโยคมากกว่ากลางประโยค และเมื่อจบประโยคข้างหน้าต้องใส่เครื่องหมาย Comma (,) ทันที เช่น
“As (so) long as” you come here in time, you will see her. (ถ้าคุณมาที่นี่ทันเวลา คุณจะพบเธอแน่)

if: (ถ้า, หาก)
คำนี้เมื่อเชื่อมประโยคจะวางไว้ต้นหรือกลางประโยคทั้งสองก็ได้
ถ้าวางไว้ต้นประโยค เมื่อจบประโยคท่อนแรกให้ใส่ Comma (,) เช่น
“If” the weather holds good, we shall stay another week.
แต่ถ้าวาง if ไว้กลางประโยคทั้งสอง ไม่ต้อง Comma เช่น
We shall stay here another week “if” the weather holds good.

unless: (ถ้า…ไม่, เว้นเสียแต่ว่า…ไม่) มีความหมายเท่ากับ if…not
เมื่อนำมาเชื่อมจะวางไว้ต้นหรือกลางประโยคก็ได้ เช่น
We shall go “unless” it rains.
หรือ “Unless” it rains, we shall go.
(= We shall go “if” it “does not” rain.)
ระวัง! อย่าใช้ not ในประโยคที่ตามหลัง unless เพราะ unless มีความหมายเป็นปฏิเสธ (negative) อยู่ในตัวแล้ว เช่น
ผิด: “Unless” he “does not study” harder, he will fail in the exam.
ถูก: “Unless” he “studies” harder, he will fail in the exam.

but that: (ถ้า…ไม่) มีความหมายเหมือนกับ if…not
เมื่อนำมาเชื่อมความ จะวางไว้ต้นหรือกลางประโยคก็ได้ แต่ต้องตามหลังด้วยประโยค
และอย่าใช้ not ในประโยคที่ตามหลัง but that เพราะ but that มีความหมายเป็นปฏิเสธอยู่แล้ว เช่น
She would have fallen “but that” I caught her. (เธอคงจะตกลงไปแล้ว ถ้าผมไม่ได้จับเธอไว้)
“But that” he is in debt, he would enter priesthood. (ถ้าเขาไม่เป็นหนี้ เขาก็คงบวช)
จำอีก: “but for + Noun” แปลว่า “ถ้า…ไม่” เหมือนกับ but that
ต่างกันแต่ว่า หลัง but that เป็นประโยค ส่วนหลัง but for เป็นนาม
“But for” my help, he should have failed last year. (ถ้าผมไม่ช่วย เขาก็คงสอบตกไปแล้วปีกลายนี้)
(= “But that” I helped him, he should have failed last year.)

inasmuch as: (เพราะ, ด้วยเหตุที่) มีความหมายเท่ากับ because
จะวางไว้ต้นหรือกลางประโยคทั้งสองที่ไปเชื่อมก็ได้ เช่น
He yielded to the invader, “inasmuch as” his army was thoroughly defeated.
(เขายอมแพ้ต่อผู้มารุกราน (ข้าศึก) เพราะกองทัพของเขาถูกตีอย่างพ่ายแพ้ไป)
“Inasmuch as” he is sick, he had better go to hospital. (เพราะเขาไม่สบาย เขาก็ควรจะไปโรงพยาบาลดีกว่า)

or และ or else
or: (หรือ) ใช้เชื่อมคำ (words), วลี (phrases), ประโยค (clauses) ที่แสดงการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
เชื่อมคำ: Is it sweet “or” sour? (เปรี้ยวหรือหวาน?)
เชื่อมวลี: Is he at home “or” in the office? (เขาอยู่บ้านหรือว่าไปทำงาน?)
เชื่อมประโยค: You look after the house “or” go to work. (คุณเฝ้าบ้านหรือมิฉะนั้นก็ไปทำงาน (เลือกเอา))
ส่วน or else: (หรือมิฉะนั้น) มีความหมายเท่ากับ otherwise นิยมใช้เชื่อมประโยค (Clause) มากกว่าคำหรือวลี เช่น
I must clean it, “or else” it will be rusty. (ผมจะต้องทำความสะอาด มิฉะนั้นมันจะขึ้นสนิม)

till และ until: (จนกระทั่ง, จนกว่า)
until มักใช้กับประโยค (Clause) ที่ไปนำหน้าอีกประโยคหนึ่ง
พูดให้ง่ายเข้าก็คือ วางไว้ต้นประโยค ใช้ until (มากกว่า till ว่าอย่างงั้นเถอะ) เช่น
“Until” you told me, I had known nothing about him. (ผมไม่เคยได้รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย จนกระทั่งคุณบอกผม)
till นิยมวางไว้กลางประโยคเสียมากกว่า (แต่จะใช้ until ก็ได้) เช่น
He had never written to me “till (until)” he returned.

provided และ providing: (ถ้าหากว่า) คำทั้งสองก็เป็นสันธานอันหนึ่ง มีหน้าที่เชื่อมประโยคดุจดั่งสันธานทั่ว ๆ ไป
แต่เวลานำมาใช้ provided จะตามด้วย that เสมอ
ส่วน providing ไม่ต้องมี that เช่น
We shall go “provided that” it does not rain. (พวกเราจะไปถ้าหากว่าฝนไม่ตก)
Amy will go “providing” her friend can go together. (เอมี่จะไปถ้าหากว่าเพื่อนของเธอก็ไปด้วยกันได้)

supposing: (ถ้า, สมมติว่า)
คำนี้นิยมไว้ต้นของประโยคหน้า หรือใช้กับ Clause หน้า เช่น
“Supposing” you win the government lottery, what do you buy? (สมมติว่าคุณถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล คุณจะซื้ออะไรบ้าง?)

since: (ตั้งแต่, เพราะว่า, เนื่องจากว่า)
ถ้าแปลว่า “ตั้งแต่” ใช้เชื่อมระหว่างประโยค Present Perfect (Subject + have/has + V3) หรือ Present Simple (Subject + V1(ประฐานเอกพจน์เติมs)) กับ Past Simple (Subject + V2(เติมedบ้าง,ผันบ้าง)) เช่น
He has worked hard “since” his father died. (Present Perfect, Past Simple)
ถ้าแปลว่า “เพราะว่า, เนื่องจากว่า” ให้วางไว้หน้า Clause ของประโยคแรก เช่น
“Since” he doesn’t learn English, he can’t speak it. (เนื่องจาก (เพราะ) เขาไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษ เขาจึงพูดไม่ได้)

as soon as: (เมื่อ = when)
แต่ใช้ความหมายฉับพลันกว่า when เช่น
I shall go back “as soon as” he arrives.
อนึ่ง จะวาง as soon as ไว้หน้า Clause แรกก็ได้ แต่ต้องใส่ Comma เมื่อจบความของประโยคแรก เช่น
“As soon as” he arrives, I will tell him.

in case: (ในกรณีที่, เพราะ)
ตามด้วยประโยค (Clause)
วิธีใช้ก็เช่นเดียวกับ so that, for fear that คือ จะต้องตามด้วย may, might, should, can, could ตัวใดตัวหนึ่ง เช่น
Don’t go too near the river “in case” you “should” fall in it. (อย่าเข้าไปใกล้แม่น้ำนัก เพราะคุณอาจจะตกไปก็ได้)
ตามด้วยประโยค (Clause)
ถ้า In case วางไว้หน้า Clause แรก ไม่ต้องตามด้วย can, could, should, may, might เช่น
“In case” I “forget”, please remind me about that.
ระวัง! in case of + นาม (ไม่ใช่ประโยค) เช่น
“In case of” fire, please inform the fire-brigade. (ถ้าเกิดเพลิงไหม้ โปรดแจ้งกองดับเพลิงทราบ)

because และ because of: ทั้งสองคำแปลเหมือนกันคือ “เพราะ, เพราะว่า” แต่วิธีใช้ต่างกันคือ
because: เป็น Conjunction เชื่อมประโยคแสดงเหตุผล
หลัง because ต้องเป็นอนุประโยค (Clause) เสมอ เช่น
Jack did not come to school “because” he was ill.
because of: เป็น Preposition (คำที่ใช้เชื่อม Noun และ Pronoun เข้ากับคำอื่น ๆ ที่อยู่ในประโยค ทั้งนี้เพื่อให้ใจความของประโยคกลมกลืนสละสลวยขึ้น” ได้แก่ in, on, at, by, from, toward, into, etc.) วลี
หลัง because of ต้องมีกรรมมารับ จะเป็นสรรพนามหรือคำเสมอนามก็ได้ แต่จะเป็นประโยคไม่ได้ เช่น
She failed “because of” him.

the same…+Noun+…as: (เหมือนกับ, เช่นเดียวกันกับ)
ระหว่าง the same กับ as ให้ใส่คำนามเข้ามา เช่น
I have “the same” trouble “as” you (have). (ผมมีข้อยุ่งยากเช่นเดียวกับคุณ (มี))
ถ้านามนั้นกล่าวถึงมาแล้ว หรือผู้พูดและผู้ฟังรู้กันดีอยู่แล้วว่า หมายถึงอะไรในสิ่งที่เหมือนกัน หลัง the same ก็ไม่ใส่นามเข้ามา
This “book” is “the same as” that one. (หนังสือเล่มนี้เหมือนกับเล่มนั้น)

either of และ neither of
either of + นามพหูพจน์ = (อย่างใดอย่างหนึ่ง)
ถ้าไปเป็นประธานในประโยค กริยาต้องใช้เอกพจน์ตลอดไป เช่น
“Either of you” is wrong. (เธอคนใดคนหนึ่งจะต้องผิด)
I don’t (กริยาพหูพจน์) want “either of the apples”. (ผมไม่ต้องการแอปเปิ้ลผลใดผลหนึ่ง)

neither of + นามพหูพจน์ = (ไม่ทั้งสองอย่าง)
ถ้าเป็นประธาน กริยาใช้เอกพจน์ เช่น
“Neither of the books” is of any use to me. (หนังสือทั้งสองเล่มไม่มีประโยชน์ใด ๆ แก่ผมเลย)
I want “neither of them”. (ผมไม่ต้องการทั้งสองอย่าง)

no sooner……than: (พอ…ก็)
คำนี้เป็น Conjunctive ใช้เชื่อมประโยคทั้งสองเข้าด้วยกัน
ประโยคที่ no sooner…than ไปเชื่อมมักเป็นประโยค Past Perfect (Subject + had +V3) กับ Past Simple (Subject + V2)
He had “no sooner” seen it “than” he started to run. (Past Perfect, Past Simple)
(พอเห็นเขาเริ่มออกวิ่ง)
หรือจะวาง No sooner ไว้ต้นประโยคก็ได้ เช่น
“No sooner” had he arrived “than” he was told to start back again. (Past Perfect, Past Simple)
(พอมาถึงเขาก็ได้รับคำสั่งให้ออกเดินทางกลับไปอีก)

not so…….as: (ไม่เท่ากับ)
คำนี้ความจริงก็คือ as…as นั่นเอง แต่ใช้ในประโยคปฏิเสธเท่านั้น (ส่วน as…as ใช้ในประโยคบอกเล่า) เช่น
บอกเล่า: He is “as clever as” you are. (เขาฉลาดเท่ากับคุณ(ฉลาด))
ปฏิเสธ: He is “not so clever as” you are. (เขาไม่ฉลาดเท่าคุณ

ขอขอบคุณ*—->>http://englishlearningthailand.com/error-in-conjunction-คำเชื่อมที่มักจะใช้ผิดเสมอ.htmlขอขอคุณ**—->>>

Table of Contents

Share this:

Like this:

ถูกใจ

กำลังโหลด…

[NEW] หลักการใช้คอมม่า (Comma) ในภาษาอังกฤษ | หน้า หลัง ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

คอมม่า (,) เป็นเครื่องหมายวรรคตอนที่ใช้บ่อยในภาษาอังกฤษ แต่ถึงแม้จะถูกใช้บ่อย หลายๆคนก็ยังคงสับสนอยู่ดี ว่าเราควรใช้คอมม่าตอนไหนและต้องใช้อย่างไรบ้าง

สำหรับคนที่สงสัย ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงเนื้อหาการใช้คอมม่าในภาษาอังกฤษ มาให้เพื่อนๆได้เรียนรู้กันได้อย่างง่ายๆแล้ว ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

คอมม่าคืออะไร

คอมม่า (comma) เป็นเครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอังกฤษ ทำหน้าที่แยกคำ วลี หรือประโยค เพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านจับใจความได้ง่ายและถูกต้องมากขึ้น

ถ้าเปรียบเทียบคอมม่ากับเครื่องหมายจุด (.) ที่ใช้ปิดท้ายประโยค หรือที่เรียกว่า period เครื่องหมายทั้ง 2 ตัวนี้จะเป็นตัวบอกการเว้นจังหวะในการอ่านและพูดเหมือนกัน แต่เครื่องหมายคอมม่าจะเป็นตัวบอกจังหวะการเว้นที่สั้นกว่า

หลักการใช้คอมม่า

ใครที่มีข้อสงสัยว่าเราต้องใช้คอมม่าในกรณีไหนและต้องใช้ยังไงบ้าง ก็ไปดูหลักการใช้คอมม่าทั้ง 11 ข้อกันเลย

1. ใช้คอมม่าหน้าคำเชื่อมที่เชื่อม independent clause

Independent clause (ประโยคใจความสมบูรณ์) คือประโยคที่มีทั้งประธานและคำกริยา ตัวประโยคจะมีใจความสมบูรณ์ในตัวมันเอง เช่น

I am a student. (ฉันเป็นนักเรียน) – ถือเป็น independent clause เพราะมีทั้งประธานและคำกริยา
Feel good (รู้สึกดี) – ไม่ใช่ independent clause เพราะไม่มีประธาน
Big black cat (แมวสีดำตัวใหญ่) – ไม่ใช่ independent clause เพราะไม่มีคำกริยา

ส่วนคำเชื่อมในที่นี้จะต้องเป็น coordinating conjunction ซึ่งก็คือคำเชื่อมที่ให้น้ำหนักกับ 2 สิ่งที่ถูกเชื่อมเท่าๆกัน โดยอาจใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยคก็ได้ coordinating conjunction มีทั้งหมด 7 ตัวคือ for, and, nor, but, or, yet, so (เมื่อนำอักษรแรกมาต่อกันจะได้เป็น FANBOYS ใช้ช่วยให้ท่องจำได้ง่ายขึ้น)

หากเราเชื่อม independent clause 2 ประโยคด้วย coordinating conjunction เราจะต้องใช้คอมม่าหน้า coordinating conjunction

โครงสร้างการใช้

independent clause + , + coordinating conjunction + independent clause

ตัวอย่างประโยค

He didn’t speak to anyone, and nobody spoke to him.
เขาไม่ได้พูดกับใคร และก็ไม่มีใครพูดกับเขา

I wanted to stay home, but my wife wanted to go shopping.
ฉันอยากอยู่บ้าน แต่ภรรยาของฉันอยากไปช้อปปิ้ง

เราจะไม่ใช้คอมม่า ถ้าข้างหน้าหรือข้างหลัง coordinating conjunction ไม่ใช่ independent clause

She brushed her teeth and washed her face.
เธอแปรงฟันและล้างหน้า
(washed her face ไม่ใช่ independent clause)

I am not a writer but an editor.
ฉันไม่ใช่นักเขียน แต่เป็นบรรณาธิการ
(an editor ไม่ใช่ independent clause)

2. ใช้คอมม่าเมื่อขึ้นต้นประโยคด้วย dependent clause

Dependent clause คือประโยคที่มีใจความไม่สมบูรณ์ เวลาใช้จะต้องใช้ร่วมกับประโยคอื่น ในที่นี้เราจะแบ่งออกเป็น 3 กรณี

1. Participial phrase

เมื่อประโยคขึ้นต้นด้วยวลีจำพวก participial phrase ซึ่งก็คือวลีที่ขึ้นต้นด้วย v. + ing หรือ v. ช่อง 3 เราจะต้องใช้คอมม่าคั่นหลังวลีนั้น

โครงสร้างการใช้

participial phrase + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Being the only son in the family, his family have high hopes for him.
ด้วยการที่เขาเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัว ครอบครัวของเขาจึงตั้งความหวังกับเขาไว้สูง

Bitten by my own dog, I was very disappointed.
การโดนกัดโดยหมาของตัวเองทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังมาก

2. Adverbial phrase

แต่ถ้าประโยคขึ้นต้นด้วย adverbial phrase ซึ่งก็คือวลีที่ทำหน้าที่เป็น adverb เราอาจใช้คอมม่าหรือไม่ใช้ก็ได้ (ถ้า adverbial phrase ยาว หรือเราต้องการเน้น adverbial phrase นั้น เราจะนิยมใช้คอมม่า)

ตัวอย่าง adverbial phrase เช่น
At 6 o’clock
After the show
In the middle of Bangkok

โครงสร้างการใช้

adverbial phrase + (,) + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

In 2020 there is a pandemic affecting the world.
ในปี 2020 มีโรคระบาดที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก

When I was six, I lived in Chiang Mai with my mom.
ตอนฉันอายุหกขวบ ฉันอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่กับแม่ของฉัน

3. Sentence adverb

ถ้าประโยคขึ้นต้นด้วย sentence adverb ซึ่งก็คือคำจำพวก adverb ที่ทำหน้าที่ขยายทั้งประโยค เราจะใช้คอมม่าคั่นหลัง sentence adverb นั้น

โครงสร้างการใช้

sentence adverb + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Honestly, I am not angry.
ตรงๆเลยนะ ฉันไม่ได้โกรธ

Clearly, this plan isn’t working.
เห็นได้ชัดว่าแผนนี้ใช้ไม่ได้ผล

3. ใช้คอมม่าคั่นวลีหรือคำกลางประโยคที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม

เราจะใช้คอมม่าคั่นวลีหรือคำที่อยู่กลางประโยค ถ้าวลีหรือคำนั้นทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม แต่ไม่ได้จำเป็นสำหรับประโยค (แม้ตัดออกไป ใจความหลักของประโยคก็ยังเหมือนเดิม)

โครงสร้างการใช้

ประโยคส่วนที่ 1 + , + วลี/คำที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม + , + ประโยคส่วนที่ 2

ตัวอย่างประโยค

Tim, unlike Joe, is very polite.
ทิมเป็นคนสุภาพมาก ไม่เหมือนกับโจ

King Crab restaurant, which Anne recommended, is fantastic.
ร้านอาหารคิงแครบที่แอนแนะนำนั้นดีมาก

แต่ถ้าวลีหรือคำนั้นจำเป็นสำหรับประโยค ถ้าตัดออกแล้วใจความเปลี่ยน เราก็จะไม่ใช้คอมม่า

People who exercise regularly tend to be more happy.
คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอมักจะมีความสุขมากกว่า
(ถ้าตัด who exercise regularly ทิ้ง ความหมายจะเปลี่ยนเป็น “คนจะมีความสุขมากกว่า” ซึ่งมีใจความผิดไปจากเดิม)

The restaurant that Anne recommended is fantastic.
ร้านอาหารที่แอนแนะนำนั้นดีมาก
(ถ้าตัด that Anne recommended ทิ้ง ความหมายจะเปลี่ยนเป็น “ร้านอาหารดีมาก” ซึ่งมีใจความผิดไปจากเดิม คือเราจะไม่รู้ว่าหมายถึงร้านไหน)

วลีที่ขึ้นต้นด้วย that มักจะจำเป็นสำหรับประโยค เรามักจะไม่ใช้คอมม่าครอบส่วนนั้น

4. ใช้คอมม่าแยกรายการคำตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป

ถ้าเรามีรายการคำตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป เราจะต้องคั่นแต่ละรายการด้วยคอมม่า ยกเว้นรายการสุดท้าย เราจะคั่นด้วยคอมม่าหรือไม่ก็ได้

โครงสร้างการใช้

รายการหนึ่ง, รายการสอง(,) and รายการสุดท้าย

ตัวอย่างประโยค

He is tall, dark, and handsome.
หรือ He is tall, dark and handsome.
เขาทั้งสูง เข้ม และหล่อ

She needs salt, pepper, and other seasonings at the grocery store.
หรือ She needs salt, pepper and other seasonings at the grocery store.
เธอต้องการเกลือ พริกไทย และเครื่องปรุงอย่างอื่นที่ร้านขายของ

5. ใช้คอมม่าคั่นระหว่าง coordinate adjectives

Coordinate adjectives คือคำคุณศัพท์ที่ขยายคำนามคำเดียวกันและมีความสำคัญเท่าๆกัน สามารถสลับที่กันได้ ตัวอย่างเช่น

เราสามารถใช้ได้ทั้ง long, narrow path
และ narrow, long path
คำว่า long และ narrow ในที่นี้จะถือเป็น coordinate adjectives

เราสามารถใช้ big black bear
แต่ไม่สามารถใช้ black big bear
คำว่า big และ black ไม่ถือเป็น coordinate adjectives (การใช้ adjective ขนาดจะต้องมาก่อนสี)

โครงสร้างการใช้

coordinate adjective 1 + , + coordinate adjective 2 + คำนาม

ตัวอย่างประโยค

The happy, lively cat is playing with the ball.
แมวที่มีความสุขสดใสกำลังเล่นกับลูกบอล

My roommate is a cheerful, kind girl.
รูมเมทของฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่ร่าเริงและใจดี

ทั้งนี้ เราสามารถใช้ and เชื่อมระหว่าง coordinate adjectives แทนคอมม่าก็ได้เช่นกัน อย่างเช่น My roommate is a cheerful and kind girl.

6. ใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำพูดกับวลีที่กำกับ

ในภาษาอังกฤษ เวลาเราเขียนประโยคที่เป็นคำพูด เราจะใช้เครื่องหมาย “-” ครอบประโยคคำพูดนั้น อย่างเช่น Anne said, “I feel sick.” ซึ่งแปลว่า แอนพูดว่า “ฉันรู้สึกป่วย”

สังเกตว่า เราจะใช้คอมม่าคั่นระหว่างวลีที่เข้ามากำกับ ซึ่งก็คือ Anne said และประโยคที่เป็นคำพูด ซึ่งก็คือ “I feel sick.”

ทั้งนี้ วลีที่กำกับนั้นอาจจะอยู่หน้า อยู่กึ่งกลาง หรืออยู่หลังประโยคที่เป็นคำพูดก็ได้

โครงสร้างการใช้

  • วลีกำกับ, “ประโยคคำพูด”
  • “ประโยคคำพูด,” วลีกำกับ, “ประโยคคำพูด”
  • “ประโยคคำพูด,” วลีกำกับ

ตัวอย่างประโยค

He answered, “She is not here.”
เขาตอบ “เธอไม่ได้อยู่ที่นี่”

“I think,” she said, “Joe can help.”
“ฉันคิดว่า” เธอพูด “โจสามารถช่วยได้”

“It is raining,” Tim said.
“ฝนกำลังตก” ทิมพูด

ในกรณีที่วลีกำกับอยู่ข้างหลังประโยคคำพูด ถ้าประโยคคำพูดลงท้ายด้วยเครื่องหมายตกใจ (!) หรือเครื่องหมายคำถาม (?) เราจะไม่ต้องใช้คอมม่า

“Stop playing video game!” mom yelled.
“หยุดเล่นเกมได้แล้ว” แม่ตวาด

“Are you alright?” Ben asked.
“คุณโอเคมั้ย” เบ็นถาม

บางคนอาจสงสัยว่า เราต้องใส่คอมม่าไว้ในหรือนอกเครื่องหมาย “-” ทำไมบางทีเห็นแต่ละที่ใช้ไม่เหมือนกัน

คำตอบก็คือถ้าเป็น American English จะนิยมเอาไว้ข้างใน เช่น “It is raining,” Tim said. แต่ถ้าเป็น British English จะนิยมเอาไว้ข้างนอก เช่น “It is raining”, Tim said.

7. ใช้คอมม่าในการแยกวันที่และสถานที่

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างวันและปีเมื่อเราเขียนวันที่ในรูปแบบ เดือน-วันที่-ปี แต่ถ้าเราเขียนในรูปแบบ วันที่-เดือน-ปี เราจะไม่ต้องใช้คอมม่า

โครงสร้างการใช้

เดือน วันที่, ปี

ตัวอย่างประโยค

She was born on December 10, 1995.
เธอเกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1995

She was born on 10 December 1995.
เธอเกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1995

และใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำบอกสถานที่ที่ต่างกัน เช่น เมือง จังหวัด รัฐ ประเทศ

โครงสร้างการใช้

  • ชื่อตำบล, ชื่อเขต, ชื่อจังหวัด, ชื่อประเทศ
  • ชื่อเมือง, ชื่อรัฐ, ชื่อประเทศ

ตัวอย่างประโยค

I live in Bangkok, Thailand.
ฉันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย

He came from Chicago, Illinois.
เขามาจากเมืองชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์

8. ใช้คอมม่าหน้า question tag

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างประโยคหลักกับ question tag

โครงสร้างการใช้

ประโยคหลัก + , + question tag

ตัวอย่างประโยค

These flowers are beautiful, aren’t they?
ดอกไม้เหล่านี้สวยมาก ว่ามั้ย

You didn’t forget the key, did you?
คุณไม่ได้ลืมกุญแจใช่มั้ย

9. ใช้คอมม่าเมื่อเรียกบุคคลโดยตรง

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำเรียกบุคคลอื่นกับส่วนอื่นของประโยค เมื่อเราเรียกบุคคลนั้นโดยตรง

โครงสร้างการใช้

  • ประโยคหลัก + , + คำเรียกบุคคล
  • คำเรียกบุคคล + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Dad, where are you?
พ่ออยู่ไหน

See you later, John.
ไว้เจอกันใหม่นะจอห์น

10. ใช้คอมม่าหลังคำขึ้นต้นประโยค

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำขึ้นต้นประโยคกับประโยคหลัก อย่างเช่น คำทักทาย yes/no

โครงสร้างการใช้

  • คำทักทาย + , + ประโยคหลัก
  • yes/no + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Hello, how is it going?
สวัสดี เป็นยังไงบ้าง

Yes, I live by myself.
ใช่ ฉันอยู่คนเดียว

11. ใช้คอมม่าเพื่อป้องกันการสับสน

เราจะใช้คอมม่าในประโยคที่อาจก่อให้เกิดความสับสนหรือความเข้าใจผิดแก่ผู้อ่าน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายได้ถูกต้องมากขึ้น

ตัวอย่างประโยค

I waved at my friend who entered the canteen, and smiled.
ฉันโบกมือให้เพื่อนที่เข้ามาในโรงอาหาร และยิ้มให้เค้า
(คอมม่าทำให้เรารู้ว่าฉันเป็นคนยิ้ม ไม่ใช่เพื่อนยิ้ม)

เป็นยังไงบ้างครับกับหลักการใช้เครื่องหมายคอมม่า (comma) ในภาษาอังกฤษ ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจและสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องมากขึ้นแล้วนะครับ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time


น้องประธาน อยากเป็นยาม l Lw film


หนังสั้น เรื่องราวสะท้อนสังคม เตือนภัยต่างๆ
หนังสั้น ละครสั้น

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

น้องประธาน อยากเป็นยาม l Lw film

เรียนภาษาอังกฤษฟรี!!! Online B2 L12 – คำเติมหน้า/หลัง Prefix and Suffix


สั่งซื้อหนังสือได้จากแอดมิน
@LINE ID = @EnglishbyChris
รับสอนตัวต่อตัว ติดต่อผมได้ที่
@LINE ID = @TeacherChris
WEBSITE
http://www.EnglishbyChris.com
Facebook
ค้นหา = EnglishbyChris

เรียนภาษาอังกฤษฟรี!!! Online B2 L12 - คำเติมหน้า/หลัง Prefix and Suffix

\”ซ้าย ขวา หน้า หลัง\” สนุกกับ คำตรงข้ามภาษาอังกฤษ น่ารู้สไตล์เด็กสองภาษา


พ่อแม่เคยปวดหัวกับเด็กวัยซน ที่สั่งให้ไปซ้าย แต่ลูกไปขวา ใช่ไหมคะ
มาเปลี่ยนความป่วนให้สนุก กับวิธีสอน คำตรงกันข้ามภาษาอังกฤษ กันดีกว่า ส่วนจะมีเทคนิคอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

\

สั่งจิตพัฒนาศักยภาพชีวิตเรียกเงินเข้าทุกวันทุกทิศทางยามเช้า| EP212


หาสถานที่นั่งสั่งจิตในท่าที่สบายๆยามเช้า
กดเข้ากลุ่มฟรี! เก่งขึ้นวันละ 1%!
https://www.facebook.com/groups/350505719845935
แจกฟรี! อีบุ๊ก 18 ความลับ!
เปลี่ยนคุณให้เป็นคนเจ้าเสน่ห์
[ทำยังไงให้ใครๆก็รักตั้งแต่แรกพบ]
👉https://lin.ee/iwazNnx
ฟังฟรี! จิตวิทยาการพูดชนะใจคน
👉https://www.youtube.com/playlist?list=PLfdtkwJb5cVr68FikXL1rVSYCpCn0vGle
กลุ่มฟรี! พูดพิชิตใจแบบจ้าวเสน่ห์!
👉https://www.facebook.com/groups/astcharismasecrets/
ติดตาม Exclusive Content ในช่องทางต่างๆได้ที่:
Line Official: https://lin.ee/iwazNnx
Facebook: https://www.facebook.com/Amazingstorytelling
Blockdit: https://www.blockdit.com/amazingstorytelling
▃▃▃▃▃▃▃▃▃▃▃▃▃▃▃▃
ครองใจคน,วิธีชนะมิตรและจูงใจคน,วิธีการพูดนำเสนอ
,พูดอย่างไรให้น่าฟัง,สร้างเสน่ห์,เทคนิคการพูดโน้มน้าวใจ,การพูดพิธีกร,เทคนิคพูดให้น่าฟัง,พูดอย่างไรให้จับใจคนฟัง,พูดอย่างไรให้คนชอบเรา,วิธีการพูดโน้มน้าวจูงใจ,พูดยังไงให้คนรัก,พูดอย่างไรให้คนเชื่อ,พูดอย่างไรให้คนคล้อยตาม,พูดในที่ชุมชน,พูดอย่างไรให้ชนะใจคนฟัง,พูดอย่างไรให้ผู้ชายหลง,พูดอย่างไรให้มีเสน่ห์,คุยอย่างไรให้ได้คบ,คุยอย่างไรให้ผู้ชายชอบ,คุยอย่างไรให้ผู้หญิงชอบ,คุยอย่างไรให้สนุก,คุยอย่างไรไม่ให้เบื่อ,เทคนิคคุยกับลุกค้า,เทคนิคพูดหน้ากล้อง,เทคนิคพูดขายของ,เทคนิคเล่าเรื่อง,เล่าเรื่องอย่างไรให้สะกดใจคน

สั่งจิตพัฒนาศักยภาพชีวิตเรียกเงินเข้าทุกวันทุกทิศทางยามเช้า| EP212

[NEW] เพลงใหม่ล่าสุด 2021 💙 เพลงเพราะๆ ฟังสบายๆ 💙 รวมเพลงใหม่ เพลง-ใหม่-ล่าสุด ฟังเพลงต่อเนื่อง HD


★ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ช่อง Football Soccer ★
เราคือช่องรวมเพลงเพราะๆ อัพเดทเพลงใหม่ล่าสุด ♪♫♬
ภายใต้การดูแลของ Solution One Holding Co., Ltd
[NEW] เพลงใหม่ล่าสุด 2021 💙 เพลงเพราะๆ ฟังสบายๆ 💙 รวมเพลงใหม่ เพลงใหม่ล่าสุด ฟังเพลงต่อเนื่อง HD
TAG. เพลง เพลงใหม่ล่าสุด เพลงร้านเหล้า
เพลงร้านเหล้า เพลงร้านเหล้า2020 เพลงร้านเหล้าชิวๆ
เพลงร้านกาแฟ เพลงร้านเหล้ายุค90 เพลงร้านเหล้ามันๆ
เพลงร้านเหล้า สด เพลงร้านเหล้า2021
เพลงร้านเหล้าเพื่อชีวิต
เพลงใหม่ล่าสุด เพลงใหม่ รวมเพลงเพราะ เพลงลูกทุ่งใหม่ล่าสุด
เพลงเพราะ เพลงฮิตติดชาร์ต 2020 เพลงในแอพTikTok เพลงใหม่ล่าสุด 2020 เพลงใหม่มาแรง เพลงสตริงใหม่ล่าสุดเดือนนี้ เพลงในแอพTikTokเพราะๆ เพลงอกหัก เพลงร้านเหล้าชิวๆ ฟังเพลงต่อเนื่อง ฟังไปทำงานไป รวมเพลงเพราะๆ เพลงลูกทุ่งฟังสบายโดนใจ เพลงในแอพTikTok เพลงใหม่ล่าสุด 2020 โดนใจวัยรุ่น เพลงฮิต ติดชาร์ต 2020 วัยรุ่นชอบ รวมเพลงในtik tok เพลงติ๊กต๊อก2020 เพลงฮิตในtiktok รวมเพลงฮิตติดชาร์ต ประจําสัปดาห์ เพลงสตริงใหม่เดือนนี้ เพราะๆ กันยายน 2563 ดิ๊งด๊องๆ รวมเพลงเพราะ ฟังเพลงต่อเนื่อง ฟังไปทำงานไป เพลงลูกทุ่งใหม่ล่าสุด เพลงร้านเหล้านั่งฟังชิวๆ เพลงใหม่ล่าสุด เพลงอกหักเพราะๆ เพลงใหม่ มาแรง ฟังสบาย เพลงใหม่ล่าสุดปี 20192020
เพลงใหม่ล่าสุด เพลงเพราะๆ รวมเพลงเพราะๆ 2017 รวมเพลงเพราะๆ 2019
เพลงเพราะๆ ฟังสบายๆ รวมเพลงเพราะๆ เพลงสตริงใหม่ เพลงใหม่ล่าสุด2017
ฟังเพลงต่อเนื่อง เพลงร้านเหล้า เพลงลูกทุ่งใหม่ล่าสุด เพลงใหม่ๆ
เพลงใหม่2017 เพลงใหม่ล่าสุด2019 เพลงฟังสบายๆ เพลงใหม่ล่าสุด2020
เพลงใหม่ล่าสุด2018 เพลงฮิต ติดชาร์ต2019 รวมเพลงเพราะๆ 2016
เพลงฮิต เพลงไม่มีโฆษณา เพลงใหม่ล่าสุด 2016 เพลงรวมเพราะๆ
เพลงฮิต ติดชาร์ต2020 เพลงร้านเหล้า2020 เพลงสตริง
สตริงใหม่2019ไม่มีโฆษณา รวมเพลงใหม่
เพลงเพราะ เพลงสตริงใหม่ล่าสุด เพลงใหม่ล่าสุด 2017 ลูกทุ่งใหม่ล่าสุด2019
เพลงรวม รวมเพลงเพราะๆ 2018 เพลงใหม่ล่าสุด2019สตริงเดือนนี้
ฟังเพลงสบายๆ เพลงเพราะๆ ฟังสบายๆ ไม่มีโฆษณา
เพลงไหม่ สติงเพราะๆใหม่ๆล่าสุด เพลงสตริงใหม่ล่าสุด2016
รวมเพลงใหม่ล่าสุด ฮิตสุดๆในตอนนี้ เพลงล่าสุด
★ ขอบคุณผู้ชมทุกท่าน ที่เข้ามาฟังเพลงใหม่ๆ ★
★ ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดกระดิ่ง ด้วยนะครับ ★

[NEW] เพลงใหม่ล่าสุด 2021 💙 เพลงเพราะๆ ฟังสบายๆ 💙 รวมเพลงใหม่ เพลง-ใหม่-ล่าสุด ฟังเพลงต่อเนื่อง HD

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่MAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ หน้า หลัง ภาษาอังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *